“บู๊ย น้ำคือขุ่นแท้ล่ะ สิลงได้บ่น้อ” พอถึงฝ้ายมันก็ลงก่อนใครล่ะครับมีไอ้เคนตามติด เหมือนจะเถียงกันมาตลอดทางเลยนะนั่น
“ไปติดต่อเจ้าของบ้านก่อนเถอะ” ผมบอกครับแล้วเอาเอกสารที่พ่อจัดการให้ออกมาจากกระเป๋า
“มาโฮมสเตย์แม่นบ่หล่า” ตอนที่เราลงมาจากรถหมดแล้วมีป้าแก่ๆคนหนึ่งแกเดินมารับล่ะครับ
“แม่นยาย ยายบ่เจ้าของบ้าน” ไอ้เน่ามันถามขึ้นล่ะครับ
“แม่นแล้วหล่า ยายเตรียมห้องไว้ให้แล้ว” พอยายแกออกตัวพวกเราก็ยกมือขึ้นไหว้แกล่ะครับ
“แต่น้ำหลายเด้อหล่าซ่วงนี้ อย่าสิลงเล่นน้ำกันเด้อ มันไหลแฮงคั่ก” ยายแกพุดไปเรื่อยๆล่ะครับระหว่างเดินนำหน้าเราไปยังบ้านพักที่แกเตรียมไว้
“ยายๆ เฮือนยายอยู่ติดน้ำบ่จ้า” ปูมันถามครับ
“ติดล่ะเนาะอีนาง น้ำหลายมันโซ่ฮอดนอกซาน ยามหน้าแล้งย่างไปไกลเติบอยู่”
“แล้วยายอยู่กับไผครับ” นายไม้ถามครับ
“ยายอยู่ผู้เดียวหล่า ลูกมันไปเฮ็ดงานอยู่กรุงเทพฯ” ยายแกก็แนะนำนั่นนี่ไปตามเรื่องล่ะครับ พอถึงบ้านก็ขึ้นไปบนบ้าน คือเหมือนว่าบ้านยายแกจะติดตลิ่งแม่น้ำเลยนะครับ เพราะเสาบ้านครึ่งนึงมันยื่นออกไปในแม่น้ำนอกชานเหมือนว่าจะหย่อนเท้าลงไปแช่น้ำได้เลยนะ แต่ทางขึ้นบ้านเป็นเนินน้ำไม่ถึงครับ
“บู๊ยยาย คั่นน้ำมาหลายๆนี่มันบ่ท่วมเฮือนเอาติ๊” ไอ้เล็กถามครับพวกเราก็คิดเหมือนกัน
“ท่วมอยู่หล่า ยายไปอยู่เฮือนเทิง เฮือนลูกเขย” ยายแกบอกล่ะครับ นี่แสดงว่าเราโชคดีนะเนี่ยที่น้ำมันยังมาไม่มากนัก สภาพบ้านไมได้ดีเด่อะไรหรอกนะครับ เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง แบ่งเป็นแค่สองห้องคือยายแกให้เราอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนอีกห้องเหมือนแกจะอยู่เอง นอกชานก็กว้างขวาง ลมโกรกมาเย็นสบายดีนะ ผมวางของแล้วไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆริมน้ำที่นอกชานบ้านล่ะครับ ส่วนไอ้เน่ามันก็ไปถามเรื่องต่างๆเช่นทำกับข้าวได้ไหม หาซื้อปลาหรือข้าวได้ที่ไหน ประมาณนี้ ยายแกก็บอกแกคงเห็นพวกเราเป็นเด็กด้วยล่ะครับแกจึงขนของใช้ออกมาให้เยอะแยะเลย
“ยายสินึ่งเข่าเผื่อเด้อหล่า บ่ต้องซื้อดอกเข่าน่ะ ปลายายกะมีแต่ปลาบู่ใส่ไซไว้ มันบ่มีผู้ไปหา คั่นพวกเจ้าอยากได้ยายสิไปบอกยายหนาดเราเอามาขายให้ เพิ่นขายปลามีหลายอย่าง คันอยากได้ผักอยู่ทางเข้าบ้านมีฮ้านยายทอง ไปเบิ่งเอาเด้อหล่า” ยายแกบอกล่ะครับผมนั่งฟังอยู่อมยิ้ม คือพ่อผมจ่ายเงินให้นะครับมันไม่ได้เยอะแยะอะไรเลยนะ แต่ผมรู้สึกว่ายายแกน่ารักจังเลย ไม่รู้สิผมสัมผัสได้คือไม่เหมือนเห็นแก่ธุรกิจจนเกินไปล่ะครับ
