52
หวาดกลัว
[เอก...]
ღ
ผมนั่งยิ้ม จ้องมองโทรศัพท์ที่ตัวเองเพิ่งกดตัดสายไป ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวาน กายดูจะออดอ้อนผมมากขึ้น ผมไม่ได้พูดเล่น ถ้าขืนมันอ้อนผมมากไปกว่านี้ ผมจะรีบทิ้งงาน แล้ววิ่งไปหามันทันที
“พูดอะไรไม่คิดบ้างเลย” ผมพูดกับมือถือเบา ๆ
“ดูท่าคนนี้จะเป็นตัวจริงซะแล้ว”
ผมสะดุ้งเงยหน้ามองคนที่กำลังเปิดประตูหน้าห้องออกกว้างและก้าวเข้ามาภายใน
“พ่อ” ผมทำท่าอึดอัด
คือ..
ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็อยากจะยอมรับ
“กาย”
พ่อพูดสั้น ๆ วางแฟ้มงานที่ถือติดมือมาด้วยไว้บนโต๊ะ ผมจ้องมองคนสูงวัยตรงหน้าด้วยความตระหนก
พ่อหัวเราะหึ ๆ
“พ่อไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้”
ผมกรอกตาไปมาราวกับจะหาทางออกให้กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น
“ผม…”
พ่อเดินเข้ามาตบหลังผมเบา ๆ
“ทำงานได้แล้ว รีบไม่ใช่รึไง เออเนอะ ว่าที่ประธานบริษัทมีอาชีพเสริมเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟ”
พ่อพูดติดตลก หันหลังกำลังจะเดินจากไป
“พ่อ!” ผมเรียก
พ่อเบรกเท้าตัวเองลงกึก หันมามอง
“แล้ว...เอ่อ...เรื่องผมกับกาย…”
ผมไม่รู้จะพูดกับพ่อยังไงดีเหมือนกัน
“พ่อไม่เคยบังคับให้แกทำอะไรนะเอก ถ้าพ่อบังคับแกได้ แกคงได้หมั้นกับอ้อยไปนานแล้วล่ะ”
พ่อทิ้งท้ายไว้แค่นั้น หันหลังก้าวเดินจากไป
พ่อไม่ได้พูดยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทิ้งแผ่นหลังไว้กับพนักเก้าอี้ คิดถึงดวงหน้าเคลือบอารมณ์ของไอ้ตัวเล็กมัน
“เอ้าไอ้เอก คิดถึงมากก็รีบปั่นงานสิวะ จะได้ไปหาเร็ว ๆ”
ผมบอกตัวเอง คว้าหยิบแฟ้มงานมานั่งอ่านต่อ ต้องทำงานให้เร็วและมีคุณภาพมากที่สุด เพราะผมทำงานได้ดีมาตลอดแบบนี้แหละ พ่อถึงได้ไม่ค่อยจะมาบังคับอะไรเท่าไหร่
มีกรอบให้ แต่ไม่เคยจำกัดอิสระให้เดิน
ผมรีบปั่นงานให้เร็วที่สุด โดยมีใบหน้าของใครบางคนเป็นตัวช่วย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบา ๆ ผมเอื้อมหยิบมากดรับ
“พี่เอก!”
เป็นเสียงของคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
“ว่าไง”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว รู้สึกแปลก ๆ แฮะ เหมือนมีเรื่องร้อนใจยังไงบอกไม่ถูก
“รีบมาเร็ว ๆ นะฮะ” ผมนั่งนิ่ง “รีบมาเร็ว ๆ นะ”
มันย้ำแค่นั้น แล้วกดตัดสายไป ผมเคยบอกมันแล้วว่าอย่ามาอ้อนผมอีก แต่มันก็ยังทำ ผมรีบวางกระดาษและปากกาทิ้งไว้บนโต๊ะ วิ่งออกนอกห้องตรงไปยังห้องทำงานของพ่อทันที
“พ่อ!!”
