15
กระจ่าง
ประตูรั้วอัลลอยสีขาวลวดลายสวยงามถูกสั่งให้เปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีแขกมาเยือน รถยนต์ของนิธิศแล่นเข้าไปตามถนนคอนกรีตที่ทอดยาวเข้าไปถึงตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ใครหลายๆคนอาจจะเคยได้เห็นเพียงแค่ในละครหลังข่าวเท่านั้น
...บ้านของติณภพ
ร่างสูงที่ทำหน้าที่เป็นคนขับเหมือนทุกทีเหลือบตาไปมองวิพารันต์ที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างๆ
เรื่องเกี่ยวกับวิพารันต์ เรื่องที่เขาไม่รู้ เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เรื่องที่ตอนโทรมาติณภพบอกว่าไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจผ่าน
ทางโทรศัพท์ได้ เรื่องที่ต่อให้พยายามคิดยังไงก็หาทางจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คุณนิธิศกับคุณวิพารันต์ใช่ไหมคะ คุณท่านรอพบอยู่ด้านในแล้วค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเดินออกมาทำหน้าที่ต้อนรับทั้งพวกเขาทั้งสองคนทันทีที่เข้ามาถึงภายในตัวบ้าน ก่อนจะเดินนำเข้าไปที่ห้องรับแขกที่มีติณภพนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
วิพารันต์กวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างดี
คุณลุงคนที่เจอในงานเลี้ยงกับที่ร้านของมาริสา นิธิศบอกว่าที่ต้องมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะคุณลุงคนนี้มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกเขา
“...เชิญนั่งกันก่อนสิ”
เจ้าของบ้านเอ่ยปากขึ้นทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่สาวใช้คนนั้นเดินออกไปแล้ว บรรยากาศแปลกๆที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นนิธิศก็ยังยิ้มรับคำเชื้อเชิญของอีกฝ่ายแล้วจูงมือวิพารันต์มานั่งด้วยกัน
“ขอโทษนะที่ต้องเรียกให้มาพบกันถึงบ้านแบบนี้...”
ติณภพเริ่มเปิดบทสนทนาก่อนที่จะหยุดนิ่งไปสักพักเหมือนต้องการที่จะเรียบเรียงสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้เรื่องราวที่ฟังดูแล้วอาจจะโหดร้ายสำหรับคนฟังไปบ้าง แต่นี่ก็คือความจริง ความจริงที่เขาต้องบอกให้เด็กคนนี้ได้รับรู้
“อย่างที่บอกไปแล้วทางโทรศัพท์ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับรัน ถึงมันอาจจะฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ผมก็อยากให้ทั้งสองคนฟังให้จบก่อนที่จะถามอะไร...”
เรื่องราวในอดีตถูกถ่ายทอดออกมาท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องรับแขกขนาดใหญ่ ทุกความเป็นมาและเป็นไป ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอดีตที่ติดเป็นตราบาปมาจนถึงทุกวันนี้ สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีต...ที่โหดร้ายสำหรับเด็กคนหนึ่งอย่างวิพารันต์...
‘ผมสั่งให้วิชุดาไปเอาเด็กคนนั้นออก...’ประโยคเดิมที่ยังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวสมอง ประโยคสั้นๆที่เป็นเสมือนมีดที่กรีดลงไปในหัวใจ
หยาดน้ำตาใสๆไหลลงมาอาบแก้มนวลโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากจะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังได้ยินนัก แต่ทว่านั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้อยคำที่ชัดเจน น้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกเลยสักนิดว่าคนคนนี้กำลังพูดเรื่องโกหก
หากแต่ในที่นี้...มีแต่ความจริงที่เจ็บปวดเท่านั้น...
คนที่ไม่มีใครต้องการ เพิ่งเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันก็วันนี้ ก็แค่เด็กที่เกิดมาจากความพลั้งเผลอ เพราะเป็นแบบนี้เองสินะ แม่ถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องของพ่อให้ฟัง พอรู้แบบนี้ เรื่องที่ผ่านมาก็ดูไม่น่าแปลกใจเลยว่าเมื่อก่อนทำไมแม่ถึงไม่เคยรัก ไม่เคยพูดดีๆด้วย
ที่ยอมให้เกิดมา แม่ก็คงนับว่าเป็นบุญคุณมากแล้ว...