“นอนจั่กงีบแน่เด้อพี่น้อง ข่อยบ่ได้นอนเหมิดคืนเอาโลดมีคนกวน” เอ่อ พอยายแกเดินไปหาของให้เราไอ้เน่ามันก็ขึ้นมาบนบ้านล่ะครับ มันเดินไปหยิบหมอนมาแล้วลากเสื่อมาปูตรงริมของนอกชาน แค่มันพูดขึ้นเพื่อนๆก็กรี๊ดกร๊าดเสียงดัง
“พอแม่นน้อ ในรถกะหวานกัน จนเฮาว่าอยู้ได้กลิ่นหยังหวานๆ คั่กน้ออุ่น” สาวฝ้ายครับ เอ่อ หมายถึงกูเหรอ
“บ้าเหรอฝ้าย” ผมอายล่ะครับ
“พากันนอนเว็นซะเนาะ ค่ำๆจั่งพากันไปตลาด” นายเคนพูดขึ้นล่ะครับ
“หวืย มาตั้งกวงตั้งไกลสิพากันมานอน ไอ้เดี๋ยวเพิ่นนอนมันกะบ่แปลกดอกค่า เพราะเพิ่นขับรถ แต่คนบ่ได้ขับรถกะสินอนเนาะ เป็นตาขี้คร้านหลายผู้บ่าวทางนี้” ฝ้ายครับ อ้าวๆ เปิดศึกกันอีกแล้ว
“ป้าด ผู้สาวเจ้าบ่นอนก็พู้นเด้ ไปนั่งตากแดดอยู่พู้นติ๊ล่ะ แห่งดำๆอยู่ ไปโลดพากันไปอาบแดด”
“ว้าย โพดหลายบักห่านี่” พวกเราหัวเราะกันขึ้นอีกครั้งล่ะครับ ฝ้ายมันทำหน้างอประหลับประเหลือก
“ไปย่างถ่ายรูปบ่อุ่น ไปเบิ่งไทบ้านเพิ่นเฮ็ดหยังแน่” จอยมันชวนล่ะครับ ผมเห็นดีด้วย สรุปก็มีผม จอย ปู ฝ้ายและเล็กเดินออกไปถ่ายรูปตามหมู่บ้านล่ะครับ ส่วนที่เหลือ มีไอ้เน่ามันนอน นายเคนกับไม้ เอ่อ ดวลแสงโสมกันครับ มันบอกว่าขอนำหน้าไปก่อนตอนเย็นค่อยกินว้อดก้า อ่านะ มีแบบนี้ด้วย
“อ๊ะ ยายเขาทอเสื่อเหรอจอย” พอเดินเข้าไปในหมู่บ้านผมมองไปใต้ถุนบ้านก็เห็นยายคนหนึ่งกับตากำลังทอเสื่ออยู่ล่ะครับ
“แม่นๆ เพิ่นต่ำสาด อยู่เฮือนเฮากะว่าสิต่ำอยู่แต่ผือมันบ่ทันใหญ่ แถวนี้ผือใหญ่ไวเนาะ” เอ่อ งงสิครับ พวกเราเลยเดินเข้าไปใต้ถุนบ้าน หลังจากยกมือไหว้ทักทายตากับยายเสร็เราก็นั่งล้อมวงล่ะครับ คือเพื่อนๆน่ะเขาไม่สนใจเท่าไหร่หรอกครับ มีผมนี่ล่ะที่กดชัตเตอร์รัวๆ ไม่เคยเห็นนี่นา
“อันนี้ต้นผือเหรอครับยาย” ผมถามครับยิ้มให้แก ยายแกกินหมากปากแดงแจ๋เลยนะ น่ากลัวมากๆ
“บ่แม่นดอกหล่า กก ผือซุมนั้น ยายฟ้าวต่ำก่อนปีนี้กกบ่หลาย ผือจั่งสิต่ำ” หันไปหาจอยทันที
“อ้อ มันมีสองชนิดตั้วอุ่น อันนี้ต้นกก พู้นต้นผือ ต้นกกมันสิกลมๆ ต้นผือมันสิเป็นเหลี่ยมๆ กกทนกว่าผือเด้เนาะยาย” จอยมันหันไปถามยายล่ะครับเหมือนมันจะแปลให้ผมฟังนะแต่ เอ่อ งงอ่ะ
“ห่วย บักหล่ามาแต่ไทยซั่นติ๊ กะบ่บอกยายเนาะ ยายสิได้เว้าไทย” ฮ่าๆ ยายแกพูดแบบว่าตลกมากๆครับ ผมหัวเราะออกมาเลยนะ