ผมเรียกอย่างร้อนรน พ่อเงยหน้ามอง
“ผมขอทำตัวเกเรสักวันจะได้ไหม หัวใจกำลังเรียกหาผมอยู่”
ผมบอกแค่นั้น
พ่อเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจกับภาษาลิเกที่ผมใช้
“แล้วผมสัญญาจะกลับมาเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนี้แน่นอน”
ผมให้คำมั่น พ่อพยักหน้า ผมรีบหันกลับไปยังหน้าประตู ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขอบประตู เสียงพ่อก็เบรกเอาไว้ก่อน
"ถ้าไงก็อย่าลืมพาหัวใจแกไปค้างที่บ้านบ้างนะ แม่แกคิดถึง”
ผมมองหน้าพ่ออึ้ง ๆ ก่อนยิ้ม แล้วรีบก้าวเท้าเดินจากมา
ผมขับรถราวกับเหาะ วันนี้วันเสาร์ไม่กลัวตำรวจโบก เพราะสิ่งสำคัญคือใครบางคนที่กำลังรอผมอยู่
ไม่เคยสักครั้งที่กายจะอ้อนผมแบบนี้ ผมไม่รู้ว่ามันอ้อนผมด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่เหมือนมีบางอย่าง ที่ทำให้ไอ้ตัวเล็กของผมรู้สึกไม่สบายใจ และผมก็ต้องไปหา ไปปลอบใจ ไปอยู่เคียงข้างมัน
ผมไปถึงร้านในเวลาอันรวดเร็ว ผมก้าวลงจากรถ กวาดตามองหา วันนี้ร้านดูคึกคักไม่ต่างกับวันที่ผมเคยมา ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนถึงบางอ้อ เมื่อเห็นไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐ เดินเสิร์ฟกาแฟกันอยู่
นี่ตกลงร้านนี้มันยังไงกัน เอาคนอื่นมาเป็นพนักงานเสิร์ฟกันเป็นว่าเล่น
ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมมา ผมแค่ต้องการเจอกายเท่านั้น ผมกดเมสเสจ เพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมมาถึงแล้ว และรอมันอยู่ที่ไหน พอกดส่งเสร็จ ผมก็ยืนรอมันอยู่ที่ลานจอดรถนั่นแหละ อยากเห็นมันก่อน เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ
รอไม่นาน ผมก็เห็นมันเดินออกมา ในสภาพร้อนรน ผิดวิสัยที่ควรจะเป็นสุด ๆ
“กาย!!”
ผมตาโต จ้องคนที่เดินเข้ามาคล้องคอผมไว้ แล้วโน้มหน้าผมลงไปกดจูบ
“อื้อ!!”
ผมท้วง พยายามขืนหน้าออก แต่มันยังกดหัวผมแน่น(ชักเข้าใจความรู้สึกตอนผมบังคับจูบมันซะแล้ว)อยากถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่มันรู้หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันรีบเปิดประตูรถด้านหลังออก แล้วดันผมให้ลงไปนั่งที่เบาะท้าย ปากก็ยังประกบจูบอยู่ มันจูบไม่เก่ง แต่ก็ยังเพียรจูบผมอยู่อย่างนั้น มันพยายามนั่งคร่อมบนตักผม โอบสองมือไว้ที่ใบหน้า บดเบียดร่างกายเข้าหาผม
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ยังดีที่รถผมติดฟิล์มดำ เลยไม่ห่วงว่าใครจะมาเห็น
แต่แอบแปลกใจกับท่าทีของมันครับ
ถึงจะแปลกใจ แต่เครื่องผมมันก็ร้อนเร็วกว่าที่คิด จากแรกที่ผมขัดขืน ก็หยุดลง ผมเลื่อนมือขึ้นไปจับใบหน้าด้านข้างของมัน แล้วโหมจูบมันกลับ ซ้ำยังเพิ่มความรุนแรงเข้าไปอีก มืออีกข้างก็อยู่ไม่สุข จับแก้มก้นมันไว้แล้วบีบเบา ๆ
ผมอยากทำอะไรมากไปกว่านี้ แต่ที่นี่คงไม่เหมาะ สักพัก มันก็ถอนริมฝีปากออก
“พี่เอก”
มันกอดคอผมแน่น
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมถาม มันส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรฮะ แค่คิดถึงพี่เท่านั้นเอง”
แค่คิดถึงผมเนี่ยนะ ถึงได้ทำตัวน่ารักขนาดนี้
“อยากทำงานต่อ หรืออยากไปต่อ”
ผมถามเพราะน้องผมมันบวมเป่งไปหมดแล้ว
