7
ของขวัญ
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เห็นเป็นสีส้มอ่อนไกลสุดลูกหูลูกตา ยืนรับลมทะเลที่พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้า รู้สึกได้ว่าเค็มถึงแม้จะไม่ได้ชิม
“วันนี้กินข้าวได้น้อยนะ อาหารไม่อร่อยเหรอ”
นิธิศเดินออกมาหาวิพารันต์ที่ยืนอยู่นอกระเบียง ท่าทางจะชอบตรงนี้ เห็นชอบมายืน ยืนแล้วก็เหม่อ ขนาดเขาเดินมาเข้ามาใกล้ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัว
‘ตอนกลางวันกินเยอะแล้ว อิ่ม’หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กขึ้นมาเขียนก่อนจะยื่นให้นิธิศอ่าน ไม่ใช่อาหารไม่อร่อย อร่อยมาก อร่อยจนอยากจะกินให้ได้มากกว่านี้แต่ก็กินไม่ไหวเพราะตอนกลางวันมาริสาซื้อของให้กินเยอะ เยอะจนอิ่มมาถึงตอนเย็น...
“ไปอาบน้ำได้แล้วปะ เดินเที่ยวมาทั้งวัน ตัวเหม็น”
นิธิศแกล้งพูดเล่น แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคิดจริงจังเพราะรีบก้มลงดมพิสูจน์กลิ่นของตัวเองทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เรียกรอยยิ้มบางๆให้เกิดขึ้นบนริมฝีปากของอีกคนได้ไม่ยากก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมนิ่มเบาๆ
เชื่อทุกอย่างที่พูด เหมือนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ ที่ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเจอเรื่องราวร้ายๆมามากมาย แต่ทว่าก็ยังรอ รอใครสักคน รอคนที่จะเข้ามาช่วยสอน ช่วยเติมเต็ม ช่วยทำให้รู้จัก ช่วยทำให้เข้าใจ...ถึงคำว่า ‘ความสุข’...
ร่างบางเดินเข้าไปอาบน้ำซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเหมือนเคย ก่อนจะออกมาในชุดนอนสีขาวลายหมีสีน้ำตาล นิธิศจึงผลัดเข้าไปอาบบ้าง
บรรยากาศข้างนอกมืดลงแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มองเห็นแสงไฟจากข้างนอกได้ชัดเจน ประตูที่ระเบียงยังถูกเปิดทิ้งไว้ให้ลมเข้า เดินมาลากเก้าอี้จากข้างในไปนั่ง เอาแขนเท้ากับขอบระเบียง
อยากจะหยุดอยู่ตรงนี้...อยู่กับความรู้สึกแบบนี้...อยู่กับคนคนนี้...อยากจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ...
ค่ำคืนของวันสิ้นปี...ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีช่วงเวลานี้ในปฏิทินชีวิต ของขวัญ คำอวยพร เคยเห็น หากแต่ไม่เคยได้รับ...
นิธิศเดินออกมาจากห้องน้ำ วิพารันต์กลับไปอยู่ที่เดิมอีกแล้ว หยิบกล้องขึ้นมา กดถ่ายอีกครั้ง
ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งเท้าแขนลงกับขอบระเบียง เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน วิวเดียวกันกับเมื่อตอนกลางวัน แต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป...
ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ไฟในห้องถูกปิดไปหมดแล้ว เหลือเพียงแสงสลัวๆที่ส่องผ่านเข้ามาทางระเบียง เงียบสงบ คนอื่นๆคงออกไปเคาท์ดาวน์ที่อื่นกันหมดแล้ว
“คืนนี้ถ้าจะนั่งเคาท์ดาวน์กันตรงนี้ก็คงจะดีไปอีกแบบ”
ผ้าม่านสีขาวปลิวไสวไปมาเพราะแรงลม เข็มนาฬิกาเดินเข้าใกล้เวลาเที่ยงคืนเข้าไปทุกที ทั้งสองคนยังนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ออกไปตามคำชวนของเพื่อนอีกสามคน ไม่รู้ทำไม แต่อยากอยู่แบบนี้
ไม่มีการสื่อสารใดๆเกิดขึ้นระหว่างนั้น ถึงจะเงียบ แต่ก็ไม่รู้สึกเหงา เพราะรู้ รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน...
