ตอนที่ 7ภายในห้องพักแพทย์ของนายแพทย์ภีมวัจน์ลูกเจ้าของโรงพยาบาลค่อนข้างหรูหราและเป็นส่วนตัว อยู่ชั้นบนของตึกอำนวยการที่แยกออกจากตึกผู้ป่วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันรวมถึงห้องนอนที่แยกออกเป็นสัดส่วนเพื่อให้เจ้าของห้องได้ใช้พักผ่อนในยามขึ้นเวร ขณะนี้บนโต๊ะหน้าทีวีมีอาหารวางอยู่สามอย่างเตรียมไว้พร้อมสำหรับเจ้าของห้อง
“ธีทานได้มั้ย” เสียงห้าวดังขึ้นเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว
ผมชายตามองอาหารบนโต๊ะที่ไอ้หมอแว่นมันพยักพเยิดให้ดู ผมล่ะงงกับมันจริงๆไม่รู้จะถามทำไมในเมื่อผมไม่ได้มากินข้าวแต่ต้องการมาคุยให้จบเรื่องมากกว่า
“ทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ก่อนนะครับ พี่เพิ่งได้พักเอง” เจ้าของเสียงนุ่มเอ่ยขึ้นยิ้มๆเหมือนรู้ความต้องการของคนที่มาหา
‘มึงพูดอย่างเดียวก็ได้ไอ้หมอหื่น ทำไมมึงต้องมองกูตาเยิ้มขนาดนั้นด้วยวะครับ’ ผมไม่ได้พูดออกไปหรอกครับยังไม่กล้าขนาดนั้น ตาเหลือบมองอาหารตรงหน้ามันก็น่ากินดีแฮะ เอาวะไหนๆก็เที่ยงแล้วกินก่อนแล้วค่อยคุยก็ได้ ผมก็พยักหน้าแกล้งทำหน้าเซ็งๆไปให้ไอ้หมอภีมที่นั่งลงบนโซฟาแล้ว มันก็อมยิ้มมาทางผมและกวักมือเรียกมาให้นั่งข้างกัน แต่เรื่องอะไรจะนั่งตรงนั้นผมไม่ไว้ใจไอ้หมอหื่นหรอกครับจึงเลือกนั่งโซฟาอีกตัวแทน หลังจากตักอาหารเข้าปากผมต้องแอบยิ้มไม่ให้มันเห็นเพราะรสชาติอาหารมันถูกปากมาก จะว่าไปอาหารที่โรงพยาบาลนี้ก็รสชาติดีนะครับไม่เหมือนที่อื่นเลย แสดงว่าผู้บริหารที่นี่วิสัยทัศน์กว้างไกลเพราะยังเห็นถึงความสำคัญในเรื่องเล็กๆแบบนี้ ตอนนี้ผมก็ไม่สนใจเจ้าของห้องแล้วครับในเมื่ออาหารตรงหน้ามันน่าสนใจกว่ากันเยอะ ผมเลยจ้วงเอาๆ ‘อิ่มจังตังค์อยู่ครบ’ คตินี้ยังใช้ได้เสมอสำหรับผม
“ทานเยอะๆนะครับพี่ว่าธีผอมไปหน่อย พี่กอดแล้วไม่เต็มไม้เต็มมือเลย”
“พรวด แค่กๆๆ แค่ก” ผมสำลักทันทีหลังประโยคที่ไอ้หมอเวรมันพูด แสบจมูกแสบคอไปหมดเลยครับ นี่มันล้อผมเล่นใช่มั้ยเนี่ย ไอ้บ้า
“ฮึๆๆ ค่อยๆจิบน้ำนะครับ ดูซิเลอะไปหมดแล้ว” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้หมอภีมมันเข้ามานั่งประชิดตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะมัวแต่ไอสำลักอาหารจากสิ่งที่มันพูด แถมมันยังเอามือมาลูบหลังผมอีกตอนที่ส่งน้ำมาให้ผมจิบ ‘มึงแอบแต๊ะอั๋งกูนี่หว่า’ ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบมือมันออกมาแต่ด้วยอาการแสบจมูกแสบคอทำให้ขยับหนีมือมันลำบาก และสงสัยมันจะยิ่งได้ใจว่าผมไม่ปฏิเสธมีเอาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดปากบริการผมใหญ่เลยครับ แต่น้ำหอมกลิ่นประจำมันนี่หอมดีจังยี่ห้ออะไรเนี่ยอยากจะหาซื้อมาใช้บ้าง
