ตอนที่ 42ภีมผมตกใจมากที่หันมาแล้วไม่เจออาตี๋น้อยที่ต้องยืนอยู่ด้วยกัน เพราะความที่ผมมัวแต่คุยเรื่องงานกับหมอวิวเพื่อนร่วมงาน ไม่รู้ว่าตี๋น้อยจะน้อยใจจนงอนหนีไปไหนแล้ว อุตส่าห์ลากอาตี๋ออกมาได้ด้วยแล้วเชียวทั้งๆที่เจ้าตัวไม่อยากมา แต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ที่ต้องให้ธีอยู่คนเดียวกลัวว่าจะไข้ขึ้น ถ้าอยู่ที่นี่ผมยังคอยเทียวขึ้นลงไปดูได้ เพราะเมื่อคืนผมจัดหนักอาตี๋น้อยไปหลายรอบก็อยากมายั่วผมไว้ก่อนเอง
“วิว ผมขอตัวก่อนนะไม่รู้แฟนผมเดินหนีไปไหนแล้ว” ผมส่งยิ้มให้วิวและหมุนตัวเดินออกมา
ทันเห็นว่าเธอตาค้างยืนนิ่งไปเลยหลังฟังผมพูดจบ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าวิวคิดยังไงกับผมการที่เธอเข้ามาคุยแบบสนิทสนมทุกครั้งที่เราเจอกัน หรือแม้แต่เอ่ยชวนไปทานข้าวนอกเวลางานนั่นอีก ครั้งนี้ผมจึงตั้งใจให้เธอได้รู้ว่าผมเป็นอะไรกับตี๋ธีแต่อีกคนดันหนีหายไปซะก่อน ถึงผมไม่มีธีผมก็ไม่คิดจะสานต่อกับวิวอยู่แล้วเพราะผมรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง ยิ่งไม่คิดจะรักจะชอบด้วยจึงไม่คิดจะดึงเธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผม
ผมเดินกึ่งวิ่งตามหาร่างโปร่งของคนรักที่ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว จนเห็นหลังอาตี๋น้อยไวไวว่าเดินออกไปทางหน้าตึกของโรงพยาบาล ธีคงไม่คิดจะหนีผมกลับบ้านใช่มั้ยครับนี่ แววว่าผมจะมีงานเข้าแบบไม่ทันตั้งตัวซะแล้วครับ ผมเกือบเดินถึงตัวอาตี๋น้อยแล้วเชียวจังหวะนั้นเองที่เห็นว่าธีสะดุดขาตัวเองหน้าคะมำ จากระยะนี้ยังไงผมก็ก้าวไปรับตี๋น้อยไม่ทันจนใจตกไปที่ตาตุ่ม แต่ผมก็ต้องโล่งอกเมื่อมีฝรั่งตัวใหญ่รั้งตัวอาตี๋น้อยไว้ได้ทัน
“เฮ้อออ” อดถอนใจไม่ได้เพราะไม่อยากเห็นอาตี๋เจ็บตัวเลยให้ตายสิ แต่ผมโล่งใจอยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกโมโหขึ้นมากรุ่นๆ จะเพราะอะไรล่ะครับก็ไอ้ฝรั่งคนที่รั้งตัวธีไม่ให้หน้าทิ่มนั่นแหละ
ไอ้ฝรั่งขี้นกมันยืนกอดอาตี๋น้อยของผมไว้จากด้านหลังซะแน่นไม่มีทีท่าจะปล่อย แต่ที่สำคัญทำไมธีถึงยอมยืนนิ่งให้มันกอดอยู่ได้ล่ะครับ ขาผมเร็วดังใจคิดก้าวประชิดตัวทั้งคู่และออกแรงกระชากแขนตี๋น้อยให้หลุดจากอ้อมกอดของไอ้ฝรั่งแปลกหน้า ธีร้องตกใจก่อนมองหน้าผมตาโต ผมที่โมโหกรุ่นก็เผลอส่งสายตาดุไม่พอใจไปให้ในความไม่ระวังตัวของอาตี๋ แววตากรุ่นโกรธภายในตาตี่ๆนั้นถูกส่งตรงมาให้ผมทันที ก่อนที่ธีจะปิดตาลงเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ ผมเหลือบมองไอ้ฝรั่งขี้นกแวบหนึ่งก็เห็นมันยังจ้องตี๋น้อยของผมตาไม่กระพริบชักไม่ปกติแล้วสิครับ เมื่อผมหันกลับมามองธีอีกครั้งก็พอดีกับที่อาตี๋น้อยลืมตาสบกับผมเข้า แต่ภายในแววตาที่ผมเห็นนั้นมันกลับว่างเปล่าเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้าสำหรับธี และไม่มีแม้แต่ความโกรธให้ได้เห็น ผมใจหายวาบมืออ่อนจนแขนอาตี๋หลุดจากมือ
