Three Couple of love บทที่10 ความรักของผม คือ.....
คู่ที่1
ความรักของผม คือ ความลับ
เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ที่ผมอาจารย์(แอบ)คบกัน โดยตอนกลางวัน เราทำตัวเป็นปกติ คือ วางตัวในฐานะ ลูกศิษย์ กับ อาจารย์ ส่วนตอนกลางคืน ที่ห้องของผม เราจะทำตัวเป็นคนรักกัน ผมยังไม่รู้สึกอึดอัดอะไรกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่ผมเองก็กลัวว่าสักวันหนึ่ง ความลับอาจจะถูกเปิดเผยขึ้น และผลของการถูกเปิดเผย อาจจะร้ายแรงกว่าที่ผมคิดไว้ก็ได้
ส่วนเล้ง ผมเองพยายามออกห่างจากเล้ง ไม่ใช่ผมไม่ชอบเล้ง แต่เล้งเป็นคนดูคนง่าย ผมว่าเล้งก็คงรู้อยู่แล้วแหล่ะ ว่าผมกับอาจารย์เบนคบกันอยู่ แต่เล้งยังไม่มีท่าทีอะไร คงเพราะยังไม่เห็นผมกับอาจารย์เบนแบบ "คาหนังคาเขา" เพราะทุกครั้งที่อาจารย์มาหาผมที่หอตอนกลางคืน ก่อนเวลาหอปิด เพียง 3 นาที แน่นอนช่วงนั้น เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีใครเข้าออกจากหอแล้ว จึงไม่ค่อยมีใครมาสนใจอาจารย์เท่าไร อีกทั้งอาจารย์เองยังแต่งตัว ธรรมดาๆ ใส่เสื้อกล้าม กางเกงบอล แทบจะไม่มีมาดของอาจารย์อยู่เลย และเวลาประมาณ4ทุ่ม ถึง 5ทุ่มเป็นเวลาที่เล้งอ่านหนังสือ อาจารย์จึงมาหาผมได้อย่างปลอดภัย
เวลาเรียนวิชาของอาจารย์เบน เป็นช่วงที่ผมทรมานมากที่สุดเพราะต้องเก็บอาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขิน อาย เพราะเล้งนั่งข้างๆผมมักชอบจะจับผิดผมอยู่เสมอ
อาจารย์เองก็ชอบแกล้งผม ชอบให้ผมตอบนู้นตอบนี้เกี่ยวกับเรื่องที่สอนอยู่เรื่อยๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์สอนเกี่ยวกับ "ความต้องการของมนุษย์" ตาม ทฤษฎี ของ มาสโลว์(นักจิตวิทยา)
"มาสโลว์ ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ขั้น" อาจารย์ยืนสอนอยู่หน้าห้อง
"นั้นก็คือ
1.ความต้องการทางด้านร่างกายเช่นปัจจัย4
2.ความต้องการความปลอดภัย
3.ความต้องการความรัก
4.ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ
5.ความต้องการความสำเร็จในชีวิต"
พอพูดจบอาจารย์ก็เดินเข้ามาใกล้ตรงนิสิต อาจารย์ให้แต่ละคนบอกสิว่าในความคิดของแต่ละคนคิดว่าความต้องการอันไหนสำคัญกับมนุษย์มากที่สุด แต่ละคนก็ตอบไปตามความคิดของแต่ละคน จนมาถึงผม ผมสบตากับอาจารยืก่อนจะลุกขึ้นตอบมาว่า
"ในความคิดของผม ผมเห็นว่า "ความรัก" เป็นสิ่งทีสำคัญกับมนุษย์ เพราะที่มนุษย์ต้องการความปลอดภัย,ต้องการได้รับการยกย่องนับถือ,ต้องการความสำเร็จในชีวิต,และต้องการสิ่งต่างๆทางด้านร่างกาย เพราะมนุษย์ รัก ตัวเอง"
แม้ผมจะพูดจบแต่อาจารย์ก็ยังถามผมอีก
"แล้วเธอมองว่า ความรัก เป็นอย่างไร" อาจารย์ถามเหมือนมีความในแอบแฝง
