สุดขีด 31ผมร้องอยู่นานจนแสบตาไปหมด หัวจะปวดตึบๆ สุดท้ายน้ำตาก็ยอมหยุดไหลสักที ผมรีบใช้มือปาดน้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้า ผ้าห่มบนตักเปียกชุ่มถึงขา ผมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนร้องไห้มันไม่อายแต่ตอนนี้ผมชักจะเริ่มอายแล้วสิ ร้องอย่างกับคนบ้าแน่ะ ที่พิลึกมากกว่านั้นคือ คนๆ นี้ไม่ได้เดินหนีแต่กลับมานั่งมองผมร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เงียบๆ ไม่เอ่ยคำปลอบใจอะไรทั้งสิ้น นั่งจ้องเงียบจนผมทำใจร้องไห้ต่อไม่ได้เลย
พี่เฮดีสยื่นผ้าเช็ดหน้าสีดำ... (ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผ้าของเขาเอง) มาให้ผมแต่ก็ยังไม่พูดอะไร ผมรับผ้ามาซับน้ำตาอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ผมต้องตาบวมแน่ๆ เช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยผมก็นั่งนิ่ง พอได้ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจไปแล้วโล่งโปร่งขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เหมือนเรื่องหนักอกได้ถูกยกไปแล้วครึ่งหนึ่ง บางครั้งการร้องไห้มันก็ดีอยู่เหมือนกัน ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พยายามดึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องสนใจความอึดอัดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“หิวหรือเปล่า?” พี่เฮดีสเอ่ยเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมร้องไห้อย่างหนัก ผมรีบพยักหน้ารับทันที พอโล่งอกก็เริ่มหิวขึ้นมาจริงๆ และคิดได้ว่าตัวเองนอนบนเตียงตั้งห้าวัน ควรจะรู้สึกหิวตั้งแต่ตื่นแต่เพราะบรรยากาศรอบตัวตึงเครียดถึงไม่รู้สึกตัว
“เอาเป็นข้าวต้มล่ะกัน เพิ่งตื่นกินอะไรอ่อนๆ ไปก่อน เดี๋ยวกระเพาะรับไม่ไหว”
ผมพยักหน้ารับ ไม่โต้เถียง พี่เฮดีสก็ลุกเดินออกไปจากห้องเงียบๆ
ผมมองตามแผ่นหลังของร่างสูงออกไปแล้วยิ้มกับตัวเอง เฮ้อ ถึงจะกดดันนิดหน่อยแต่พอมีพี่เฮดีสอยู่ด้วยผมก็รู้สึกสงบและปลอดภัย แม้พี่เฮดีสจะไม่ค่อยแสดงออกแต่ผมก็รับรู้ว่าเขาเป็นห่วงผมมากแค่ไหน พี่ฟีฟ่าเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ทำยังไงผมก็ไม่ตื่น พี่เฮดีสก็รีบติดต่อไปหาพี่ฟีฟ่าแล้วเล่าเรื่องอาการของผมให้ฟัง เพื่อไม่ให้ทางครอบครัวของผมตกใจ จากนั้นพี่เฮดีสก็ไปเจอกับพวกคุณอาด้วยตัวเอง เขาไปคุกเข่าขอโทษพร้อมกับเล่าทุกอย่างทำเอาพวกพี่ฟีฟ่าตกใจแทบช็อก เล่ามาถึงตรงนี้ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าพี่เฮดีสจะไปคุกเข่าขอโทษใคร เขาคือเฮดีสนะ! เฮดีสเลยนะ!
