8
กลับบ้าน
เมื่อคืนหลังออกมาจากห้องน้ำแล้ววิพารันต์ก็ทำตัวไม่ค่อยถูกนัก คงจะเป็นเพราะอาย นิธิศที่รู้ถึงความจริงในข้อนี้จึงแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชวนพูด ชวนคุย ทำตัวตามปกติ และนั่นก็ได้ผลเกินคาดเพราะตัววิพารันต์เองก็ยังมีความคิดที่คล้ายเด็กอยู่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวปกติก็เลยทำตัวปกติตามไปด้วย จนนิธิศเองยังนึกขำอยู่ในใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็วของเจ้าตัว
ร่างบางงัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวเองลงจากเตียง การเดินที่ไม่ค่อยถนัดเพราะเจ้าตัวไม่กล้าลงน้ำหนักไปที่เท้าขวามากนักจึงต้องอาศัยเกาะตามขอบโต๊ะขอบเตียงไปเรื่อยๆจนถึงหน้าห้องน้ำ
ล็อค...นิธิศคงใช้อยู่
ค่อยๆเดินขโยกเขยกกลับไปนั่งรอบนเตียง ยกเท้าข้างที่เจ็บของตัวเองขึ้นมาสำรวจ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เที่ยว เท้าไม่น่ามาเจ็บแบบนี้ กลัวจะเดินไม่ไหว
“เจ็บแผลเหรอ”
นิธิศที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยทักเมื่อเห็นวิพารันต์นั่งก้มๆเงยๆอยู่กับแผลที่ฝ่าเท้าของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบ เดินเข้าไปหา นั่งลงกับพื้นข้างเตียงแล้วยื่นมือไปจับเท้าเล็กๆของอีกฝ่ายขึ้นมาดู
“เข้าไปอาบแต่งตัวซะ เดี๋ยวออกมาแล้วพี่จะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่”
วิพารันต์ค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้ากับของใช้โดยมีนิธิศคอยช่วยพยุงไปส่งถึงหน้าห้องน้ำ ร่างบางใช้เวลาในการทำความสะอาดร่างกายไม่นานนักก็ออกมา คนที่นั่งรออยู่แล้วจึงเรียกให้เจ้าตัวกลับมานั่งบนเตียงที่ตอนนี้มีกล่องปฐมพยาบาลวางอยู่พร้อม
ก้มหน้ามองการกระทำของอีกฝ่ายที่กำลังง่วนกับการเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตัวเอง สัมผัสที่อ่อนโยน ความอบอุ่นที่ได้รับ สิ่งต่างๆที่ค่อยๆได้ซึมซับ ได้เรียนรู้ในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่าเริ่มจะกลายเป็นความเคยชิน ชินขนาดที่ตัวเองยังนึกกลัว กลัวว่าหากวันใดวันหนึ่งที่ต้องพบกับการจากลา วันที่จะไม่ได้อยู่กับคนคนนี้อีก ตัวเองจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้หรือเปล่า...
..........................
............................................
ที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของวันหยุดยาวนี้คือเพลินวาน สถานที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่บอกเล่าตัวตนและความเป็นมาของหัวหินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
บ้านเรือนร้านค้าที่ทำจากไม้ให้บรรยากาศย้อนยุคที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล วิพารันต์ที่ต้องอาศัยเกาะแขนนิธิศเดิน มองไปบริเวณรอบๆด้วยความสนใจ
เคยแต่เห็นภาพแบบนี้ในโทรทัศน์ ไม่เคยคิดว่าจะได้มาจริงๆ...
