ตอนพิเศษของเรียว : จุดเริ่มต้น
หมายเหตุ : เนื้อเรื่องในตอนนี้ต่อจากเนื้อเรื่องตอนที่ 16 และ 17Ryo’s sideผมนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เด็กในบ้านไม่มีใครกล้าเข้าใกล้...คงเป็นเพราะบรรยากาศอึมครึมที่มันแผ่ออกมารอบตัวผมเป็นแน่
ผมไม่ได้โกรธที่จีอายอมกลับไปหาผู้ชายคนนั้นอย่างง่ายดาย และไม่ได้โกรธที่ไอ้ผู้ชายสารเลวที่ทำจีอาร้องไห้มาเอาตัวคนของเขาคืนในบ้านของผมด้วย
...เพราะผมรู้ดี..ว่ายังไงจีอาก็ต้องกลับไป...
ทุกคนในโรงเรียนต่างมองว่าผมกับจีอาเป็นแฟนกัน ทุกคนอิจฉาที่คิดว่าผมมีแฟนน่ารักน่าทะนุถนอม แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้...นั่นก็คือ
‘ผมไม่ได้รักจีอา’อย่าเข้าใจผิด...ผมไม่ได้รักจีอาแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักใครได้ แต่ผมรักจีอาแบบพี่ชาย เพื่อน หรือแม้กระทั่งผู้ปกครอง
ผมมีความรักและความหวังดีให้กับจีอาเต็มเปี่ยม...เป็นได้ทุกอย่างที่เพื่อนตัวน้อยคนนี้จะต้องการ
แต่สิ่งที่ผมเป็นให้จีอาไม่ได้นั่นก็คือ...
คนรัก...เพราะตำแหน่งนั้นของจีอามีคนจองเอาไว้ตั้งนานแล้ว...จีอาเปรียบเสมือนเด็กแรกเกิดในเรื่องของความรัก...เหมือนกบในกะลาที่เพิ่งได้มีโอกาสออกมาท่องเที่ยวโลกภายนอก แม้ว่าจะโดนทำร้ายจากสิ่งแวดล้อมรอบกาย แต่เจ้ากบตัวน้อยกลับไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าได้ตกหลุมรักสิ่งที่ทำร้ายตัวเองเข้าให้แล้ว...
จีอาไม่รู้ใจตัวเอง...ว่ารักผู้ชายคนนั้นเข้าแล้ว
มีคนบอกผมว่าจีอาเป็นเจ้าหญิง...ข้อนี้ผมเห็นด้วย แต่ที่มีคนบอกว่าผมเป็นเจ้าชาย...อันนี้คงจะผิด
...ผมเป็นได้แค่อัศวินที่คอยปกป้องเจ้าหญิงเท่านั้น...
...เพราะเจ้าหญิง..มีเจ้าชายที่แท้จริงอยู่เต็มหัวใจแล้วล่ะ...Sex Syndrome ● ขอโทษที...ที่ผมติด “เซ็กส์”
ผมขับรถมอ’ไซด์คันเก่งออกมารับลมข้างนอกในยามดึก ทำตัวเหมือนคนอกหักโดยการซื้อเบียร์กระป๋องไปนั่งกระดกคนเดียวที่ริมแม่น้ำ มองดูแสงไฟจากราวสะพานด้วยความรู้สึกเหงาจับใจ
ใครอีกคนเดินเตะกระป๋องเบียร์ของผมจนมันล้มแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ โชคดีที่ผมดื่มเบียร์หมดกระป๋องแล้วไม่งั้นคงมีเฮแน่ๆที่บังอาจมาทำให้สรรพยากรอันมีค่าของผมให้ต้องเสียไป
ผมหันไปมองคนที่ทำตัวขวางโลกโดยการทำลายทรัพย์สินคนอื่นแล้วยังไม่ยอมขอโทษ แถมยังมีหน้ามานั่งข้างๆคนที่ไม่รู้จักกันอย่างสนิทสนมเสียเฉยๆ
“มองอะไร” หมอนั่นตวัดสายตาเหล่มองผม ก่อนที่จะนั่งชันเข่าแล้วเอาคางเกยไว้เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
...คนอะไร..ท่าทางไม่น่าคบเอาเสียเลย...