“ทั้งหมดนี่ ท่านกำลังจะบอกผมว่า ท่าน...เป็นคุณพ่อของรันเหรอครับ...”
มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาไม่ต่างอะไรกับนิธิศที่นั่งกำลังนั่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน น้ำเสียงที่ถามออกไปเต็มไปด้วยความสับสน แม้ว่าสิ่งที่ติณภพเล่ามาจะบ่งบอกได้ชัดเจนแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังอดที่จะถามย้ำกลับไปอีกครั้งให้แน่ใจไม่ได้
เบื้องหลังของคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ เรื่องราวในอดีตที่ไม่มีใครเคยรับรู้ เรื่องที่แค่คนนอกอย่างเขาฟังแล้วยังรู้สึกสะเทือนใจได้มากขนาดนี้ แล้วคนที่เป็นลูกอย่างวิพารันต์ล่ะจะรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน
“ครับ ผมเป็นพ่อ พ่อของเด็กคนนี้ พ่อที่ในอดีตเคยทำเรื่องที่เลวร้ายกับเขาเอาไว้...”
เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากเอามาล้อเล่น ติณภพตอบด้วยสีหน้าและแววตาที่เศร้าสร้อย ยิ่งเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างวิพารันต์ร้องไห้แบบนี้แล้วยิ่งพาลให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม
จะต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงถึงจะชดเชยในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด
“รัน พ่อขอโทษ...พ่อขอโทษ”
น้ำเสียงที่เว้าวอนพร้อมกับร่างของติณภพที่พยายามจะขยับเข้าไปคว้าร่างบอบบางของลูกชายเข้ามากอดน้ำตาที่ไม่มีให้เห็นมานานจนแทบจะลืมสิ่งที่เรียกว่าการร้องไห้ไปแล้ว วินาทีนี้ไม่สนแล้วว่าใครจะมองว่ายังไง จะมีก็เพียงแต่ตอนนี้เท่านั้นที่เขาลืมไปแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร ไม่ใช่ท่านประธาน ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไร แต่เป็นแค่พ่อที่นิสัยไม่ดีคนหนึ่ง
เขา...เป็นได้แค่นั้นสำหรับลูก
ร่างเล็กขยับหลีกเลี่ยงสัมผัสของใครอีกคนที่เริ่มเข้ามารุกราน ถอยหนีซุกเข้ากับอกของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ยอมให้ติณภพแตะต้อง
“รัน...”
ติณภพครางเสียงแผ่ว ใจเหมือนจะขาดเมื่อเห็นปฏิกิริยาต่อต้านแบบนั้นของวิพารันต์ ลูกคงไม่อยากยอมรับพ่อแบบนี้ ลูกคงไม่ต้องการพ่อที่เคยทอดทิ้งตัวเองไป
“ท่านครับ ผมว่า...ให้เวลารันเขาทำใจสักพักเถอะนะครับ”
นิธิศว่าพลางกอดปลอบคนตัวเล็กในอ้อมแขนที่ตอนนี้สะอื้นจนตัวโยน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของติณภพ แต่ตอนนี้ คงจะเป็นจิตใจของวิพารันต์มากกว่าที่บอบช้ำมากกว่าใครๆ
...........................
...........................................
“...แล้วต่อจากนี้ท่านคิดจะทำยังไงต่อไปครับ”
ร่างสูงเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากที่วิพารันต์ร้องไห้จนหลับคาอกเขาไปแล้ว เรื่องที่จะต้องถามให้แน่ใจ เรื่องในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะเขาเล็งเห็นแล้วว่าเรื่องนี้มันคงไม่ใช่ง่ายๆอย่างที่คิด
“ผมอยากรับลูกมาอยู่ด้วยกัน อยากชดเชยให้เค้าในสิ่งที่ผ่านมา แต่จากที่ดูแล้ว บางทีลูกคงจะไม่ยอมรับผมง่ายๆ...”
