----------
..Pet..สัตว์เลี้ยง.. หัวข้อง่ายๆติดอยู่เกือบกลางหน้ากระดาษแถมมีไฮไลท์ไว้ชัดเจนขนาดที่ต้องยกมือกุมขมับ อยากจะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกให้กลายเป็นคำอื่นก็เสือกมีเขียนแปลไว้พร้อมทั้งไทย อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน..บลาๆ..โคตรพ่อโคตรแม่อาภัพ...
...สวรรค์...กลั่นแกล้งชัดๆ... “อะไรเหรอ?” โชคดีที่ผมฝึกกลวิธีรับมือกับเสียงน่าตกใจพวกนั้นมาแล้วเรียบร้อยมันเลยไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ผมหันไปมองคนตัวเล็กกว่าที่พยายามชะโงกข้ามมาดูใบปลิวที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าใจโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร..แต่เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท..ผมเลยอธิบายสักหน่อย..
“งานน่ะ"
..เข้าใจกันมากขึ้นนะ?.. “ประกวดภาพถ่ายเหรอ?”
“อ่าฮะ"
“ของนิตยสารQ...ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัตว์โลกน่ารักใช่มั้ยครับ?”
“คิดว่าใช่..แต่เห็นทำร่วมกันหลายบริษัท"
“หลายประเทศเลยนี่?”
“...ก็ดีกว่าไม่มีงานทำน่ะนะ"
ผมเสไปเรื่อย แล้วยื่นหน้ากระดาษใบสมัครให้ครูบรรณารักษ์ซีร็อกซ์ให้หน่อย เอกสารพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกหอสมุดครับ..พวกเด็กความสามารถพิเศษมักจะเข้ามาสิงที่นี่เพื่อหางานอะไรสักอย่างทำ...งานที่เป็นหลักฐานให้พวกเราเรียนโรงเรียนนี้ต่อได้ไม่ใช่นั่งตั้งใจเรียนไปวันๆเหมือนห้องอื่น
ใช่ครับ คุณเดาไม่ผิดหรอก..
...ภาพถ่าย...คืองานของผม และผมคงไม่ต้องพูดอะไรเรื่องนั้นให้อักษรฟัง เพราะเขาคงรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว..ก็เป็นเลขานุการคนเก่งของสภานี่นา...
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อยืมหนังสืออะไรต่อมิอะไรที่เด็กคนอื่นควรทำ และจากการที่เขาเดินตามผมต้อยๆแบบนี้แสดงออกชัดเลยว่าเขาเดินตามผมมา ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...
....เขาหายไปไหนตอนคาบบ่ายคาบแรก...
..ทั้งๆที่อยากรู้ใจจะขาด..แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป.. ผมเดินไปหยิบนิตยสารสารคดีสัตว์โลกมาเป็นปึ๊ง แล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะโดยมีอีกฝ่ายเดินตามมาติดๆ เขาทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม..ชั่วแวบที่เขาก้มหน้าทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่เราได้มีโอกาสคุยกัน..
...วัน...ที่เขาบอกว่าชอบผม...
“คุณจะถ่ายภาพแนวไหนเหรอครับ?”
เขาถามขัดห้วงความคิด ผมก้มหน้าลงมาทันที
"ไม่รู้สิ..ยัง...ไม่ได้คิด”
อีกฝ่ายเงียบไปเพราะอะไรไม่รู้..ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง มีเสียงกุกๆกักๆดังขึ้นระหว่างที่ผมพลิกหน้ากระดาษ แล้วถึงจะเริ่มสังเกตว่าอักษรเองก็หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คออกมากางเหมือนกัน คิดว่าเขาคงต้องทำงานของเขาล่ะ..วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ก็จริงๆแต่ไม่ได้หมายความว่าสภานักเรียนที่เป็นดั่งยอดมนุษย์พวกนี้จะได้พักผ่อน..
