11
เข้าใจ
งานวันเกิดแบบไม่ได้ตั้งใจของนิธิศยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่สงครามย่อยๆของมาริสากับพัดชาจบลง ขนมขบเคี้ยวและอาหารคาวหวานหลากหลายชนิดที่ทุกคนช่วยกันซื้อมาถูกวิพารันต์ซึ่งทำหน้าที่แทนเจ้าของบ้านจัดใส่จานมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาให้ได้เลือกกินกัน
“รัน พี่ว่าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีไหม ใส่ชุดนอนเดินไปเดินมาแบบนี้ไม่อายแขกเหรอ หืม”
นิธิศเดินไปบอกวิพารันต์ที่ยังคงเดินเข้าเดินออกห้องครัวด้วยสภาพชุดนอน ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมนิ่มเบาๆด้วยความหมันเขี้ยว เพราะดูท่าแล้วว่าเจ้าตัวคงจะมัวแต่ทำงานเพลินจนลืมว่าตัวเองยังไม่ได้อาบน้ำ
“น้องรัน น้องรัน ยังไม่ได้อาบน้ำพอดี นี่ๆ เอาชุดใหม่ไปลองใส่ออกมาให้พี่ดูเลยนะคะ”
ทางด้านมาริสาเองที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นไปหยิบถุงใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอเพิ่งไปซื้อมาเก็บไว้เมื่อวันก่อนวันก่อนส่งให้ร่างบางทันที
...วันนี้วันเกิดของนิธิศทั้งที วิพารันต์ก็ควรจะแต่งตัวน่ารักๆให้เจ้าของงานดูเป็นอาหารตาอาหารใจเสียหน่อย...
“รันเข้าไปอาบที่ห้องเราเลยนะวันนี้ไม่ต้องออกมาอาบห้องน้ำข้างนอก”
นิธิศตะโกนตามหลังวิพารันต์ที่หอบหิ้วถุงเสื้อผ้าใหม่เดินเข้าห้องไปลิ่วๆ มาริสาปลายหางตามองเลขาสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อย
ที่บอกว่าขอให้พัดชาอยู่ร่วมงานก่อน ก็ใช่ว่าเธอจะทำอะไรเจ้าตัวหรอกนะ แต่ที่ต้องพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะแค่อยากจะช่วยให้อีกฝ่ายได้มาเห็นอะไรดีๆ เห็น...ในสิ่งที่อาจจะไม่เคยเห็น รู้...ในสิ่งที่อาจจะไม่เคยรู้ และ สัมผัส...ในสิ่งที่เธอและเพื่อนๆได้สัมผัสมาแล้ว
วิพารันต์ใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนักก็เดินออกมาจากห้อง เสื้อยืดสีขาวตัวเล็กที่ถูกสวมทับด้วยเอี๊ยมสีชมพูหวานขาสั้นเหนือเข่า...ชุดในแบบที่ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกเสื้อผ้าอย่างมาริสาเล็งเห็นแล้วว่าวิพารันต์ใส่ออกมาแล้วจะน่ารักมากที่สุด
สายตาคนทั้งห้องที่มองมาทางนี้กันเป็นตาเดียวทำให้ร่างบอบบางในชุดน่ารักต้องรีบเดินเลี่ยงเข้าไปหลบในห้องครัวเมื่อด้วยความประหม่า
มีอะไรผิดปกติหรือเปล่านะถึงได้จ้องกันขนาดนั้น...
