คือ...เขียนนิยายไม่ออก ไม่มีอะไรจะทำน่ะครับ ลงเรื่องสั้นแล้วกันเนาะ
...
Dark side Romance
โลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์อาศัยอยู่อีกมาก นอกจากสิ่งที่มนุษย์รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าไม่มีอยู่จริงและเรียกพวกมันว่า “สัตว์ในจินตนาการ” หรือ “สิ่งมีชีวิตในเทพนิยาย” แต่มนุษย์ไม่รู้หรอกว่า บางครั้งสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์เหล่านั้นยังคงอยู่ในโลกนี้โดยหลบซ่อนตัวจากสายตาของมนุษย์ผู้โง่เขลา...และแม้แต่ปะปนอยู่ในหมู่มนุษย์นั่นเอง
...
ในค่ำคืนที่จันทร์เสี้ยวส่องแสงอย่างล้าแรงอยู่หลังม่านหมอกของเมืองใหญ่ของเหล่ามนุษย์ ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินปะปนไปกับฝูงชนที่เดินขวั่กไขว่กันอยู่ตามถนนหนทาง บ้างก็มุ่งหน้ากลับบ้าน บ้างก็หาร้านที่จะไปดื่มกินกันต่อ เขามองรอบตัวผ่านแว่นสีชา...นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืนแล้ว คงมีแต่เพียงมนุษย์เท่านั้นกระมังที่ยังคงใช้ชีวิตหลังตะวันตกดิน
แต่นั่นมันก็ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตก้ำกึ่งระหว่างกลางคืนกับกลางวันอย่างเขาได้มีเรื่องสนุกอยู่บ้าง
พลันจมูกที่ไวเกินกว่าจมูกมนุษย์นับร้อยเท่าก็กระสากลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่าง เมื่อแรกเขาไม่แน่ใจ มันเป็นกลิ่นที่เขาเคยรู้จักคุ้นเคยแต่ได้สูญหายไปจากความทรงจำนานแล้ว จนเมื่อลมอ่อน ๆ หอบกลิ่นอายนั้นมาอีก ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเชื่อประสาทสัมผัสของตัวเองมุ่งหน้าไปยังที่มาของกลิ่นทันที พร้อมด้วยหัวใจที่เต้นแรง
...ใครคือที่มาของกลิ่นที่ควรจะสาบสูญไปแล้วนี่กัน...
ไม่ช้า สองขาก็พาเขามาสู่ตรอกมืด ๆ แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มถอดแว่นออกแล้วกวาดตามอง ดวงตาเฉียบคมที่มองเห็นได้แม้ในความมืดค้นพบร่างหนึ่งซุกอยู่ในมุมมืดข้างข้าวของที่เจ้าของไม่ต้องการแล้วซึ่งกองระเกะระกะอยู่ กลิ่นอายที่เขาจับได้คลุ้งไปหมดทั้งตรอกนั้น...ใช่แน่ ใครคนนั้นคือต้นกลิ่นไม่ผิดแน่
ร่างสูงก้าวพรวด ๆ ไปยังร่างนั้น...มนุษย์...เขาบอกกับตัวเองเมื่อแรกเห็นด้วยตา แต่ไม่ใช่หรอก...มนุษย์ก็ต้องมีกลิ่นแบบมนุษย์ แต่คนตรงหน้าเขานี่ไม่ใช่...ชายหนุ่มเลือกที่จะเชื่อจมูกของตัวเองมากกว่าดวงตาตามลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เขาเอื้อมมือไปแตะแขนของใครคนนั้นเบา ๆ ยังผลให้อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว
“อย่า! อย่าแตะต้องผมนะ!!” ฝ่ายนั้นร้องลั่นพร้อมกับปัดมือของร่างสูงอย่างแรง
“ใจเย็น ๆ เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?” ชายหนุ่มพยายามถาม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจฟัง
“ไม่เอา! อย่าเข้ามาใกล้ผม ถอยไป!” เสียงตะโกนไล่แหบโหยอย่างน่าประหลาด
“เย็นไว้ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก บอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม –คนอย่างนาย- ถึงมาอยู่ที่นี่”
ร่างที่นั่งอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เรือนผมสีน้ำตาลออกปรกลงมาบังใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงนั้น ดวงตากลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...ดูยังไงนี่ก็เป็นแค่มนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งรูปลักษณ์ สีตา และสีผิว...ไม่ได้มีลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์พิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น...ทว่าเมื่อมองให้ดี เบื้องหลังริมฝีปากอิ่มที่เผยอหอบนั้น...เขี้ยวสีขาวยาวและแหลมคมซ่อนตัวอยู่ในนั้น
...ไม่ผิดแน่ ผีดูดเลือด...
คนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นผลักไสร่างสูงอย่างล้าแรง
“ไป...อย่ามายุ่งกับผม...ไปซะ...” เสียงกระซิบไล่สั่นพร่าเหมือนพยายามจะสะกดกลั้นอะไรบางอย่างไว้
...กำลังกระหายเลือดงั้นหรือ...ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็น่าแปลกที่คนตรงหน้าเขาพยายามฝืนเอาไว้อย่างสุดกำลัง หากเป็นผีดูดเลือดจริง ถ้าต้องการเลือดมากขนาดนี้จะต้องจู่โจมทันทีที่เห็นเหยื่อแล้ว ทั้งยังรูปลักษณ์ที่เป็นมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้วนี่อีก...ที่สำคัญคือ...เท่าที่เขาได้ยินมา ผีดูดเลือดสูญพันธุ์ไปจากโลกมนุษย์นี่นานมากแล้ว
ปริศนาที่ไขไม่ออกมีมากเกินไป เขาต้องการคนช่วย...ชายหนุ่มตัดสินใจรวบร่างนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด อีกฝ่ายดิ้นด้วยความตกใจ
“เย็นไว้ ฉันจะช่วยนาย ไม่ต้องกลัว” เขากระซิบปลอบ
“อย่า...ผม...ทนไม่ไหว...” กลิ่นเลือดที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ทำให้เขาเจียนคลั่ง คมเขี้ยวเคลื่อนเข้าหาลำคอที่อยู่ห่างไปแค่คืบ
“อย่านะ!” เสียงห้าวตวาด “ฉันไม่ใช่มนุษย์ ถ้ากินเข้าไปแล้วตายขึ้นมาจะว่ายังไง อดทนหน่อย”
คนในอ้อมกอดชะงักนิ่ง...ไม่ใช่มนุษย์ หมายความว่ายังไง คนที่อุ้มเขาไว้ดูยังไงก็ไม่ผิดอะไรกับมนุษย์แท้ ๆ...หรือว่า...คนคนนี้จะเป็นเหมือนเขา
“ข้าแต่แสงจันทร์ที่สาดส่อง ด้วยอำนาจของสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่ปางบรรพ์ โปรดเปิดประตูให้ข้าได้เข้าไปสู่ดินแดนแห่งพันธะสัญญาของพวกเรา...”
สิ้นเสียงท่องมนต์ ก็ปรากฏจุดสีเงินเล็ก ๆ ขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่มันจะขยายตัวกว้างขึ้นเป็นรูปร่างของประตูสีเงินส่องประกายเหมือนดวงดาว ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแทบจะไม่เชื่อสายตา...หรือบางทีเขาอาจจะอ่อนแรงเกินไปจนเห็นภาพหลอนของความฝันก็ได้กระมัง...