ผมตัดสินใจที่จะลุกขึ้นเพื่อย้ายสถานที่...หมดกันกับการทำบรรยากาศเลียนแบบคนอกหัก ดันมาเจอพวกเกรียนแตกใส่ชาวบ้านเข้าซะได้
แม้ว่าไอ้ตัวเล็กข้างๆนี่มันจะหน้าตาดีเอามากๆก็เถอะ!
“นาย...เคยอกหักรึเปล่า...” เสียงนั้นแผ่วเบาจนผมแทบจะไม่ได้ยิน สำนึกผิดชอบชั่วดีดึงให้ผมต้องทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง
...อะไรบางอย่างบอกผมว่า..อย่าทิ้งคนคนนี้ให้อยู่คนเดียว...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"เฮอะ! มาหาว่าฉันเด็ก นายนั่นแหละที่ยังเป็นเด็กหัวเกรียน ฉันน่ะ...มหา'ลัยปีสามแล้วนะเว้ย!"
ผมหันไปมองหน้าคนข้างกายด้วยสายตาไม่เชื่อ หมอนั่นหันมาแลบลิ้นใส่ผมก่อนที่จะหันกลับไปนั่งก้มหน้ากอดเข่าทำท่าหมาหงอยเหมือนเดิม
...ยอมรับว่าหมอนั่นหน้าเด็ก..แต่หลอกโกงอายุกันป่ะวะ...
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าดูดาว...ทั้งๆที่ในกรุงเทพฯไม่น่าจะเห็นดาวได้เยอะขนาดนี้ แต่คืนนี้ท้องฟ้ากลับเปิดและมีหมู่ดาวมาให้เห็นมากกว่าทุกคืน
...สวย..แต่ก็เหงา...
"ฉันน่ะ...มีพี่ชายสองคน คนโตเป็นถึงดร.เชียวนะ! ส่วนอีกคนก็เป็นสถาปนิกชื่อดัง...ถ้าบอกชื่อไปนายต้องรู้จักแน่ๆ" คนตัวเล็กข้างกายผมเล่าออกมาเสียงแผ่ว น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะสบายๆแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
"น่าภูมิใจดีหรอก"
"ภูมิใจสิ...ภูมิใจมาก" หมอนั่นยิ้ม แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามเลย "ครอบครัวฉันภูมิใจกับพี่ชายทั้งสองมาก...มันเลยกลายเป็นความผิดของฉัน ที่เลือกเรียนคณะนิเทศ..."
ผมหันไปมองอีกคนด้วยความไม่เข้าใจ เรียนนิเทศ...แล้วมันผิดตรงไหน
"พ่อฉันเป็นหมอ...แม่เป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดัง...นายว่าพวกเขาจะภูมิใจไหมล่ะที่ฉันเลือกเรียนคณะนี้" หมอนั่นหันมาสบตาผมพร้อมกับรอยยิ้มหยัน แววตาเศร้าสร้อยตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำใสๆที่เอ่อคลอ ผมมองสบดวงตานั้นด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนี้
...รู้สึกอยากจะดึงเข้ามากอดปลอบเหลือเกิน...
แต่เดี๋ยวก่อนสิ! ผ...ผมรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดเพี้ยนๆออกจากหัว คนตัวเล็กข้างหายขมวดคิ้วก่อนที่จะสูดน้ำมูกแล้วแหงนมองท้องฟ้าเหมือนต้องการให้น้ำตาตัวเองไหลย้อนกลับไป
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความชอบของเราไม่ใช่หรอ นายชอบแบบนี้...นายก็ต้องทำในสิ่งที่นายชอบให้มันออกมาดี พิสูจน์ให้เขาเห็นสิว่านายทำได้” ผมพูดออกมาเบาๆ อยากจะเขกหัวตัวเองที่เป็นคนปลอบใจคนอื่นได้แข็งทื่อซะเหลือเกิน
...มันต้องหวานกว่านี้สิวะ!...
