ขอบคุณคนอ่านทูกคนเลยที่อวยพรวันเกิดให้เรา
พรทุกข้อที่ส่งมาก็ขอให้พวกคูณได้รับพรเหล่านั้นด้วยเช่นกัน...
คุณ uno เพลงเพราะอีกแล้ว ขอบคุณมาก
นี่ก็เป็นตอนจบแล้ว....
แต่จะมีบทส่งท้ายมาลงให้อีก...
ขอบคุณมากๆสำหรับการติดตามอ่านมาตั้งแต่ภาคแรก...
******************************
http://media.imeem.com/m/gwYXT5ey2Iอวัยวะทุกส่วนของมนุษย์ได้ถูกกำหนดหน้าที่อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งที่ถูกสร้างขึ้นมา
แต่มีอวัยวะอยู่สองส่วนที่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเป็นคนกำหนดเองว่าจะให้มันทำอะไร
รักใคร......
เกลียดใคร........
คิดถึงใคร........
ไม่คิดถึงใคร...............
นั่นคือ..........................
สมองและหัวใจ
เรื่องของความรัก
หากต้องเลือกที่จะอยู่หรือไป
จะใช้อะไรเป็นตัวตัดสิน
ระหว่างเหตุผลกับความรู้สึก
ถ้าการมีความรักคือการทำบททดสอบ
จะเลือกเรียนรู้ความรักด้วยอะไร
ระหว่าง
..............สมอง.............. เรียนรู้โดยใช้เหตุผล
.............จิตใจ.......... เรียนรู้โดยใช้ความรู้สึก
---------------- #### เรื่อง “ รักของเราสามคน ” (ฉบับเข้มข้น) ตอนจบ #### ----------------
จิตใจเริ่มเกิดความสับสนอีกครั้ง
เมื่อภีมค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ
ยิ่งนับวันมันยิ่งทำอะไรมากขึ้นคล้ายจะพยายามดึงเอาความรู้สึกเดิมๆที่เรามีต่อมันออกมาอีกครั้ง
ภีมยังคงเชื่อว่าในใจเรายังคงมีมันอยู่ มันจึงพยายามดึงเอาความทรงจำเก่าๆเหล่านั้นออกมา
หนึ่ง....
สอง....
สาม.....
.....
...........
ความทรงจำแต่ละอย่างถูกดึงออกมาทีละอันสองอัน
จนเหมือนมันจะกลับไปสู่วังวนเดิมๆอีกครั้ง
ความรักของเราสามคน.......
เราสับสนไมรู้ว่าจะต้องเลือกเชื่ออะไรดีระหว่าง.....
สมอง.... หรือ จิตใจ....
เหตุผล.... หรือ ความรู้สึก
ความสับสนที่เกิดขึ้นก่อตัวเป็นความอัดอั้นในใจ
คล้ายคนตาบอดที่คลำหาทางเดิน
28 กรกฎาคม 2550 …….
“ แก... เค้าถามอะไรแกอย่างนึงดิ ” เราพูดขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของภีมในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่บนเตียงแสนนุ่ม
“ ได้... ตอบได้ก็จะตอบ ” ภีมพูดเสียงนุ่มก่อนที่จะจูบเราเบาๆที่หน้าผาก
“ แกกับมะปรางเคยมีอะไรกันรึยัง? ” เราถามพร้อมกับแอบถอนหายใจเบาๆเพราะกลัวคำตอบ
“ มีแล้ว..... ” ภีมพูดด้วยเสียงเบาคล้ายกลัวความรู้สึกของเรา
“ ตั้งแต่เมื่อไหร่... ” เราถามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอาบสองแก้ม
“ ตั้งแต่....................... ”
“ เฮ้อออ.................. ” เราถอนหายใจเสียงดังหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันด้วยสภาพเหงื่อโทรมทั้งตัว
มองดูนาฬิกาบอกเวลาตีสี่
“ สับสนขนาดเอาไปฝันเลยเหรอว้ะเนี่ย ? ” เราบ่นกับตัวเองเบาๆและลุกขึ้นไปกินน้ำตัวตู้เย็น
หลังจากปีใหม่มาจนถึงเหตุการณ์ที่เรากำลังเล่านี้ก็เป็นเวลาประมาณเจ็ดเดือน