“อดทนอีกนิด ตอนผ่านประตูอาจจะรู้สึกแย่หน่อย แต่เดี๋ยวจะดีขึ้นเอง”
ร่างสูงบอกแล้วก็ก้าวข้ามบานประตูเข้าไป...อากาศราวกับจะบีบอัดเข้ามารอบด้าน เหมือนจะบดขยี้ร่างของพวกเขาให้กลายเป็นจุล แต่ในพริบตาที่คิดว่าจะขาดใจตาย ก็รู้สึกเบาวูบ แรงกดดันทั้งหมดสลายไปสิ้น
“เอาละ ถึงแล้ว...อ้าว...เฮ้ย เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มเขย่าตัวคนในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งพับไป...คงไม่ใช่ถูกแรงกดบรรยากาศเล่นงานเอาจนตายหรอกนะ
ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง
“เจ!! นายไปไหนมา หาตัวตั้งนาน”
“นายจะหาฉันไปทำไม เทลลู?” ร่างสูงหมุนตัวกลับไปมองคนที่กำลังเดินลุยสุมทุมพุ่มไม้เข้ามาหา
ทันทีที่ก้าวพ้นประตูมายามา รอบกายก็คือป่าใหญ่รกทึบ มีอาคารหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า คนที่เดินเข้ามาใกล้มีผมสีน้ำตาลทอง หากที่แปลกตาคือหูขนาดใหญ่กับหางยาวเป็นพวงหนาอันเป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า
“ก็เนื้อย่างสูตรใหม่ที่นายบอกอยากกิน...นั่นอะไรน่ะ?” เทลลูเพิ่งเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ในอ้อมแขนของเจ พอกระสากลิ่นก็ถอยกรูด “อะ...อะไรน่ะ!? นายไปเอาหมอนั่นมาจากไหน? ไอ้ของพรรค์นั้นมันไม่...!!”
“อย่าโวยวายไปนักเลยน่า” เจส่ายหัวที่มีผมสั้นสีทองยุ่ง ๆ รูปลักษณ์ของเขาคืนสู่ลักษณะดั้งเดิมของเผ่านับแต่ก้าวข้ามประตูมายามา “ฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ยังไงก็ไปตามทาร์คหรือเฟซีลมาที เราเจอปริศนาที่ไขไม่ออกแล้วหละ”
...
ทั้งอาคารหลังใหญ่และป่ารกทึบแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ตั้งอยู่ ณ ช่องว่างระหว่างมิติที่สามารถเชื่อมต่อไปยังภพภูมิต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้ อาคารแห่งนี้คือศูนย์รวมความรู้ของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ และยังคอยควบคุมดูแลความเรียบร้อยระหว่างพิภพอีกด้วย ผู้ที่จะเปิดประตูมายังช่องว่างระหว่างมิติแห่งนี้ได้จำเป็นจะต้องมีกุญแจและอำนาจเวทมนต์ประจำเผ่าพันธุ์ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่มีหลากหลายเผ่า ทั้งที่มนุษย์เรียกกว่าสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ไปจนถึงเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าปีศาจอย่างมนุษย์หมาป่าเป็นต้น และที่แห่งนี้ก็ยังทำหน้าที่เหมือนโรงแรมแวะพักสำหรับนักเดินทางระหว่างภพและผู้ที่ไม่ปรารถนาจะอยู่ในภพใดเป็นหลักแหล่ง ซึ่งต้องแลกด้วยการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการดูแลเหล่าเด็กกำพร้าเป็นต้น