“เฮ้ยยย ออกไปๆ ผมจัดการเองได้” ผมเผลอเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมๆและแววตาแวววาวของไอ้หมอหื่นไปได้ยังไงเนี่ย พอรู้ตัวผมก็ขยับหนีมือมันก่อนย้ายไปนั่งแทนที่มันที่ลุกออกมา
“ฮึๆ ธีกลัวพี่เหรอครับ” ไอ้คนข้างๆมันหัวเราะในคออย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนถามผมออกมายิ้มๆ
“ใคร๊ ใครกลัว ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย กินๆไปเลยผมจะได้รีบพูดธุระจะได้จบๆไปซะที” ผมเริ่มโมโหมันครับเหมือนมันแกล้งผมอยู่ยังไงยังงั้นเลย หรือว่ามันจะอ่านใจผมได้ไอ้หมอนี่มันน่ากลัวกว่าที่คิดนะครับ
ผมสลับจานของผมมาตรงหน้าและตักจ้วงเข้าปาก เหลือบมองมันเป็นพักๆและท่าทางเรียบกริบดั่งคุณชายของอีกคนทำเอาผมหมั่นไส้ เลยประชดด้วยการจ้วงข้าวเข้าปากไม่ยั้งแถมเสียมารยาทสุดๆด้วยการเคี้ยวเสียงดังเอาให้มันกินไม่ลงไปเลยครับ แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากประดับบนหน้าหล่อๆของมันไม่เปลี่ยน แถมยังบริการตักกับข้าวใส่จานผมอีกด้วยครับเอากับมันซิ จนเรากินกันเสร็จมันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงมีเวลาเตรียมคำพูดที่จะพูด เอาแบบชัดเจนเคลียร์กันไปให้มันเลิกตอแยกับผมไปเลยครับ ผมกำลังอยู่ในภวังค์จนไม่ได้ยินว่าอีกคนออกมาจากห้องน้ำและเดินมาประชิดผมจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังข้างหู
“เฮ้ยยย” ผมยกมือปิดหูข้างที่ได้ยินเสียงและรับรู้ว่ามีลมร้อนเป่ารดหูตามมาด้วย ก่อนหันไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ
ภาพที่เห็นคือใบหน้าขาวหล่อของไอ้หมอภีมยื่นมาจนชิดหน้าผม พอสังเกตก็เห็นไรผมเปียกชื้นคงเพราะเจ้าตัวไปล้างหน้ามา กลิ่นโฟมล้างหน้าอ่อนๆลอยเข้าจมูก และหน้ามันก็ใสได้อีกครับจนผมนึกอิจฉาผิวใสๆเนียนๆของมันเลย แต่ทำไมปากมันต้องเลื่อนเข้าใกล้หน้าผมด้วยครับเนี่ย จนผมรู้สึกถึงความนุ่มเย็นที่ริมฝีปากตัวเอง
“เฮ้ยยยย” พอรู้ตัวว่าโดนขโมยจูบผมก็ผลักหน้าหล่อๆของมันออกไป
“เฮ้ยยยย แม่ง” ผมต้องร้องลั่นอีกครั้งเพราะปากแดงๆของมันจูบเต็มฝ่ามือผมที่ใช้ดันหน้ามันออกไป ทำไมมันเนียนขนาดนี้วะครับ คราวนี้ผมชักมือหนีและลุกขึ้นยืนประจันหน้ามันเลย แต่แววตาแพรวพราวที่ผมสบด้วยคู่นี้มันไม่มีร่องรอยว่าเจ้าของมันจะหวั่นเกรงผมสักนิดเลยครับ
เมื่อผมมายืนประจันหน้ากับไอ้หมอภีมผมถึงได้รู้แน่ชัดก็วันนี้ว่า ผมไม่มีทางสู้มันได้เลยครับถ้าผมต้องมีเรื่องกับมัน ก็ทั้งส่วนสูงและขนาดร่างกายผมเทียบมันไม่ได้เลยครับ ผมว่าผมสูงแล้วนะนี่มันเปรตชัดๆ และไอ้หมอบ้ายังคงยิ้มอยู่ได้มันทำเอาผมจี๊ดขึ้นสมอง