ท่านประธานกล่าวเสียงเบา มือหนายื่นไปลูบศีรษะวิพารันต์ที่กำลังนอนหลับสนิท หลับไปทั้งๆที่ใบหน้าหวานยังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างจะละเอียดอ่อนนะครับ การที่จะให้รันยอมรับอะไรในทีเดียวเลยมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อเรื่องที่ท่านเล่ามาหรอกนะครับ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรกันต่อไป ผมอยากให้ทั้งสองคนไปตรวจดีเอ็นเอกันอย่างจริงๆจังๆเสียก่อน”
นิธิศเสนอความเห็นที่ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนอกเหนือจากเอกสารหลักฐานที่ได้เห็น เพราะหากเขาจะต้องปล่อยให้เจ้าตัวเล็กลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของตัวเองแล้ว เขาก็อยากจะทำให้ตัวเองแน่ใจที่สุดว่าเจ้าตัวจะได้กลับไปอยู่กับพ่อแท้ๆของตัวเอง ที่จะสามารถให้ความรักและดูแลให้ความอบอุ่นกับหัวใจดวงเล็กๆที่ต้องทนเจ็บปวดมานานของวิพารันต์ได้อย่างเต็มที่
“ยังไงผมก็คิดจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว คุณนิธิศไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ส่วนเรื่องของรัน...เมื่อทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่เราคงต้องมาคุยกันอีกที”
ติณภพยิ้มให้น้อยๆกับความคิดที่เหมือนกับเขาของคนตรงหน้า เพราะเรื่องการตรวจดีเอ็นเอนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตัวเขาเองคิดเอาไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากถ้าหากไม่มีการตรวจพิสูจน์นี้เกิดขึ้น ก็คงจะเป็นการยากที่ญาติๆรวมไปถึงสังคมคนรอบข้างจะยอมรับวิพารันต์ในฐานะทายาทของเขาได้
นิธิศนั่งอยู่แบบนั้นรอจนวิพารันต์ตื่นขึ้นมาจึงได้ลาติณภพแล้วพาเจ้าตัวกลับมาที่ห้อง ซึ่งตอนก่อนจะกลับนั้นเจ้าตัวเล็กเองก็ยังคงไม่ยอมมองหน้าและไม่ให้คนเป็นพ่อสัมผัสเนื้อตัวจนร่างสูงเองก็อดที่จะเห็นใจติณภพไม่ได้เหมือนกัน
“เด็กดี ไม่เป็นไรนะครับ”
ร่างสูงเดินเข้าไปหาวิพารันต์ที่ยังนั่งซึมอยู่บนโซฟาตั้งแต่กลับมาจากบ้านของติณภพ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนที่ทำให้สบายใจได้ทุกครั้ง ที่เดียวและคนเดียวที่สามารถช่วยเยียวยาจิตใจที่กำลังบอบช้ำได้ ร่างกายโน้มเอียงไปตามความรู้สึกที่มากขึ้น สัมผัสที่อยากจะได้มากกว่านี้
กอดกระชับกันให้แน่นยิ่งขึ้น แน่นจนรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นหัวใจของกันและกัน กอด...การกระทำเดียวของร่างกายที่ทำให้หัวใจได้อยู่ใกล้กันมากที่สุด
“คนเราไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบหรอกนะครับ ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนแล้วแต่ต้องเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น...”
นิธิศพูดพลางลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆไปด้วยเป็นการปลอบ
“...พี่เข้าใจความรู้สึกรันนะ แต่บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักคำว่าให้อภัยกัน แล้วยิ่งถ้าเป็นคุณพ่อของตัวเองแล้วด้วย ถึงในอดีตสิ่งที่ท่านทำมันจะไม่ถูกต้อง แต่อย่างน้อย...ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้รันได้เกิดมาทำให้รันได้มานั่งอยู่ตรงนี้ และที่สำคัญ...ทำให้เราสองคนมาเจอกันด้วยนะ”
เข้าใจและรับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี หากแต่ตอนนี้ตัววิพารันต์เองยังไม่อยากคิดอะไรให้มากมาย ยังอยากอยู่แบบนี้ อยู่ในอ้อมกอดนี้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้นานอีกหน่อย นานพอที่หัวใจที่กำลังอ่อนแอจะเข้มแข็งขึ้น นานพอที่จะทำให้ตัวเองกล้ากลับมาเผชิญหน้ากับปัญหา และยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต...