“ขอโตดคับ คุนเป็นอะไรหรือป่าว น่าสีดๆ (ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่าหน้าซีดๆ)” เสียงพูดไทยไม่ชัดดังแทรกเข้ามาจนผมต้องหันไปมองเจ้าของเสียงที่แสดงความห่วงใยคนของผมชัดเจน ผมหันกลับมามองหน้าอาตี๋น้อยอีกครั้งเพิ่งสังเกตว่าหน้าขาวซีดเซียวกว่าปกติ นี่ความโกรธมันบังตาผมให้มองข้ามอาการผิดปกติของคนรักได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ
ผมยืนประชิดตัวตี๋น้อยและเอามือแตะหลังเอวไว้ให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ข้างๆเขา แต่กรรมคงตามสนองเพราะตี๋น้อยไม่แม้แต่จะชายตามองผมเพราะมัวแต่คุยกับฝรั่งขี้นกที่ชื่อ ‘ฌอน’ จนผมอยากกระชากเอวธีออกมาแล้วลากเข้าห้องซะตอนนี้ แต่ขืนทำอย่างใจคิดมีหวังเรื่องคงไม่จบง่ายๆ และความอดทนผมก็หมดลงเพราะการแสดงออกนอกหน้าเกินพอดีของไอ้ฌอนว่ามันสนใจคนของผม มันจับมือธีไม่ยอมปล่อยและส่งสายตาพราวถูกใจให้ตี๋น้อยโดยไม่เกรงใจกัน เชื่อเถอะว่ามันต้องรู้ว่าผมกับธีไม่ได้คบกันแค่เพื่อนแต่มันยังกล้าทำต่อหน้าผมที่เป็นเจ้าของ ผมจึงยื่นมือเหนือมือคนทั้งคู่ที่จับกันอยู่ และใช้อีกมือดึงข้อมือตี๋น้อยออกมาก่อนจะโอบเอวธีดึงมายืนเคียงข้างกัน
“ผมภีมเป็นบอยเฟรนด์ของธีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เอาสิครับให้รู้กันไปเลยว่าผมกับตี๋น้อยเราเป็นอะไรกัน ดูสิมันจะมีหน้ามาส่งสายตาเจ้าชู้ใส่ ‘เมีย’ ผมอีกมั้ย
แววตาของไอ้ฌอนมันไม่สะทกสะท้านเมื่อได้สบกับผมแถมยังส่งสายตาท้าทายมาให้อีก ผมกับมันจ้องตากันอย่างที่ไม่มีใครคิดจะหลบและยืนจับมือทักทายตามมารยาท จะเรียกว่าจับก็ไม่ถูกนักเรียกว่าบีบมือกันดีกว่าครับ คิดว่าผมจะยอมแพ้เหรอไม่มีทางผมออกแรงบีบคืนเท่าที่มันส่งมาให้ แต่การฟาดฟันทางสายตาก็ต้องสงบศึกลงเพราะมีพยาบาลมาตามตัวผมด้วยมีคนไข้นัดมารออยู่แล้ว ซึ่งผมก็ยังมีมารยาทพอในการแนะนำโรงพยาบาลก่อนเอ่ยลา ถ้าเจอกันที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่มีหวังเราคงมีเรื่องกันแล้วล่ะครับ ผมหันมาคว้าข้อมืออาตี๋น้อยไว้เมื่อเห็นว่ายังขยันส่งยิ้มหวานให้ไอ้ฝรั่งฌอนอยู่ จนคิดอยากจะอุ้มพ่อตัวดีไปเก็บไว้ซะตอนนี้เลย
“ธีครับไปกับพี่นะครับ” ผมอ้อนอาตี๋น้อยที่ยังคงทำหน้านิ่งให้ผมได้ใจแป้ว อยากให้ธีได้คุยกับผมก่อนไม่อยากให้กลับบ้านทั้งๆที่โกรธผมอยู่กลัวเป็นลูกติดพันงอนยาวไม่ยอมคุยด้วยอีกเลย งานนี้ผมมิใจขาดก่อนเหรอครับเนี่ย
ตี๋น้อยเบือนหลบตาผมเหมือนไม่สนใจยิ่งทำผมใจฝ่อกว่าเดิม ธีแกะมือออกจากมือผมก่อนเดินนำเข้าตึกไปด้วยใบหน้านิ่งเรียบ งานนี้ผมแย่แน่ๆครับเพราะไม่เคยเจออาตี๋เวอร์ชั่นนี้มาก่อนไม่รู้จะรับมือยังไง ผมถนัดแนวที่ธีโมโหโวยวายใส่มากกว่าเพราะถ้าเป็นแบบนั้นแค่จับปิดปากด้วยจูบก็เอาอยู่แล้วครับ