ทั้งห้าคนเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันไปได้พักใหญ่ก็ตัดสินใจเข้าไปนั่งพักกินไอศครีมกะทิกันภายในร้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสบายๆ วิทยุโบราณที่หลายคนอาจจะไม่เคยเห็น ภาพโปสเตอร์หนัง หรือแม้กระทั่งแก้วรูปทรงโบราณต่างๆถูกนำออกมาวางโชว์ยังคงไว้ด้วยคอนเซ็ปย้อนยุคของสถานที่ที่ต้องการให้ผู้เข้ามาเที่ยวชมได้ระลึกถึงวันเก่าๆ
“น้องรัน ระวังครับ”
การเดินที่ใช้เวลานานพอสมควรทำให้เท้าข้างขวาที่เจ็บอยู่ของวิพารันต์เริ่มปวดและมีอาการบวมเล็กน้อย พอเจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้นยืนจึงเกิดอาการเซเนื่องจากทรงตัวไม่อยู่จนเกือบจะล้ม แต่โชคดีที่วีรนนท์ช่วยประคองไว้ได้ทัน
คงเผลอตามใจมากเกินไปอีกแล้ว...ตอนแรกก่อนจะออกมาจากรีสอร์ทนิธิศก็คิดเอาไว้ว่าจะพาคนตัวเล็กกลับบ้านก่อนแล้วเพราะกลัวเจ้าตัวจะเดินไม่ไหว แต่พอบอกอีกฝ่ายว่าจะยกเลิกโปรแกรมเที่ยวของวันนี้ไปทั้งหมดเท่านั้นวิพารันต์ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จนสุดท้ายเขาก็เลยต้องยอมใจอ่อนพามาที่นี่ก่อนกลับ
“คราวนี้ไม่ให้เดินแล้วนะรัน ขึ้นหลังพี่มาเลย”
นิธิศที่รีบเดินอ้อมหลังเก้าอี้เข้ามาดูอาการของอีกฝ่ายแกล้งทำหน้าดุใส่ก่อนจะย่อตัวเองลงให้วิพารันต์ขึ้นมาขี่ เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวฝืนเดินจนแผลอักเสบ
ซึ่งวิพารันต์เองก็ยอมทำตามโดยดี ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้แขนโอบรอบคออีกฝ่ายเอาไว้ รอจนจัดท่าจัดทางกันเรียบร้อยนิธิศจึงค่อยๆยืนขึ้นก่อนจะรั้งมือทั้งสองข้างมาข้างหลังเล็กน้อยเพื่อล็อกขาของวิพารันต์เอาไว้ที่ข้างเอวเป็นอันเสร็จสรรพ
มาริสา วีรนนท์และนัทนทีที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในรอบสามวันที่ผ่านมา นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เห็นเพื่อนของพวกเขาใส่ใจใครมากขนาดนี้ นิธิศคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเวลาอยู่กับวิพารันต์
ความผูกพันที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นความรัก ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองคนที่ใกล้ชิดจนแยกออกจากกันได้ยาก ยากจนบางที...เจ้าตัวเองก็คงจะยังไม่รู้ ว่าความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ มันเรียกว่าความรักหรือความผูกพันกันแน่...
..........................
...........................................
รถตู้คันเดิมกับตอนที่นั่งมาวันแรก นิธิศเอายาแก้เมารถให้วิพารันต์กินกันเอาไว้ก่อนที่จะขึ้นรถเพราะยาจะได้ออกฤทธิ์ทันพอดีในช่วงที่รถกำลังวิ่งเจ้าตัวจะได้ไม่ต้องนั่งเวียนหัวเหมือนในช่วงขามาอีก ซึ่งมาริสาเองก็บอกนิธิศให้พาร่างบางเข้าไปนั่งเบาะด้านหลังสุดเพื่อที่จะได้ให้เจ้าตัวนอนเหยียดตัวได้สบายๆ
แล้วนั่นก็ไม่ผิดไปจากเวลาที่นิธิศคำนวณไว้เมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักยาก็เริ่มออกฤทธิ์ วิพารันต์หลับไปในท่านั่งเอาศีรษะพิงกับหน้าต่างรถเอาไว้
หลับไปทั้งแบบนี้คงจะไม่สบายตัวนัก นิธิศที่หันไปเห็นอย่างนั้นจึงค่อยๆขยับตัวไปประคองอีกฝ่ายให้เอาศีรษะเอนลงมานอนที่ตักตัวเองแทนเพราะกว่าจะถึงก็ยังอีกหลายชั่วโมง ให้นอนแบบนี้คงจะดีกว่า