เจ็ดเดือนที่ผ่านมานี้มันเริ่มค่อยๆเข้ามาหาเรามากขึ้น
จนเราเริ่มสับสนและเริ่มใจอ่อนอีก แม้ว่าจะคิดกับมันแค่เพื่อน
แต่ยิ่งนับวัน ความรู้สึกเราก็ยิ่งจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
“ นี่ขนาดนอนเปิดแอร์ยังเหงื่อท่วมขนาดนี้เลยเหรอ? ” เราบ่นกับตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะยกน้ำขึ้นดื่ม
เรากลับขึ้นมานอนบนเตียงหลังจากที่กินน้ำเสร็จ
ภาพเหตุการณ์ความฝันเมื่อครู่มันเหมือนความจริงมาก
เราแอบคิดว่าหรือแม่จะมาดลใจเรา
เพราะแม่เราเสียไปตั้งแต่ตอนที่เราอยู่มอสองและทุกครั้งที่เรามีปัญหาเราก็ชอบนึกถึงแม่
หรือบางทีก็พูดให้แม่ฟัง
บนโต๊ะทำงานเราจะมีไดอารี่ของแม่วางอยู่ด้วย
มันเป็นไดอารี่ที่แม่รวบรวมเอาจดหมายที่แม่กับพ่อส่งจีบกันมาเขียนไว้ในนั้น
ยิ่งตอนช่วงที่เราสับสนกับความรู้สึกตัวเองว่าจะกลับไปหาภีมอีกรึป่าว
เรายิ่งคุยกับแม่บ่อยมากขึ้น
ช่วงที่เรากำลังคิดเรื่องความฝันอยู่นั้นจู่ๆไดอารี่ของแม่ที่เราเปิดหน้าที่มีรูปแม่แล้วตั้งไว้กับโต๊ะมันก็ล้มลงมา
ตอนนั้นเราตกใจมากๆขนลุกซู่
เราเลยแน่ใจว่าความฝันที่เราฝันเมื่อครู่ต้องเป็นแม่มาดลใจแน่ๆ
เราตัดสินใจโทรไปหาภีมในทันที
“ ฮัลโหล... ปอเหรอ ? ” ภีมพูดด้วยเสียงดีใจ
“ อืม... ” เราพูด
“ โทรหาเค้ามีไรรึป่าว? ” ภีมยังคงพูดด้วยเสียงที่ดีใจ
“ มีเรื่องจะคุยด้วยหนะ ” เราเริ่มพูดเข้าเรื่อง
“ เรื่องอะไรล่ะ ? ” ภีมถามด้วยความอยากรู้
“ สัญญาก่อนแล้วกันว่าคืนนี้เราจะคุยกันแต่เรื่องจริง... จะไม่มีการโกหกเด็ดขาด ” เราพูด
“ อืม... สะ... สัญญา ” ภีมพูดอย่างไม่ค่อยเต็มปาก
“ โอเค ” เราพูด
“ มีอะไรก็ถามมาสิ ” ภีมพูด
“ แกกับมะปรางเคยมีอะไรกับรึยัง? ” แม้ว่าเราจะกลัวคำตอบแต่ในใจมันก็ต้องการจะรู้
“ แกจะอยากรู้ไปทำไม ? ” ภีมถามเสียงเครียด
“ ตอนที่เราเริ่มกลับมาคุยกันแรกๆ เค้าคิดกับแกแค่เพื่อน แต่เค้าก็ยอมรับว่า.... ยิ่งนับวันเค้าก็ยิ่งจะกลับไปรู้สึกแบบเดิมๆ จนเกือบจะรักแกแบบเดิมอีกครั้ง เค้าก็เลยอยากจะรู้ว่าแกกับมะปรางลึกซึ้งกันแค่ไหน ”
เราพูดไปตามที่เราคิดในตอนนั้น
“ อืม.......................... ” ภีมพูดเบาๆก่อนที่จะเงียบไป
“ สัญญากันแล้วนะว่าจะพูดความจริง ” เราพูดออกไปด้วยใจสั่นๆ
เราได้ยินภีมถอนหายใจยาวๆก่อนที่จะพูดว่า
“ อืม.... เคยแล้ว ” ภีมพูดเสียงเครียด
“ อะ........... อืม ” เราพูดเสียงสั่น
ตอนนั้นรู้สึกว่าใจมันเจ็บอีกครั้ง
น้ำตาเราค่อยๆไหลออกมาจนอาบทั้งสองแก้ม
เราร้องไห้สะอื้นจนตัวสั่น
“ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ” เราถามทั้งที่เสียงมันสั่นและน้ำตาก็ยังไหล
“ ปีสองเทอมหนึ่ง ” ภีมพูดเสียงเครียด
“ มีอะไรกันหลายครั้งแล้วใช่มั้ย ? ” เรากลั้นใจถามออกไปทั้งที่ใจยังคงสั่นไหว
“ อะ..... อืม.... ” ภีมพูดเสียงสั่นๆ
“ แล้วทำไมแกไม่บอกเค้า ” เราถาม ทั้งที่ยิ่งถามก็ยิ่งเจ็บ
“ เค้ากลัวว่าแกจะไม่สบายใจ เค้ายอมรับนะ.... ว่าเค้าอึดอัดมากที่เค้ากำลังปิดบังอะไรแกอยู่ แต่เค้าก็ไม่กล้าบอกแก ” ภีมพูด