ผมพาธีเข้ามาในห้องพักข้างห้องตรวจ โดยก่อนเข้ามาได้แวะทักทายคนไข้นัดที่รออยู่แล้ว และขอเวลาส่วนตัวสักครู่เพราะผมอยากจะคุยกับอาตี๋น้อยสักนิดก็ยังดี ขอประเมินสถานการณ์เบื้องต้นก่อนจะได้วางแผนได้ถูก อาตี๋ธีเดินนำไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่หน้าโต๊ะทำงานมองตรงมาทางผมเขม็ง ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว ‘นิ่งเกินไป’ จนไม่รู้ว่าธีคิดอะไรอยู่
“ผมมึนหัวอยากนอน” ว่าจบคนร่างโปร่งก็ทำท่าจะล้มลงนอนทันที ผมได้ฟังก็รีบเดินเข้าหากลัวว่าตี๋น้อยจะไข้ขึ้นอย่างที่คิดไว้ แต่พอลองแตะหน้าผากดูก็รู้ว่ายังไม่มีไข้อุณหภูมิร่างกายยังปกติดี
“งั้นธีนอนรอพี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่สั่งข้าวเช้าให้ทานก่อนทานยา” ผมยังพูดไม่ทันจบอาตี๋น้อยก็ชิงปิดตาไปแล้ว เอื้อมมือลูบผมนิ่มไปมาจนผมชักไม่อยากทำงานแล้วสิครับ ผมไม่อยากปล่อยอาตี๋น้อยที่ดูเหมือนจะไม่สบายไว้คนเดียวเลย แต่ต้องตัดใจไปจัดการสั่งอาหารและแวะตรวจคนไข้นัดที่นั่งรออยู่
ผมเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้งเพราะได้รับรายงานมาว่ามีอาหารมาส่งให้แล้วที่ห้องพัก พบธีนอนคิ้วขมวดมุ่นเม้มปากแน่นอยู่สงสัยจะปวดหัวเข้าแล้วมั้งครับเนี่ย
“เป็นไงบ้างครับ ธีปวดหัวรึเปล่า” ผมปัดผมที่หน้าผากขาวออกและถามด้วยเสียงอ่อนโยน ธีลืมตามองผมแวบหนึ่งก่อนปัด
มือผมออกและลุกขึ้นนั่ง เอาล่ะสิครับงานใหญ่กว่าที่คิด ตี๋น้อยมองชามข้าวต้มตรงหน้าก่อนยกช้อนขึ้นมาตักข้าวเข้าปากไม่ยอมพูดอะไรกับผมสักคำ
“ธี” ผมเรียกตี๋น้อยอย่างหมดแรง ใจลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มไม่กล้าแตะตัวอาตี๋น้อยกลัวโดนปัดทิ้งอีก คนที่โดนผมเรียกเพียงแค่ชะงักมือที่กำลังตักข้าวเข้าปากแต่ยังคงไม่หันมามองกัน ผมจึงลองเรียกอีกครั้งคราวนี้อาตี๋น้อยวางช้อนและยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนหันมามองผม
“ยาผมล่ะ” ผมกระวีกระวาดเดินไปหยิบยามาส่งให้ถึงมือและถือโอกาสรวบมืออาตี๋ไว้ ใจจริงอยากจะรวบกอดและคุยกันให้รู้เรื่องว่าอาตี๋น้อยติดใจเรื่องอะไรอยู่ถึงมีอาการแบบนี้
“คุยกับพี่ได้มั้ยครับว่าธีเป็นอะไร พี่ใจไม่ดีหมดแล้วนะครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนให้อาตี๋ยอมใจอ่อนและยอมคุยกับผม
“ผมขอกินยาได้มั้ย” ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลธีบิดมือออกจากมือผม ผมจึงต้องยอมปล่อยเพื่อให้อาตี๋ได้ทานยา ผมจ้องมองทุกการกระทำตั้งแต่มือขาวหย่อนยาเข้าปากตามด้วยน้ำ และอาตี๋น้อยก็ลุกขึ้นยืนสบตาผมตรงๆ ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่รอลุ้นว่าตี๋น้อยจะทำอะไรต่อ
“ผมง่วงไม่อยากนอนตรงนี้มันไม่สบายตัว” พูดจบธีก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องจนผมต้องเอื้อมมือรั้งข้อศอกไว้ ผมยังไม่ทันถามแต่คำตอบที่เหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไรก็ถูกปล่อยออกมา