“ผืมันบ่ทนเท่าต้นกก ต้นกกมันสิเส้นน้อยๆ ต่ำโดนหลาย” ฮ่าๆ ยายแกพูดสำเนียงไทยนะครับแต่ว่า มันน่ารักอ่ะ
“ยายย้อมสีเองเหรอครับ” ผมยังสนใจอยู่ครับ
“ย้อมเองล่ะบักหล่า ย้อมทีละหลายๆ พู้นเด้เพิ่นย้อมแล้วตากไว้ คือสิได้อยู่ดอกจักสามสี่ผืน” ตาแกพูดบ้างครับชี้มือไปที่ราวตากมัดต้นกกที่ย้อมสีแดง เขียว น้ำเงินไว้เต็ม ผมเดินไปดูทันที
“ฝ้ายๆ ถ่ายรูปกัน” ผมชวนล่ะครับ เอาไปเอามาก็ฮือฮาอยู่ตรงนั้นสักพักแล้วก็ไปต่อ วิถีชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะผมว่า มันไม่ต้องแข่งขันอะไรกับใครมากมาย ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดูแน่นแฟ้นดีนะ อย่างยายกับตา ผมแอบถ่ายรูปมาด้วยล่ะมองอยู่แล้วสะท้อนใจยังไงไม่รู้อ่ะ คิดถึงแม่จัง
“ไปวัดป่ะ” ปูมันชวนล่ะครับพอเดินผ่านมาเห็นกำแพงวัด พวกเราก็ตามกันเข้าไป แต่พอก้าวเข้าไปก็หยุดกึกลงเกือบพร้อมกันเพราะมันมีกลุมเด็กวัยรุ่นอายุน่าจะไม่แตกต่างจากพวกเรามากนัก แต่มีบางคนที่ยังเด็กอยู่ล่ะครับ
“อย่าสิปากเด้อ” จอยมันกระซิบบอกล่ะครับ พวกเราเดินผ่านไปช้าๆ
“แม่นผู้ได๋นี่ พากันมาแต่ไสน้อผู้สาว” เสียงคนแซวขึ้นล่ะครับ
“ฮ่วยถามกะบ่ปาก คืออ่งแท้ล่ะผู้สาว คนผู้งามคือพากันอ่งแท้”
“อ่งตั้วค่า บ่ได้ผู้ฮ้ายสิมาหาแซวผู้บ่าว เป็นคนผู้งามค่าเลยอ่ง” เอ่อ ฝ้ายครับ ไวไปไหมเธอพวกเราหน้าซีดกันเกือบทั้งหมดเลยนะ พอมันพูดไปแล้วจึงเหมือนจะรู้ตัว
“ป้าด คือมั่นใจแท้ แม่นพากันมาแต่ไสล่ะคนผู้จบ” ไอ้เด็กคนหนึ่งมันถามขึ้นล่ะครับแล้วก็ปรี่เข้ามาหาเราด้วยนะ
“มาแต่อำนาจ ในเมืองจ้า มาเที่ยวสิมาไหว้พระ” แหมทีแบบนี้ล่ะทำเสียงอ่อนเสียงหวานนะ
“อ้อคนในเมืองติ๊ ว่าอยู้คือผู้จบแท้ สิไปไสบอกได้เด้อ ข่อยสิพาไป อิอิ” มันพูดล่ะครับ พวกเรารีบเดินไปทันที
“อย่าสิไปปากกับเขากะบ่ฟังเนาะโตน่ะฝ้าย แม่นพวกมันสิมากวนบ่น้อยามแลงน่ะ”
“เฮาลืมแหม่ะจอย ซังคนแซวคั่ก อยู่นั่นกะพ้อบักเคน มานี่กะพ้อซุมนี้ ซาดบ่มัก”
“บ่มักกะทนเอาล่ะเนาะ บ่แม่นถิ่นเฮาเด้นี่” จอยมันพูดล่ะครับ ผมเห็นด้วยกับมันนะ พวกเราเดินขึ้นไปบนศาลาล่ะครับ เป็นศาลาปูนพระประธานองค์ใหญ่พอสมควร
“ศีมเพิ่นงามเนาะ” ปูพูดขึ้นล่ะครับ ศีม? อ้อ คงจะหมายถึงศาลาการเปรียญนี่ล่ะครับ
“เบิ่งซ่อฟ้าใบระกาแน่ล่ะ” อ้าว ไม่ใช่ครับ เพราะปูมันหันหน้าไปทางโบสถ์ ศีม? คือโบสถ์เหรอ แล้วศาลาล่ะ