นิธิศก้มมองนาฬิกาข้อมือ ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที อีกห้านาทีก็จะเป็นวันใหม่และปีใหม่
“ปีใหม่นี้ อยากได้อะไรเป็นของขวัญไหม”
วิพารันต์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ...ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น เพราะแค่นี้ แค่ที่เป็นอยู่ ก็เป็นเหมือนของขวัญที่ได้รับมามากจนเกินพอ พอที่จะเป็นความสุขของทั้งชีวิต
“ไม่อยากได้ แต่วันนี้พี่มีของที่อยากให้นะ”
มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบบางสิ่งบางอย่างที่ซื้อเตรียมเอาไว้ขึ้นมา จับข้อมือบอบบางของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วบรรจงใส่ให้ช้าๆ สร้อยข้อมือทำจากเงินที่ประดับไปด้วยรูปดาวดวงเล็กๆ ดูน่ารักเมื่ออยู่บนข้อมือของวิพารันต์ เข้ากันอย่างที่คิดเอาไว้
“...ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปพี่ขอให้รันมีแต่ความสุขเข้ามาในชีวิต เรื่องอะไรที่เลวร้ายในอดีตก็ขอให้ลืมมันไปซะ ทิ้งมันไว้กับปีเก่าแล้วเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุข สุขสันวันปีใหม่นะครับ”
เสียงพลุที่ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง พร้อมกับน้ำตาของวิพารันต์ที่ไหลออกมาทันทีที่ฟังจบประโยค
แต่เวลาแบบนี้ ต้องยิ้มใช่ไหม เวลาที่ชอบ เวลาที่สนุก หรือเวลามีความสุข ต้องหัดยิ้ม นิธิศบอกไว้...
พยายาม...พยายามฉีกยิ้มออกไปทั้งแบบนั้น เพราะชอบ เพราะกำลังมีความสุข ถึงได้อยากยิ้มให้ดู ยิ้มทั้งๆที่ตอนนี้น้ำตายังไหลอาบเต็มแก้ม ยิ้มออกไปทั้งแบบนั้น...ยิ้มทั้งน้ำตา...
นิธิศมองภาพคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งสงสาร ทั้งเอ็นดูไปในเวลาเดียวกัน
“เวลายิ้มน่ะ ไม่มีใครเขาร้องไห้ไปด้วยหรอกนะ”
เอื้อมมือไปไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของวิพารันต์ออกเบาๆ แต่ยิ่งทำก็เหมือนจะยิ่งทำให้น้ำตาของอีกฝ่ายไหลออกมามากยิ่งขึ้น ดึงร่างบอบบางตรงหน้าเข้ามากอดแล้วลูบศีรษะเบาๆ รู้สึกได้ถึงชื้นที่เสื้อ คงจะเป็นเพราะน้ำตา
อีกครั้งที่สัมผัสอ่อนโยนถูกถ่ายทอดให้กันและกัน น้ำตาที่หยุดไหลแล้ว ลุกขึ้นเดินเข้าไปหยิบปากกาและกระดาษในห้อง อยากจะบอก อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้บ้าง
‘ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง สุขสันต์วันปีใหม่เหมือนกันนะ...พี่ไนท์’..........................
...........................................
วันนี้กลับเป็นนิธิศที่ตื่นก่อน หกโมงเช้า แสงข้างนอกยังไม่สว่างดีนัก หันไปมองใครอีกคนที่ยังนอนกอดหมอนหลับสบาย รอยยิ้มเล็กๆปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากบาง คงกำลังฝันดี ทำไมตอนนอนหลับถึงทำได้นะ อาจเป็นเพราะไม่รู้ตัว เลยปล่อยให้มันออกมาตามธรรมชาติ ออกมาจากหัวใจที่กำลังเป็นสุข
ไม่ต้องรอ ไม่ต้องคิด เดินไปหยิบกล้อง ปรับแสงและเลือกมุมให้พอดี กดถ่ายเก็บเอาไว้หลายรูป ยังไม่อยากปลุกเพราะกลัวจะไปขัดความสุขในฝันเลยปล่อยให้นอนไปก่อน
จัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองจนเสร็จ เดินกลับเข้ามาดูอีกทีก็พบว่าวิพารันต์ตื่นแล้ว
“ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปเดินเล่นกัน”
ร่างบางที่ยังนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปหอบเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนเข้าไปในห้องน้ำ
เสื้อยืดสีชมพูอ่อนกับเอี๊ยมยีนส์ขาสั้นประมาณเข่า ชุดนี้นิธิศไม่ได้เป็นคนซื้อให้ แต่เป็นมาริสาที่เพิ่งซื้อให้เมื่อวานแล้วกำชับให้วิพารันต์ใส่ให้ดูวันนี้
“อ๊ายยยย น้องรัน น้องรัน น้องรันของพี่สา น้องน่ารักมาก คนเลือกชุดให้น้องนี่นอกจากต้องตาถึงแล้วต้องสวยมากแน่ๆ”
มาริสาที่เดินออกมาเจอนิธิศกับวิพารันต์เดินเล่นกันอยู่แถวๆชายหาดเหมือนกันพอดีจึงรีบถลาเข้ามาดึงตัววิพารันต์ไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นการใหญ่ แถมนอกจากชมวิพารันต์แล้วก็ขอพ่วงตัวเองที่เป็นคนเลือกชุดให้ด้วยเสียหน่อย
“อ๊ะ...นี่ผมก็เริ่มยาวแล้ว พี่มัดจุกให้ดีกว่าเน๊อะจะได้ไม่รำคาญ ปะๆ ไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่า”
ในระหว่างที่มาริสากำลังง่วนกับการจับวิพารันต์ทำนั่นทำนี่เหมือนเล่นแต่งตัวตุ๊กตา นิธิศ นัทนทีและวีรนนท์ที่เพิ่งเดินมาสมทบกันก็ได้แต่ยืนมองตากันปริบๆ
“ไอ้สาดูท่าจะสนุกกับการจับรันแต่งตัวนะ”
วีรนนท์เอ่ยขำๆกับเพื่อนทั้งสอง วิพารันต์เป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งได้เจอกับเจ้าตัวแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเป็นเช่นนั้น
“นั่นสิ แต่ว่าน้องมันก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนใจร้ายทำกันได้ลงคอ...”