....เรื่องทั้งหมดเป็นแค่การสันนิษฐาน
...เพราะผมคงนึกภาพไม่ออกถ้าเขาหยิบมันขึ้นมาเพื่อเล่นเฟสบุ๊ค... ผมรู้สึกว่าตัวเองเสียสมาธิ..แทบไม่ได้มองหนังสือนิตยสารในมืออีกเลยตั้งแต่ที่ไฟจากจอมอนิเตอร์กระทบแว่นกรอบบาง ฉาบให้ดวงตากลมโตเหมือนเด็กทารกคู่นั้นพราวระยับขึ้นมาจากเดิมนั่น...
และผมคงจ้องภาพนั้นนานเกินไปหน่อย รู้สึกตัวอีกทีก็ต้องพูดอะไรสักอย่างแล้วเพราะเขาเลื่อนดวงตามาสบ ซ้ำยังส่งรอยยิ้มบางให้เหมือนตั้งใจจะถามผมว่า 'อะไรหรือ?' โดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา..
“ถ้าคุณมีธุระ...คุณจะกลับไปก่อนก็ได้นะ" ผมพูดออกไป..
ตามมารยาทน่ะนะ.. เขาเอียงคอรับ
“คุณรำคาญรึเปล่าครับ?”
ผมมีคำตอบให้เขาคือการไม่ปฏิเสธหรือตอบรับอะไร อักษรประสานมือไว้บนโต๊ะแล้วยิ้มกว้าง
"คือผมคิดว่า..เวลาที่พวกติสต์ๆเค้าใช้ความคิดกันน่าจะต้องเวิ่นเว้ออะไรสักอย่างออกมาคนเดียว...มันคงจะดีกว่าถ้ามีใครสักคนนั่งด้วยก่อนจะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด...”
...น่าเสียดายที่การคาดเดานี้ผิดไปกว่าครึ่ง..เพราะผมเป็นพวกคิดเยอะมากกว่าสาธยายพวกนั้นออกมาเป็นคำพูด..
อีกครึ่งที่ถูกคือ 'พวกเรา' มักถูกมองแปลกๆเวลากำลังสร้างภาพในหัวด้วยการวาดมือหรือแสดงสีหน้าประหลาดๆออกไป
..............มันต้องมีคนนั่งอยู่ด้วยจริงๆนั่นแหละ.. “เพราะงั้น...ถ้าคุณอยากพูดอะไรออกมาก็ไม่ต้องเกรงใจครับ กันลืม..ผมพร้อมจดเสมอนะ!”
เขาชูปากกากับสมุดจดให้ผมดูเป็นหลักฐาน..นั่นเป็นงานของเลขานุการในที่ประชุมด้วย..และผมมั่นใจว่าเขาค่อนข้างถนัดทีเดียว...
..ให้ตาย..
.....ผมจะยิ้มทำไมเนี่ย.. “ที่จริง...” ผมกระแอมกระไอ เปลี่ยนนิตยสารมาเปิดดูอีกเล่ม "ผมก็คิดไว้บ้างแล้วล่ะ..เพียงแต่ยังไม่เคลียร์นัก..”
“คุณ...อยากจะพูดอะไรกับผมสักหน่อยมั้ย?” น้ำคำง่ายๆ ประโยคเรียบๆ..แต่อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงและท่าทางที่เหมือนจะคอยให้ความสนใจแบบนั้นมันเริ่มทำให้ผมรู้สึก...ตื้นตันนิดๆ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกดีที่ตัวเองกำลังเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป ยิ่งเวลาที่พูดเรื่องที่ตัวเองสนใจออกไปก็ปรารถนาอยากให้คู่สนทนาตั้งใจฟัง....และผมก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวผมเองเป็นหนึ่งในนั้น
..ต่อหน้าอักษร..ผู้เป็นคนมีมารยาทในการพูดและการฟังที่ดีเยี่ยมแบบนี้แล้วด้วย...
.......มันคงเป็นการยากที่จะหักห้ามใจ ผมไม่กล้าสบกับดวงตาใสแจ๋วเหมือนเด็กทารกนั่นด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง เพราะผมเองกำลังสนทนาในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองสุดฤทธิ์กระมังถ้าให้เดา
“มันไม่ได้เจ๋งขนาดไหนหรอก..ผม...แค่รู้สึก...ไม่อยากทิ้งความเป็นตัวเอง"
“แต่เพราะคุณเป็นตัวของตัวเอง...คุณเลยติดโรงเรียนเกษรวิทยาไม่ใช่เหรอครับ? ผมว่ามันวิเศษมากเลยนะ"
..สาบานได้..ว่าที่ผมยิ้มเนี่ยไม่ใช่เพราะดีใจที่มีคนยอหรอกนะ.. “เอ่อ...”