"แต่ละคนคงให้ความหมาย หรือ นิยาม ความรักต่างกัน บางทีรักอาจเป็นสิ่งที่ดี หรือ บางทีรักอาจทำให้เราเสียใจ อยู่ที่เราจะใช้ รัก อย่างไร เพื่ออะไร และ เพื่อใคร ผมเองมองความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่ผิด ไม่มีถูก"
ผมมองอาจารย์ที่ยืนกอดอกยิ้มให้ผม
"ท่าทางเธอ ดูจะเข้าใจความรักเป็นอย่างดีเลยน่ะ"อาจารย์พูดกับผมก่อนที่จะเข้าเรื่องที่จะสอนต่อไป
นอกจากที่ห้องของผมจะเป็นที่ที่ผมใกล้ชิดกับอาจารย์แล้ว ยังมีอีกที่หนึ่งที่ผมจะได้อยู่กับอาจารย์สองต่อสอง นั้นก็คือ ที่ห้องพักอาจารย์ ผมเป็นนิสิตผู้ช่วยอาจารย์ คือ มีหน้าที่ช่วยเหลืองานของอาจารย์ แล้วแต่อาจารย์จะสั่ง เช่น พิมงาน ถ่ายเอกสาร เรียบเรียงเอกสาร ฯลฯ ผมมักจะมาทำงานที่ห้องพักของอาจารย์ประจำ อาจารย์เองก็ชอบแอบมาค่อย "สอนงาน" ผมเสมอ
"อาจารย์ครับ อันนี้มันต้องพิมยังไงครับ" ผมหยิบเอกสาร ที่มีบรรดาตัวสัญลักษณ์ และ สูตรที่ใช้ในวิชาสถิติ ผมพิมตัวพวกนั้นไม่เป็น เลยจะให้อาจารย์สอนพิมให้เป็น
อาจารย์รีบเดินมาหาผม
"ไหนๆ อ๋อ เดี๋ยวสอนให้น่ะ"
อาจารย์มายืนอยู่ใกล้ด้านหลังผม อาจารย์ค่อยๆยืนมือ มาทีคีย์บอร์ด แต่กลายเป็นอาจารย์เอื้อมมือมากอด พร้อมหอมแก้มผมหนึ่งที
"อยู่ใกล้โจ้ ทีไรอดใจไม่ได้สักที" พูดเสร็จอาจารย์ก็เริ่มไซร์ตามซอกคอของผม ก่อนที่ผมจะเคลิ้มไปกว่านั้น ผมรีบดันอาจารย์ออกไป
อาจารย์คิดว่าผมคงไม่อยากทำ เลยรีบขอโทดผม
"ถ้าโจ้ ไม่อยากก็ไม่เป็นไร อาจารย์ขอโทดแล้วกัน"
ผมหัวเราะ แล้วหอมแก้มอาจารย์"ผมไม่ได้บอกเลยน่ะว่าไม่อยากทำ แต่จะบอกว่าไปล็อคประตูห้องก่อนไงครับ" อาจารย์หัวเราะแล้วรีบไปล็อคประตูห้อง หลังจากนั้นอาจารย์ก็เริ่ม "สอนงาน" ให้ผม
พอตอนกลางคืน อาจารย์ก็มาที่ห้องตามปกติ(มาไม่ทุกวันหรอกครับ แต่ก็มาบ่อยเหมือนกัน) ส่วนมากอาจารย์จะมาอาบน้ำที่ห้องของผม หลังจาไปเตะบอลที่สนามหลังมหาลัย สภาพของอาจารย์หลังเล่นบอล ดูแมนมากๆ คือ ตัวเปียกไปด้วยเหงื่อ ผมยุ่งนิดๆ บางวัน ก็ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงบอลตัวเดียว แล้วอาจารย์ก็ชอบมากอดผมตอนเหงื่อเยิ้มๆนี้แหล่ะ
"ขอกอดหน่อยน่ะ" อาจารย์เข้ามากอดผม ตอนที่ผมกำลังจะทำมาม่าให้อาจารย์กิน
"อย่าดิครับ ตัวเปียกไม่พอ เหม็นเหงื่ออีก"ผมสะบัดตัว
"รังเกียจผมเหรอ"
"ไม่ได้รังเกียจอาจารย์ แต่ เกลียดคนที่ตัวมีแต่เหงื่อ แล้วมากอดคนที่อาบน้ำแล้วต่างหาก" ผมตอบอาจารย์ไป
"ก็ได้ๆ ไปอาบน้ำก็ได้"
ผมมองร่างอาจารย์ที่กำลังถอดกางเกงแล้วคว้าผ้าขนหนูมาใส่
ผมมีความสุขกับความลับของผม แต่ใครจะรู้ต่อไปผมเองก็อาจจะเสียใจกับความลับของผมเองก็ได้
คู่ที่2
ความรักของผม คือ การให้กำลังใจ
เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ที่ผม กับ พี่เอกคบกัน พี่เอกมักจะแสดงต่อหน้าคนอื่นๆว่าผมเป็นแฟนพี่เอก คงหวงผมมั้ง กลัวมีคนมาจีบแย่งผมไป หรือ กลัวผมไปจีบใครเค้า แต่น่าจะเป็นอันหลังน่ะ(5555)
