(ต่อ)
ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรอเขาหรือเปล่า? แต่ในเมื่อเขาเป็นเจ้านาย(คนจ่ายตังค์จ้าง) เขายังไม่กลับมานอน.. มันคงดูไม่ค่อยเหมาะหากผมจะหลับฝันดีล่วงหน้าเขาไปก่อน ..อีกอย่างเราก็ใช้ห้องเดียวกันด้วยนี่นะ..
แต่ปัญหาคือ.. เขาจะกลับมาหรือเปล่า?
เขาออกจากบ้านตอนราวๆ สามทุ่ม โดยไม่ได้สั่งอะไรไว้เป็นพิเศษ ส่วนตัวผมเองก็ลืมถามไปเสียสนิทใจ ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี?
“..........” ผมแหงนมองนาฬิกาติดผนัง พบว่าอีกห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว ..กว่าปาร์ตี้จะเลิกก็น่าจะอีกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ..เขาจะไปต่อที่ไหนหรือเปล่านะ?
แต่ถ้าจะไม่กลับมาก็ไม่แปลกหรอก.. ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกผมว่า ‘ขาดเซ็กส์’ นี่นะ ถ้าจะใช้โอกาสนี้ตามสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมาก็เป็นเรื่องธรรมดา ..แต่..ผมควรจะอยู่รอหรือเปล่าล่ะ?
“...ฮ้าวววว” ผมเปิดปากหาวตามคำอุทรของร่างกาย รู้สึกถึงหนังตาที่มีน้ำหนักมากขึ้นทุกขณะ คิดว่าถ้ายังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแบบนี้คงได้หลับคาแม็คบุ๊คนี่ล่ะ ก็เลยตัดสินใจปิดมันแล้วลงจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเผื่อว่าจะมีอะไรให้ทำ
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?” ผมเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องทำงานของลุงพ่อบ้าน(อยู่ถัดจากห้องครัว) เพราะเห็นว่าไฟยังเปิดอยู่ก็เลยเดินมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ..ห้องส่วนใหญ่ในบ้านหลังนี้ปิดไฟเงียบไปหมดแล้ว เหลือเพียงไฟตามทางเดินและในสวนเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่
“อ้าว.. คุณยูริ?” ลุงฮัดสันที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่เหนือสมุดเล่มหนึ่งเงยขึ้นมามองผมอย่างประหลาดใจ
“ผมกำลังทำสรุปบัญชีรายจ่ายของเดือนที่ผ่านมาน่ะ ..คุณยังไม่นอนหรือครับ? มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”“ผมก็ว่าจะมาถามแบบนั้นกับคุณพ่อบ้านอยู่เหมือนกัน ..พอดีผมกำลังรอคุณซอลฟาน่ะ แต่ถ้ารออยู่บนห้องผมต้องหลับก่อนเขากลับมาแน่ๆ เลยลงมาดูข้างล่างเผื่อว่าคุณจะมีอะไรให้ผมช่วย”
“อืม.. ไม่มีหรอกครับ นี่มันเวลาพักผ่อนแล้ว” ลุงพ่อบ้านยิ้มอย่างมีเมตตา
“คุณซอลฟาบอกเอาไว้หรือเปล่าว่าเขาจะกลับมาตอนไหน?”ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ลุงแกเลยพูดต่อ
“งั้นผมว่าคุณกลับขึ้นไปนอนเถอะครับ ส่วนใหญ่ถ้าไม่บอกเอาไว้ว่าจะกลับดึก เขาก็จะกลับมาตอนเช้าทีเดียวเลยน่ะ” “งั้นหรอกเหรอ..” ผมพึมพำพยักหน้ารับรู้ คุยกับพ่อบ้านอีกสองสามคำก็ขอตัวกลับ
แต่เดินออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าวเสียงโทรศัพท์ในห้องพ่อบ้านก็ดังขึ้น แค่กริ๊งเดียวก็เงียบไป ถัดจากนั้นอีกไม่เกินอึดใจลุงพ่อบ้านก็เดินออกมาจากจากห้องทำงานของตัวเอง พอเห็นว่าผมยังยืนอยู่แถวนั้นลุงแกก็ชะงักนิดนึง พยักหน้าให้เล็กน้อยคล้ายกับจะขอตัวแล้วเดินแซงออกไปทางหน้าบ้าน ..ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็เลยยังรีๆ รอๆ อยู่แถวหน้าบันได ไม่รีบร้อนเดินกลับขึ้นไปชั้นบน เลยได้ยินเสียงรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้า เสียงคนคุยตอบโต้กันสองสามคำ ..ก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะเดินเข้าบ้านมา