“ผมจะขึ้นไปนอนข้างบน” ตี๋น้อยพูดกับผมไม่แม้แต่จะหันมามองกัน จนผมเผลอใช้แรงบีบแขนขาวจนเจ้าของแขนเกร็งฝืนแรงไว้
“ธีเป็นอะไรครับ ทำไมทำตัวแบบนี้” ผมกดเสียงต่ำถามในสิ่งที่อยากรู้ไม่อยากให้ธีทำตัวห่างเหินเหมือนว่าไม่มีผมอยู่ในสายตา มันผิดปกติเกินไปจนผมกระวนกระวายใจไปหมดแล้วครับ
“ปล่อยผมก่อน ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะคุย หรือถ้าเฮียอยากคุยตอนนี้ ผมจะไม่มีทางเลือกให้นะเพราะผมตัดสินไว้ให้แล้ว” ฟังแบบนี้ใครจะกล้ารั้งไว้ล่ะครับเพราะผมล่ะหวั่นกับทางเลือกเดียวที่อาตี๋อ้างไว้ จึงได้แต่มองตามหลังอาตี๋น้อยเดินออกไปจากห้อง ผมยอมโดนโวยวายใส่เหมือนเดิมยังดีกว่าเพราะยังหาทางเคลียร์กันได้ แต่นิ่งจนน่ากลัวขนาดนี้ไม่รู้จะจัดการยังไง ขนาดเผลอเสียงดังใส่หวังให้เกรงกันเหมือนทุกทียังไม่ได้ผลเลย
ผมตัดใจกลับมาทำงานต่อแต่ยอมรับว่าไม่มีสมาธิเลย ว่างเป็นเผลอคิดถึงท่าทางเฉยชาของอาตี๋น้อยที่แสดงไว้ทุกที เมื่อพอมีเวลาจึงเดินขึ้นมาดูอาการธีว่าเป็นยังไงบ้าง เจอก็แต่ความเงียบเพราะคนที่คอยส่งเสียงโวยวายหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ผมลูบหัวสัมผัสหน้าผากวัดอุณหภูมิก็ไม่มีไข้อย่างที่นึกกลัว เลยตัดสินใจล้มตัวลงนอนตะแคงข้างมองหน้าคนหลับใหลแต่ไม่กล้าโอบกอดอย่างใจคิดกลัวเป็นการปลุกคนนอนให้ตื่น และต้องเจอเข้ากับสายตาเย็นชาแบบเมื่อเช้าอีก ‘ปวดใจชะมัด’ แต่ผมก็อดใจไม่ไหวแอบสูดกลิ่นแก้มใสเป็นกำลังใจก่อนลงมาทำงานต่อ จนเที่ยงผมก็จัดการเรื่องอาหารให้คนเอาขึ้นไปให้อาตี๋น้อยที่อยู่ข้างบนส่วนตัวเองต้องเข้ามาดูเคสด่วนที่ห้องฉุกเฉิน ออกมาอีกทีก็เกือบบ่ายแล้วป่านนี้อาตี๋คงทานข้าวทานยานอนแล้วมั้งครับ และก็จริงดังคาดสภาพห้องไม่ต่างจากเมื่อสาย ดีที่ตี๋น้อยตื่นมาทานข้าวทานยาแล้วทำให้ผมไม่ต้องเป็นห่วง ข้างจานข้าวที่ยังไม่ได้กินมีกระดาษแผ่นเล็กเขียนด้วยลายมืออาตี๋น้อยสอดไว้
‘ผมแบ่งกับข้าวไว้ให้ไม่ได้กินเหลือนะครับ รีบกินและลงไปทำงาน ส่วนเรื่องของ ‘เรา’ เดี๋ยวค่อยคุยกัน เฮียคงต้องหาคำตอบเตรียมไว้ให้ดีให้ถูกใจผมด้วย ธี’
ข้อความที่ได้อ่านก็ยังทำให้ผมอุ่นใจอยู่บ้างที่ธียังเป็นห่วงผมและเลือกใช้คำว่า ‘เรา’ อยู่ แต่เรื่องคำตอบที่ถูกใจอาตี๋นี่สิทำให้หนักใจ ยังไม่รู้คำถามผมจะเตรียมถูกได้ยังไงกัน ผมตักข้าวเข้าปากไปด้วยและคิดทบทวนว่าเรื่องไหนกันที่ทำให้อาตี๋น้อยมีอาการอย่างที่เป็นอยู่นี้ และผมก็พอเดาออกว่าคงเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้สนใจธีเท่าที่ควรระหว่างที่คุยกับวิว แต่ผมไม่มีเจตนาให้ตี๋น้อยคิดไปไกลแบบนี้นะ ‘ผมพลาดไปแล้วจริงๆ’ ใครจะอยากทำให้คนที่เรารักไม่สบายใจกันครับ
.....................................................
ผมเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จก็รีบขึ้นห้องทันทีเพราะใจที่อยากจะเจอหน้าคนรัก อยากคุยกันให้รู้เรื่องไม่อยากให้ธีไม่สบายใจไปมากกว่านี้ แต่เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาก็ต้องแปลกใจที่เจอธีมานั่งรออยู่แล้วหน้าทีวี ผมไม่รอช้าแต่เดินเข้าหาและนั่งลงข้างกัน
“ธีรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับหายมึนหัวรึยัง” ทอดเสียงอ่อนถามอาตี๋น้อยอย่างเอาใจ งานนี้อะไรก็ยอมล่ะครับขอแค่ได้อาตี๋น้อยคนเดิมกลับมา
“ดีขึ้นมากแล้วครับ คงเพราะได้นอนเต็มอิ่มด้วย” หน้าตาอาตี๋น้อยดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากไม่ซีดเซียวจนน่ากลัวว่าจะล้มพับอยู่ตรงหน้าแล้ว
ผมก็ส่งยิ้มอ้อนไปให้เผื่อว่าอาตี๋จะใจอ่อนรู้อยู่ว่าเขาแพ้รอยยิ้มของผม แต่ดูท่างานนี้จะใช้ไม่ได้ผลเพราะอาตี๋แค่มองหน้าผมนิ่งๆก่อนเบนหลบ เราต่างคนต่างเงียบผมจึงตัดสินใจขยับตัวเข้าหาและส่งมือไปลูบหัวทุยเบาๆ เมื่อเห็นว่าธีไม่มีทีท่าจะปัดป้องก็โล่งใจก่อนจะจับหัวทุยมาซบกับไหล่และลูบผมให้เจ้าของผ่อนคลาย มีเพียงเสียงจากทีวีที่ถูกเปิดไว้เบาๆเท่านั้นที่แสดงให้รู้ว่าห้องนี้ยังมีคนอยู่ ผมจะรอจนกว่าธีพร้อมที่จะพูดกับผมไม่อยากเร่งรัดเดี๋ยวจะพาลอารมณ์เสียก่อนที่จะได้คุย ทั้งๆที่ใจร้อนอยากรีบเคลียร์เพราะอยากได้ลูกแมวขี้โวยวายตัวเดิมกลับมา
“ผมไม่ชอบเลยที่เฮียทำเหมือนว่าผมไม่มีตัวตนทั้งๆที่มีผมยืนอยู่ด้วย” แค่ประโยคแรกที่อาตี๋น้อยเอ่ยออกมาก็รู้แล้วครับว่าที่ผมเดาไว้นั้นไม่ผิดที่ต้องเป็นเรื่องนี้ และผมอยากจะค้านหัวชนฝาซะจริงว่าผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิด อยากจะบอกตี๋น้อยเหลือเกินว่าธีน่ะเป็นคนสำคัญสำหรับผมเสมอและมันจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมทำได้เพียงแค่โอบกอดร่างโปร่งไว้เต็มทั้งทั้งสองแขนและให้อาตี๋ได้ระบายออกมา
“ถ้าจะพาผมมาเจอเหตุการณ์แบบนี้สู้ปล่อยผมนอนอยู่ที่ห้องยังจะดีกว่าซะอีก” เสียงตัดพ้อแบบที่ผมไม่เคยได้ยินยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด จึงก้มจูบกลางกระหม่อมแทนคำขอโทษ