“ แกจะทำอะไรแกเคยนึกถึงความรู้สึกเค้าบ้างมั้ย? ” เราถามด้วยเสียงปนสะอื้นอย่างตัดพ้อ
“ เค้าขอโทษ.. ” ภีมพูด
“ แกเก็บเอาไว้เหอะ.... เค้าไปต้องการ ” เราพูด
“ แกก็น่าจะเข้าใจนะ.... เรื่องแบบนี้มันธรรมดาจะตาย เค้ากับมะปรางคบกันตั้งปีนึงกว่าจะมีไรกัน คู่อื่นเค้าคบกันไม่กี่เดือนก็มีอะไรกันแล้ว ” ภีมพยายามที่จะอธิบายให้เราฟัง
“ เค้าคงเข้าใจอะไรผิดไปเองแหละ.... แกคงไม่ใช่คนที่สับสนในตัวเอง... แกเลือกได้ตั้งนานแล้วต่างหาก เค้ามันโง่เองที่ฝันลมแร้งๆว่าแกจะเลือกเค้า ” เราพูดด้วยท่าทางประชด
“ อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นดิ... ที่เค้ามีไรกับมะปรางไม่ได้หมายความว่าเค้าเลือกมะปรางซะหน่อย เค้ากับแกก็เคยมีอะไรกัน ” ภีมพูด
“ พอเหอะ.... พอกันที แกไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ” เราพูดอย่างอ่อนแรง
“ แล้วตกลงยังไง? ” ภีมถามอย่างไม่เข้าใจ
“ เค้าขอเวลาคิดสักพักแล้วกัน.... ” เราพูด
“ นานเท่าไหร่ ? ” ภีมถาม
“ ถ้าภายในหนึ่งเดือนเค้ายังไม่โทรไปหาแก แสดงว่าเราต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนมารู้จักกันอีก ”
เราพูดแล้วก็วางสายไปเลย
ทันทีที่วางสายเราก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
แม่.... หนูทำอะไรผิด
หนูเคยไปทำอะไรใครเค้าไว้
ทำไมหนูถึงต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย
ถ้าหนูเคยไปทำใครไว้หนูขอโทษ
เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้แล้วก็ร้องไห้ออกมาจนตัวโยน
ตอนที่เราร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตอนนั้นก็มีเบอร์แปลกโทรมาหาเรา
เราเลยพยายามทำเสียงให้เป็นปกติก่อนที่จะกดรับสาย
“ ฮัลโหล... ” เราพูด
“ แก... เค้าเองนะ ออกมาคุยกันหน่อยสิ ” ภีมพูดเสียงเรียบ
“ จะคุยอะไร ? ” เราพูดเสียงแข็ง เพราะว่าไม่อยากจะเจอและไม่อยากจะคุยกับมันตอนนั้น
“ ออกมาแล้วกัน.... เค้าขอร้อง ” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงขอร้องจริงๆ
“ ที่ไหน ? ” เราถาม
“ ที่เดิม ” ภีมพูดก่อนที่จะวางสายไป
ที่เดิมที่เราหมายถึงก็คือที่โต๊ะหินอ่อนใกล้ๆกับหน้าหอมัน เพราะเป็นที่ส่วนตัวและค่อนข้างปลอดคน
เราเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำและพยายามทำตัวให้เข้มแข็งมากที่สุด
แม้ในใจมันเจ็บจนเกินจะทนแล้ว แต่เราก็ต้องกลั้นมันเอาไว้
เราไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้ามันอีก
“ มีอะไรล่ะ ? ” เราพูดทันทีที่ไปถึง
“ นั่งก่อนดิ ” ภีมพูด
“ อ่ะ... มีไรก็ว่ามา ” เราพูดหลังจากที่นั่งลงตรงข้ามมัน
“ เค้าขออะไรแกอย่างนึงได้มั้ย? ” เราพูดด้วยหน้าจริงจัง เรามองหน้ามันด้วยความไม่เข้าใจทำให้เห็นว่ามันก็ตาแดงๆเหมือนกัน
“ อะไร? ” เราถามด้วยหน้างงๆ
“ แกบอกมาสิ ว่าได้มั้ย ? ” ภีมพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“ จะขออะไรก็พูดมาก่อนดิ จะได้รู้ว่าได้รึป่าว? ” เราพูด