ซันชายน์นั่นเอง.. จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้เห็นหน้าหมอนี่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่นา จำได้ว่าเจอครั้งสุดท้ายคือตอนมื้อเที่ยงของเมื่อวาน จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย ..ส่วนพี่ชายฝาแฝดของหมอนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะผมเห็นมันครั้งสุดท้ายตั้งแต่มื้อเช้าของเมื่อวาน
ซันชายน์ชะงักเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยืนอยู่บนบันไดขั้นแรก ..วันนี้หมอนั่นแต่งตัวด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับทุกที แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าแปลกตาไปก็คงจะเป็นเคสใส่กีตาร์ที่สะพายอยู่บนบ่านั่นล่ะ
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” หมอนั่นถามผมโดยไม่ได้หยุดเดิน
“อือ.. รอพี่ชายนายนั่นแหล่ะ” ผมตอบพลางก้าวตาขึ้นบันไดมา
“ซิน...ไม่..ซอลลี่สินะ” อีกฝ่ายพึมพำคล้ายพูดคนเดียว “อาฟเตอร์ปาร์ตี้อีกล่ะสิ”
“อือ.. นายไปเล่นดนตรีมาเหรอ?” ผมถามด้วยความสนใจ “เป็นนักดนตรีหรอกเหรอ?”
“แค่ทำเป็นงานอดิเรกน่ะ..” ซันเหลือบมองเคสกีตาร์บนบ่าของตัวเองก่อนพูดต่อ “แต่กีตาร์นี่ของซิน เรามีหน้าที่ร้องอย่างเดียว”
“แล้วซินไปไหนล่ะ? ไม่เห็นกลับมาพร้อมกัน?”
“พวกสาวๆ ชวนไปต่อน่ะ ..พอดีเราเหนื่อยๆ ก็เลยกลับมาก่อน ..แล้วซอลลี่จะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?”
“ไม่รู้ ไม่ได้บอกไว้”
“ถ้าไม่ได้บอกไว้ก็ไม่ต้องรอหรอก หมอนั่นคงกลับเช้าโน่นล่ะ” ซันพูดเหมือนที่พ่อบ้านพูดเป๊ะ หมอนั่นเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูห้องตัวเองซึ่งอยู่ก่อนถึงห้องคุณซอลสองห้อง หันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่ง ก่อนเปิดเข้าไป “ราตรีสวัสดิ์”
แล้วหมอนั่นก็ปิดห้องตัวเองทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตอบอะไรสักคำ ..อะไรกัน? คนเขาอยากคุยด้วยสักหน่อย ยังไม่ทันถามเลยว่าไปเล่นดนตรีแถวไหน? ..อืม ไม่คิดว่าแฝดจะมีงานอดิเรกเป็นนักดนตรีนะเนี่ย เท่ห์ชะมัดเลยแฮะ ..ว่าแต่เล่นเพลงแนวไหนกันนะ? ถ้าดูจากการแต่งตัวของซันชายน์ก็น่าจะเป็นแนวร็อค ..แต่ถ้าดูซินเซียร์ก็ต้องเป็นแนวฮิพฮอพ แต่ใช้กีตาร์โปร่งก็น่าจะเป็นอะคูสติคหรือเปล่า? ..อะคูสติคร็อค ..อะคูสติคฮิพฮอพ..?..เอิ่ม..อันนี้ไม่น่าจะมีนะ หรือจะเป็นอะคูสติคป๊อป แจ๊ส ..ฮื่อ ไว้ค่อยถามวันหลังแล้วกัน
แต่ท่าทางมันไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมเท่าไหร่เลยแฮะ ..หรือจะแค่เหนื่อยอย่างที่บอก? ..หรือจริงๆ แล้วหน้าตาผมมันไม่น่าคบ? ...ปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ? ...อืม เอาไงดี? เอาของกินมาล่อจะได้เรื่องไหมเนี่ย? ...อ่า นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่? ลอนดอนมันหาเพื่อนยากขนาดนั้นเลยเรอะ?