ทริปวันหยุดปีใหม่ที่จบลง ทั้งสองคนกลับมาถึงคอนโดในช่วงหัวค่ำ นิธิศยังคงหลีกเลี่ยงที่จะให้วิพารันต์เดินเพราะไม่อยากให้แผลระบมไปมากกว่านี้ด้วยการให้เจ้าตัวขี่หลังไว้เหมือนตอนที่อยู่เพลินวาน
“อ้าว คุณไนท์ น้องรันเป็นอะไรไปคะ”
พิณยดาเอ่ยทักทันทีที่เห็นนิธิศกลับมาพร้อมกับวิพารันต์ที่อยู่บนหลัง กระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของที่ซื้อมาถูกหอบหิ้วไว้เต็มสองมือ โชคยังดีที่วิพารันต์ตัวไม่หนักเลยทำให้เขาทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกันแบบนี้
“เดินไม่ระวังเลยไปเหยียบเปลือกหอยเข้าน่ะครับ”
“ตายจริง เจ็บแย่เลย ยังไงพี่ก็ขอให้หายไวๆนะคะน้องรัน”
นิธิศยิ้มให้เป็นการขอบคุณในความหวังดีของอีกฝ่ายก่อนจะเดินพาวิพารันต์ขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง
สนุกมาก ตลอดทั้งสามวันที่ได้ไปเที่ยว รู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือเล็กลูบไปตามแนวสร้อยข้อมือตัวเองเบาๆอย่างทะนุถนอม ความเย็นของโลหะเงินที่สัมผัสได้ยังให้ความรู้สึกเหมือนคืนวันนั้น
...ของขวัญปีใหม่ชิ้นแรกในชีวิต...
นึกอยากจะขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับสามวันที่ผ่านมา หันไปมองนาฬิกา ห้าทุ่มกว่าแล้ว แปลกใจที่วันนี้นิธิศยังไม่ออกมาตามให้ตัวเองเข้าไปนอนเหมือนทุกที รีบลุกขึ้นจากโซฟาที่ออกมานั่งเล่นอยู่แล้วเดินโขยกเขยกกลับเข้าไปในห้องนอน โดยไม่ลืมที่จะหยิบกระดานไวท์บอร์ดที่ถูกทิ้งอยู่ในห้องมาตลอดสามวันเข้าไปด้วย
หลับแล้ว วิพารันต์เดินไปมองหน้านิธิศที่ตอนนี้นอนหลับสนิทไปแล้วใกล้ๆ อีกฝ่ายคงจะเหนื่อยมากจากการที่ต้องเดินถือของและแบกเขามาเกือบตลอดทั้งวัน
‘

’
ไม่ได้เขียนอะไรลงไปบนกระดานมากกว่านั้น ก็แค่วาดรูปแล้วตั้งไว้ที่โต๊ะเล็กๆข้างหัวเตียงของนิธิศก่อนจะค่อยๆเดินไปอีกฝั่งของเตียงแล้วมุดตัวลงไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับคนที่หลับอยู่
เพราะไม่รู้ว่าจะเขียน จะบอกเล่า จะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับออกมาให้อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร อยากขอบคุณ อยากจะยิ้มให้ดู จะได้รู้ว่าตอนนี้กำลังมีความสุขมาก แต่นิธิศหลับไปแล้ว คงจะทำแบบนั้นไม่ได้เลยวาดรูปตั้งเอาไว้ให้ดูแทน เผื่อว่าตอนเช้าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อนจะได้เห็น
เห็นรอยยิ้มที่เขาตั้งใจจะยิ้มให้ดู...
นิธิศลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน เมื่อคืนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตั้งใจจะหันไปมองนาฬิกาแต่ก็ต้องสะดุดตากับบางสิ่งบางอย่างที่ใครอีกคนเอามาตั้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน...ทำให้ยิ้มได้แต่เช้าเลยสิน่า
หันไปมองคนวาดที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ...คงอยากจะบอก อยากให้รู้ว่าตัวเองกำลังมีความสุข ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ออกมา
เดินไปหาปากกาเมจิกมาเขียนบ้าง ไม่ได้ลบของวิพารันต์ออกแต่แค่เขียนเติมลงไปแล้วเดินเอาไปตั้งไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงอีกข้างเหมือนที่อีกฝ่ายทำ
‘

ตั้งใจวาดให้แบบนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยิ้มจริงๆให้ดูด้วยล่ะ’
…………............