ผมกับพี่เอกใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งช่วงใกล้งานกีฬา Freshy ต้องซ้อมหนักทุกวัน ทำให้ผมได้มีโอกาศไปนอนค้างที่บ้านพี่เอก แต่โจ้ต้องมาคอยโกหกพ่อของผมให้ตลอด(โทดทีน่ะเพื่อน)
พี่เอกมักจะมาเฝ้าผมตอนซ้อมหลีดเสมอๆ บางวันก็ซื้อขนม ซื้อน้ำ มาให้ผมกับเพื่อนอีกด้วย
พี่เอกหอบถุงน้ำ ถุงขนมมาวางไว้ตรงโต๊ะที่ผมกำลังพักจาการซ้อมหลีด
"โฮ้ ซื้ออะไรมาเยอะจัง เดี๋ยวอ้วนตายกันพอดี"ผมบ่นใส่พี่เอก
"ไม่เห็นเป็นไรเลย แกไม่กินฉันกินน่ะ"นังเตเต้ กับ แมคกี้รีบแย่งขนมกันใหญ่
พี่เอกเดินมานวดไหล่ให้ผม
"ช่วงนี้ต้องบำรุงหน่อยซิ ต้องใช้พลังเยอะไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปที่บ้านพี่ก็ต้องใช้พลัง
อีก"พี่เอกทำหน้าทะเล้นใส่ ผมรีบศอกกลับไปทันที
"พี่เอกเคยเป็นหลีดไม่ใช่เหรอ สอนท่าให้พวกเราหน่อยสิ" แมคกี้ถามพี่เอกทั้งๆที่ขนมยังเต็มปาก
"อ๋อครับ ได้ๆ" พี่เอกก็ยืนตัวตรง แล้วค่อยอธิบายท่าต่างๆให้แมคกี้และเตเต้ฟัง
ผมนั่งมองพี่เอกเต้น ด้วยรูปร่างที่สมส่วน กับท่าทางที่ดูสง่างาม ผมรู้สึกเคลิ้มกับท่าทางของพี่เอก
ผมนึกในใจ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นแฟนกับพี่เอก พี่เอกไม่เคยทำให้ผมเสียใจ ตามใจผมตลอด อีกทั้งยังคอยให้กำลังใจผมเสมอๆ ผมเองกลับยังไม่เคยทำอะไรให้พี่เอกเลยสักครั้ง
เมื่อมาถึงวันจริง ผมวุ่นวายตั้งแต่เช้าทั้งการแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ยังต้องมาจำท่าเต้นบางท่าที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันอีก ก่อนที่จะเต้น ผมรู้สึกกระวนกระวายยังไงก็ไม่รู้
เตเต้ กับ แมคกี้ คงเห็นผม ทำหน้าเครียดๆเลยมาปลอบ
"มึงไม่ต้องซีเรียสหรอก เอาเท่าที่ได้ก็พอ"เตเต้ ตบไหล่ที่ผมเบาๆ
แต่ผมก็ยังเครียดอยู่ดี ยิ่งมองไปทางอัฒจันทร์ที่มีคนเยอะแยะมากมาย
สมาธิของผมยิ่งกระเจิงเข้าไปใหญ่
ผมมองดูคณะอื่นๆที่กำลังแสดงการเต้นของตัวเอง แต่ละคณะก็มีทีเด็ดออกมาเรียกคะแนนจากกรรมการไม่น้อยน่ากันเลยซักคณะ
เหลืออีกไม่กี่คณะ ผมก็จะแสดงอยู่แล้ว
ผมคอยมองหาพี่เอกว่าจะมาดูผมเต้นไหม แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็น ที่จริงผมรู้อยู่แล้วว่าพี่เอกคงมาไม่ได้เพราะยังอยู่ในช่วงทำงาน แต่ในใจก็ยังหวังลึกๆว่าพี่เอกอาจจะมาเชียร์ผมก็ได้
พอคณะที่แสดงก่อนผม แสดงเสร็จ คณะของผมก็เริ่มเตรียมตัวที่จะแสดงต่อไป
บรรดาเชียร์หลีดเดอร์ ก็เข้าแถวเตรียมจะแสดง
แต่ผมยังมองหาพี่เอก เมื่อไม่มีวี่แววว่าจะมา ผมเลยจะไปเข้าแถวกับพื่อนๆ
"เชียร์" มีเสียงๆหนึ่งเรียกผม ผมเริ่มรู้สึกดีใจขึ้นมา
ผมรีบหันไปตามเสียงนั้น แต่กลับต้องผิดหวังเพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของพี่แจ็ค
"พี่มาดูเชียร์เต้น สู้ๆน่ะ" ผมไม่พูดอะไร
"ขอบคุณพี่แจ๊ค เชียร์ไปก่อนนะครับ" ผมรีบตัดบทและไปเข้าแถวกับเพื่อนๆ
ปี๊ดดดดดดด........