“เฮ่ย ไอ้ไนท์ฉันว่าน้องรันนี่นับวันยิ่งน่ารักว่ะ”
วีรนนท์เอ่ยขึ้นพลางมองตามหลังวิพารันต์เข้าไปในครัว
“เห็นด้วยกับไอ้นนท์อย่างแรง น่ารักจนฉันแทบจะอยากเข้าไปฟัดให้หายหมันเขี้ยว”
“ใช่มั้ยล่ะ น้องน่ารักขึ้นทุกวันจนลูกค้าที่ร้านฉันยังชมเลย โดยเฉพาะพวกหนุ่มๆนะ โอ๊ย ไม่อยากจะบอก แวะมาซื้อขนมกันได้ทุกวันจนฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าขนมร้านฉันอร่อยหรือว่าอยากเจอหน้าน้องกันแน่”
มาริสาหันไปพูดกับเพื่อนอย่างภูมิใจนำเสนอเต็มที่ทำเอานิธิศรู้สึกหมันไส้ขึ้นมาตงิดๆ
“ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้สา ฉันให้รันไปอยู่กับแกเพราะกลัวจะเหงาหรอกนะไม่ได้ให้ไปนั่งเรียกลูกค้าให้ ถ้าเข้าใจผิดก็หัดเข้าใจใหม่เสียด้วย”
ได้ยินนิธิศตอบกลับมาแบบนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะร่วนแล้วพูดคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน ผิดกับพัดชาที่ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ที่เดิมคนเดียว
ทั้งๆที่ก็อยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว แต่กลับเป็นเหมือนอากาศธาตุที่ไม่มีใครมองเห็น ทุกความสนใจของทุกคนรวมถึงนิธิศคือเด็กคนนั้น เด็กที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร
“มาแอบทำอะไรคนเดียวอยู่ในครัวหือ”
กำลังยืนปลอกผลไม้คิดอะไรอยู่เพลินๆ ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาในครัวตอนนี้ พอโดนนิธิศทักเข้าหน่อยเจ้าตัวก็เลยเผลอสะดุ้งจนเผลอทำมีดที่ใช้อยู่บาดนิ้วตัวเองเข้าไปเต็มๆ
“อย่าเอานิ้วเข้าปากนะรัน พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ”
นิธิศรีบห้ามไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ทำแบบนั้น เพราะอยู่ด้วยกันมานานจนพอที่จะรู้นิสัยของอีกฝ่าย สิ่งที่วิพารันต์จะเผลอทำทุกครั้งที่โดนอะไรบาดนิ้ว
...เรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับคนตัวเล็กที่เขาไม่เคยที่จะมองข้าม
รีบจับอีกฝ่ายไปล้างแผลด้วยน้ำสะอาดแล้วซับด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะจูงมือเจ้าตัวเดินออกมาทำแผลข้างนอกโดยมีทุกคนนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ห่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าพัดชาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“พี่ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ เจ็บมากไหม”
วิพารันต์ส่ายหน้าเบาๆในขณะที่อีกฝ่ายกำลังบรรจงทำแผลที่นิ้วให้ ตั้งแต่ที่ได้มาอยู่กับนิธิศ ไม่ว่าจะโดนบาดสักกี่ครั้ง จะเป็นแผลสักกี่ที่ หรือเจ็บป่วยไม่สบายตรงไหน คนที่คอยดูแลเขาก็ยังเป็นคนคนนี้เสมอ
“เพี้ยง! ทีนี้ก็หายแล้วนะ”
นิธิศเป่าเบาๆไปที่แผลบนนิ้วเล็กที่ถูกปิดอย่างดีด้วยพลาสเตอร์ยา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่าย
...ดวงตากลมโตใสเป็นประกายที่ตอนนี้แทบไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าเหมือนแต่ก่อน
ส่งยิ้มบางๆกลับไปให้คนน่ารักก่อนจะเอื้อมมือไปไล้เบาๆบนพวงแก้มใสที่เริ่มขึ้นเป็นสีชมพูอ่อน
ทุกการกระทำที่ตกอยู่ในสายตาของพัดชา...สิ่งมาริสาต้องการให้เธอได้รับรู้
เป็นไปไม่ได้ รอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนที่ผู้หญิงหลายคนต้องการจะได้รับ แววตาที่แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึง
ความรักความห่วงใย...รอยยิ้มและท่าทางของนิธิศที่น้อยคนจะได้เห็น
เด็กคนนั้น...เป็นใครกันแน่
“สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะว่าวิพารันต์เป็นใคร”
มาริสาที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆพัดชาเอ่ยขึ้นลอยๆในขณะที่สายของทั้งสองคนยังคงมองภาพเหตุการณ์นั้นอยู่
“...อืม...แต่จากที่เห็น ฉันคิดว่าคุณเลขาก็น่าจะพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างแล้วนะ คงไม่ต้องให้ฉันช่วยขยายความเพิ่ม”
“หึ คุณพูดอะไรน่ะ...ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดหรอกนะคุณมาริสา”
“งั้นเหรอ หลอกคนอื่นน่ะหลอกได้ แต่หลอกตัวเองน่ะ...พยายามให้ตายยังไงก็หลอกไม่ได้หรอกนะคะคุณเลขา ตัวเองคิดอะไร
รู้สึกยังไงย่อมรู้อยู่แก่ใจ ถ้าคุณยังฉลาดพอก็ควรจะรู้นะคะว่าตัวเองควรจะหยุดได้แล้วเพราะการที่คิดแต่จะมานั่งวิ่งไล่ตามคนที่ต่อให้ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่คิดจะหันมาสนใจตัวเองน่ะ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละค่ะที่ทำ”
มาริสาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนที่จะก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของตัวเอง โดยปล่อยให้พัดชานั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองและคำพูดของเธอแบบนั้นคนเดียวอีกครั้ง
.............................