ทาร์คคือเงือก ส่วนเฟซีลคือเอลฟ์ สองเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิปัญญาจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นครูและหมอของทุกเผ่าพันธุ์ แต่ตอนนี้ทั้งสองกำลังหนักใจกับชายที่เจนำกลับมาจากโลกมนุษย์
“มันแปลก หมอนี่ดูยังไงก็เป็นมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เจกับเทลลูกลับยืนยันว่ากลิ่นอายของเขาเป็นผีดูดเลือด” เฟซีลบ่นพลางยกมือขึ้นเสยผมสีแดงยาวของตน
“พวกนั้นได้กลิ่นที่พวกเราไม่มีวันสัมผัสได้น่ะนะ” ทาร์คบอกพลางแตะลงบนแขนของหนุ่มนิรนาม เขาอยู่ในร่างของมนุษย์เมื่ออยู่ที่ช่องว่างแห่งมิตินี้
“สีผิวก็เป็นมนุษย์ ถ้าผีดูดเลือดจะต้องซีดกว่านี้ สีตาก็เป็นมนุษย์ พวกนั้นต้องตาเหลือบแดง อุณหภูมิร่างกาย ลมหายใจ...อะไรต่อมิอะไรก็เป็นมนุษย์หมด แล้วบอกว่าเป็นผีดูดเลือดนี่มันก็...” เฟซีลบ่น เขาออกจะใจร้อนกว่าเอลฟ์คนอื่นนิดหน่อย
“แถมเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ก็สูญพันธุ์ไปจากโลกมนุษย์ตั้งนานแล้ว...ไม่สิ...ภพภูมิของพวกนั้นล่มสลายไปแล้วด้วยซ้ำ” ทาร์คถอนใจยาวแล้วเดินไปหยิบเหยือกหินบรรจุน้ำทะเลมาเทดื่ม เพราะเป็นเงือกจึงต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น แม้ว่าที่ช่องว่างระหว่างมิตินี้จะเอื้อต่อการดำรงอยู่ของทุกเผ่าก็ตาม
“บางทีเราอาจจะต้องปรึกษาสภาสูง”
“คงไม่บางทีหละ เราต้องปรึกษาสภาสูง นี่มันเรื่องใหญ่เกินกว่าที่เราจะรับมือได้ เพราะงั้น...เดี๋ยวฉันจะเขียนหนังสือขอพบคุณไฮเดล...” พูดยังไม่ทันจบประโยค ประตูห้องก็เปิดผลัวะออก
“ได้ยินว่าเก็บของแปลกมาได้เหรอ?”
“คุณไฮเดล?” คนที่กำลังพูดถึงเมื่อกี้เข้ามาในห้อง เขาเป็นเอลฟ์เหมือนกับเฟซีล แถมยังดูคล้ายกันมากจนแทบจะเรียกได้ว่าพี่น้อง...ถ้าเพียงแต่เผ่าเอลฟ์จะไม่มีพี่น้องท้องเดียวกันน่ะนะ
“เจ้าเทลลูมันแจ้นไปบอกเมื่อกี้น่ะ บอกว่าเจเก็บผีดูดเลือดมาได้จากโลกมนุษย์ ก็เลยมาดูเสียหน่อย...คนนี้น่ะเหรอ?” พูดพลางก็พิจารณาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนแท่น “หน้าตาน่ารักดีนี่ แถมดูยังไงก็มนุษย์ชัด ๆ แต่เจ้าเจมันคงไม่จมูกบอดขนาดดมมนุษย์เป็นผีดูดเลือดไปได้หรอกเนอะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันยอมเปลี่ยนตัวเองไปเป็นพิกซี่เลย” คนถูกนินทาก้าวอาด ๆ ตามเข้ามา