ชีวิตที่ต้องมีผู้ชายอีกคนที่เรียกว่าพ่อเข้ามาเกี่ยวข้อง...
.........................
........................................
การเตรียมเอกสารเพื่อดำเนินการเรื่องตรวจดีเอ็นเอของทั้งสองคนถูกเตรียมให้เสร็จสิ้นภายในสามวันหลังจากนั้น เอกสารสำคัญบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้เช่นทะเบียนบ้าน และสูติบัตรของวิพารันต์ที่ยังไม่ครบเพราะมีบางส่วนที่อยู่กับวิชุดา ติณภพเองก็เป็นผู้อาสาติดต่อจนได้มาครบถ้วน
การตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ที่ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝ่าย ติณภพนัดนิธิศให้พาวิพารันต์ไปให้ตัวอย่างการตรวจพร้อมกันที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้นหลังจากได้เอกสารทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนการตรวจทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี จะมีก็แค่อาการของเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่ยอมเข้าใกล้ติณภพเสียเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเริ่มเปิดใจยอมรับกับเรื่องนี้ได้มากขึ้นแล้วก็ตาม
เจ็ดวันสำหรับการรอคอยผลที่สิ้นสุดลง ช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับติณภพ แต่ทว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับนิธิศและวิพารันต์ ผลการตรวจที่ออกมาเป็นไปตามการคาดหมาย หลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่จะไม่มีใครสามารถคัดค้านได้
“อย่างที่เคยบอกไว้ในตอนแรก ตอนนี้ผลการตรวจและหลักฐานที่มีก็ชัดเจนมากพอแล้ว งั้นก็คงจะเป็นอะไรแล้วใช่ไหมหากผมอยากจะขอให้ลูกย้ายกลับไปอยู่กับผมที่บ้าน...”
ติณภพที่เป็นฝ่ายมาหาทั้งสองคนถึงคอนโดในตอนเย็นของวันถัดมาหลังจากทราบผลตรวจเอ่ยปากพูดขึ้นกับนิธิศ
ก็พอจะรู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าวันนี้มันจะต้องมาถึง ไม่อยากให้ไป...ความรู้สึกนึกคิดภายในใจมันบอกเขาแบบนั้น ทั้งๆที่ก็พยายามทำใจ ทั้งๆที่ในตอนนั้นก็บอกกับตัวเองเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากติณภพพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าตัวเองเป็นพ่อแท้ๆของวิพารันต์ที่พร้อมจะดูแลเจ้าตัวเล็กของเขาให้ดี เขาก็คงจะยินดีจะคืนเจ้าตัวให้กลับไปอยู่กับครอบครัวด้วยความเต็มใจ
แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงแบบนี้แล้ว...มันกลับไม่ง่ายอย่างที่เคยคิด...
ความสัมพันธ์ของคนรักที่เพิ่งจะเริ่มขึ้น ความผูกพันที่กลายเป็นความเคยชิน จะอยู่คนเดียวต่อไปได้หรือเปล่า จะทนใช้ชีวิตในแบบเก่าๆอย่างที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ได้ไหม คำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้ก็ยังมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น...
...ไม่อยากคืนวิพารันต์ให้ติณภพ...