...........................................
เค้กสองก้อนกับเจ้าของวันเกิดหนึ่งคน เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น วิพารันต์รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักหากจะต้องเอาเค้กของตัวเองออกไปชนกับเค้กของพัดชาซึ่งเธอก็ตั้งใจทำมาให้นิธิศเหมือนกัน
...ไม่อยากให้แขกของนิธิศต้องเสียน้ำใจ
คิดได้แบบนั้นเจ้าตัวจึงเลือกที่จะเก็บเค้กของตัวเองที่มาริสาหิ้วมาให้จากร้านเข้าตู้เย็นไว้ก่อน...อย่างไรเสียนิธิศก็ยังไม่รู้
เดินออกไปเขียนใส่กระดาษบอกมาริสาถึงสิ่งที่ตัวเองคิด ถึงจะรู้สึกเสียดายไปบ้างที่นิธิศจะไม่ได้กินเค้กของตัวเองเป็นชิ้นแรก แต่สำหรับคนอย่างวิพารันต์แล้ว ความรู้สึกของคนอื่นมักจะสำคัญและต้องมาก่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ
“น้องรันจะทำแบบนี้จริงๆเหรอคะ?”
คนตัวเล็กพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำเอามาริสาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในความใจกว้างเกินไปของเจ้าตัว...ทั้งๆที่ตัวเองก็ตั้งใจทำมากขนาดนั้นแท้ๆ
“เอาเถอะค่ะ ถึงพี่จะไม่อยากให้น้องรันทำแบบนี้ แต่ถ้านี่เป็นความต้องการของน้องรันพี่จะทำตามที่ขอก็ได้ค่ะ”
มาริสาส่งยิ้มกลับไปให้ถึงแม้ว่าในใจลึกๆจะไม่อยากให้อีกฝ่ายทำแบบนี้ เพราะอย่างน้อย หากเจ้าตัวเอาเค้กของตัวเองออกไปพร้อมกับของพัดชาแล้ว เธอก็คิดว่าเจ้าของวันเกิดอย่างนิธิศคงจะต้องหันมาสนใจทางฝั่งของวิพารันต์มากกว่าของคุณเลขานั่นเป็นแน่
เมื่อถึงเวลาของหวานที่รอคอย นิธิศรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่พบว่าเค้กวันเกิดในวันนี้มีแต่ของพัดชาเพียงคนเดียวทั้งๆที่มันน่าจะมีของใครอีกคนที่เขาตั้งตารออยู่ด้วยทว่าเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามออกไป
ไม่มีการจุดเทียน ไม่ได้มีเป่าเค้กอย่างที่ใครคิด หากจะมีก็แต่เพียงการตัดแบ่งให้ทุกคนได้กินกันเท่านั้น
งานเลี้ยงขนาดย่อมดำเนินต่อไปเรื่อยๆด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองจนในที่สุดก็จบลงในเวลาเกือบจะเย็น ซึ่งมาริสา นัทนทีและวีรนนท์ก็ขออาสาอยู่ช่วยวิพารันต์เก็บล้างและทำความสะอาดสถานที่กันก่อนจะกลับนิธิศจึงต้องทำหน้าที่ลงไปส่งแขกอย่างพัดชาขึ้นรถที่ชั้นล่างเพียงลำพัง
“คุณไนท์...”