“เฮียรู้ตัวมั้ยว่าชอบส่งสายตาดุใส่ผมประจำ วันอื่นไม่เท่าไหร่แต่วันนี้สิผมมีความผิดอะไรถึงต้องทำกับผมแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น” ข้อนี้ผมก็พอรู้ตัวล่ะครับที่ต้องแกล้งดุกันบ้างก็เพราะความแสบของอาตี๋นี่แหละไม่ทำก็จะปรามกันไม่อยู่
“พี่ขอโทษครับที่ทำให้ธีคิดไปว่าไม่มีตัวตนสำหรับพี่ มันไม่จริงเลย ธีน่ะเป็นคนของหัวใจพี่นะครับพี่จะคิดแบบนั้นได้ยังไง วันนี้พี่พลาดไปที่มัวแต่คุยติดพันกับวิว แต่มันก็เป็นเรื่องงานทั้งนั้นนะครับธีก็น่าจะได้ยินนี่ รู้มั้ยหันมาอีกทีพี่ไม่เจอธีพี่ตกใจแค่ไหนคิดว่าหนีพี่กลับบ้านไปแล้ว” เสียงบ่นพึมพำกับอกให้ได้ยินว่า ‘รู้ทันได้ไงวะ’ ผมต้องกลั้นขำแทบแย่ นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าธีไม่ได้โกรธผมมากเท่าเมื่อเช้าแล้ว
“พี่กะว่าจะแนะนำให้วิวรู้จักกับธีอย่างเป็นทางการแล้วเชียวแต่คนขี้งอนดันหนีไปซะก่อน โอ๊ยยย กัดพี่ทำไมเนี่ยเจ็บนะครับ” ผมก้มกัดปากแดงของคนฤทธิ์เยอะอย่างมันเขี้ยวแต่ก็แค่ให้พอรู้สึกเท่านั้น แต่แรงกัดที่ไหล่ของคนฟันคมที่เอาคืนนี่สิทำเอาเผลอร้องออกมาดังลั่น ‘มันน่านักเชียว’ ผมจึงปะกบมือไว้กับแก้มใสของคนหน้ามุ่ยให้เงยสบตาก่อนพูดต่อ
“เรื่องที่พี่ชอบส่งสายตาดุกับเราน่ะก็เพราะต้องทำให้กลัวกันบ้าง รู้ตัวมั้ยครับว่าธีน่ะดื้อแค่ไหน มีพี่นี่แหละที่เอาเราอยู่คนอื่นเค้าส่ายหน้าหนีหมดแล้ว” อาตี๋น้อยหน้าบึ้งกว่าเดิมพยายามแกะมือผมออกจากหน้าตัวเอง ผมจึงจับส่ายไปมาจนธีเริ่มโวยวายออกมาตามนิสัย
‘นี่แหละที่ผมต้องการลูกแมวขี้โวยวายตัวเดิมของผมกลับมาแล้วครับ’
.....................................................
โปรดติดตามตอนต่อไป >O<
ตอนที่แล้วเฮียภีมโดน FC ตี๋น้อยซะเละเลย แต่ได้รู้กันแล้วเนอะ
ว่าเฮียภีมหวังดีและมีเหตุผลไม่อยากให้ตี๋น้อยอยู่คนเดียว อภัยให้เฮียน้า
ดูสิเฮียน่าสงสารเชียว 555
ส่วนตอนหน้าเรามาดูลูกแมวขี้โวยวายอ้อนใส่เจ้าของกันค่ะ
ว่าจะเจ้าของแบบเฮียภีมจะเคลิ้มแค่ไหน ที่รู้ๆต่อไปเฮียภีมไม่กล้าดุตี๋น้อยอีกเลยล่ะ
+1ให้ทุกเม้นท์เช่นเดิมแล้วนะคะ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ เจอธีภีมอีกทีวันเสาร์นะคะ^^
ปล.วันนี้นำรูป Box Set มาฝากกันค่ะ ใครที่สั่งมาแล้วเปลี่ยนใจอยากได้
ก็ส่งเมลหรือ PM มาบอกกันได้นะคะ ใช้รหัสที่ให้ไปในการเปลี่ยนแปลงการสั่งค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่สนใจการรวมเล่มค่ะ