“กวนประสาทว่ะ ยิ้มอยู่ได้ แล้วเมื่อกี้มึงจะทำอะไร ฮ้าๆๆๆ” อารมณ์โกรธผสมโมโหไม่ได้ดั่งใจทำเอาผมหลุดคำพูดที่คิดออกไป ไอ้หมอภีมจากยิ้มๆกลายเป็นหน้านิ่งตาดุจ้องเขม็งมาทางผมแล้วครับ ทำเอาผมเริ่มรู้สึกตัวว่าหลุดอะไรไป แต่ผมก็ยังเฉยไม่คิดจะขอโทษมันตอนนี้หรอก
เราจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แววตานิ่งขึงของไอ้หมอบ้ามันวูบไหวเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ในพริบตา ผมที่ได้เห็นยังไม่ทันได้แปลความหมายก็ตั้งตัวไม่ทัน มันคว้าเอวผมและบดจูบลงมาที่ปากผมทันที จนรู้สึกได้เลยว่าปากผมต้องแตกแน่ๆครับเพราะผมได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ
“อื้ออออ อ่อย อู (ปล่อยกู)” เสียงดังอู้อี้จากปากผมกับแรงดิ้นรนไม่ได้หยุดยั้งไอ้หมอภีมให้หยุดจูบได้เลย เหมือนยิ่งดิ้นรนมันยิ่งกดจูบหนักกว่าเดิมและรัดร่างผมแน่นขึ้น
ครั้งนี้ผมไม่ยอมเคลิ้มไปกับมันง่ายๆแน่ จึงพยายามกัดฟันไว้ไม่ให้มันสอดลิ้นเข้ามา แต่แรงบีบที่ก้นอย่างแรงทำเอาผมสะดุ้งและเผลอเปิดปากให้คนฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้ามา มันฉกลิ้นเข้าหาลิ้นผมและดูดกัดเหมือนต้องการลงโทษที่ผมพูดไม่ดีกับมันไว้ ผมก็พยายามดิ้นหนีและหลบหลีกลิ้นที่พันเกี่ยวอยู่ แต่ทำไมมันเชี่ยวแบบนี้ทำเอาผมเริ่มคล้อยตามตอบโต้ดูดดึงลิ้นไอ้บ้ากามมันจนได้ ส่วนมือมันก็ลูบก้นผมสลับกับบีบเบาๆทำเอาผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“อืมมมม” เฮ้ย! นั่นเสียงครางของผมเหรอครับทำไมมันน่าเกลียดแบบนั้น ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวว่าเผลอจูบตอบไอ้หมอหื่นมันเข้าแล้ว จึงพยายามดันหน้ามันออก อ้าวเวร! แล้วมือผมมาโอบรอบคอมันได้ยังไงกันเนี่ย
“ธี” เสียงเรียกชื่อผมจากปากไอ้หมอหื่นทำไมมันช่างออดอ้อนได้ขนาดนี้กัน สายตามันฉ่ำเยิ้มจ้องปากผมไม่กระพริบเหมือนเสียดายที่ต้องผละห่าง ก่อนสายตาคู่นั้นจะจับจ้องมาที่ตาผม
สายตาที่ผมสบด้วยมันสื่ออะไรออกมามากมายแต่ผมไม่อยากแปลความหมายเหล่านั้นเลยครับ จึงก้มหลบและความร้อนที่ไม่รู้มาจากไหนมันลามไปทั้งหน้าและใบหู เฮ้ยยย อย่าบอกนะว่าผมหน้าแดงน่ะ ผมเอามือออกจากคอของมันก่อนพลิกหน้าหาทางหนีทีไล่ ขอผมตั้งหลักก่อนเถอะครับอยากหาที่พักใจไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักขนาดนี้เลยกลัวหัวใจจะวายซะก่อน แต่ก่อนที่ผมจะผลักมันและชิ่งออกจากอ้อมกอดเสียงมันก็ดังขึ้นข้างหู จนผมต้องเบี่ยงหน้าออกและหันกลับไปมองหน้าไอ้หมอหื่นมัน