พัดชาเอ่ยปากเรียกนิธิศในขณะที่เดินมาด้วยกันตามทางเดิน บรรยากาศของงานเลี้ยงในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสนุกตามไปด้วยเลยสักนิด หากกลับมีแต่คำถามที่ว่าทำไมผุดขึ้นมามากมายในหัวสมอง ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของวิพารันต์ที่ได้รับรู้จากการละเลียดถามรายละเอียดจากนัทนที ประกอบกับจากการกระทำที่เธอสังเกตได้ในวันนี้
เด็กคนนั้น...ทำให้เจ้านายของเธอเปลี่ยนไปได้มากขนาดนั้นเลยหรือ
แววตา รอยยิ้มที่อ่อนโยน ท่าทางที่ดูมีความสุข การแสดงออกที่บ่งบอกถึงความเอาใจใส่อีกฝ่ายตลอดเวลา...สิ่งที่แม้ว่าเธอจะพยายามดิ้นรนและไขว่คว้ามาตลอด ก็ไม่อาจได้มา...
“ครับ”
“พัด...ชอบคุณ ตลอดเวลาที่ผ่านมา...พัดชอบคุณ”
ตัดสินใจพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ความรู้สึกที่พยายามแสดงออกมาตลอดเวลาหลายปีแต่ก็ไม่เคยได้อะไรกลับคืนมาเลย นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างเลขาและเจ้านายที่ยังคงเดิม
นิธิศยังคงเงียบอยู่แบบนั้น อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าพัดชาคิดอะไรกับเขา แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในฐานะเจ้านายกับเลขาไว้น่าจะดีที่สุด ทว่าในวันนี้ เขาคงจะต้องทำตามที่มาริสาเคยบอกไว้ ถ้าไม่ชอบ ก็ควรจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะถลำลึกไปมากกว่านี้
“ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่มีให้กันนะครับคุณพัดชา แต่...ผมคงจะรับมันไว้ไม่ได้”
“คุณไนท์ พอจะบอกเหตุผลหน่อยได้มั้ยคะ”
ทั้งๆที่หลายเหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้เธอพอจะรู้แล้วว่า เพราะอะไรถึงทำให้คนที่เป็นเจ้านายบอกปฏิเสธความรู้สึกของเธอได้โดยที่ไม่ต้องลังเลแบบนี้ แต่ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ เธอก็ยังอยากที่จะฟังเหตุผลนั้นออกจากปากของเจ้าตัวเอง เหตุผลที่ว่าทำไม...ทำไมคนคนนั้นถึงเป็นเธอไม่ได้
“ผม มีคนที่ผมรักอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ก็เถอะ”
พูดพลางก็อดที่จะหัวเราะตัวเองไม่ได้ ทั้งๆที่ในชีวิตของเขาก็มีผู้หญิงเข้ามาให้เลือกมากมาย แต่สุดท้ายแล้วคนที่หัวใจเลือก...กลับเป็นคนคนนี้
“เด็กคนนั้นใช่มั้ยคะ...เด็กผู้ชายคนที่อยู่บนห้อง...”