แต่ก็นะ อายุเท่ากันแท้ๆ น่าจะผูกมิตรกันเอาไว้..
“...เฮ้อ~” ถอนหายใจได้ยังไม่ทันสุดปอดก็มีเสียงรถอีกคันแล่นมาจอดหน้าบ้าน “หือ?”
คราวนี้ผมคิดว่าอาจจะเป็นคุณซอล ก็เลยตัดสินใจเดินลงบันไดกลับลงมาชั้นล่างอีกรอบ ..แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด คุณซอลเดินเซนิดๆ เข้ามา
“คุณหัวลูกชิ้น~” เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าผม
“ผมชื่อ ยู” ผมรีบเข้าไปจับเขาเอาไว้ ด้วยกลัวว่าจะล้มหัวฟาดพื้นพิกลพิการก่อนวัยอันควร “คุณกลับมายังไงเนี่ย? คงไม่ได้ขับรถมาเองทั้งสภาพแบบนี้หรอกนะ?”
เขายกมือห้ามเป็นเชิงว่าไม่ต้องพยุง เขายังเดินเองได้ ..แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ ใครอีกคนที่เดินตามเขามาก็ส่งเสียงร้องทักผมก่อน
“ไง ยูริ” หันมองตามเสียงก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนคมเข้ม ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี และมีขนหน้าอก..เอ่อ..คือเขาใส่เสื้อเชิ้ต แต่ปลดกระดุมลงมาตั้งสามเม็ดแน่ะ ต่อให้ไม่ตั้งใจมอง ขนมันก็แย่งกันแยงลูกตาอยู่ดี ..จริงๆ นะ
“เด็ฟป์..” ผมเอ่ยชื่อผู้ชายที่พึ่งเจอกันเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา
“ดีใจจังที่จำกันได้..” เขายิ้มจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่ แล้วชี้นิ้วโป้งไปทางคนผมสีบลอนด์ที่ยืนหน้ามึนๆ อยู่
“พอดีหมอนี่ดื่มหนักไปหน่อย ก็เลยต้องลำบากให้ฉันขับรถมาส่งอย่างที่เห็น”“ก็บอกแล้วว่าถ้าลำบากนักก็ไม่ต้องมา..” คุณซอลพูดด้วยท่าทางเอาแต่ใจอย่างที่ผมเพิ่งจะเคยเห็น ..อืม สีหน้าแบบนี้ก็ทำเป็นด้วยแฮะ
“โอ้.. มาย สวีท ซอล นายพูดแบบนี้กับชายผู้ใจดีที่สุดในลอนดอนได้ยังไง?” เด็ฟป์หยอกล้อกลับอย่างคนอารมณ์ดี
มาย สวีท ซอล...?
คุณซอลเบ้ปากไม่เห็นด้วย
“คืนนี้นายเอารถผมกลับไปแล้วกัน”“ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจเอามาคืน เดี๋ยวฉันไปแท็กซี่ดีกว่า ให้พ่อบ้านนายโทรตามให้แล้ว” เด็ฟป์ส่ายหน้าพลางยื่นกุญแจรถคืนให้เจ้าของ จังหวะนั้นลุงพ่อบ้านก็เดินมาบอกว่าแท็กซี่มาแล้วพอดี
“งั้นฉันไปล่ะ ป่านนี้สาวๆ ในปาร์ตี้รอพี่เด็ฟป์กันแย่แล้ว ..แล้วเจอกันใหม่นะ ยูริ”ผมโบกมือบ๊ายบายตอบ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ผลุบหายออกไปจากประตูบ้าน พ่อบ้านเดินมารับกุญแจรถจากคุณซอลเพื่อเอารถไปไว้ยังที่เก็บ
“ผมนึกว่าคืนนี้คุณจะไม่กลับมาซะแล้ว” ผมพูดขณะเดินตามเขาขึ้นบันได เห็นเขาโงนไปเงนมาเลยอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าเดินเองได้ก็เถอะ “ระวังหน่อยสิคุณ ..ท่าทางจะดื่มมาเยอะเลยล่ะสิ”
“อืม.. เดี๋ยวคนนั้นยื่นให้คนนี้ยื่นให้ ..เลยจำไม่ได้ว่าดื่มไปกี่แก้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งกว่าว่าปกติ สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ “นายรอผมอยู่เหรอ?”