“อยากไปต่อ แต่ต้องทำงานก่อน”
เป็นทางเลือกที่ขัดใจมาก
“แต่ของพี่ไม่ไหวแล้วนะ กายทำให้พี่เป็นแบบนี้”
ผมชี้ไปที่น้องชายดูม ๆ ด้านล่าง มันหน้าแดงก่ำ ช้อนตามองผมหน่อย ๆ ก่อนจะก้มลงไปทำอะไรบางอย่างกับน้องผม
ตอนนี้มันกำลังใช้ปากกับน้องผมอยู่ครับ ยังไม่ชำนาญ แต่รสชาติสุดยอด ผมนั่งมองภาพตรงหน้าไปเรื่อย ๆ
ผมชักอยากให้มันอ้อนผมทุกวันซะแล้วสิ รู้สึกดีพิลึก
ใช้เวลาไม่นานผมก็ปลดปล่อย อยากทำให้มันด้วย แต่มันไม่ยอม บอกออกมานานแล้ว เลยหยุดเอาไว้แค่ของผมเพียงคนเดียว
และตอนนี้ผมก็มาอยู่ในชุดทำงานเหมือนพวกน้อง ๆ แล้ว พวกมันแซวกันใหญ่ว่าผมหนีงานมา ผมไม่ได้หนีครับ แค่เลื่อนเวลาทำงานออกไปอีกเท่านั้น
ตอนนี้พวกเราเลยกลายเป็นเป้าสายตาสุด ๆ คงเพราะมีสามหนุ่มหน้าพิมพ์เดียวกันไม่ต่างกับสามทโมนที่มีใบหน้าไม่ต่างกันมายืนเสิร์ฟ
พวกไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐทดลองมาทำกันเล่น ๆ น่ะ เห็นผมมาทำบ่อย ๆ แล้วไอ้สามทโมนก็ชอบไปโม้ไว้ด้วย
ส่วนไอ้ตัวเล็ก มันก็เกาะหนึบอยู่กับไอ้เต้ยครับ มันเลี่ยงที่จะเข้าใกล้พวกผมยังไงพิกล ผมพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่ยอมตอบ
แต่ดูท่า มันคงมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่างแน่ ๆ ไม่งั้นมันคงไม่เป็นแบบนี้หรอก
ผมเห็นไอ้ตัวเล็กมันมองมาทางพวกผม พอผมยิ้มให้ มันก็หันหน้าหนี ผมขมวดคิ้ว ทำไมมันต้องทำเมินแบบนั้นด้วย
ผมเริ่มอารมณ์เสีย แต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปเรื่อย ๆ
พวกสาว ๆ เริ่มชำนาญงานกันแล้ว แต่งตัวได้น่ารักสุด ๆ ผู้จัดการนี่ก็เข้าใจคิดนะ ทำให้ผมอยากเปิดร้านกาแฟสักร้าน เอาไว้ให้เจ้าพวกนี้ได้วิ่งเล่นกันซะแล้ว
บอกตามตรง นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทของผมแล้ว ไม่มีใครแยกพวกผมออกหรอกครับ โดยเฉพาะผมกับอาร์ต เพราะมีบุคลิกที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก ทั้งรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง ส่วนสูงและทรงผม (พอดีพวกเราตัดผมทรงเดียวกันหมดน่ะ ตัวการบังคับก็พวกทโมนนั่นแหละ ไม่รู้จะทำให้มันเหมือนกันไปทำไม = =) แต่อิฐดูจะเด็กกว่านิดหนึ่ง คงเพราะอายุน้อยสุด แต่ถ้าเจอกันใหม่ ๆ ร้อยทั้งร้อย ก็ไม่มีใครรู้
ขนาดไอ้กิ๊ฟที่ว่าเก่ง ๆ ในเรื่องของการมองคน มันยังใช้เวลาตั้งเดือนกว่า ๆ กว่าจะแยกพวกเราออก
“อาร์ต อิฐหรือเอกสักคน ช่วยเอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะสามให้ที”
ผมพยักหน้า แต่ไม่ได้เฉลยว่าเป็นใคร ผมเดินเอาไปเสิร์ฟ กำลังจะเดินสวนกับไอ้ตัวเล็ก ผมยิ้ม เอื้อมมือจะลูบหัวให้กำลังใจมัน
แต่มันปัดมือผมทิ้ง
ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
เมื่อกี้ยังอ้อนกูอยู่ดี ๆ อยู่เลย ไหงมาปัดมือกูทิ้งได้วะ
“ขอโทษฮะ ผมตกใจ ขอตัวก่อน”
มันรีบพูดแล้วรีบเดินจากไป
อะไรของมันวะ
ผมก็ได้แต่งงกับชีวิต แล้วมันก็ไม่ใช่แค่รอบเดียวด้วยนะ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผมพยายามเข้าใกล้มัน มันจะรีบเดินหนี หรือพอผมพยายามจะสัมผัสมัน มันก็จะปัดมือผมออกทันที แล้วจ้องหน้าราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง
ยิ่งทำงานมาก ๆ ผมยิ่งหงุดหงิด
แม่ม!!