“ แก.... อยู่ข้างๆเค้าแบบนี้ตลอดไปได้รึป่าว ? ” ภีมพูดแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่
“ แกหมายความว่าไง ? ” เราถามอย่างไม่เข้าใจว่ามันคิดอะไรอยู่
“ ก็ต่อไปถ้าเค้าต้องแต่งงานกับใคร... เค้าขอให้แกยังอยู่ข้างๆเค้าแบบนี้ได้มั้ย? เค้าจะหาเวลามาอยู่กับแก ”
ภีมพูดด้วยสีหน้าแบบขอร้อง
“ คืออะไร... แกต้องแต่งงานแล้วเหรอ? ” เราถามอย่างนึกเอะใจสิ่งที่มันพูด
“ ก็คงหลังเรียนจบ ” ภีมพูดอย่างเป็นกังวล
“ แกมีอะไรปิดบังเค้า ” เราถามเสียงเย็น เรารู้จักภีมมาแปดปีมันพูดแบบนี้ทำไมเราจะไม่รู้ว่ามันจะต้องมีอะไรที่ปิดบังเราอยู่
“ ....................................... ” ภีมเงียบไม่พูด จนเราเริ่มโมโห
“ ไม่บอกไม่เป็นไร.... แต่เค้าตอบได้เลยว่าไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเค้าคงดีใจจนเนื้อเต้นที่แกมาพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้และหลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว ” เราพูดเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกมา
“ แกหมายความว่าไง? ” ภีมถามอย่างตกใจพร้อมกับลุกขึ้นมาดึงแขนเราไว้
“ เราต่างคนต่างอยู่เหอะ... ที่ผ่านมาเค้าเจ็บพอแล้ว เจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้วแกรู้มั้ย ? ” เราพูดเสียงเย็นพร้อมกับพยายามข่มความรู้สึกเสียใจกับทุกเรื่องที่เคยผ่านมาที่มันกำลังลอยมาในหัวสมอง
“ แต่เค้ารักแกนะ... ” ภีมพูดเสียงดังจนเราต้องหันกลับไปมองหน้ามันอีกครั้ง
“ แกบอกว่ารักเค้า.. ทั้งที่จริงๆแกรักตัวเองมากกว่าเค้าซะอีก ” เราพูดอย่างเหลืออด
“ เค้ารักแกจริงๆนะ ” ภีมพูดย้ำอีกครั้ง
“ รักเค้า..... คนรักกันเค้าทำกันแบบนี้เหรอ? แกคิดอะไรอยู่อ่ะภีม... แล้วมะปรางล่ะ ? ” เราพูดอย่างเหลืออด
“ เค้าไม่ได้รักมะปราง.... เค้ายอมรับว่าเค้าเคยรัก..... แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ” ภีมพูดเสียงเครียด
“ แล้วแกจะยังคบมะปรางทำไม.... แกอย่ามาหลอกเค้าอีกเลย.... เค้าไหว้ล่ะ ” เราพูดพร้อมกับยกมือไหว้มัน
“ เค้าขอโทษ........ ” ภีมพูดพร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าเราแล้วก็ก้มหน้า
ตอนนั้นเรางงมากว่าทำไมมันถึงยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองจนถึงขนาดคุกเข่าขอโทษเราตรงหน้า
ภีมพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปสักพักว่า
“ เค้าทำมะปรางท้อง.... ” ภีมพูดเสียงสั่นแล้วก็เอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา
ทันทีที่เราได้ฟังตอนนั้นหน้าเราชาไปหมดเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่
สมองตื้อคล้ายกับโดนท่อนซุงฟาดเข้าที่หัว
ใจเรามันสั่นระริกแต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
“ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ” เราถามเสียงเรียบ
“ เทอมที่แล้ว.... ” ภีมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
ตอนนั้นเราเข้าใจทันที......