..แย่แล้ว..การที่สบตากับเขามันเริ่มทำให้ผมสูญเสียการควบคุมตัวเอง.. “คุณ...เคยเห็นรูปที่ผมถ่ายบ้างรึเปล่า?” “เคยสิ" เขาหัวเราะ "ผมเป็น
เลขานุการคนเก่งของสภานักเรียนเชียวนะ"
..นี่เขาย้อนผมเหรอ..? อักษรกระแอมกระไอนิดหน่อย แล้วพยายามอธิบาย "คุณรู้ถึงความแตกต่างระหว่างภาพถ่ายกับภาพวาดมั้ยครับ? ภาพวาดน่ะ..จะแสดงอารมณ์ที่ศิลปินผู้นั้นรู้สึกออกมาในผืนผ้าใบ แต่ภาพถ่าย...จะแสดงมุมมองของช่างภาพออกมาแม้จะสะท้อนในสิ่งเล็กๆก็ตาม...ในกรณีของคุณมันค่อนข้างชัดเจนเชียวล่ะ"
เลขานุการคนเก่งของสภานักเรียนกำลังแลคเชอร์เรื่องบทที่หนึ่งของการถ่ายภาพหรืออย่างไรมิทราบ..แต่นั่นแหละ..ทั้งๆที่ผมรู้เรื่องความแตกต่างเหล่านั้นชัดเจนอยู่แล้วแต่ก็ยังตั้งใจฟังเขาพูด
“อ๊ะ แต่ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรมากมายหรอกนะครับ แค่พูดไปตามที่คิด...ผมเองก็ได้มีโอกาสไปดูงานภาพถ่ายดังๆรวมถึงของคุณด้วยค่อนข้างบ่อยเลยครับ ผมเลยเข้าใจว่า...ความสามารถพิเศษที่คัดคุณเข้ามาเรียนที่นี่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าแผนกอื่นๆของโรงเรียนเลย..."
“....ภาพถ่ายของคุณ....มันว่างเปล่า....ว่างเปล่าจนมีสเน่ห์....” ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแต่ภาพของผม นั่นทำให้ผมรู้สึก
ว่างเปล่า..ว่างเปล่าในอกจริงๆเหมือนที่เขาเพิ่งพูด
ก่อนอีกฝ่ายจะบรรยายต่อ
"แต่ไม่ถึงกับไร้ชีวิตชีวานะครับ เหมือนคุณกำลังถ่ายทอดความมืดมน...หรือไม่ก็ความเกลียดชังลงรูปภาพ มุมมองของโลกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงสว่างหรือความหวังความสดใส ดูแล้วรู้สึกเจ็บในอก...แต่ก็นะ..บังเอิญเหลือเกินที่ผมชอบความเจ็บปวด"
เขายิ้มจนตาหยีให้กับประโยคสุดท้าย เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจมันเท่าที่ควร..