“อือ.. แต่ว่าจะไปนอนแล้ว เพราะคิดว่าคุณคงจะไม่กลับ ..ปกติเป็นแบบนี้บ่อยเหรอ? ที่ดื่มเยอะแบบนี้น่ะ?”
“ก็..ไม่บ่อยเท่าไหร่ แค่วันนี้ผมอารมณ์ดีไปหน่อย ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธคนที่ยื่นมาให้” เขาหันมายิ้มกว้างบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีจริงๆ “ทำไมนายถึงคิดว่าผมจะไม่กลับมาล่ะ?”
“เพราะคุณไม่ได้บอกว่าจะกลับ.. คุณพ่อบ้านบอกผมว่าถ้าคุณไม่ได้บอกว่าจะกลับดึก นั่นแปลว่าคุณจะกลับเช้า ..ซันชายน์ก็ว่าแบบนั้น”
“งั้นเหรอ..” เขาทำหน้านึก “ก็จริงล่ะนะ ..แต่นอนก็ยังอุตส่าห์อยู่รอจนถึงตอนนี้?”
“เพราะผมไม่รู้หรอก.. ไม่งั้นนอนไปตั้งแต่สองทุ้มแล้ว” ผมเดินตามเขาเข้ามาในห้อง แล้วหันไปปิดประตู ..พอหันมาอีกทีก็แทบผงะเมื่อเจอใบหน้าสวยๆ ของเขาในระยะประชิด
“แหม.. จะตอบว่า ‘ใช่’ ให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้” คุณซอลยังยิ้มอยู่ เขาเท้ามือกับประตู ใกล้หูทั้งสองข้างของผม ตอนนี้ผมเลยขยับตัวไปไหนไม่ได้โดยปริยาย “รู้ไหมว่าทำไมวันนี้ผมถึงอารมณ์ดี?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง..” ผมตอบพลางมองติ่งหูของเขา แทนที่จะเป็นตาของเขา ..ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ประกายบางอย่างในแววตาสีน้ำเงินอมเทาของเขามันทำให้ผมชักไม่แน่ใจ ...ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะไม่หวั่นไหวหากมองสบไปตรงๆ
“ไม่รู้หรอกเหรอ..” เขาลากเสียงเหมือนกำลังคุยเล่นอยู่กับเด็กเล็ก ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นบุหรี่จากลมหายใจของเขา ..แต่นอกเหนือจากนั้น ผมยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของบางอย่างจากตัวเขาด้วย ..อะไรกันนะ น้ำหอมงั้นเหรอ?
“งั้นเอาใหม่ ถามใหม่.. นายรู้ไหมว่าทำไมวันนี้ผมถึงกลับมา? ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะกลับ มีตั้งหลายคนที่เอ่ยปากขอร้องให้ผมไปต่อกับเขา ..แต่ผมปฏิเสธทั้งหมด”
“ผมจะไปรู้กับคุณได้ยังไง” ผมยังยืนยันคำตอบเดิม
“ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก กลิ่นบุหรี่กลิ่นเหล้าเลยยิ่งชัดขึ้นอีก ..รวมทั้งกลิ่นหอมปริศนานั่นด้วย
“คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?”
“บางครั้ง.. อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ” เขาไม่ยอมหลงกลผมง่ายๆ ผมเลยต้องปิดปากเงียบ เพราะเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ตัวเองทำพลาดไป พอเห็นว่าผมไม่ยอมพูด เขาก็เลยดึงมือข้างที่ถือไอโฟนอยู่กลับไปเลื่อนยิกๆ ครู่เดียวก็หันหน้าจอมาให้ผมดู
“หนึ่งมิสคอล.. กับเจ้านี่..”