ว่าเรื่องที่ยูพูดตอนเมาวันนั้นหมายความว่าไง...
และทำไมภีมต้องพามะปรางไปแนะนำกับพ่อแม่มัน
“ แล้วทำไมไม่ป้องกัน ” เราถามเสียงเรียบเช่นเดิม
“ เค้าไม่คิดว่ามันจะท้อง..... เค้าผิดเองแหละ ” ภีมยิ่งพูดก็ยิ่งร้องไห้
“ อย่างนี้ใช่มั้ย? แกถึงต้องพามะปรางไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก ” เราพูด
“ อืม.... ตอนแรกก็คิดว่าไม่ท้องหรอกแต่พอไปตรวจดีๆอีกทีถึงรู้ว่าท้อง เค้าไม่รู้ว่าจะทำยังไง บอกใครก็ไม่กล้าบอก ที่บ้านมะปรางก็ดุมากด้วย.. มะปรางก็เลยตัดสินใจบอกน้าผู้หญิงที่มันสนิทที่สุด เค้าถึงพาไปทำแท้ง ”
ภีมพูดปนสะอื้น
“ ทำไมไม่เอาเด็กไว้ ? ” เราถามเสียงเย็น
“ น้าเค้าอยากให้มะปรางเรียนจบ ก็เลยเอาเด็กออก แต่น้ามะปรางก็บอกเค้าว่ายังไงเค้ากับมะปรางก็เหมือนผัวเมียกันแล้ว ยังไงเค้าก็ห้ามไปมีคนอื่นอีกเด็ดขาด เรียนจบเมื่อไหร่ก็จะต้องแต่งงานกัน ” ภีมพูด
“ พ่อแม่แกรู้รึป่าว? ” เราถาม
“ รู้... เพราะน้ามะปรางไปคุยกับพ่อแม่เค้าที่บ้าน ” ภีมพูด
“ ถ้าแกไม่บอกเค้าวันนี้... แกจะบอกเค้าเมื่อไหร่ ? ” เราถาม
“ เค้าจะบอกแกตั้งแต่วันที่เค้าไปนั่งที่หอศิลป์ที่โทรให้แกออกมาหนะ... แต่แล้วเค้าก็ไม่กล้าบอก ”
ภีมพูด
“ งั้นเค้าก็ยินดีกับแกด้วยนะ... ที่ได้คนดีๆอย่างมะปราง ” เราพูดออกมาจากใจที่แม้ว่าจะเจ็บ แล้วก็เดินออกมาจากมันที่คุกเข่าอยู่
“ แก.. เค้าขอโทษ.... ” ภีมพูดพร้อมกับวิ่งมาหาเราแล้วกอดเรา
“ ปล่อย.. ” เราพูดเสียงเรียบ
“ เค้ารักแกนะ.... เค้ารู้แล้ว... เค้ารู้แล้วว่าเค้ารักใคร ” ภีมพูดด้วยเสียงสั่นๆคล้ายจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ แกปล่อยเค้าไปมีชีวิตของเค้าเองเหอะ.... ” เราพูด
“ คงจะเป็นเวรกรรมที่เค้าเคยทำกับแกไว้..... วันนี้เค้ารู้แล้วว่ามันทรมานขนาดไหน..... คงจะทรมานไปตลอดชีวิต ” ภีมพูดเหมือนสมเพชตัวเอง
“ เลิกคิดแบบนี้เหอะ... แกดีกับคนที่เป็นแม่ของลูกแกจะดีกว่า...” เราพูดเสียงเย็นก่อนที่จะดึงมือมันที่กอดเราอยู่ออก
“ ชาตินี้เราคงไม่ได้คู่กัน... แต่เรามาสัญญากันได้ป่าวว่าชาติหน้าเราจะเกิดมาคู่กัน ” ภีมพูด
เราหันไปมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
เราไม่คิดว่ามันจะรู้สึกอะไรกับเรามากมายขนาดนี้
แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
“ อย่าเลย.... ถ้าเกิดเป็นคนแล้วต้องมาคู่กับแก... เค้าขอเลือกเกิดเป็นสัตว์ดีกว่า ” เราพูดพร้อมกับเดินออกมาจากมัน
เราไม่ร้องไห้......
ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด....
หัวใจมันคงด้านชาไปหมดแล้ว...
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เสียใจ.....
น้ำตามันคงถูกใช้จนหมดแล้วละมั้ง... เราถึงไม่ร้องไห้
เรื่องที่เพิ่งได้ยิน... มันเจ็บ.....
เจ็บกว่าทุกครั้ง....
และขอเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเจ็บแบบนี้อีก....
*******************************
หากเปรียบความรักเป็นบ้าน
คนสองคนรักกันก็เหมือนการช่วยกันสร้างบ้านขึ้นมาหลังนึงจนเสร็จสมบูรณ์
คนรักกันทั้งสองคนก็อยู่บ้านหลังนั้นด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่แล้ววันนึงใครอีกคนก็พาคนที่สามเค้ามาอยู่บ้านด้วยกัน
กลายเป็นบ้านของเราสามคน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยใช้ด้วยกันก็ต้องมีใครอีกคนนึงเข้ามาใช้
เตียงนอนที่เคยนอนกันแค่สองคนก็กลายเป็นสาม
จนทำให้ที่นอนที่เคยสบายกลายเป็นอึดอัด
วันนึงหนึ่งในคนที่เคยช่วยสร้างบ้านถูกไล่ออกมานอนนอกบ้าน
คนที่ถูกไล่ออกมาไม่รู้จะไปนอนที่ไหน
ฝนก็ตก ฟ้าก็ร้อง เดินตากฝนหาที่นอนจนตัวหนาวสั่นไปทั้งตัว
มองดูบ้านหลังอื่นเค้าก็มีเจ้าของกันหมดแล้ว
ก็เลยตัดสินใจซื้อของที่จะทำบ้านของตัวเอง
แต่บ้านหลังใหม่สร้างยังไม่ทันเสร็จ เค้าก็ถูกเรียกให้กลับเข้าไปอยู่บ้านหลังเก่าอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะอึดอัดแต่ก็อยากอยู่ เพราะการสร้างบ้านหลังใหม่เพียงลำพังมันคงเหนื่อยกว่า
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เดี๋ยวโดนไล่ออกมาเดี๋ยวโดนเรียกกลับเข้าไป
จนมาวันนึงเค้าก็โดนไล่ออกมาอีกครั้ง
เค้าคนนั้นเดินไปดูที่บ้านของตัวเองที่สร้างยังไม่ทันเสร็จดี เพื่อหวังจะหาที่ซุกหัวนอน
แต่ในขณะที่เค้าหลับอยู่ในบ้านหลังใหม่นั้น
เค้าก็ถูกเรียกให้กลับไปอยู่บ้านหลังเก่าอีกครั้ง
แต่คราวนี้เค้าค่อนข้างลังเลใจว่าจะกลับเข้าไปอีกดีมั้ย
เพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกมาอีก
เค้าหันกลับมามองบ้านของตัวเอง
แม้ว่าบ้านจะสร้างยังไม่ทันเสร็จดี
แต่มันก็พอมีกำแพงมีหลังคาที่พอคุ้มแดดคุ้มฝนได้
เค้าเลยหันไปบอกคนที่มาเรียกเค้าว่า
“ เราไม่ไปหรอก.... เรามีบ้านของเราแล้ว แม้ว่าจะต้องอยู่เพียงลำพังแต่เราอยู่บ้านของตัวเองดีกว่า ”
..................... หันกลับมารักตัวเองดีกว่าถ้าหากเรารักคนที่เค้ารักตัวเองมากกว่าเรา ......................
############################################
วันนั้นพอเรากลับมาถึงห้อง
เราก็เก็บของทุกสิ่งทุกอย่างที่ภีมเคยให้เรา
รูปมันทุกรูปที่เรามี
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันถูกเราเผาทิ้งจนหมด
แม้แต่หนังเกาหลีเรื่องนั้นที่มันให้เราดู
เราตั้งใจไม่ดูตอนจบเพราะกลัวว่าจะรับไม่ได้
แต่มาตอนนั้นถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ดูตอนจบ
แต่ชีวิตจริงมันจบแล้ว ก็เลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องดูตอนจบของหนังเรื่องนั้นอีก