เป็นอะไรวะ!!
ผมจึงได้แต่เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ในอก แล้วทำงานคล้ายอิฐคล้ายปูนต่อไป
เหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียว ผมกำลังจะเดินไปหามัน เพื่อบอกมันว่าผมจะพามันกลับไปด้วย พอผมเดินไปใกล้ มันทำหน้าตื่น ถอยหนีราวกับเห็นผมเป็นตัวประหลาด ผมขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ
“เป็นอะไร!!”
ผมกระชากเสียงถาม โมโหแล้วครับ
“พี่เอก”
มันครางเรียก
“เป็นบ้าอะไร! พี่พยายามเดินเข้ามาใกล้ แล้วเดินหนีทำไม ปัดมือพี่ทำไม มีอะไรไม่พอใจ!”
โมโหครับ ว่าจะไม่ต่อว่าแล้วนะ
มันจ้องหน้าผมใหญ่ ก่อนที่มันจะคว้าแขนผมลากผมไปทางหลังร้าน แล้วกอดผมไว้ ผมได้แต่อึ้งกับอึ้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ
อยู่ ๆ ก็กอด อยู่ ๆ ก็ผลัก จะเล่นอะไรกัน
“กาย” ผมดึงตัวมันออก “บอกพี่มา เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรของนาย”
มันส่ายหัวไปมา แล้วกอดผมไว้อีกรอบ
ผมไม่รู้ครับว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่ามันกำลังกลัวอะไรสักอย่างอยู่ และสิ่งที่มันกลัว ต้องเกี่ยวข้องกับผมแน่ ๆ
ผมก็ได้แต่กอดมันไว้
“พี่อยู่ตรงนี้นะกาย พี่ยอมทิ้งงานเพื่อมาหากาย ทำไมกายไม่บอกพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
มันเงยหน้าขึ้นมาเบะ
โอ้เว้ย ยิ่งคบกันยิ่งทำตัวน่ารักขึ้นทุกวันเลยวุ้ย
“อยากเลิกงานเร็ว ๆ อยากกลับบ้าน”
มันบอกแค่นั้น
“เลิกก่อนก็ได้นี่”
มันทำท่าจะเห็นด้วย แต่ชะงัก
“ไม่ได้หรอก วันนี้ทำงานวันสุดท้ายแล้ว ผมอยากทำให้ดีที่สุด แล้วอีกอย่าง ต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้เต้ยมันด้วย”
ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วเราก็พากันเดินออกไปหน้าร้านเหมือนเดิม
ผมเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง แต่ไม่เข้าใกล้มันอีก เพื่อให้มันได้ทำงานได้อย่างสบายใจมากขึ้น แล้วค่อยไปหาคำตอบเอาทีหลัง ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไอ้เต้ยทำงานในสภาพเหงาหงอยเป็นที่สุด ส่วนไอ้เป้ไม่ต้องพูดถึง เหมือนพาร่างไร้วิญญาณมาทำงานด้วย ผมจึงได้แต่ปลอบใจมันเป็นบางครั้งเท่านั้น
และแล้ว ช่วงเวลาสุดท้ายของการทำงานก็มาถึง ไอ้ตัวเล็กตัดสินใจบอกผู้จัดการว่ามันกับไอ้เต้ยจะไม่มาทำงานอีกแล้ว ผู้จัดการบอกเสียดายพวกมันกันใหญ่ แล้วบอกว่า ถ้าอยากมาทำอีกเมื่อไหร่ก็มาได้เสมอ
พวกสาว ๆ ทำงานกันด้วยความสนุกสนาน ไม่ต่างกับพวกไอ้อาร์ตและไอ้อิฐ ส่วนผมก็โอเค ถ้าไม่ติดเรื่องของไอ้ตัวเล็กมันน่ะนะ