อักษรอ่านภาพถ่ายของผมเหมือนเพียงแค่สรุปหนังสือเล่มบางๆสักเล่ม...แต่ไอ้ที่ผมเจ็บใจน่ะ..เพราะ 'การอ่าน' ของเขามันทะลุประโปร่งจนผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ
..แต่ใต้ความหงุดหงิดนั้น..ผมกลับยิ้มออกมา
“พรุ่งนี้คุณว่างมั้ย?” คำถามง่ายๆที่ผมรู้สึกประหลาดในอกหลังจากถามมันออกไป
“เอ๊ะ? พรุ่งนี้เหรอ?” เขากระพริบตาปริบๆ แล้วถามต่อตามประสาคนฉลาด "มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“...แค่คิดว่า...ตอนที่ทำงานอยู่มีคนคอยรับฟังบ้างมันก็คงไม่เลว" อีกฝ่ายหน้าแดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ต้องเสียเวลาสรุปความการ 'นัดเดทในวันหยุดสุดสัปดาห์' ที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มชวนครั้งแรก...เขาคงรู้เรื่องของผมมากพอที่จะเดาได้ว่าผมไม่ค่อยได้ให้เวลากับใครตอนที่จำเป็นต้องใช้สมาธิถ่ายรูป(ซึ่งเป็นงานที่ใช้ความเงียบมากทีเดียว และผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำลายมัน)
อักษรก้มหน้าลงโค้งให้ผมเร็วๆ ก่อนจะรีบว่า
“ขอโทษครับ! ผม...ผมมีธุระต้องไปทำทุกวันเสาร์ ดังนั้น....ผม...” ...ให้ตายสิ..ผมเพิ่งจะหน้าแตกขนาดนี้เป็นครั้งแรก... “ผมขอโทษครับ เทียน...ผม...ขอโทษจริงๆ" ...แต่หน้ากลับถูกประกอบใหม่ด้วยความเร็วแสงเมื่อเห็นการขอโทษขอโพยจริงจังขนาดนั้น...
“เอาล่ะ" ผมถอนหายใจ "ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร"
“ผมดีใจมากนะครับที่คุณชวน...”
“ช่างมันเถอะ"
“โธ่ ผมขอโทษจริงๆ อย่าโกรธผมแบบนั้นสิครับ...”
“เปล่านี่ ใครว่าผมโกรธ?”
ผมปิดนิตยสารฉับแล้วดันพวกมันทั้งหมดลงตะกร้าเก็บหนังสือเพิ่งอ่าน เสียงพวกมันตกทับถมกันดังปุๆๆดังสนั่นห้องสมุดโดยที่ผมไม่สนใจ..หงุดหงิดนิดหน่อย..เขาไม่รุ้รึไงนะว่าการชวนใครสักคนไปไหนด้วยกันมันต้องใช้ความกล้าเท่าไหร่..
..เอ๊ะเดี๋ยวก่อน..
.....ความคิดเมื่อกี้ผมว่ามันคุ้นๆนะ...? เมื่อไม่เห็นว่าผมพูดอะไรต่อ อักษรก็ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกในอีกสิบวินาทีข้างหน้า
“เทียนครับ"
“หืม?”
“คือ...ผมดีใจมากจริงๆที่คุณชวนผมแบบนี้ ดีใจมากๆและ..และคิดว่าผมคงเป็นคนโง่มากถ้ากล้าปฏิเสธ"
ผมยกมือกอดอก ขณะที่เขาค้อมศีรษะลงอีกครั้ง
“ไปครับ พรุ่งนี้ผมไปแน่ๆ"
“ไม่ต้องหรอก"
“...ผม...”
ดวงตาคู่นั้นหลุบลงทันที เขาพูดคาไว้แค่นั้นแล้วกดไรฟันขาวลงบนกลีบปากสีส้มของตัวเองเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ นั่นทำให้ผมต้องยกมือขึ้นยอมแพ้
..ให้ตายสิ..หมอนี่กำลังทำให้ผมใจอ่อน.. “วันอาทิตย์ล่ะ? ว่าง.......”
“ว่างครับ!!” ..ทันที..เหมือนซ้อมมาก่อน..
..ยิ่งไปกว่านั้น...ใบหน้ายิ้มแฉ่งแป้นแล้นนั่นมันอะไร..? แน่นอนว่าคนอย่างอักษรคงไม่ปล่อยให้ผมสงสัยได้นานนัก ทว่าเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“แล้ว..คุณจะไปถ่ายที่ไหนหรือครับ?”
“..เดี๋ยวค่อยบอกวันนั้นล่ะกัน"
“เอ๋? แล้วจะนัดเจอกันที่ไหนล่ะครับ?”
ถ้าเป็นปกติสาวๆทั่วไปคือผมจะไปรับพวกหล่อนที่บ้านครับ แต่ครั้งนี้ผมไม่มั่นใจว่าจะพูดคำๆนั้นออกไปดีมั้ย..แต่ก็นั่นแหละ ทันทีที่คนตรงหน้าสบตา..เขาก็เลือกที่จะตัดสินใจเองเออเองทันควัน
“ไม่จำเป็นต้องมารับผมถึงหน้าบ้านหรอกครับ! ผมไม่ใช่พวกผู้หญิงสักหน่อยไม่เห็นต้องเจนท์ขนาดนั้นเลย...เอางี้ดีมั้ยครับ...แปดโมงเช้าเจอกันหน้าบ้านคุณเป็นยังไง?”