ผมเดาว่าเรื่องที่เขาเล่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องในอดีตด้วย เพราะอย่างนั้นท่าทางของพวกคุณอาในวันนี้ถึงได้พยายามทำให้ผมผ่อนคลาย ผมไม่รู้ว่าพี่เฮดีสรู้มากแค่ไหน ที่แน่ๆ เขาต้องไม่รู้ว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่หกคนที่ตายไป ยังเหลืออีกคนหนึ่งซึ่งแม้กระทั่งตัวผมเองยังไม่อยากจะเชื่อ แต่ความทรงจำที่พอหวนกลับไปนึกถึงก็ทำให้ตัวสั่นงันงกทุกครั้งนั้นมันชัดเจนยิ่งกว่าอะไร พอคิดถึงตอนที่เจอกับฝ่ายนั้นอีกครั้งที่โรงพยาบาลมันทำให้ผมขนลุก
ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นเขาจริงๆ
พอมาคิดทบทวนแล้วผมก็รู้สึกถึงจุดน่าสงสัย เมื่อสามปีก่อนเป็นเวลาเดียวกันกับที่เขากับอัญดาคบกันอยู่ เขามาที่นี้พร้อมกับอัญดา แต่ตอนอยู่โรงพยาบาลเขาเล่าว่าเพิ่งมาที่นี้ได้หนึ่งปีเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เขาเล่าให้ผมฟังก็โกหกทั้งหมดเลยน่ะสิ ทำไมเขาถึงทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้กับผม ผมไม่เคยทำอะไรให้เขามาก่อน หรือเป็นเพราะผมเป็นแฟนกับพี่เฮดีสก็เลยใช้ผมเพื่อทำร้ายพี่เฮดีส? แล้วทำไมเขาอยากทำร้ายพี่เฮดีสล่ะ? พวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ไม่น่าจะมีเรื่องให้บาดหมาง...เอ๊ะ?
ผมย่นหัวคิ้วแน่น
สาเหตุของเรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่...อัญดาคนนั้นหรอกใช่ไหม!
จะว่าไปเมื่อสามปีก่อนผมก็เคยเห็นอัญดาอยู่กับพี่เฮดีสด้วยนี่น่า ถึงจะเป็นการเจอกันเพราะบังเอิญเท่านั้นก็เถอะ เอ๊ะ หรือว่าตอนนั้น...ที่ห้างนั้น...ไนซ์ก็อยู่ด้วย! เป็นไปได้สิ! ตอนนั้นเขาต้องคบกับอัญดาอยู่นี่น่า ถ้าอย่างนั้นที่ผมเห็น เขาเองก็ต้องเห็นด้วยน่ะสิ แถม...ตอนนั้นเขาสวมรอยเป็นพี่เฮดีสด้วย อ่า...คงจะรู้ตอนนี้ล่ะมั้งว่าจริงๆ แล้วอัญดารู้ว่าเขาไม่ใช่พี่เฮดีสมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังใช้เขาเป็นตัวแทนพี่เฮดีสมาตลอด เขาก็เลยแก้แค้นพี่เฮดีสผ่านผมงั้นเหรอ!?
เขาทำเกินไปนะ!? พี่เฮดีสไม่ได้ผิดสักหน่อย!!! ผมขยุ้มผ้าห่มแน่นอย่างโมโห
“ข้าวต้มหมู” พี่เฮดีสเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดสีขาวนวล บนถาดมีชามข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผมปล่อยมือจากผ้าห่มแล้วรับถาดที่พี่เฮดีสประคองมาวางให้
จากนั้นเขาก็หันไปรินน้ำวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันมามองผมที่เริ่มตักข้าวต้มกินอย่างหิวโหย อืมมมม เป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลย ข้าวต้มอุ่นๆ ตกลงท้องจนอุ่นวาบ ผมก็อยากจะน้ำตาไหล ในที่สุดกระเพาะผมก็ไม่ว่างจนส่งเสียงประท้วงอีกแล้ว ผมทานอย่างเพลิดเพลินจนหมดชามชั่วพริบตา พี่เฮดีสส่งแก้วน้ำให้กับผมและรับถาดชามข้าวต้มไปวางไว้ ผมดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วยื่นให้พี่เฮดีส
“เพิ่งกินข้าวคงนอนไม่ได้ งั้นเรามาคุยกันดีกว่า”
ผมเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“...ขอโทษ”“เอ๋? ขอโทษทำไมครับ? มะ...ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย” ผมสะดุ้งแล้วรีบเอ่ยท้วงอย่างไม่เข้าใจ โบกมือไปมา
“เรื่องที่ลบความจำของนาย”