พวกเราปิดร้านกันตอนสามทุ่ม ผู้จัดการร้านโทรสั่งหมูกระทะเจ้าเดิมมาเลี้ยงอำลา
เปรมครับงานนี้
พวกเราก็กินกันไปเฮฮากันไป ผมสังเกตว่าไอ้ตัวเล็กจะเงียบมากผิดปกติ แต่ผมคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะทำงานวันสุดท้ายแล้ว กายทำงานเกือบทุกวัน ความผูกพันย่อมมีมากกว่าพวกผมที่นาน ๆ มาทำทีอยู่แล้ว ขนาดผมยังชอบเลย แล้วมันล่ะ จะขนาดไหน
กว่าจะกินกันอิ่มก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม ไอ้เต้ยขอไปนอนกับพี่มันเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่ไอ้อาร์ตกับไอ้อิฐก็พากันแบกพวกทโมนที่ตาปรือจะปิดไม่ปิดแหล่ไปขึ้นรถ แล้วขับกลับบ้าน ส่วนผม ก็พาเจ้าตัวเล็กกลับด้วยเหมือนกัน
“พี่ต้องกลับไปทำงานก่อนนะ สัญญากับป๋าว่าจะเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนี้” ผมบอก
มันพยักหน้า เดินตามหงอย ๆ
“บอกพี่ได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมถามขณะขับรถวนเข้าไปจอดภายในตัวตึก พนักงานส่วนใหญ่กลับกันหมดแล้ว ยกเว้นพวกทำโอทีและยาม
มันไม่ยอมตอบคำถามผมแม้แต่คำเดียว นั่งเงียบจนผมเป็นห่วง ผมพามันก้าวลงจากรถ เดินไปหยุดอยู่หน้าลิฟท์ มันเดินตามมาเงียบ ๆ ก้มหน้ามองเพียงพื้นกระเบื้องที่ปลายเท้า ผมหันไปหามัน เสยจับคางมันเงยหน้ามอง
“ทำไมต้องทำท่ากลัวพี่ด้วย”
ผมถามมันอีกที
“เปล่า ผมไม่ได้กลัวพี่”
“กาย”
ผมเรียกมันเสียงเหนื่อย ก่อนยืนตะลึง เมื่อมันกอดหมับที่ลำตัวผมเหมือนครั้งที่มันทำในร้านกาแฟ
ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี
“กาย”
ผมเรียกให้มันรู้ตัว แต่มันยังกอดผมอยู่ กอดเฉย ๆ กอดนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น ประตูลิฟต์ทำท่าจะปิดตัวลง ผมรีบกดปุ่มเปิดค้างเอาไว้
“กาย”
ผมเรียกสติมันอีกที แต่มันยังไม่ยอมตอบรับอะไรกลับมา ผมเลยตัดสินใจ โอบลำตัวมันไว้และลากมันเข้าไปด้วย
ประตูลิฟต์ปิดตัวลง ผมจิ้มกดปุ่มไปยังชั้นบนสุด มันยังกอดผมอยู่ ผมมองตัวเลขที่กำลังเคลื่อนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมันหยุดนิ่งและเปิดออก ผมก้มมองคนในอ้อมแขนอีกที
ดูท่ามันจะไม่ยอมพูดอะไรจริง ๆ แฮะ
ผมต้องนั่งทำงาน โดยมีมันนั่งอยู่บนตัก ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงรำคาญและสลัดทิ้งไปแล้ว แต่อ้อมกอดที่มันกอดผมไว้ เหมือนมันกลัวว่าผมจะหายไป
กอดแน่น กอดเฉย ๆ กอดไม่ปล่อย
ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป มืออีกข้าง ก็ลูบแผ่นหลังมันไป งานเยอะครับ ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผมต้องรับผิดชอบโดยตรงด้วย
ผมรู้ว่าพ่อทำงานหนัก แต่พ่อก็ทำได้ดี ผมอยากเป็นแบบพ่อ ถึงได้ขยันและทำให้ดีที่สุด โชคดีที่ผมมีน้อง ๆ คอยช่วยเหลือด้วย
ผมเหลือบมองนาฬิกา ตีสองแล้ว ผมนั่งหาว ทั้งง่วงทั้งปวดตา คนอื่นเขาหลับกันไปหมดแล้ว แต่ผมยังต้องมานั่งหาวหวอดเพื่อทำงานในออฟฟิศที่สว่างโร่เพียงห้องผมคนเดียว
ผมปักปากกาเข้าฐาน หักคอไปทางด้านซ้ายเบา ๆ เพราะด้านขวามีกายซบอยู่ เจ้าตัวหลับคาไหล่ผมไปแล้ว ผมก็ทำงานเพลิน เลยไม่ได้อุ้มมันไปวางไว้บนโซฟา
ผมลุกออกจากเก้าอี้ อุ้มไอ้ตัวเล็กไปวางไว้บนโซฟา แล้วตัวเองก็เดินไปล้างหน้าล้างตาแก้ง่วง
ผมเดินกลับมาหามันอีกครั้ง ลูบหัวมันเบา ๆ แอบแปลกใจนิดหน่อย ที่มันใส่เสื้อของทางร้านกลับมา แถมยังติดกระดุมซะติดลำคอขนาดนั้น กลัวมันอึดอัดครับ เลยช่วยปลดออกให้
ผมขมวดคิ้วจ้องมองรอยคิสมาร์คไม่คุ้นเคยตรงคอมัน พยายามนึกให้ออกว่าตัวเองไปทำทิ้งไว้ตอนไหน
แต่จำไม่ได้ครับ
“โทษทีนะ ครั้งหน้าพี่จะพยายามไม่ทิ้งไว้ละกัน”
ผมลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนก้มลงไปกดจูบ
วันนี้มันทำให้ผมสับสนหลายอย่างมาก ผมแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่
แม้แต่กับคนหลับ ผมก็ยังมีอารมณ์ แรงโหมของปลายลิ้นเริ่มเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนร่างกายพากันร้อนระอุ เจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่เริ่มเครือครางประท้วง เปลือกตาที่ปิดสนิท ค่อย ๆ ปรือเปิดขึ้นมามองช้า ๆ ก่อนจะเบิกกว้าง เขยิบตัวผลักอกผมออกแรงด้วยท่าทีตระหนก
“กาย นี่พี่เอง” ผมรีบบอก
คนที่ทำหน้าตื่นเมื่อกี้กลับมาสงบอีกครั้ง
“พี่เอก”
มันครางเรียกเสียงแผ่ว ค่อย ๆ โน้มตัวมากอดคอผมไว้ ผมกอดตอบ ลูบหลังมันเบา ๆ
ตอนนี้ผมแน่ใจแล้ว ว่าปัญหาที่กายเจอ ต้องเกี่ยวกับผมหรือมีผมเป็นต้นเหตุแน่ ๆ
ผมพาเจ้าตัวเล็กกลับไปที่รถ พอขึ้นรถได้ปุ๊บมันก็หลับทันที ท่าทางเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยมายาวนาน ผมขับรถพามันกลับคอนโด ก่อนโฉบอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน พามันเดินขึ้นห้อง
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง ถึงจะทำให้มันพูดสิ่งที่ทำให้มันหวาดกลัวออกมาได้ แต่ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นคนที่จะแย่คงเป็นผมเอง
To Be Con....
กระซิบ เรื่องนี้มี 100 ตอนจบค่ะ ^^