“เอ่อ...หมายถึง คณะที่นายเรียนน่ะ...คนมีความสามารถจริงๆเท่านั้นแหละที่จะเรียนได้” ผมลูบท้ายทอยตัวเองเขินๆ หมอนั่นมองหน้าผมนิ่งๆก่อนที่จะเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา
“คิก~ นี่นายกำลังปลอบใจฉันหรอ”
“ช...ใช่ที่ไหนกัน!”
“แน่ะ! ไม่ต้องอายหรอกหน่า” หมอนั่นหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องตลกซะเต็มประดา ผอมถอนหายใจเซ็งๆก่อนที่จะหันหน้าหนีไปทางอื่น
...หมดกัน!...
“หยุดหัวเราะหน่า...”
“อะไรกัน...งอนฉันหรอ” เสียงหัวเราะยิ่งหนักขึ้น ผมขมวดคิ้วติดจะไม่พอใจเล็กๆ “โอเคๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ อย่าขมวดคิ้วแบบนั้นสิ”
“ฮึ!”
“โอ๋ๆ หายงอนเถอะน๊า~ แต่ก็ยังก็...ขอบใจนายนะ”
สัมผัสอ่อนโยนบนหัวผมคลายคิ้วที่กำลังขมวดกันลงได้อย่างเหลือเชื่อ ความเงียบเข้าปกคลุมเราสองคน...ไม่มีเสียงหัวเราะ...ไม่มีเสียงพูดคุย
...มีแต่เสียงหัวใจของผม..ที่เต้นแรงกับสัมผัสนุ่มจากฝ่ามือนั้น...
“ผมนายนุ่มจัง...”
“เพลินมือเชียวนะ”
“เอ้อ!...ขอโทษที” หมอนั่นชักมือกลับเหมือนนึกขึ้นได้ แถมยังยกมือเกาแก้มเหมือนเขินอะไรนักหนาเสียเต็มประดา
แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเสียดายด้วยล่ะวะ!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เสียงพูดคุยจากอีกคนยังคงมีมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่ผมเป็นคนค่อนข้างที่จะรำคาญคนพูดมากแท้ๆ...แต่กับคนข้างกายผมกลับรู้สึกว่ามันน่าฟัง...
“แล้วพี่ภัทรก็เหยียบหางมันเต็มๆ ตอนนั้นน่ะฉันแทบจะกรี๊ดให้แต๋วแตกรู้แล้วรู้รอดไปเลย!” หมอนั่นทำท่าตัวสั่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พี่ชายตัวเองขับรถเหยียบหางแมว...ผมหลุดขำท่าทางนั้นก่อนที่จะโดนอีกคนค้อนเข้าให้วงใหญ่
“หึหึ เด็กชะมัด”
“นี่! ฉันเป็นรุ่นพี่นายนะ!”
“โตแต่ตัวล่ะว๊า...แต่ว่าตัวก็ไม่ได้โตเท่าไหร่นี่หว่า”
“ไอ้บ้า! ฉ...ฉันแค่ไม่ชอบกินนมเว้ย!” หมอนั่นเถียงหน้าแดง...แต่คงไม่ใช่เพราะโกรธหรอก น่าจะอายมากกว่า “ใครจะสูงเหมือนเปรตอย่างนายล่ะ ม.ปลายแท้ๆ”
“แบบนี้เขาเรียกว่าหุ่นดีครับ”
“แหวะ!” คนตัวเล็กข้างๆหันมาทำท่าอ้วกใส่ผม...แต่ผมแอบเห็นนะว่าอีกคนหน้าแดง
...แกล้งซักหน่อยดีกว่า...