เขาบอกให้ผมไม่ต้องเจนท์.
.แต่นี่เล่นบริการถึงที่.. ผมเกาแก้ม ไม่รู้จะเถียงอะไรดี “8โมงเช้าเลยเรอะ?”
“....อ่า....ผมแค่นัดเช้าๆจะได้อยู่กับคุณนานๆน่ะครับ แค่ลองเสนอ...คุณว่ายังไงว่าตามนั้นเลย!”
“สัก...เก้าโมงครึ่งล่ะกัน ว่าแต่..คุณรู้จักบ้านผมเหรอ?”
“รู้สิครับ"
..ไม่น่าถามเลย..ก็เลขานุการคนเก่งนี่นา.. บางทีไอ้เรื่องที่ต้องจำข้อมูลทุกอย่างของนักเรียนทั้งโรงเรียนมันก็จะสะดวกสบายเกินไปแล้วนะ..ถ้าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์โรคจิตคงอยากจะจับเขาขึ้นเตียงผ่าตัด..แล้วใช้มีดคมกริบชำแหละสมองปราดเปรื่องนั่นออกมาดูสักกะหน่อย หวังว่าคงไม่มีเอเลี่ยนบ้าที่ไหนฝังชิพประหลาดลงไปหรอกนะ..
เดี๋ยวก่อน..
...ถ้าเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผมจริงถ้างั้น... แว่บนึงที่ผมมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะสงบจิตลงได้เมื่ออีกฝ่ายจ้องกลับมาด้วยดวงตาบริสุทธิ์ไม่มีเลศนัยอะไรทั้งสิ้น
...ถ้าผมจะโดนนัยน์ตาซื่อๆนั่นหลอกอีกครั้ง...ผมคงโง่มาก... พอเห็นว่าผมลุกขึ้นยืนเขาก็รีบเก็บของทันที..และด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบทำให้ผมยืนรอเขาอยู่แบบนั้นจนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
ผมเดินนำเขาออกจากหอสมุด..ที่จริงมันคือห้องสมุดแหละครับแต่ผมเรียกจนชินปากว่า 'หอสมุด' เพราะมันเป็นตึกที่แยกออกมาจากตึกเรียนเลยด้วยซ้ำ หอสมุดประกอบด้วยชั้น3ชั้นหลัก..ชั้นล่างคือชั้นที่พวกผมอยู่..คือบรรจุเอกสารเสริม นิตยสาร หนังสือเล่มหนาๆมีสีสันและราคาแพงที่ไม่อนุญาตให้ยืมออกไปไว้ครบถ้วน ส่วนชั้น2-3คือตัวห้องสมุดที่ประกอบไปด้วยสื่อการเรียนรู้จำนวนมากและห้องค้นคว้าที่เอาไว้ประชุมกลุ่มที่พวกห้องทุนชอบมาใช้กัน
อักษรเดินตามมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาอาจจะมีญาณวิเศษรู้ว่าผมไม่ค่อยอยากฟังอะไรตอนนี้ก็ได้กระมัง...
เราควรแยกกันที่หน้าประตูโรงเรียน
ผมหยุดเดิน..เขาก็หยุดตาม อักษรกำลังเพียงยิ้มและโบกมือให้ผมเหมือนที่เขาชอบทำ...มันเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าถ้าผมไม่พูดอะไรออกไปสักอย่าง...ผมคงจะกลายเป็นไอ้บ้าทันทีเลยล่ะ
“...เจอกันวันอาทิตย์นะ" เขายิ้มกว้างให้คำพูดนั้นของผม
“ครับ เจอกันวันอาทิตย์"TBC==========================
จบไปอีกหนึ่งตอนนนนนนน
เริ่มหวั่นไหวแล้วใช่มั้ยหนุ่มเทียนของอิป้าา