“หน้าอย่างนายเป็นหมาป่าแหละดีแล้ว อย่าไปเป็นอะไรน่ารัก ๆ แบบนั้นเลย” ทาร์คส่ายหน้า นึกไม่ออกเอาจริง ๆ ว่าอย่างเจจะไปติดปีกวิบ ๆ สีเงินนั่นได้ยังไง
“ว่าแต่...มันก็แปลกจริง ๆ นั่นแหละ” ไฮเดลพึมพำเบา ๆ สีหน้าที่มักจะมีแววซุกซนตลอดเวลาเคร่งขรึมลง “สายเลือดของผีดูดเลือดที่สาบสูญไปแล้ว มาปรากฏในตัวเด็กนี่ได้ยังไง”
“อาจจะเป็นการย้อนเผ่าก็ได้นะครับ”
“อ้าว ฮีธ มาพอดี กำลังว่าจะให้ใครไปตามมาช่วยดูพอดีเลย” ไฮเดลหันไปพูดกับผู้มาใหม่ซึ่งเป็นชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำยาว ทั้งเครื่องแต่งกายก็เป็นสีดำล้วนราวกับจะหยิบเศษเสี้ยวของราตรีมาครอบคลุมไว้ทั้งร่าง เขาเป็นเผ่าผู้วิเศษที่มีทั้งภูมิปัญญาและอำนาจเวทมนต์สูงส่ง เพียงแต่เผ่าพันธุ์นี้ออกจะรักสันโดษไม่ค่อยยุ่งกับใครเท่านั้น คนเผ่านี้ที่อยู่ในช่องว่างมิติมีน้อยจนนับคนได้
“ว่าแต่เมื่อกี้คุณฮีธบอกว่าย้อนเผ่า หมายความว่ายังไงครับ?” ทาร์คถามขึ้น
“หมายถึงการที่ใครสักคนมีบรรพบุรุษเป็นอะไรบางอย่าง แล้วสายเลือดที่ควรจะเจือจางนั้นกลับเข้มข้นขึ้น จะด้วยการที่พ่อแม่แต่งงานกับคนที่เคยมีบรรพบุรุษเผ่าเดียวกันหรืออะไรก็แล้วแต่ เรียกภาษามนุษย์ก็เหมือนการกลายพันธุ์ละนะ” ฮีธอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหมือนอย่างที่...บางครั้งมนุษย์ก็กลายร่างเป็นหมาป่าออกทำร้ายคนในประวัติศาสตร์มนุษย์น่ะเหรอ?” พูดเสร็จเฟซีลก็สบตาเจเป็นเชิงขอโทษ...เพราะนั่นเกี่ยวข้องกับพวกมนุษย์หมาป่าโดยตรง แต่เป็นตัวอย่างที่หยิบยกง่ายที่สุดแล้ว
“ใช่ แล้วก็เหมือนกับมนุษย์บางคนเกิดกระหายเลือดขึ้นมา โดยที่แพทย์ชาวมนุษย์บอกว่าเป็นโรคเลือดอย่างหนึ่งด้วย”
“งั้นหมอนี่ก็เป็นพวกย้อนเผ่า?” ทาร์คมองร่างที่ยังคงหลับนิ่งอย่างพิจารณา
“คิดว่าใช่ แต่ยังสรุปไม่ได้ ถ้าเจ้าตัวได้สติแล้วเราอาจจะถามอะไรได้มากกว่านี้...ลักษณะของผีดูดเลือดไม่ได้มีแค่อาการกระหายเลือด แต่ยังมีลักษณะอื่นอีกที่จะทำให้เราแน่ใจได้ว่านี่เป็นการย้อนเผ่า ไม่ใช่แค่อาการผิดปกติด้านพันธุกรรมมนุษย์” ผู้วิเศษในชุดดำอธิบายยืดยาว แต่เจยกมือขึ้นแคะหู...สมองหมาป่าอย่างเขาไม่ค่อยกระดิกกับเรื่องยาก ๆ แบบนี้สักเท่าไรนัก
“อ๊ะ ลืมตาแล้ว” ไฮเดลที่ยังยืนอยู่ข้างแท่นร้องขึ้น ทุกคนหันไปให้ความสนใจทันที โดยเฉพาะเจที่รีบปราดเข้าไปหาทันที
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ปรืออยู่ครึ่ง ๆ อย่างอ่อนล้า หากริมฝีปากขมุบขมิบเอ่ยคำออกมาเบา ๆ...เบาเสียจนเจต้องเงี่ยหูฟัง
“...น้ำ...”