“แหวะเขาแล้วทำไมหน้าแดงล่ะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบที่หูเบาๆ หมอนั่นย่นคอหนีก่อนที่จะเอามือมาปิดหู
“ม...มาพูดใกล้ๆทำไมเล่า!”
“อะไรกัน...ไม่ใช่ว่าชอบหุ่นฉันหรอ” ผมยิ่งรุกหนัก มือเริ่มอยู่ไม่นิ่งคว้าเอวบางลากเข้ามาใกล้ตัว “ก็ไหนบอกว่าชอบคนสูงๆ หุ่นนักกีฬาไม่ใช่รึไง”
“ม...ไม่ใช่แบบนายก็แล้วกัน!” หมอนั่นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก มือไม้เริ่มแกะมือผมที่รัดเอวตัวเองอยู่ออก แอบเห็นนะว่าขนคอลุกตั้งชันเชียว
...น่ารักดี...
“เอามือออกไปสิ!”
“ไม่อ่ะ...อยู่แบบนี้สบายดี”
“แต่ฉันอึดอัด!”
“หรืออยากให้ทำมากกว่านี้ล่ะ” ผมแกล้งถามเสียงนิ่ง อีกคนหยุดชะงักทันทีพร้อมกับหันมามองผมด้วยแววตาที่แปลกออกไป
ผมสะดุดกับแววตาที่อ่านไม่ออกคู่นั้น ก่อนที่จะเอามือออกเมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มจะเล่นไม่เข้าเรื่องเสียแล้ว “โทษที...ล้อเล่นเฉยๆน่ะ” หมอนั่นไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาทางกายตอบกลับเช่นกัน
เราสองคนนั่งเงียบจนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันเริ่มอึดอัด ผมอยากจะตบปากตัวเองที่พูดล้อเล่นมากเกินไปจนทำให้อีกคนกำลังไม่พอใจแบบนี้
“อีกเรื่องที่นายยังไม่รู้...ฉันเป็นเกย์ล่ะ” ผมหันควับไปมองหน้าอีกคน ไม่ได้รู้สึกตกใจเรื่องที่หมอนั่นบอก...เพราะแค่ดูภายนอกก็ชัดเจนอยู่แล้ว
แต่ที่มันสะกิดใจผม...คือน้ำเสียงเจือแววสั่นเครือของอีกคนต่างหาก
...ผมทำหมอนั่นร้องไห้...“ฉัน...”
“และอีกเรื่องที่นายยังไม่รู้...ก็คือฉันเพิ่งถูกบอกปฏิเสธมา ฮึก! น่าขำใช่ไหมล่ะ!...โดนคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก ปฏิเสธทั้งๆที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่แล้วเชียว...” คำพูดที่ระบายออกมาเหมือนอัดอั้นมานานพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมานองหน้าทำเอาใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม คำขอโทษที่ผมกำลังจะเอ่ยปากออกไปจุกอยู่ที่คอหอยพร้อมกับความรู้สึกผิด
“อย่าร้องสิ...” บ้าชะมัด! ผมควรจะพูดอะไรที่มันดูนุ่มนวลกว่านี้ไม่ใช่รึไง...
“ฮึก...ไม่ได้ร้องซักหน่อย” คนข้างกายผมปาดน้ำตาลวกๆ ผมแอบยิ้มขำที่หมอนั่นยังมีหน้ามาเถียงด้วยน้ำเสียงอู้อี้แบบนั้น
“ขอโทษ...”
“ฮึ! จะขอโทษทำไม นายไม่ใช่คนที่ทำให้ฉันอารมณ์ค้างเสียหน่อย!” ผมหลุดขำกับคำพูดนั้นก่อนที่จะขมวดคิ้วทบทวนประโยคที่อีกคนพูดไว้ก่อนหน้านี้ใหม่
...กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มงั้นหรอ...