“ตัวเล็ก...วันนี้เป็นอะไรไปอีกล่ะลูก เมื่อวันก่อนพ่อจำได้ว่าเราดีกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
ความคิดที่หยุดชะงักลง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ติณภพเลิกที่จะสนใจฟังความเห็นของเขาแล้วหันไปพยายามง้อลูกชายสุดที่รัก ที่ตั้งแต่คนเป็นพ่อพูดถึงเรื่องจะพากลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกันเจ้าตัวก็เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาหนีไปนั่งซึมอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เมื่อวันก่อนนิธิศก็กล่อมเจ้าตัวให้ปรับความเข้าใจกับคนเป็นพ่อได้แล้วแท้ๆ
“ตัวเล็กครับ เงยหน้ามามองพ่อสักหน่อยก็ยังดีนะ งอนพ่อแบบนี้พ่อไม่รู้ว่าหนูเป็นอะไร”
ติณภพพยายามพูดด้วยท่าทีร้อนรน เพราะกลัวลูกชายจะกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกที่ไม่แม้แต่จะยอมมองหน้าตัวเองอีก แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนักเมื่อวิพารันต์ยังคงเลือกที่จะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น
“รันครับ เป็นอะไรไปหืม เงยหน้าขึ้นมาบอกคุณพ่อนะครับ”
นิธิศที่เห็นเจ้าตัวเล็กของเขากลับไปเป็นแบบเดิมอีก จึงต้องหันมาอาสาช่วยติณภพพูด ซึ่งนั่นก็ดูจะได้ผลมากกว่าเมื่อร่างบางยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นพ่อ
ใบหน้าหวานที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ดวงตากลมโตที่สั่นระริกวูบไหวไปด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอ ริมฝีปากบางอิ่มที่เม้มเข้าหากันแน่นจนดูเหมือนจะช้ำเอาได้ง่ายๆ
ติณภพที่เห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้าที่จะถลาเข้าไปกอดเจ้าตัวทันที เพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวเล็กจะถึงกับขนาดร้องไห้แบบนี้
“ตัวเล็ก บอกพ่อซิลูก หนูเป็นอะไรบอกพ่อนะ”
‘คุณพ่อ...ใจร้าย’มือเล็กเอื้อมไปหยิบกระดานไวท์บอร์ดมาเขียนแล้วส่งให้คนเป็นพ่อดูทั้งน้ำตา ส่วนติณภพเองพอได้อ่านข้อความนั้นก็เริ่มนึกใจเสีย รีบละล่ำละลักถามลูกชายต่อถึงสาเหตุของความใจร้ายที่ว่า
‘ก็...คุณพ่อจะพารันกลับไปอยู่ด้วย จะไม่ได้เจอพี่ไนท์อีก รันไม่อยากไป รันอยากอยู่กับพี่ไนท์’เขียนไปก็นั่งปาดน้ำตาไปจนนิธิศที่นั่งมองอยู่อดที่จะสงสารไม่ได้
ไม่ใช่แค่ตัวเขาสินะที่มีความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกที่ไม่อยากจากกันไปไหน ความรู้สึกที่อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป
“แต่...ลูก...”
ติณภพเองพอเจอประโยคแบบนี้ของลูกเข้าไป ก็ถึงกับไม่รู้จะว่าอย่างไรต่อเลยได้แต่ชะงักคำพูดเอาไว้แค่นั้น
บางทีเขาก็คงจะหวังมากเกินไป มากเกินไปสำหรับพ่อคนหนึ่งที่เคยเกือบจะทำร้ายชีวิตบริสุทธิ์ของลูกตัวเองแล้วเพิ่งจะมาคิดอยากได้คืนทีหลัง อยากได้คืนจนกลายเป็นคนใจร้ายสำหรับลูก อยากได้คืนในตอนที่วิพารันต์มีคนดูแลที่ดีพออยู่แล้ว อยากได้คืนในตอนที่ลูกตัดสินใจคิดอยากจะอยู่กับใครสักคนหนึ่ง...
...ใครคนนั้น...ที่ไม่ใช่พ่ออย่างเขา...
“ครับ พ่อเข้าใจแล้วครับตัวเล็ก อย่าร้องไห้เลยนะ พ่อขอโทษ ขอโทษที่พ่อเป็นพ่อที่เห็นแก่ตัว ขอโทษที่พ่อเป็นพ่อที่ดีของลูกไม่ได้ พ่อขอโทษนะ...”
...ของที่ไม่เห็นคุณค่าเมื่อยังอยู่ในมือของตัวเอง แต่หากล้ำค่ายิ่งนักในเวลาที่ได้ปล่อยให้ตกไปเป็นของคนอื่นไปแล้ว...