………………...........….....
หลังจากวันหยุดยาวหมดลงนิธิศก็กลับไปทำงานที่บริษัทตามปกติ จะมีก็แต่วิพารันต์เท่านั้นที่พักหลังๆนี้จะไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องเหมือนเดิมแล้ว เนื่องจากตั้งแต่ที่กลับมาจากหัวหินมาริสาก็มักจะมารับเจ้าตัวไปนั่งเล่นอยู่ที่บ้านของตัวเองบ่อยๆจนช่วงนี้แทบจะกลายเป็นไปทุกวัน ซึ่งนิธิศเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะใจจริงก็รู้สึกสงสารวิพารันต์อยู่เหมือนกันที่ต้องอยู่ในห้องคนเดียวตอนที่เขาไปทำงาน
บ้านของมาริสาเป็นร้านเบเกอรี่เล็กๆที่เปิดมานานหลายสิบปีจนค่อนข้างจะมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของผู้คนที่ชื่นชอบขนมพวกนี้เป็นอย่างดี
มาริสาพาวิพารันต์มาที่บ้านและแนะนำให้พ่อกับแม่ของเธอรู้จักครั้งแรกเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนหลังกลับมาจากหัวหิน ซึ่งจากการบอกเล่าที่ฟังต่อๆกันมาของลูกสาวตัวเองก่อนหน้านี้ถึงเรื่องประวัติความเป็นมาของวิพารันต์ก็ทำให้ทั้งสองคนอดที่จะเอ็นดูและสงสารในโชคชะตาชีวิตที่เลวร้ายของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งไม่ได้
“สา น้องไม่ใช่ตุ๊กตานะลูก จับแต่งตัวแบบนี้ทุกวันน้องไม่เบื่อแย่เหรอ”
และก็อย่างที่คนเป็นแม่ว่า เพราะทุกครั้งที่มาริสาพาวิพารันต์มาที่บ้านเจ้าตัวก็จะจัดแจงจับร่างบางไปลองใส่ชุดนั่นชุดนี่ที่ตัวเองซื้อมากักตุนเอาไว้เสียเยอะแยะจนแทบจะล้นตู้
เห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องคนหนึ่ง ตัวเองเป็นลูกคนเดียวเลยอยากมีน้อง อยากดูแล เวลาไปเดินเที่ยวแล้วเห็นชุดน่ารักๆทีไรเลยเป็นอันต้องเผลอซื้อกลับมาฝากทุกที
“ไม่เบื่อหรอกแม่ ไม่เชื่อถามรันดูได้เลยเน๊อะ”
“ถ้าน้องเค้าตอบได้ก็คงจะบอกว่าเบื่อนั่นแหละ รัน ถ้าหนูไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยอมตามใจพี่เค้านะลูก ถ้าพี่เค้าบังคับมาบอกแม่ได้ เดี๋ยวแม่จัดการให้”
รู้สึกดี รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำแบบนี้ ถ้อยคำของคนเป็นแม่ที่แสดงถึงความรักความห่วงใยลูก
ถ้อยคำที่แม่ของเขา ไม่เคยพูดให้ได้ยิน...
นิธิศขับรถมารับวิพารันต์กลับบ้านด้วยกันหลังเลิกงานในตอนเย็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และแต่ละครั้งที่มารับก็จะได้เห็นวิพารันต์ใส่ชุดใหม่ที่ไม่ใช่ชุดเดิมกับเมื่อเช้ากลับไปทุกที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใครที่ขยันซื้อให้ใส่ขนาดนี้
อยากจะบอกให้มาริสาหยุดซื้ออยู่เหมือนกันเพราะตอนนี้เสื้อผ้าของวิพารันต์ก็มีเยอะมากแล้ว ทว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะว่าโดยส่วนตัวของเขาเองแล้วก็ชอบที่จะเห็นวิพารันต์แต่งตัวน่ารักๆแบบไม่ซ้ำกันสักวันแบบนี้เหมือนกัน
ซึ่งวันนี้หลังจากออกมาจากบ้านมาริสาแล้วนิธิศเองก็ยังไม่ตรงกลับบ้านในทันที แต่พาวิพารันต์ไปแวะซื้อของที่ห้างด้วยกันก่อนเพราะของใช้ส่วนใหญ่เริ่มจะหมดแล้ว
“อ้าว คิดว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็แกนี่เอง แต่งตัวดูดีจนจำแทบไม่ได้แน่ะ”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้วิพารันต์รู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ
ยืนอยู่คนเดียวเพราะนิธิศกำลังเอาของไปจ่ายเงิน ไม่กล้าหันไปมอง เสียงที่แค่ได้ยินก็รู้ว่าใคร เสียงที่ได้ยินมาตลอดทั้งชีวิต...
“ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน ใจคอไม่คิดจะหันมาทักทายแม่แกหน่อยหรือไงฮะ”
แรงกระชากที่แขนทำให้วิพารันต์ต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แท้ๆของตัวเอง เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของวิชุดาดังขึ้นทันทีที่ได้เห็นหน้าซีดๆของร่างบาง
ลูกที่ไม่ได้เกิดมาจากความรัก ลูกที่เกิดมาจากความพลั้งเผลอ ลูกที่เกิดมาโดยที่เธอเองก็ยังไม่พร้อม และที่สำคัญ ทั้งๆที่อุตส่าห์ยอมให้เกิดมาแล้วแท้ๆก็ยังดันเป็นใบ้ไม่สมประกอบเหมือนเด็กคนอื่นอีก
ไร้ค่า...หวังอะไรไม่ได้ ช่วยแบ่งเบาอะไรก็ไม่ได้ แถมยังอยู่เป็นภาระให้เลี้ยง ความจริงเรื่องหนี้ของอรอนงค์ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาจ่ายเลยเสียทีเดียว แต่ที่ต้องอ้างออกไปแบบนั้นก็เพราะดูแล้วว่าวิธีนี้จะเป็นหนทางเดียวที่จะผลักวิพารันต์ให้พ้นไปจากชีวิตได้
ที่เข้ามาทัก ก็ไม่ได้เพราะเป็นห่วงหรืออะไร แค่นึกไม่ถึง...นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเดินแต่งตัวดีๆอยู่ในห้างแบบนี้ก็เท่านั้น
“...ฉันได้ข่าวว่าคุณอรอนงค์เค้าเอาแกไปทิ้งไว้กับหลานชายแล้วย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศแล้วนี่...หึ คงจะไปทำตัวไร้ประโยชน์เหมือนตอนอยู่กับฉันล่ะสิถึงได้โดนทิ้งอีกแบบนี้ แต่จะว่าไป...จะให้คนอย่างแกเปลี่ยนก็คงจะทำไม่ได้ล่ะนะ เพราะยังไงแกก็คงจะยังเป็นแกอยู่วันยังค่ำ เกิดมาไร้ค่า”
ถ้อยคำที่เสียดสี ถ้อยคำที่ถูกพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ทำได้ก็แค่ยืนก้มหน้านิ่ง...เสียใจ แต่เฉพาะกับเรื่องแบบนี้เท่านั้นที่ร้องไห้ไม่ออก เหมือนบรรยากาศเก่าๆมันย้อนกลับมา แม่ไม่เคยชื่นชม ไม่เคยห่วงใย ไม่เคยพูดดีด้วย คงเกลียดกันมาก มากจนไม่อยากจะเลี้ยงเอาไว้ แล้วให้เกิดมาทำไม แม่จะให้เขาเกิดมาทำไม..คำถามที่ได้แต่เฝ้าถามกับตัวเองอยู่ในใจทุกครั้งที่โดนด่าว่าแบบนี้
คำถาม...ที่ไม่มีวันจะได้รับคำตอบ...
“ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
นิธิศที่เพิ่งเดินหิ้วของกลับมาจากการจ่ายเงินเอ่ยปากถามวิชุดา เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้คือใครแล้วเกิดอะไรขึ้น แต่จากเท่าที่สังเกตปฏิกิริยาของวิพารันต์แล้วคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่นัก
“อ้อ คุณนี่ก็คงเป็นหลานชายที่ของคุณอรอนงค์สินะ”
วิชุดาหันไปเอ่ยปากถามนิธิศ
“ครับ แล้วไม่ทราบว่าคุณ...”