...มันเป็นใคร...“นายชื่ออะไร”
“อยากจะรู้ไปทำไม เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้วเหอะ”
“บอกมาเถอะหน่า”
“แล้วนายล่ะชื่ออะไร”
“เรียว”
“เรียวสุเกะรึเปล่า” หมอนั่นหัวเราะคิกคักทั้งๆที่ยังมีน้ำตาหลงเหลือให้เห็น “ฉันชื่อพอร์ช...หล่อเหมือนพอร์ชที่เป็นพระเอกป่ะล่ะ”
ผมไม่สนใจกับมุขหลงตัวเองที่อีกคนเอามาเล่น แต่กลับทำหน้าจริงจังใส่อีกคนแทน “วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก” กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปผมก็ตะครุบปากตัวเองเอาไว้ไม่ทันซะแล้ว หมอนั่นหันมามองหน้าผมพร้อมกับคิ้วที่ขมวดกันเป็นปม
“พูดอะไรไม่เข้าใจ”
...เอาวะ! ไหนๆมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว...
“ฉันบอกว่าวันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ห้ามทำแบบนี้...ห้ามชวนใครขึ้นเตียงง่ายๆแบบนี้อีก”
“นายเป็นพ่อฉันรึไง” คนตัวเล็กแต่ปากจัดทำเสียงสะบัดใส่ผม จมูกแดงๆที่เกิดจากการร้องไห้ยิ่งทำให้ใบหน้าหยิ่งๆนั้นดูน่าหมั่นเขี้ยวมากยิ่งขึ้น
“ฉันห้ามก็คือห้าม เข้าใจรึเปล่า”
“ไม่เข้าใจโว้ย! คนมันเหงา...มันก็ต้องหาคนมานอนกอดแก้เหงาสิ”
ผมคิ้วกระตุกกับคำพูดนั้น ก่อนที่จะดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงอีกคน...ไม่สนใจเสียงโวยวายที่กำลังต่อว่าว่าผมไร้มารยาท
ผมกดเบอร์ที่ตัวเองจำได้ขึ้นใจพร้อมกับเมมชื่อเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะยื่นมือถือคืนให้อีกคนที่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจอยู่ข้างๆ
“ถ้าเหงาก็โทรมา แต่ห้ามไปทำเรื่องแบบนั้นกับใครอีกเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะตามไปจูบสั่งสอนถึงเตียงแน่!”มีคำถามมากมายที่กำลังคาใจผมอยู่...ว่าทำไมต้องทำแบบนี้...ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร...ทำแล้วได้อะไร...แล้วผมมีสิทธิ์อะไรในตัวอีกคน
ผมปล่อยให้คำถามเหล่านั้นลอยอยู่ในใจและเลือกที่จะดึงอีกคนเข้ามากดจูบปิดปากที่กำลังจะโวยวาย...ไม่สนใจเสียงประท้วงที่ดังอื้ออึงอยู่ในลำคอของคนในอ้อมกอด
ผมรู้แค่ว่าผมยอมไม่ได้...และจะไม่ยอมให้พอร์ชทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด
และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...
...ปล่อยให้มันเป็นไปตามเสียงหัวใจเรียกร้องแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว...FINฮิ้ว~
น้องเรียวเขาก็มีคู่ของเขานะย๊ะ >///<
กำลังคิดว่าจะเอาเรื่องเรียวมาเขียนเป็นอีกเรื่องดีไหมหนอ...
นายเอกอายุมากกว่าซะด้วย...พล็อตโปรดเลย!
ขอบคุณที่ทุกคนยังรอ ยังถามไถ่ ยังจิกกัดทวงตอนพิเศษกันนะคะ
ซึ้งใจจริงๆ TwT
ยังค่ะ...ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีตอนพิเศษอื่นๆอีกนะ
รอกันหน่อย...แล้วเดี๋ยวจะมาชี้แจงเรื่องรวมเล่มค่า
อย่าลืมติดตามเรื่อง
╠ ♥ Love or Fight ● จะรักหรือจะร้าย ♥ ╣ กันด้วยนะคะ
ฝากเรื่องนี้เอาไว้ด้วย พระนายห้าคู่ทีเดียวเชียวล่ะ!