ความจริงของโลกที่ไม่มีวันที่ใครจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ความสมบูรณ์แบบในชีวิตที่มนุษย์ทุกคนต้องการ แต่ไม่มีใครที่จะสมหวังไปหมดเสียทุกเรื่อง ความตั้งใจแรกที่ต้องการจะให้ลูกกลับไปอยู่กับตัวเองที่บ้านเป็นอันต้องล้มเลิกไปด้วยความจริงในข้อนี้
วิพารันต์จะได้อาศัยอยู่กับนิธิศที่นี่ต่อไปโดยที่ติณภพจะคอยดูแลในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆของเจ้าตัวเอง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ติณภพก็ยังมีข้อแม้ว่าอย่างน้อยภายในหนึ่งอาทิตย์ จะต้องมีหนึ่งวันที่เจ้าตัวเล็กจะต้องกลับไปนอนค้างที่บ้านให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวตามภาษาพ่อลูกให้ได้หายคิดถึงบ้าง
“ท่าน...มีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ”
การที่ติณภพขอให้นิธิศเดินลงมาส่งเขาที่รถเพียงคนเดียว โดยที่ให้วิพารันต์รออยู่บนห้องนั้นทำให้เขาตัดสินใจที่จะถามคำถามนี้ออกไป เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องบางอย่างต้องการจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
ท่านประธานใหญ่ยิ้มน้อยๆอย่างชอบใจกับคำถามที่ตรงประเด็นจนเหมือนจะรู้ใจเขาไปเสียทุกอย่างของนิธิศ...ฉลาดและรู้กาลเทศะสมกับตำแหน่งผู้จัดการบริษัทที่ได้รับ
“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณตรงๆอย่างหนึ่งเกี่ยวกับวิพารันต์...คุณจะช่วยตอบผมตรงๆได้ไหม”
“ยินดีครับ”
“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกชายของผม...ตอนนี้เป็นแบบไหนอยู่กันแน่”
ติณภพเลือกที่จะถามคำถามตามที่ตัวเองรู้สึกได้จากการที่สังเกตพฤติกรรมและการกระทำของทั้งสองคนตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ครับ ตอนนี้รันเป็นคนรักของผม เราเพิ่งจะเริ่มคบกันอย่างจริงๆจังๆได้เมื่อไม่นานมานี้ครับ”
ไม่มีทีท่าว่าจะลังเลในคำตอบเลยสักนิด...และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจในคำตอบของอีกฝ่ายเสียเท่าไหร่นัก แต่ตัวติณภพก็ต้องยอมรับเลยว่านิธิศเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีความชัดเจนในชีวิตและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเมื่อตัวเองตัดสินใจจะทำอะไรลงไปแล้ว
...คุณสมบัติที่ตัวเขาในอดีตไม่เคยมี....
“ถึงโดนส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบคำตอบนี้ของคุณเท่าไหร่ แต่นั่นมันทำให้ผมเข้าใจถ่องแท้เลยล่ะว่าทำไมลูกของผมถึงเลือกที่จะอยู่กับคุณมากกว่าผม คุณนิธิศ”
ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับ...พ่อที่มาปรากฏตัวทีหลังไม่มีสิทธิที่จะไปกีดกันความรักของทั้งสองคนที่ดูแลกันและกันมาตลอดก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ เพราะในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่เคยทำหน้าที่ของคนที่เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย...
“ต่อจากนี้สถานะของรันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว รันจะต้องออกสังคมกับผมมากขึ้น ความรักครั้งนี้ของคุณอาจจะไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมา สังคมจริงๆมันยังมีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งท้อเสียล่ะ ลูกของผม...ผมฝากให้คุณช่วยดูแลแล้วนะ”
ติณภพพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะตบไหล่นิธิศสองสามที
“...เท่าชีวิตของผมเลยล่ะครับ...”TBC.
Rewrite
มาแล้วค่ะ สวัสดีวันครอบครัว สวัสดีวันสงกรานต์ หนีไปเที่ยวสงกรานต์กันหมดแล้วหรือยังเนี่ย
มาเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย ที่ว่าหลังสงกรานต์ กว่าจะออกมาได้นะเออตอนนี้
สุดท้ายก็เคลียร์สักทีปัญหาครอบครัว 555 คนเขียนเองก็โล่งใจเหมือนกัน 
เจอกันตอนหน้านะคะ มีอะไรแวะเข้าไปทักทายกันในแฟนเพจได้ นับไปอีกหนึ่งอาทิตย์
(มันชักจะเป้นนิยายรายอาทิตย์เข้าไปทุกที555) แต่ถ้าเร็วกว่านั้นจะมาต่อให้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับความเห็น ขอบคุณสำหรับทุกคำติดชมและการติดตามค่า
ป.ล.มีคนปาดหน้าเราล่ะ อิอิ