เอ๊ะ อ้อ! ผมตกใจตั้งรับแทบไม่ทัน จู่ๆ ก็เข้าเรื่องเลยเหรอเนี่ย!? ไม่มีอารัมภบทเลยสักนิด ผมรีบเก็บมือไว้บนตักของตัวเองแล้วเงียบไป ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจการที่เขาทำแบบนั้น ผมรู้ดีว่าเขาหวังดีกับผม ทนเห็นผมเจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้ แต่ว่า...ผมโมโหอยู่นิดหน่อย ผมเม้มปากทำเสียงขึ้นจมูกเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เรื่องนี้ผมโมโหจริงๆ นั่นแหละ!” พอเหลือบไปมองเขาใจก็อ่อนยวบ ท่าทางของพี่เฮดีสเหมือนรู้สึกผิดจริงๆ มันดูน่าสงสารชวนเห็นใจพิลึก
ผมกลืนน้ำลาย ตั้งใจจะอบรมสั่งสอนพฤติกรรมไม่ถูกไม่ควรของเขาต่อไป ผมต้องใจแข็งเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นในอนาคตถ้าเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีกก็ล่ะมีหวังเขาต้องลงมือลบความทรงจำของผมอีกแน่ นี่มันไม่ยุติธรรม! ถ้าเกิดเขานอกใจไปมีคนอื่นแล้วผมจับได้ เขาก็ลงมือลบความทรงจำผมให้ลืมไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะว่ายังไงล่ะ!? เอ่อ ถึงผมจะค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่มีนิสัยโลเลมักง่ายแบบนั้นก็ตาม
“ก่อนที่ผมจะลบความทรงจำพี่ถามผมสักคำหรือยังว่าผมต้องการแบบนั้นไหม? เปล่าเลย พี่ไม่ได้ถามผมสักคำ พอมาถึงก็พูดพล่ามอยู่คนเดียว ไม่ปล่อยให้ผมได้ตอบเลยสักคำ ตอนนั้นพี่รู้หรือเปล่าว่าผมดีใจแค่ไหนที่พี่กลับมาเยี่ยมผมอีก แต่พี่กลับทำบ้าๆ อย่างลบความจำของผม แถมพี่ยังกล้าใช้คำพูดให้ผมขยับตัวไม่ได้อีก!”
ยิ่งพูดยิ่งขึ้น ผมโมโหขึ้นมาจริงๆ เมื่อย้อนไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ถ้าผมสามารถพูดออกไปได้ ป่านนี้อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ ผมได้อยู่กับเขา และบางทีอาจจะได้เข้าเรียนคณะเดียวกัน พอคิดถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้าหวือ ชักจะออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว ผมหันไปมองพี่เฮดีสอีกครั้ง คราวนี้เขาหน้าซีดทำหน้าอึ้ง มองผมที่ระเบิดคำพูดออกมามากมาย
อ้อ นี่ยังไม่หมดหรอกนะ!
“ฮึ ตอนนั้นผมโมโหขนาดไหน พยายามจะห้ามไม่ให้พี่ทำแต่พี่ก็ไม่สนใจความคิดของผมเลย ผมไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย พี่ช่วยเชื่อมั่นในผมหน่อยได้ไหม ถ้าเกิดมีครั้งต่อไปอีกล่ะก็...ต้องไม่มาให้ผมเห็นหน้าจะดีกว่า!”
“...” พี่เฮดีสนั่งเงียบ ท่าทางเหมือนยอมให้ผมย่ำยี เอ๊ย ระบายอารมณ์ใส่แต่โดยดี เห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งได้ใจ รีบเอ่ยทับอย่างจริงจัง
“ถ้าพี่ไม่ลบความทรงจำของผมไป ผมก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายเป็นครั้งที่สองหรอก!”
ผมสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์สั่นประสาทเหล่านั้น แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปนานแล้ว แต่เมื่อหวนคิดถึงทีไรก็ทำให้ผมหวาดกลัวจนตัวสั่น เหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ทุกภาพที่เกิดขึ้นผมยังจดจำฝังลึกอย่างหวาดผวาในห้วงความทรงจำ
พี่เฮดีสยื่นมือมาแตะแขนผมเบาๆ ผมสะดุ้งเฮือก เหงื่อแตกพรั่กเต็มหน้า พี่เฮดีสมองมาด้วยสายตาปลอบโยน ผมกัดฟัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พยายามไล่ความกลัวจนปวดหนึบไปทั่วสรรพางค์ ผมบ่นต่อ ใส่อารมณ์ไม่หยุด สักพักก็รู้สึกคอแห้ง พี่เฮดีสหันไปเทน้ำใส่แก้วบริการให้เหมือนอย่างดี ผมยังทำหน้าขัดเคือง ไม่ยอมให้อภัยง่ายๆ แต่ก็ยอมรับแก้วน้ำมาจิบ พอจิบน้ำจนลำคอชุ่มชื่นขึ้นมาบ้างก็เปิดปากพร่ำต่อ ไม่ให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสตั้งรับได้ทัน
“พี่ยังจำคำพูดของตัวเองในวันนั้นได้ไหม?”