“หัวแจกกะใหญ่คั่ก” งงครับ ผมเลยสะกิดถามจอย ถูกแล้วล่ะครับ ศีมคือโบสถ์ หัวแจกคือศาลาการเปรียญ อืมน่าสนใจดีนะภาษาถิ่น พอกราบพระเสร็จพวกเราก็เดินลงมาเดินรอบๆศีมล่ะครับถ่ายรูปกันนิดหน่อยแล้วก็เดินออกมา ขาออกมาพวกเราไม่พูดครับ แต่ไอ้พวกนั้นมันขับรถเครื่องตาม เอาไงดีวะเนี่ย
“เฮ็ดจั่งได๋น้อบ่านนี้” จอยมันเครียดครับ ผมเองก็เริ่มเครียดไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายจริงๆนะ
“ไปเฮือนแม่ใหย่ว่างฮั่นบ่ ทำทรงเป็นหลานเพิ่น” เล็กมันเสนอครับ พวกเราเห็นดีด้วยเลยกลับไปที่บ้านยายที่ทอเสื่อต้นกก พอไปถึงก็ไปคุยกับแกล่ะครับ ไอ้เด็กพวกนั้นมันก็เข้ามาวุ่นวายด้วยนะ
“แม่นสูมากวนเพิ่นเฮ็ดหยังบักสร ไปไกลๆเด้อ กูสิไปบอกผู้ใหย่บ้านเด้ แขกบ้านแขกเมืองสิมาเฮ็ดให้เสียหน้าเสียตา ไป” ยายตวาดไปครับ ไอ้พวกนั้นหน้าจ๋อยลงทันที ไม่นานพวกมันก็พากันไปล่ะครับ
“ขอบคุณนะครับยาย” พวกเรายกมือขึ้นไหว้แกล่ะครับ
“บ่ต้องย้านเด้อหล่า พวกนี้มันเด็กน้อยอึดเวียก บ่มีแนวเฮ็ดดอก คั่นมีอีหยังให้บอกแม่ใหย่น้อยโลด เพิ่นสิไปบอกผู้ใหย่บ้าน” ยายแกแนะนำล่ะครับ พวกเราจึงรีบกลับมาที่บ้านพัก ไอ้เน่ามันยังนอนอยู่เลยนะครับ แต่ เอ่อนะ ผมรีบเดินไปเอาผ้าเช็ดตัวออกมาจากกระเป๋าปิดเป้าให้มันล่ะครับ จะโด่ไปไหนเนี่ย
“ว้าย อย่าฟ้าวๆพวกเฮา ให้อุ่นเพิ่นคัวผู้บ่าวเพิ่นก่อน อิอิ” จอยครับ แหมนะ หรือจะดูล่ะผมน่ะไม่อายหรอกนะกลัวพวกเธอนั่นล่ะจะอาย ส่วนนายเคนกับนายไม้แก้มแดงแล้วครับ
“ได้หยังมาฝากล่ะผู้สาวสกล” นายเคนครับ เออนะ ว่าไปมันสองคนนี่ชอบกัดกันจริงๆนะ
“ได้แต่ฝ่ามือนี่ล่ะค่าผู้บ่าวอำนาจ ลองซิมบ่แซ้บแซ่บ” ฝ้ายก็นะ ฮ่าๆ
“ป้าด สิเป็นตาย้านแท้ มาๆกินเหล้านำอ้ายแน่ะ มานั่งข้างๆแน่น้า เห็นว่าผู้งามกะดาย”
“บ่ค่า ฉันบ่กินเหล้ายามกลางเว็นเด้อค่า มันคะลำ ค่ำมาจั่งว่ากัน อิอิ” ผมอมยิ้มเลยนะครับ ตอนนี้ปูกับจอยเดินไปหยิบหนังสือออกมาปูเสื่อนอนอีกฝั่งหนึ่ง เคนกับไม้นั่งอยู่ตรงบันไดแถวๆนั้นล่ะครับ ถัดมาก็ไอ้เน่า มันนอนเหงื่อแตกเต็มหน้าเลยนะคงจะร้อน ตอนนี้ลมไม่พัดเท่าไหร่ พัดลมปูกับจอยเอาไปแล้ว อีกตัวเคนกับไม้ก็ใช้อยู่ ส่วนฝ้ายก็ตามไปสมทบกับเพื่อนๆที่อ่านหนังสือกัน
“มาๆเฮาติวให้” ปูมันหยิบหนังสือออกมาล่ะครับ
“ว้าย โพดแท้ค่าเธอ มาเที่ยวเอาหนังสือเรียนมานำ” จอยมันร้องขึ้นล่ะครับ