“ฉันเป็นแม่ของวิพารันต์”
คำตอบที่ได้รับทำเอานิธิศถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง แม่ของวิพารันต์ ผู้หญิงที่ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าปีเนี่ยนะเป็นแม่แท้ๆของวิพารันต์ แต่หากจะว่าไปก็คงมีส่วนที่เป็นไปได้มากเพราะจากการพิจารณารูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนดูดีๆแล้ว นิธิศก็พบว่ามีเค้าโครงที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อย
“จริงๆฉันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แค่แวะเข้ามาทักทายเท่านั้นแหละเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก...”
วิพารันต์ยื่นมือไปกำเสื้อของนิธิศไว้แน่นเมื่อรู้สึกว่าไม่อยากให้มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีก
ไม่อยากฟังอีกแล้ว ถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจแบบนั้น เขาไม่อยาก...จะฟังมันอีกแล้ว
“งั้นถ้าคุณไม่มีอะไรนอกจากนี้ ผมกับรันก็ขอตัวเลยแล้วกันนะครับ”
เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อออกมา เพราะถึงแม้ว่าภายนอกเจ้าตัวจะยังไม่มีน้ำตาออกมาให้เห็น แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้หัวใจของวิพารันต์ กำลังร้องไห้อย่างหนัก
“ค่ะ เชิญตามสบาย...อ้อ เดี๋ยว ฉันขอบอกอะไรลูกคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้เจอกันจริงๆ...วิพารันต์ คุณคนนี้เค้าท่าทางจะสมเพชเวทนาแกมากเลยนะ ถึงได้ทำดีด้วยขนาดนี้ ยังไงถ้าแกยังมีสมอง ก็ช่วยสำนึกบุญคุณแล้วหัดทำตัวให้มันมีประโยชน์บ้างล่ะ จะได้ไม่โดนทิ้งอีกรอบ เพราะฉันขายขาดแกไปแล้วไม่คิดจะรับคืน จำเอาไว้ด้วย...”
นิธิศเอื้อมมือไปจับมือเล็กของวิพารันต์เอาไว้แล้วบีบเบาๆอย่างต้องการจะปลอบเมื่อได้ยินวิชุดาพูดออกมาแบบนั้น เมื่อก่อน...เขาเองไม่เคยเชื่อเลยว่าจะมีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง แต่วินาทีนี้ ตอนนี้ เขาเชื่อ...เชื่ออย่างสนิทใจเมื่อได้ยินคำพูดที่โหดร้ายแบบนี้ออกจากปาก...ปากของคนที่ชื่อได้ว่าเป็นแม่
“...ไม่เป็นไรนะรัน...เรา...กลับบ้านกันเถอะ...”กระชับมืออีกฝ่ายให้แน่นขึ้นแล้วพาเดินออกมาจากตรงนั้นทันที เหมือนการรอคอยที่ยาวนานสิ้นสุดลงน้ำตาของวิพารันต์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะไหลในตอนแรกค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มเพราะเพียงแค่ได้ยินประโยคที่อีกคนพูด ประโยคที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน ประโยคที่นิธิศต้องการจะสื่อให้วิพารันต์รับรู้ว่า...
...ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ตรงนี้กับรัน จะไม่ทิ้งไปไหน กลับบ้านกันเถอะนะ...กลับบ้านของเรา TBC.
Rewrite
หายไปหลายวัน ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ตอนนี้รู้สึกเขียนยากลำบาก(อีกแล้ว) เขียนแรกๆเหมือนไปต่อไม่เป็น 555 แต่ก็ออกมาจนได้ล่ะนะ ใช้เวลาหลายวันหน่อย อดทนอีกประมาณสองอาทิตย์จะจบม.6แล้ว เย้ 5555 ขอบคุณทุกความเห็น ขอบคุณทุกการติดตามค่า ตอนต่อไปยังไม่รู้กี่วัน//แหะๆ ต้องดูสภาวะตัวเองก่อนค่ะ
ป.ล.สุขสันต์วันตรุษจีนกันนะคะ ซินเจียอยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ มีความสุขร่ำรวยเงินทองกันทุกคนค่ะ 