เจรีบคว้าเอาขวดน้ำแถวนั้นมา ค่อย ๆ ประคองร่างขึ้นแล้วจรดปากขวดเข้ากับริมฝีปากให้ ชายหนุ่มนิรนามดื่มน้ำเข้าไปนิดหน่อยก็กระอักกระไอ
“เฮ้ย ไม่เป็นไรนะ”
“...ไม่...” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่สีหน้าไม่ได้บอกเลยว่ารู้สึกสบายขึ้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นและดูท่าทางทรมาน
ผีดูดเลือดไม่อาจดับกระหายได้ด้วยน้ำ...คือสิ่งที่ทุกคนรู้ดี แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นผีดูดเลือดหรือเปล่า แต่อาการที่แสดงออกมาให้เห็นมันชวนให้คิดไปในแง่นั้น
“พ่อหนุ่ม เธอชื่ออะไร?” เป็นไฮเดลที่เอ่ยถามขึ้น
ชายหนุ่มมองไปรอบห้องอย่างงุนงง ผู้คนที่รายล้อมเขาอยู่หน้าตาแปลก ๆ สวมเสื้อผ้าแปลก ๆ แถมยังมีบรรยากาศอันแปลกประหลาดห่อหุ้มอยู่ด้วย แต่กระนั้น เขากลับรู้สึกไว้ใจคนพวกนี้
“...อาเดีย” คำตอบแหบโหย แล้วเจ้าตัวก็ไอแห้ง ๆ ออกมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย ทำไมนายถึงไปอยู่ที่ตรอกนั่นในเวลาแบบนั้น?” เจถามคำถามที่คาใจมานานนับตั้งแต่เจอผู้ชายคนนี้
“...ฉัน...” อาเดียกรอกตาอย่างพยายามค้นเข้าไปในความทรงจำของตน “พวกมันเข้ามาในบ้าน...พวกอันธพาลที่มีเรื่องกับน้องชายฉัน...พวกมัน...ฆ่าพ่อกับแม่..”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง ใช่...เขาจำได้...เรื่องที่เกิดขึ้นนั่น...
“ฉันพยายามพาน้องหนี แต่ไม่พ้น พวกมัน...เอามีดแทงเขา...” เสียงแหบแห้งสั่นพร่าด้วยความแค้นเคือง “เลือด...เต็มไปหมด ตอนนั้น...เหมือนในหัวถูกสาดด้วยสีแดง ฉันคว้าคอไอ้คนที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วก็...หักมัน...”
อาเดียก้มลงมองมือตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อกี้ แต่นั่นเป็นความจริง...เขาหักคอมันคนนั้นด้วยมือเปล่าหลังจากที่เห็นน้องชายล้มลง แล้วก็จัดการคนอื่นอย่างไม่ลังเล...ฆ่าพวกมันทั้งหมดด้วยมือเปล่า!!
เจกุมมือที่สั่นระริกไว้แน่น ไม่มีใครพูดอะไร ชายคนนี้เป็นผีดูดเลือดไม่ผิดแน่ นอกจากอาการกระหายเลือดที่ควบคุมไม่ได้ถ้าไม่อยู่ในภพภูมิของตัวเองแล้ว พละกำลังมหาศาลยังเป็นอีกลักษณะเด่นของเผ่าพันธุ์นี้
“...จากนั้น...ก็รู้สึกคอแห้งมาตลอด ร้อนเหมือนโดนไฟเผา...พอเห็นเลือด ก็อยาก...” พูดได้แค่นี้ก็กัดฟันแน่น เขาไม่อาจยอมรับความต้องการที่ผิดปกติของตนได้
“ไม่เป็นไรแล้ว อาเดีย” ผู้วิเศษชุดดำเดินเข้ามาข้างเตียงแล้ววางมือลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มมือเบา ๆ “นั่นเป็นแค่ธรรมชาติอย่างหนึ่งของผีดูดเลือดเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป”
“อะไรนะ...?” ดวงตาของอาเดียเต็มไปด้วยความงุนงง ผู้ชายคนนี้พูดอะไร...ใครเป็นผีดูดเลือด...
“มีเรื่องต้องอธิบายอีกมาก ตอนนี้เธอพักเสียก่อน ตื่นมาแล้วเราค่อยคุยกัน” เสียงนั้นกล่าวนุ่มหู
พลันก็ปรากฏลำแสงสีฟ้าอ่อนเรืองออกมาจากฝ่ามือของฮีธ ความง่วงงุนเข้าครอบงำอาเดียอย่างรวดเร็ว แล้วชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไป
“เตรียมประชุมเถอะ...” ไฮเดลบอกกับฮีธ “เราต้องหาวิธีรับมือกับผีดูดเลือดคนใหม่คนนี้ให้รัดกุมแล้วหละ”
...