“มันติดเนาะ ดีกว่าอยู่ซื่อๆเด้ล่ะจอย” จอยมันหันมามองผมล่ะครับ ผมก็พยักหน้า อยากจะไปติวด้วยนะแต่สงสารไอ้เน่ามันอ่ะ มันนอนเหมือนจะร้อนเลยนะ ผมเลยเดินไปหาพัดที่ครัวใต้ถุนบ้านมานั่งพัดให้มันครับ
“เบิ่งเอาเด้อพี่น้อง นี่ล่ะเขาว่าคนฮักกัน โอ๊ย ข่อยอิจฉาเด้” นายไม้ครับมันร้องขึ้น อ่านะ ผมนั่งนิ่งตัวเกร็งเลยนะ
“แม่นๆ ยามนอนกะมีคนมาพัดมาวีให้ซาดดีวะ บักเดี๋ยวมันโซคดีคั่ก” นายเคนเสริมล่ะครับ
“อ้าว ก็นายมีพัดลมนี่” ผมตอบไปครับ
“อย่าไปแซวเพิ่นหลายสู กินกะกินไปแน่ะซุมบ่มีคนฮัก ดีแต่หล่อบ่เป็นตาเอาเนาะ” ฝ้ายครับ มันดอดขึ้นผมอดขำไม่ได้ พวกสาวๆก็เฮกันขึ้น
“บู๊ยเว้าปานเพิ่นมีผู้บ่าวน้อผู้สาว ไผน้อสิเป็นผู้บ่าวโซคร้ายผู้นั่นแหม่ะ” นายเคนครับ
“กรี๊ด บักเคน โพดไปหลาย” เอาไปเอาก็เสียงดังมากครับไอ้เน่ามันงัวเงียแต่ไม่ตื่นมันเอาขามาพาดตักผมแล้วนอนคว่ำ อ้าวไอ้นี่ กูจะลุกไปไงล่ะทีนี้
“เป็นจั่งได๋หล่า มีหยังขาดเหลืออยู่บ่” มีเสียงลุงคนหนึ่งดังขึ้นล่ะครับแกเดินขึ้นมาบนบ้านด้วยนะ
“สวัสดีครับพ่อลุง ตอนนี้ยังบ่ขาดครับ” นายไม้มันตอบครับ
“พ่อเป็นพ่อใหย่บ้านเด้อ อบตเพิ่นฝากมา ไสล่ะลูกปลัด” เอ่อ ผมรีบหันไปยกมือไหว้แกล่ะครับ
“ผู้นี่บ่ บู๊ยคือผู้จบผู้งามสมกับลูกปลัดแท้น้อ บ้านพ่ออยู่หลังถัดไปนั่นล่ะเด้อหล่า บ่ต้องย้านหยังดอก พ่อสิเบิ่งให้ เมื่อแลงกะสิให้เด็กน้อยมานอนอยู่ตาล่างเฮือนเฝ้าให้ เที่ยวให้ม่วนโลดเด้อ แนวอยากแนวกินยายน้อยเพิ่นบอกแล้วแม่นบ่หล่า มีหยังย่างไปเฮือนพ่อโลดเด้อ” อ้อ ผู้ใหญ่บ้านนั่นเองครับ แกคงเดินมาบอกพวกเราขอบคุณแกแล้วแกก็คุยด้วยสักพักก็ไปล่ะครับ ตอนนี้ลมเริ่มมาแล้วแต่ไอ้เน่ามันยังไม่ตื่น เพื่อนๆเงียบเสียงไปแล้วครับ กลุ่มดูหนังสือเหมือนจะนอนกัน ส่วนพวกกินเหล้าก็คุยเรื่องบอลนะเท่าที่ได้ยิน ผมนั่งมองดูไอ้เน่าอย่างพิจารณา ทำไมนะ ทำไมผมถึงได้ชอบมันมากขนาดนี้ มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะความรู้สึกนี้ ยิ่งมองผมยิ่งหวงแหนมันมากขึ้น ยิ่งมองผมยิ่งรู้สึกชอบมันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวเกรียนๆของมัน ท่าทางกวนๆ เท้าที่ใหญ่กว่าผมมาก ไม่สิทั้งมือทั้งเท้า ผมเอามือแตะที่มือของมันล่ะครับ ตอนนี้มันคงไม่ใช่ผมชอบมันแล้วล่ะนะผมว่า ความรู้สึกนี้แม้แต่กับโจ้มันก็ไม่เคยมี ผมว่าผมรักมันแล้วล่ะครับ รักแกนะไอ้เน่า
เขียนโดย อิ๊กกี้
ปล. ตื่นมากินข้าวนิเลยแอบมาลง อิอิ