“อือ เรื่องเกี่ยวกับนาย ไม่เคยลืมแม้แต่เรื่องเดียว”
ผมเงียบ เชิดหน้าเล่นใหญ่ ไม่สนใจคำพูดหวานหูที่เขาเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่ง น้ำเสียงหนักแน่น
“พี่ยังยืนยันคำพูดของตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
เขาเงียบ ผมก็พูดต่อ “ที่บอกว่าถ้าเราไม่เจอกันก็คงดีนั่นไงล่ะ”
พูดไปเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาสักอย่าง ผมจึงถอนหายใจ ไม่รอให้เขาส่งสัญญาณสนองกลับก็เอ่ยถามอีกครั้ง “พี่ยังคิดว่าถ้าเราไม่ได้เจอกันก็คงจะดีอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?”
เงียบไปอยู่นาน เขาก็จะอ้าปากตอบ แต่ผมส่งเสียงห้ามเข้าไว้อย่างลนลาน
“ไม่ต้อง ไม่ต้องตอบแล้ว!”
เขาหยุดแล้วมองผมที่ทำหน้าหงิกนิ่งๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังจะพ่นคำพูดชวนโมโหออกมา เพราะไม่อยากจะอารมณ์เสียมากไปกว่านี้ผมจึงหยุดเขาเอาไว้ก่อน ให้ตายเถอะ พอเห็นสีหน้าเขาแล้วผมพลันรู้สึกว่าตัวเองเป็นท่านเจ้าคุณกำลังข่มเหงนางทาสอยู่เลยเนี่ย ท่าเจียมเนื้อเจียมตัวน้อยอกน้อยใจในโชคชะตาอันต่ำต้อยของเขาแล้วผมอยากจะหัวเราะขำ แต่มันไม่ใช่เวลาหัวเราะน่ะสิ ยังไงก็ต้องทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของผมให้กระจ่างก่อน
“พี่บอกว่าการได้รู้จักผมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมไม่ใช่ แค่รู้จักกันจะไปดีอะไรมากมาย” ผมหยุดเล็กน้อย รู้สึกกระดากนิดหน่อย ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยต่อไปด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด พร้อมกับจ้องดวงตาสีดำสนิทคู่สวยของเขา เป็นการบอกใบ้ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“การได้อยู่กับพี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมจะอยู่อย่างมีความสุขได้ยังไงถ้าไม่ได้อยู่กับพี่ แค่นี้พี่ไม่รู้เลยหรือไง พี่มันโง่กว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก!”
พูดไปก็หน้าแดงไป เฮ้อ ไอ้การมาพูดความในใจหวานซึ้งนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ต้องมีความด้านในระดับหนึ่งทีเดียว อาจเพราะผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมจึงมีความกล้าที่จะพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกไป ผมแอบชำเหลืองมองพี่เฮดีสแต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเขาลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วพุ่งเข้ามากอดผมไว้หมับ
“ได้ ต่อไปเราจะอยู่ด้วยกัน” เขาพึมพำบอกผมข้างหูซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังจะบอกทั้งผมและตัวเอง คล้ายให้คำสัญญากับผม
ผมพยักหน้า ยกแขนโอบกอดเขาไว้แน่น ซึมซับอุณหภูมิความอบอุ่นจากร่างกายแข็งแกร่งของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ บนเสื้อผ้าของเขาทำให้ผมรู้สึกว่าอ้อมกอดนี้เป็นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ผมขยับริมฝีปากแย้มยิ้ม ก่อนจะชะงักเมื่อคิดอะไรออกมาได้
“พี่ ผมถามอะไรพี่ตอบมาตรงๆ นะ” ผมเกริ่นเสียงเคร่งเครียด เขาเงียบ ผมจะคิดซะว่ามันคือการตกลงล่ะกัน ผมเม้มปาก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเอามากๆ
“สามปีที่ผ่านมาพี่นอกใจผมไปกี่ครั้งแล้ว?”“...” พี่เฮดีสชะงักกึกเหมือนตุ๊กตาที่ไขลานหมด
ผมผละออกจากอ้อมกอดอันแข็งทื่อของเขา จับตัวอีกฝ่ายผลักถอยออกไปเบาๆ เลิกคิ้วขึ้นสูงคล้ายเป็นการขอคำตอบ สายตาของผมจ้องเขม็งแทบจะเป็นการถลึงตาใส่ ผู้ต้องหาเงียบไม่พูดอะไรสักอย่าง ทำหน้านิ่งประดุจจะปฏิเสธทุกข้อหากลายๆ ผมกัดฟันกรอด
“ตอบไม่ได้ เพราะนอกใจไปนับไม่ถ้วนเลยล่ะสิ!”