“ต่อไปให้พูดกับพี่เพราะๆ อย่าขึ้นมึงกูไม่งั้นได้โดนลงโทษแบบเมื่อกี๊อีกแน่” เสียงแผ่วหวานออกแนวขู่เข็ญ สายตาจริงจังทำเอาคนที่มองอดกลัวและเผลอกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“เข้าใจมั้ยครับ หืมมมม” นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยปากแดงช้ำที่มีรอยแตกจากแรงกระแทกบดจูบอย่างเสียดาย
พูดอย่างเดียวก็ได้ทำไมมึงต้องเอานิ้วมาลูบปากกูด้วยวะครับทำเอาขนกูลุกเกรียวอีกแล้ว ผมเอนหน้าหนีมือและอ้อมกอดที่รัดไว้หลวมๆ ครั้งนี้ผมสามารถหลุดจากอ้อมกอดมันมาได้ แต่สายตาที่จ้องเขม็งอย่างรอคอยคำตอบทำเอาผมต้องฮึดฮัดขึ้นมา เพราะถ้าผมยอมรับปากก็เหมือนผมกลัวมันสิครับ แต่ด้วยสายตาและสิ่งที่ไอ้หมอภีมมันทำไปเมื่อครู่ทำเอาผมนึกขยาดไม่อยากโดนมันจูบอีก จึงพยักหน้าให้คำตอบมันไปส่งๆครับ ไอ้บ้าจูบตรงหน้าเปลี่ยนมายิ้มอย่างถูกใจทันที ผมต้องหันหนีรอยยิ้มกว้างไม่อยากเห็นหน้ามันตอนยิ้มเลยครับ ‘อิจฉา’ คนอะไรยิ้มแล้วโคตรหล่อ แต่เหมือนผมลืมอะไรไปนะครับผมลืมอะไรไปเนี่ย โอ้ยยย มึงอย่ายิ้มได้มั้ยเนี่ยกูนึกอะไรไม่ออกแล้ว
“ฮึๆ ธีมาหาพี่ถึงที่นี่มีอะไรจะพูดกับพี่ครับ” เสียงกลั้วหัวเราะในคอมาพร้อมคำถามที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่ผมมาหามันถึงที่ ไอ้หมอขโมยจูบมันเดินไปนั่งที่โซฟาและวางแขนตามความยาวของพนักโซฟา ก่อนเงยหน้าหันมาทางผมเมื่อเห็นผมไม่ตอบ
“มี ผมจะพูดครั้งเดียวเอาให้รู้เรื่องและจบกันตรงนี้เลย ผมไม่ได้ช.....”
Rrrr Rrrr …..
ผมต้องหยุดพูดกะทันหันเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือของคนที่นั่งอยู่ดังขึ้น ไอ้หมอมันกดรับทันทีเมื่อเห็นเบอร์ที่ขึ้นที่หน้าจอ
“ครับ....มีอุบัติเหตุเหรอครับ....ได้ครับเดี๋ยวผมลงไป” คนรับโทรศัพท์คิ้วขมวดยุ่งน้ำเสียงจริงจังขณะพูด ดูท่าทางคงเป็นเรื่องสำคัญคงมีคนโทรตามตัวล่ะมั้งครับเนี่ย ไอ้หมอภีมกดวางก่อนเงยหน้ามามองผมด้วยแววตาขอโทษ
“มีเคสอุบัติเหตุหมู่ครับ พี่ต้องลงไปช่วยข้างล่าง เรื่องของธีเอาไว้ก่อนนะครับ อืม จริงสิ” ไอ้หมอมันพูดพร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปจากห้อง แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้กลับเดินตรงมาทางผม ผมที่ระวังตัวอยู่แล้วกระโดดข้ามโซฟาหนีมันมาอีกด้านเลยครับ มันเหวอไปเลยที่เห็นผมทำแบบนี้ ก่อนจะหลุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา
“ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฮึๆๆ ธีไม่ต้องกลัวพี่ไม่ทำอะไรเราตอนนี้หรอกหน่า เอาโทรศัพท์มาครับ เร็ว ธี” มันหัวเราะไปพูดไปทำเอาผมอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว และจะเอาโทรศัพท์ผมไปทำไมกันพอผมนิ่งเสียงแข็งขึ้นมาเลยครับ ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ทำไมต้องลนลานล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งให้มันด้วย ‘แม่ง ต้องดุกูด้วยวะ’ ไอ้ประโยคนี้ได้แต่คิดครับไม่กล้าพูด พอไอ้ดุมันได้อย่างใจก็ยิ้มและเก็บโทรศัพท์ผมลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนส่งโทรศัพท์ของมันมาให้ผมแทน งงเลยดิครับทีนี้
“เก็บของพี่เอาไว้เดี๋ยวเราคอยติดต่อกัน เอ้า รับเร็ว” มาอีกแล้วครับไอ้ประโยคคำสั่ง ผมละเซ็งก่อนเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ของมันมาถือ และมือมันก็คว้ามือผมดึงเข้าหาตัว ท่าทางเราสองคนจึงดูตลกมากครับเพราะกอดกันโดยมีโซฟากั้นกลางจนเข่าผมต้องยันเบาะโซฟาไว้เพื่อพยุงตัว
“ฟอดดดด / ที่ไม่ทำมากกว่านี้เพราะไม่มีเวลา พี่ติดไว้ก่อนนะครับ ฮึๆๆ” ผมอึ้งค้างอยู่ท่าเดิมมองส่งมันจนประตูห้องปิดลงจึงเพิ่งรู้ตัวว่าผมโดนมันขโมยหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
“โว้ยยยยย ไอ้หมอบ้า ไอ้หื่นเอ้ยยยย” ผมตะโกนก้องหยิบหมอนอิงได้ก็ขว้างตามหลังเจ้าของมันไป
ผมนั่งลงบนโซฟามือกุมขมับทั้งสองข้างดึงทึ้งผมตัวเองไปมา นี่ผมเป็นอะไรกันอยู่ใกล้ไอ้หมอภีมทีไรตามมันไม่ทันทุกที โดนมันหากำไรด้วยตลอด หรือผมจะ ‘แพ้ทาง’ มันกันครับ ไม่ได้การณ์แล้วผมต้องรีบเคลียร์กับมันให้เร็วที่สุดซะแล้วไม่อย่างนั้นผมแย่แน่ๆ ผมเดินออกจากห้องมันทันทีไม่สนใจว่าต้องล็อคห้องด้วยซ้ำยังไงก็ตึกของมันคงไม่มีขโมยหรอกมั้งครับ หรือถ้ามีก็สมน้ำหน้ามันไปให้ขโมยยกเค้ามันให้หมดห้องไปเลย ขาผมก้าวยาวๆตรงไปที่ลิฟต์ตัวที่ขึ้นมาและกดลงไปชั้นล่าง ผมอยู่ในลิฟต์คนเดียวไม่มีใครเลยจึงดูวังเวงแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็เถอะครับ แถมเป็นสถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาลยิ่งน่ากลัว ผมเหลียวมองไปรอบตัวและต้องตกใจสุดขีด
“ว้ากกกกก” ร้องลั่นตะโกนดังคับลิฟต์เลยครับ หัวใจแทบหยุดเต้น
ผมจ้องมองที่กระจกติดผนังลิฟต์อีกที จึงรู้ว่าที่ทำเอาตกใจนั่นมันตัวผมเองครับ เงาสะท้อนในกระจกหมดมาดตี๋อินเทรนด์ไปเลยด้วยสภาพผมยุ่งเหยิง หน้าซีดเซียว คิ้วขมวดเป็นปม ปากแดงก่ำช้ำแตก เสื้อผ้ายับย่น
“มึงๆ มึงคนเดียวเลยยยยย” นึกถึงหน้าไอ้ตัวต้นเหตุยิ่งโมโหครับนี่มันทำให้ผมอยู่ในสภาพแบบนี้เลยเหรอครับเนี่ย