เสียงนกหวีดเป็นสัญญาน ให้เริ่มการแสดง
ผมกับเพื่อนๆเริ่มเต้นตามจังหวะการเชียร์ ผมเองพยายามควบคุมสมาธิไม่ให้วอกแวก
แต่แล้วผมก็พลาดจนได้ ผมเต้นผิดจังหวะ ทำให้ไปชนกับเพื่อนที่เต้นอยู่แถวหลัง
ผมรีบพยายามเรียกสมาธิกลับมาเต้นใหม่ แต่ก็เต้นผิดท่าอีกจนได้
ผมสังเกตเห็น ว่ามีคนคนหนึ่งอยู่ด้านบนสุดของอัฒจันทร์ กำลังชูมือส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ผมกลับมานึกอีกที สัญญาณที่ผมเห็นอยู่นั้นคือท่าต่อไปที่ผมจะเต้น
ผมรู้แล้วครับว่าคนที่อยู่บนอัฒจันทร์คือใคร
ผมพยายามอีกครั้ง ปรากฏว่า ผมเต้นท่าต่อไปได้และเต้นถูกจังหวะไปจนจบ
ช่วงพัก บรรดาคณะกรรมการก็ให้คะแนนการแสดงของแต่ละคณะ
ผลปรากฏว่า คณะของผมไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย
ผมเองรู้สึกแย่กับสิ่งที่ผมทำไปเพราะ เพื่อนๆบางคนทุ่มเทกับการแสดงครั้งนี้มาก
แต่ทุกๆคนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ได้มีแค่ผมที่เต้นผิดอยู่คนเดียว แต่ละคนก็มีข้อผิดพลาดไม่เหมือนกัน ผมเข้าไปกอดเตเต้ กับ แมคกี้
"ไม่เป็นไรหรอก พวกเราทำดีสุดแล้ว"แมคกี้บอกผม ทำใหผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
สักพักก็มีคนเข้ามาจับมือผมไว้ พี่เอกนั่นเอง
"เต้นผิดเยอะจัง ดูดิอุตส่าห์ช่วยซ้อมให้ตั้งหลายที"
"ก็เต้นได้แค่นี้ให้ทำไงเล่า แล้วไปทำอะไรอยู่บนอัฒจันทร์" ผมถามพี่เอก
"ก็ไปเป็นอัศวินขี่ม้าขาว มาช่วยใครบางคนไงจ๊ะ" พี่เอกเหล่ตามาที่ผม
"คร้าบ ขอบคุณคร้าบ" ผมจับมือพี่เอกแน่น
"มา เดี๋ยวพาไปฉลอง" พี่เอกรีบดึงตัวผมไป
"ฉลองอะไรไม่ได้ชนะสักหน่อย" ผมถามพี่เอก
"ก็ฉลองคนเต้นผิดไง 5555"พี่เอกแซวผม
ผมกับพี่เอกก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปฉลองกัน
ขณะที่กำลังขับรถอยู่นั้น ผมก็สวนกับรถคันหนึ่ง เป็นรถที่ผมคุ้นเคยดี โดยเฉพาะคนที่ขับรถคันนั้น พี่แจ๊คมองผมจากข้างในรถคันนั้น ผมเองก็สบตากับพี่แจ๊คเหมือนกัน
และรถของผมกับพี่แจ๊คก็ไปกันคนละทาง
คู่ที่3
ความรักของผม คือ ความเศร้า
เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ที่ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่เก่ง
และเป็นหนึ่งเดือนที่ผมทรมานมากที่สุด
การจะลืมใครสักคนมันไม่ง่ายเลย
ยิ่งลืมพี่เก่งมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรักพี่เก่งมากขึ้นเท่านั้น
เวลาที่ผมอยู่คนเดียวผมจะนึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับพี่เก่งเสมอ
และเมื่อนึกถึงที่ไร ผมก็จะเจ็บใจขึ้นมาทุกที