“ครับ”
นิธิศตอบโดยไม่คิดลังเล
“ทำไมล่ะคะ มีดีอะไร เด็กคนนั้นมีดีอะไร พูดก็ไม่ได้ มาจากไหนก็ไม่รู้ และที่สำคัญทั้งๆที่เป็น ทั้งๆที่เป็นผู้ชายด้วยกันแท้ๆ ทำไมคะ ทำไมถึงเป็นพัดไม่ได้ พัดดีไม่พอเหรอคะ”
น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม เจ็บใจ เสียใจ หลากหลายความรู้สึกที่กำลังผสมปนเปกันอยู่ในตอนนี้มันตีกันอยู่จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อยู่ตรงนี้ อยู่ที่เดิม นานเท่าไหร่แล้วที่พยายามกับเรื่องนี้ พยายามทำให้อีกฝ่ายหันมาสนใจตัวเองบ้างพยายามที่จะเดินเข้าไปใกล้ แต่หากผลลัพธ์ที่ได้กลับมายิ่งเพิ่มระยะห่างให้ไกลกันมากกว่าเดิม เหมือนเช่นวันนี้ ที่นอกจากการทักทายต้อนรับตามมารยาทเหมือนแขกทั่วไปในตอนแรกแล้ว ระหว่างเธอกับนิธิศก็ยังแทบจะไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีกเลย
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องนี้มันก็คงจะจริงอย่างที่มาริสาว่า จะหลอกใครก็ได้ แต่หลอกตัวเอง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริงๆสินะ
“ใครคนหนึ่งอาจจะคิดว่าเขาดีพอสำหรับเธอคนนั้น แต่ในทางกลับกันเธอเองอาจจะคิดว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเธอ ที่เป็นแบบนั้น เพราะความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่าดีพอเพียงอย่างอย่างเดียว แต่หากในหลายครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับคำว่าพอดี...พอดีที่จะรัก พอดีที่จะเข้าใจ พอดีที่หัวใจของคนทั้งสองคนจะตรงกันก็เท่านั้น ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเสียใจ แต่ความรู้สึกของคนเรา มันบังคับกันไม่ได้หรอกนะครับ...”
นิธิศพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
เหมือนเรี่ยวแรงที่มีมันน้อยลงเรื่อยๆจนแทบจะยืนไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายพูดจบประโยค เข้าใจแล้ว เข้าใจหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งที่ได้ฟัง ทุกสิ่งที่พบเจอในวันนี้มันทำให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะมาริสา ไม่ใช่เพราะเธอ และไม่ใช่เพราะใครที่ทำให้ความพยายามของเธอไม่เป็นผล แต่หากเป็นหัวใจของคนต่างหากที่บังคับกันไม่ได้ พอแล้ว...พอเสียทีกับการที่ต้องวิ่งไล่ในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
มันคงถึงเวลา ที่เธอจะต้องหยุดแล้ว...
“ถึงผมจะรับความรู้สึกนั้นของคุณไม่ได้ แต่ในฐานะของเจ้านาย...คุณยังเป็นเลขาที่ดีสำหรับผมนะพัดชา”
นิธิศบอกแล้วเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเธอเบาๆเป็นการปลอบใจ ถึงจะรู้สึกไม่ดีนัก แต่ในตอนนี้ สิ่งที่เขาเขาทำได้ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น
“ขอบคุณค่ะ...
เจ้านาย”
...........................
.......................................
กลับขึ้นมาถึงห้อง ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงคร้งเคร้งดังออกมาจากในห้องครัว พวกนั้นคงกำลังเก็บล้างจานชามกันอยู่
เดินเลยเข้าไปถึงข้างในที่เมื่อกี้ใช้เป็นสถานที่จัดงาน อมยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากเมื่อเห็นร่างบอบบางของใครอีกคนนอนทอดตัวหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา เดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงบนพื้นพรมนุ่มใกล้ๆอีกฝ่ายที่หลับสนิทจนไม่รู้สึกตัว
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปปัดปอยผมนุ่มที่ตกลงมาคลอเคลียอยู่กับใบหน้าหวานก่อนจะค่อยๆดึงผ้าเช็ดโต๊ะที่อีกฝ่ายยังเผลอกำไว้แน่นออกจากมือเล็ก
...แบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าหลับในหน้าที่
เสียงเฮฮาที่ดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับร่างของเพื่อนทั้งสามคนที่เดินออกมาจากห้องครัวทำให้นิธิศต้องรีบส่งเสียงปรามเนื่องด้วยกลัวเจ้าตัวเล็กของเขาจะตกใจตื่นขึ้นมาเสียก่อน
“แกไม่ต้องลงไปส่งพวกเราหรอกไนท์ อยู่ดูน้องไปเหอะท่าทางจะเหนื่อยมาก เห็นเดินไม่หยุดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
มาริสาปรับโทนเสียงให้เบาลงก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนโต๊ะเตรียมตัวจะกลับบ้าน
“อืมๆ ขอบใจสำหรับวันนี้ด้วยนะเว่ย ไอ้สา ไอ้นนท์ ไอ้นัท”
“เออ อะ เอ้อ เกือบลืมเรื่องสำคัญ...”