โอ๊ยยย แน่ล่ะ! ถึงเขาจะดูน่ากลัวไปสักหน่อย แต่ก็เป็นผู้ชายที่เลิศเลอไปเสียทุกอย่าง ต่อให้น่ากลัวแค่ไหนมันก็กลายเป็นเสน่ห์ยั่วยวนให้ผู้คนหลั่งไหลเต็มใจเสนอตัว เรียกได้ว่าเรียงคิวกันนับสิบกิโลเมตรก็ยังไม่ถือว่าพูดเกินไป มีหรือผู้ชายสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่งที่ไม่ได้ถือข้อห้ามเฉกเช่นพระจะปฏิเสธเนื้อกายพวกนั้น
พี่เฮดีสนิ่งอยู่นาน ก่อนจะก็พยักหน้ารับตรงๆ ผมที่คาดเอาไว้ก่อนแล้วยังอดฉุนไม่ได้
“นายเองก็มีแฟนนี่”
“มันไม่เหมือนกัน! ผมน่ะบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้แต่ริมฝีปากยังไม่เคยแตะเลย”
ใช่ อย่างมากที่สุดผมก็จับมือเท่านั้น เพราะแบบนี้ยังไงล่ะถึงถูกเหล่าแฟนสาวทอดทิ้งเป็นประจำ จนแทบไม่มีกะจิตกะใจจะคบกับใครพักใหญ่ จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยุ่งหัวหมุนทุกวันไม่มีเวลาไปคิดเรื่องทำนองนี้ พอคิดย้อนไปแล้วชีวิตผมมันช่างคล้ายพระสงฆ์ผู้ถือศีลเคร่งครัดจริงๆ นี่ถ้าเกิดหาผ้าเหลืองมาห่มล่ะก็มันใช่เลย มิน่าพวกเพื่อนๆ ถึงได้เรียกผมว่า หลวงพี่! ยิ่งคิดก็รู้สึกว่าวิถีชีวิตแบบนี้สมควรแล้วที่จะถูกตั้งฉายาแบบนั้น
อีกอย่างผมจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้นี่ แต่เขาจำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นผมเป็นฝ่ายถูกนอกใจอย่างแน่นอน ผมสะบัดหน้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาไร้ยางอายของเขา รู้เลยว่าเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร ผมเริ่มโมโหเมื่อคิดว่าสามปีที่ผ่านมามีคนมากมายได้แตะต้องคนรักของผมบ้าง ผมตกใจไม่น้อยที่ตัวเองหึงหน้ามืดแบบนี้ ค่อยๆ ระงับอาการหึงหวงตาร้อนผ่าว และตัดปัญหาด้วยการทิ้งตัวลงนอน โบกมือไล่อีกฝ่ายออกไป
ผ่านไปสักพักใหญ่ ผมยังรู้สึกว่าเขายังนั่งอยู่ข้างๆ เหมือนเดิม
“เนเน่ วันนี้วันเกิดพี่ นายจำได้หรือเปล่า?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างใจเย็น แม้จะเย็นเยือกเช่นปกติแต่มันก็อ่อนโยนมาก
จริงสิ จะว่าไปแล้ววันนี้เป็นวันเกิดของพี่เฮดีสนี่น่า ผมนับวันเวลาในใจ ถ้าเขาไม่พูดขึ้นผมเองก็จำไม่ได้เลยน่ะเนี่ย อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันเกิดของเขาอย่างตื่นเต้นแท้ๆ
“นายจะไม่เป่าเทียนวันเกิดร่วมกับพี่หน่อยเหรอ?”
ทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน เชอะ! ผมลุกขึ้นนั่ง หันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ พี่เฮดีสหันไปหยิบเค้กเล็กๆ ที่ไม่รู้เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไร เขาขยับตัวเข้ามาหา ใช้มือโอบไหล่ของผม ผมเหล่มองตาเขียว ทำเนียนโอบ ผมยังไม่ได้หายโกรธหรอกนะ ระหว่างที่เขาจุดเทียนเล่มน้อยบนเค้กชิ้นเล็กผมก็ถามอย่างสงสัย
“ไม่ได้จัดงานวันเกิดแล้วเหรอครับ?”
“ยกเลิกไปแล้ว แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ในวันเกิดมีนายอยู่ด้วยก็เลยจัดวันเกิดเล็กๆ ขึ้นเอง”
ยกเลิก!? ทำไมถึงยกเลิกไปซะล่ะ วันเกิดของพี่เฮดีสทั้งที ที่แน่ๆ พี่ชายที่รักน้องโอเว่อร์ที่สุดในสามโลกอย่างพี่โพไซดอนจะต้องไม่พลาดจัดงานฉลองวันเกิดให้น้องชายอย่างแน่นอน
“ทำไมถึงยกเลิกล่ะครับ?”
“มา นายร้องเพลงสิแล้วพี่จะได้เป่าเทียน” พี่เฮดีสเอ่ยเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน นี่ถ้าผมยังเอ๋อๆ เหมือนแต่ก่อนก็คงไม่รู้สึกตัวว่าเขาพยายามเลี่ยงที่จะตอบ ผมขมวดคิ้วนิดๆ แล้วยอมตามใจเจ้าของวันเกิด หันมาสนใจเค้กตรงหน้า แม้จะสงสัยแค่ไหนก็ตาม
ผมกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเปล่งร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดพร้อมกับปรบมือให้จังหวะตัวเอง พี่เฮดีสมองผมด้วยดวงตาสีเข้มที่คล้ายกับกำลังยิ้ม แม้จะอายกับการร้องเพลงด้วยเสียงห่วยแตก แต่เมื่อเห็นเขามีความสุข ผมยิ่งรู้สึกมีความสุขมากกว่า ร้องจบก็ปรบมือรัวๆ เชิญเจ้าของวันเกิดอธิษฐานก่อนเป่าเทียน
พี่เฮดีสหลับตาอธิษฐานแล้วเป่าเทียนบนเค้กก้อนเล็ก ครั้งเดียวแสงน้อยๆ ก็พลันดับลงเหลือไว้แค่ควัน
พี่เฮดีสหันไปวางเค้กเอาไว้ ไม่แตะต้องเค้กชิ้นนั้น
“พี่ไม่กินเหรอ?”
“ไม่ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
“หา เอาจริงดิ?” ผมผงะตกใจ เห็นสีหน้าราบเฉยของเขาก็ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายพูดจริง พี่เฮดีสมองผมอยู่นานแล้วเอ่ยเสียงราบ
“ล้อเล่น”
เล่นมุขแบบหน้าจริงจังเกิน!