ผมยังคงไปเล่นดนตรีตามปกติ แต่เหน่งสังเกตเห็นผมดูแปลกๆไป
เพราะผมเล่นดนตรี ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย
หลังจากเล่นดนตรีเรียบร้อยแล้ว ผมก็กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน
เหน่งเดินมาคุยกับผม
"ไอ้ปอ มึงเป็นไรว่ะ"
ผมไม่ตอบอะไร
"เรื่องพี่เก่ง ใช่ไหม" เหน่งทายถูก
ผมพยายามไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร เหน่งเดินเข้ามากอดไหล่ผม
"กูเข้าใจความรู้สึกของการแอบรักใครข้างเดียว แต่มึงจำไว้ซิ ความรัก ไม่ใช่การครอบครอง เราไปบังคับใจใครให้รักเราไม่ได้ เรามีหน้าที่ยอมรับความจริงให้ได้ สักวันต้องมีคนที่เห็นความดีของมึง"เหน่งพูดกระซิบข้างหูผม
"ยังไงกูก็ยังห่วงมึงเสมอน่ะ"เหน่งตบไหล่ผม แล้วเดินออกจากร้านไป
คำพูดของเหน่งทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
พอผมกำลังจะกลับบ้าน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"ว่าไง" ผมทักเชียร์ที่โทรมา
"กูจะชวนมึงมาปาร์ตี้ที่หอไอ้โจ้"เชียร์ทำเสียงคึกครื้น
ผมกำลังจะปฏิเสธ เพราะตอนนี้ ไม่มีอารมณ์จะไปเฮฮากับใคร
"มึงไม่ต้องปฏิเสธน่ะ เพราะกูขับรถมาถึงที่ผับมึงแล้ว"
เอ้าไอ้นี้มันมัดมือชกผมนี้หว่า
ไม่ถึงนาทีเชียร์ก็ขับรถมาจอดรับผม
ผมแปลกใจที่มีผู้ชายนั่งมากับเชียร์ด้วย
"ขึ้นรถมาสิ เออๆ ระวังของที่เบาะหลังหน่อยน่ะ"
ผมค่อยๆนั่งลงที่เบาะหลังของรถ ของที่เชียร์บอกให้ระวังคือ กับข้าวที่จะเอาไปกินกันที่หอของโจ้
ระหว่างทาง ผมเห็นเชียร์คุยกับผู้ชายที่นั่งมาด้วย รู้ทันทีเลยว่าเป็นแฟนใหม่ของเชียร์
ที่จริงรู้แล้วว่าเชียร์มีแฟนใหม่แต่ยังไม่เคยเห็น
พอมาถึงหอของโจ้ เชียร์กับแฟนของเชียร์ก็ยกกับข้าวขึ้นไปที่ห้องของโจ้
"กูยังไม่ได้บอกมันเลยน่ะว่าจะมา กะจะเซอร์ไพรส์"เชียร์หันมาพูดกับผม
เชียร์จะมีกุญแจห้องของโจ้อยู่แล้ว เพราะมันจะมาค้างที่ห้องของโจ้บ่อย
พอเชียร์ไขกุญแจห้องได้ก็รีบเดินเข้าไป พร้อมพูดว่า
"เซอร์ไพรส์"
โจ้เห็นเชียรกับผม และแฟนของเชียร์ มันก็ตกใจตาโตเหมือนเจอผี
"เฮ้ย! พวกมึงมาได้ไงเนี้ย"
สิ้นเสียงโจ้อุทาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขนหนู ออกมาจากห้องอาบน้ำ
ผมกับเชียร์มองผู้ชายคนนั้นด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าจะมีผู้ชายมาอยู่ที่ห้องโจ้
(ก็เพื่อนผมมันเป็นคนเรียบร้อย ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาที่จู๋มีผู้ชายมาอาบน้ำที่ห้องของมัน)
"นี้มึงก็เซอร์ไพรส์พวกกรูเหรอว่ะ" เชียร์พูดกับโจ้ แต่ตายังมองผู้ชายคนนั้น
----- จบบทที่10 -----