ผมต้องจัดทรงผมใหม่แบบลวกๆจับเสื้อผ้าให้ดูดีเรียบร้อยอีกนิด แต่ที่ปากผมทำอะไรไม่ได้เพราะมันเจ่อแดงและแตกช้ำ ไล้มือตามรูปปากอย่างเผลอไผลและนึกถึงรสจูบที่มันทำให้สภาพปากผมเป็นแบบนี้ ‘ร้อนแรงปนอ่อนหวาน’ หึ้ย! ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมพร่ำเพ้อกับตัวเองจนประตูลิฟต์เปิดออก ผมจึงรู้สึกตัวว่าคิดอะไรไม่เข้าท่าให้ซะแล้ว ดีที่ลิฟต์ตัวนี้ไม่มีคนใช้เลยคงเป็นลิฟต์ส่วนตัวล่ะมั้งครับ จึงทำให้ผมมีเวลาปรับสีหน้าและท่าทางกลับมาปกติให้มากที่สุด ผมเดินออกจากตึกนี้และต้องเข้าไปในส่วนของตัวโรงพยาบาลอีกครั้ง เพราะรถผมจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล แต่สภาพความวุ่นวายภายในโรงพยาบาลต่างกันลิบลับกับตอนขามา เพราะมีคนป่วยถูกเข็นเข้ามาด้วยสภาพเลือดเต็มตัว บางคนนอนนิ่งบางคนร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด พยาบาลและเจ้าหน้าที่วิ่งวุ่นช่วยเหลือกันเต็มที่ ผมพยายามทำตัวลีบๆเดินหนีบๆไม่ไปขวางทางให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยิ่งช้าลง และที่ห้องฉุกเฉินผมก็เห็นร่างสูงในชุดกาวน์เดินไปมาปลายเสื้อกาวน์สะบัดไหวเพราะการเคลื่อนไหวแบบรวดเร็ว จากระยะนี้ที่ไม่ไกลนักผมก็เห็นว่าใบหน้าที่มักมีแต่รอยยิ้มให้ผมกลับเคร่งขรึมจริงจัง มือใหญ่ที่เคยกอดผมไว้ทั้งตัวก็วุ่นวายทำแผลให้คนป่วยที่นอนอยู่อย่างขะมักเขม้น สายตาภายใต้แว่นแน่วแน่ไม่เคลื่อนออกจากสิ่งที่กำลังจับจ้อง และอยู่ๆสายตาคู่นั้นก็เงยขึ้นสบตากับผม
“ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก”
เสียงหัวใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ สายตาผมกับมันจ้องกันอยู่พักหนึ่งก่อนไอ้หมอบ้านั่นจะส่งยิ้มตรงมาให้ผม และก้มหน้าทำสิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อไป ผมรีบเดินหนีภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่ในอก จนผมต้องยกมือกุมมันไว้
“เฮ้ยยย กูเป็นอะไรวะ เป็นโรคหัวใจรึเปล่าเนี่ย”
ผมต้องเป็นโรคหัวใจหรือไม่ก็เพราะกลัวภาพผู้ป่วยที่เลือดท่วมตัวนอนเต็มโรงพยาบาลอยู่แน่ๆเลยครับ ไม่งั้นไอ้หัวใจในอกเนี่ยมันไม่เต้นแรงผิดปกติแบบนี้หรอกครับ ใช่มั้ย!?
....................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
มีแต่คนลุ้นให้ตี๋น้อยโดนเฮียภีมจับกิน ตอนนี้ก็เกือบโดนแล้วค่ะ
ดีที่เฮียภีมงานเข้าซะก่อนไม่งั้นตี๋ธีไม่รอดแน่ เพราะเคลิ้มไปกับจูบ
ของหมอภีมซะขนาดนั้นนี่เนอะ แต่ถ้าใครเชียร์ภีมไว้บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง
เพราะเฮียแกเตรียมพิชิตตี๋น้อยไว้แล้ว สัญญาว่าไม่นาน 555
ขอให้เฮียภีมได้หว่านเสน่ห์ใส่อาตี๋อีกนิด พอถึงเวลานั้นตี๋แสบจะได้ไม่พยศมาก
ตอนหน้ามาดูเฮียภีมโปรยเสน่ห์ใส่อาตี๋กันค่ะ ฮุๆๆ
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วนะคะ เจอธีภีมตอนต่อไปในวันศุกร์ค่ะ^^
รวบ และ
ทุกการติดตามค่ะ