“นายอยากกิน?” เขาถาม ผมไม่ทันได้ตอบ เขาก็หันยื่นนิ้วไปตักครีมบนเค้กเข้าปาก อะไรกัน ถามผมว่าอยากกินไหมแต่ดันตักกินเองซะนี่ ผมมองสีหน้าของเขา กะอีแค่เค้กก้อนเล็กๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนถูกขื่นใจให้กินเลย ขนาดทาร์ตไข่ยังชอบกินไม่ใช่หรือไง
“อร่อยไหม?” ผมเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ คล้ายจะพอใจที่ได้เห็นสีหน้ากล้ำกลืนของเขา แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่ผมก็ยังแกล้งถามไปอย่างนั้น
พี่เฮดีสไม่ตอบอะไร คว้าคอของผมแล้วขยับมาใกล้ ประกบริมฝีปากแนบชิด ดุนดันลิ้นนุ่มลื่นสอดเข้ามาเกี่ยวคลุกเคล้าภายในโพรงปาก สัมผัสนุ่มนิ่มพร้อมกับรสครีมหวานเลี่ยนของเค้กทำให้ผมครางเสียงแผ่ว ร้อนวาบหวามในอก ผ่านไปสักพักใหญ่จูบอันนุ่มนวลหอมหวามละเมียดละไมดุจครีมเค้กก็จบลงอย่างอ้อยอิ่ง
“หวานจัง”
“เค้กก็ต้องหวานอยู่แล้วล่ะ”
“เปล่า พี่หมายถึงปากนายต่างหาก”
“น้อยๆ หน่อย เมื่อกี้ผมเพิ่งกินข้าวต้มที่โคตรเค็มไปนะ!” ผมร้องขัดแทบจะลิ้นพันกัน ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ปากพ่นคำหวานไม่พอ แม้แต่สายตายังหวานเสียจนผมอยากจะพลีกายถวายแก่หนุ่มรูปงามคนนี้
พี่เฮดีสยิ้มเล็กๆ แวบเดียวแต่มันก็ทำให้ผมตาพร่ามัว ถูกรัศมีความหล่อพุ่งชนจนเคลิบเคลิ้ม นี่ถ้าไม่ติดว่าร่างกายไม่แข็งแรงล่ะก็...ฮึ! พูดเล่นนะครับ ผมก็แค่เล่นมุขไปอย่างนั้น ไม่คิดจะทำจริงหรอก!
“พี่อายุยี่สิบเอ็ดถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วสินะ”
“ใช่ แต่งงานได้แล้ว”
ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขาก็วนกลับมาเรื่องที่ผมพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง ผมกำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี แต่เขาก็เอ่ยขึ้นซะก่อน
“ฉันเฝ้ารอวันนี้มาตลอดสามปี วันที่อายุครบยี่สิบเอ็ดปี” เขาเอ่ยเสียงนิ่งๆ ที่ติดเย็นชามีความยินดีจนล้น สีหน้าของเขานิ่งราบเรียบติดเย็นชาเช่นปกติ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่ามันชวนเสียวสันหลังวาบชอบกล
“ทำไมเหรอครับ?” ผมกลั้นใจถามออกไป เขาไม่ตอบแต่เอ่ยถามกลับมาแทน
“นายอยากรู้ไหมว่าทำไมวันนี้ถึงยกเลิกงานวันเกิด?”
ผมชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับ แม้จะแปลกใจที่จู่ๆ เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่ในตอนแรกเขาบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึง พี่เฮดีสเหลือบสายตามามองผมด้วยสายตาเย็นเยียบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ชวนขนลุก
“วันนี้ฉันไว้อาลัยให้กับพี่ชายที่กำลังจะตาย”
เปรี้ยง!เหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว ผมเบิกตากว้าง เอ่ยปากค้าง
มะ...หมายความว่ายังไง!?
พี่ชาย!? พี่ชายคนไหน!? พี่ซูส? พี่โพไซดอน? ระ...หรือว่าไนซ์!?
ทะ...ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
สมองของผมแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก ผมกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น มองอีกฝ่ายไม่วางตา เอ่ยถามอะไรไม่ได้ ลิ้นเหมือนแข็งด้านไปพร้อมสมอง ริมฝีปากได้รูปสวยค่อยๆ ยกสูงขึ้นช้าๆ ปรากฏรอยยิ้มแสนสะพรึง ดวงตาฉายแววเหี้ยมจนทำให้ผู้คนขนลุกชัน เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ
“โทษฐานที่มาทำให้ฉันเจ็บแค้น จากนี้ไป ‘มัน’ จะได้ซาบซึ้งถึงความโหดเหี้ยมที่แท้จริงของ ‘เฮดีส’ ผู้นี้”
TBC.มาต่อแล้วจ้ะ เสียเวลาไปกับบทง้องอนของสองคนนี้ไปหน่อย
เปิดฉากการแก้แค้นและการต่อสู้ของคู่ฝาแฝด และ
จากนี้ไปเนรัญจะเปลี่ยนไป น้องจะไม่ใสซื่ออีกแล้ว(?)!
ในใจก็อยากจะมีฉากเป่าเทียนของคู่แฝดคู่นี้จริงๆ แต่เฮดีสคงไม่เอาด้วย