...คืนนี้กลับกี่โมงครับ...ถัดจากข้อความแรกเป็นข้อความที่สอง ..แน่นอนว่าจากเบอร์เดียวกัน
...ผมง่วงแล้วนะ คุณจะกลับมาหรือเปล่า?... “หึหึ..” เสียงเจ้าของโทรศัพท์หัวเราะอย่างผู้ชนะ
ในขณะที่เจ้าของข้อความอย่างผมอยากจะแทรกตัวหนีไปทางรูกุญแจ ..ไม่น่าเลย ไอ้ยู ..ไม่น่าเลย ต้องเป็นเพราะตอนนั้นง่วงมากแน่ๆ สติสตังไม่เต็มร้อย ถึงได้พิมพ์ข้อความพิลึกๆ นั่นส่งไปน่ะ ..ให้ตายสิ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ทำแบบนั้นจริงๆ สาบาน ..ไม่สิ ผมไม่น่ารับไอโฟนมาจากเขาตั้งแต่แรกเลยต่างหาก พอมีแล้วมันก็ต้องหาเรื่องใช้แบบนี้ไง ..ไม่น่าเลย ไอ้ยูเอ๋ย
“คุณก็เห็นข้อความแล้วนี่.. ก็น่าจะตอบสักหน่อยว่าจะกลับหรือไม่กลับ ..ผมจะได้ไม่ต้องถ่างตารอ ..ง่วงจะตาย” เสียงผมเบาหวิวจนตัวเองยังฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“โทษที ผมมัวแต่ดีใจไปหน่อย” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพยายามจะจ้องตากับผมให้ได้ ..แต่ไม่มีทางซะหรอก ผมขอที่เงียบๆ ไปอับอายอยู่คนเดียวสักสองนาทีได้ไหมเนี่ย? ฮื่อ..
“นานมากแล้วที่ไม่มีใครโทรตาม.. หรือข้อความหาผมด้วยเรื่องแบบนี้”
“...........”
“ยู..” ความตั้งใจของผมมีอันต้องสะดุดลงเมื่อหูดันไปได้ยินเสียงเรียกชื่อครั้งแรกจากปากเขา ..ผมเผลอมองสบตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ...แล้วมันก็สายเกินไปที่ผมจะหลบตาเขาได้อีกครั้ง
“............” ผมถูกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาสีน้ำเงินอมเทาคู่นั้น ใบหน้าของเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา.. ใกล้เข้ามา.. ผมมองเห็นภาพตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นภาพสโลโมชั่น ทั้งที่เขาเท้าสองแขนไว้กับบานประตู ไม่มีส่วนไหนสัมผัสกับร่างกายของผม แต่ผมกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้ ..จนกระทั่งปล่อยให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน
“............” แม้ภาพที่ผมเห็นมันจะใกล้เสียจนเบลอไปหมด แต่ผมก็ยังพอมองออกว่าคนตรงหน้ากำลังหลับ ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยกำลังสั่นน้อยๆ ..หัวคิ้วของเขาขมวดจางๆ ก่อนที่เปลือกตาคู่นั้นจะเปิดขึ้นอีกครั้ง
“เวลาแบบนี้..” คุณซอลพึมพำกระซิบชิดริมฝีปากของผม “..นายควรจะปิดตา แล้วเปิดปากออกสิ”
ผมควรจะหลบฉากออกมา ..ผมมีสิทธิ์นั้น และอยู่ในภาวะที่สามารถกระทำได้
แม้จะพร่ำบอกตัวเองแบบนั้น..
แต่สิ่งที่ผมทำจริงๆ ก็คือ..
ปิดตา และ เปิดปาก ...อย่างที่เขาบอก
TBC. 
ส่วนคำถามจากตอนที่แล้ว.. ยังไม่รู้ก็ช่างมันก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวถึงเวลามันก็คงโผล่มาเองแหล่ะ ..เนาะ :-P