เรื่องสำคัญที่มาริสาจะบอกนิธิศนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเรื่องของเค้กวันเกิดที่วิพารันต์อุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของเจ้าตัวแต่ตอนนี้กลับยังต้องนอนแช่อยู่ในตู้เย็น แถมตัวคนทำเองก็เหนื่อยจนหลับไม่รู้เรื่องไปแล้วเสียอีก
ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากมาริสาแล้ว พอเพื่อนทุกคนกลับไปจนหมดนิธิศจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นในครัวดู
‘สุขสันต์วันเกิดนะพี่ไนท์’เค้กครีมสีขาวบริสุทธิ์ก้อนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ข้อความที่ถูกบรรจงบีบด้วยครีมเขียนเป็นตัวหนังสืออยู่ตรงกลางถึงแม้ว่าจะดูโย้เย้ไปสักหน่อยเพราะคนทำยังเป็นมือใหม่ แต่นั่นก็ทำให้นิธิศยืนยิ้มกว้างอยู่คนเดียวได้ไม่ยาก
ประโยคธรรมดา ถ้อยคำธรรมดาที่วันนี้ได้ยินได้เห็นจนชิน ทั้งจากข้อความและสายตรงจากคนรู้จักที่มีเข้ามาเป็นระยะ ทว่าทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่เป็นรูปประโยคเดียวกัน หรือบางทีอาจจะเรียกได้ว่าเหมือนกันทุกตัวอักษร ทุกคำพูด แต่สำหรับนิธิศ...ข้อความนี้ของวิพารันต์กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอายุของตัวเองที่เพิ่มขึ้นทุกปี นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้สนใจเรื่องของวัย พอนึกจะอยากจะสนใจเข้าหน่อยวันเกิดปีนี้อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบแปดแล้ว ถอนหายใจออกมาเบาๆกับตัวเลขที่ใกล้จะเหยียบเลขสามเข้าไปทุกที
เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองแก่เอาก็วันนี้ วันที่เขาแน่ใจแล้วว่า หลงรักเด็กที่อายุห่างกันเกือบสิบปีอย่างชนิดที่ถอนตัวไม่ขึ้น...
TBC.
Rewrite
ไม่ใช่คอมหายป่วยแล้วแต่อย่างใด แต่อาศัยนั่งเล่นคอมเก่าที่มีความเร็วเท่ากับหอยทากเป็นอัมพาตค่ะ ไฟล์เก่ายังไม่ได้คืนยังค้างอยู่ในคอมที่เสียเช่นเดิม เลยเขียนใหม่ซะ TT เขียนไปก็แอบมึนไป กลัวว่าคนอ่านจะงงๆเพราะบางทีพล็อตมันอยู่ในหัวตัวเองเลยเข้าใจแต่กลัวอธิบายความรู้สึกให้คนอ่านเข้าใจไม่ได้ อิอิ ช่วงนี้นิยายในบอร์ดเยอะจริงๆ สงสัยจะช่วงปิดเทอมด้วยเลยมีเรื่องใหม่เข้ามาทุกวัน กระทู้ตกกันเร็วมาก และเหมือนคนอ่านเรื่องนี้จะน้อยตามไปด้วย(ฮา) แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชีวิตก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป ขอบคุณทุกความเห็น ขอบคุณทุกการติดตาม ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งเรื่องนี้กันนะคะ ขอบคุณมากค่า
ป.ล.วันเกิดของนิธิศยังไม่จบแค่นี้ในเมื่อน้องรันยังไม่ได้ให้ของขวัญเลยนี่นา...