นัทนทีเอ่ยเสริม รู้สึกสะท้อนในใจเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ คงผ่านความลำบากมามากสิน
นิธิศไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น หากจะมีก็แต่เพียงสายตาเท่านั้นที่มองไปที่วิพารันต์
...เรื่องเลวร้ายแบบนั้น มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ตราบใดที่อีกฝ่ายยังอยู่กับเขา
…………............
………………......................
เจ็ดโมงกว่าแล้ว นักท่องเที่ยวที่เพิ่งออกมาจากที่พักเริ่มออกมาเดินกันเยอะมากขึ้น หลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมามีอันต้องหันมามองตรงที่มาริสานั่งเล่นอยู่กับวิพารันต์ ไม่ได้เด่นอะไรมากมาย แต่ก็น่ารักพอที่จะสะดุดตาชวนให้มอง
“ไปขี่ม้ากัน ฉันอยากขี่ม้า”
มาริสาจูงมือวิพารันต์เดินมาบอกเพื่อนอีกสามคน เมื่อกี้เห็นคนพาม้าออกมาเดินให้เช่ากันแล้วเลยไม่รอช้าที่จะชวนเพื่อนๆไปขี่ด้วยกัน
และในเมื่อผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มขอมา จะมีใครกันที่กล้าขัดใจได้
นิธิศรับอาสาเดินไปติดต่อขอเช่าม้ามาให้มาริสาและทุกคน ซึ่งจำนวนม้าที่เช่ามานั้นก็มีทั้งหมดสี่ตัวต่อคนห้าคน เพราะเขาค่อนข้างที่จะแน่ใจว่าวิพารันต์คงไม่ยอมไปขี่คนเดียวแน่ๆ
ร่างสูงเป็นฝ่ายที่ขึ้นไปนั่งรอบนหลังม้าก่อนที่วิพารันต์จะตามขึ้นมานั่งอยู่ข้างหน้าเขา โดยมีเจ้าของม้าคอยช่วยควบคุมดูแลและให้คำแนะนำในการขี่ให้ปลอดภัย
ม้าเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ อีกหนึ่งประสบการณ์ที่วิพารันต์เพิ่งจะเคยได้รับรู้แผ่นหลังบางสัมผัสได้ถึงความแนบชิดของใครอีกคน...เหมือนถูกโอบกอดอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ชอบไหม”
นั่งอยู่ข้างหลัง ได้กลิ่นกลิ่นหอมอ่อนๆของยาสระผมที่วิพารันต์ใช้ เผลอก้มหน้าลงไปใกล้ในจังหวะที่อีกฝ่ายหันหน้ามาตอบพอดี ริมฝีปากแตะกันเบาๆ เหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ รู้สึกตัวอีกทีวิพารันต์ก็รีบผละออกมาแล้วหันกลับไปที่เดิม ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่อยู่ดีๆหัวใจก็เต้นไม่เป็นระส่ำ ใบหน้ามันร้อนผ่าวขึ้นมาจนตัวเองยังรู้สึกได้
และนั่นไม่ใช่แค่วิพารันต์คนเดียวที่เกิดอาการแปลกๆ เพราะนิธิศเองก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่น้อยไปกว่ากัน
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ไม่โกรธใช่ไหม”
นิธิศกระซิบถามจากทางด้านหลัง วิพารันต์ส่ายหน้าทั้งๆที่ไม่ได้หันมา วินาทีนี้ยังไม่อยากหันไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่ได้โกรธ ไม่รังเกียจ แต่แค่ตอนนี้รู้สึกประหม่าเกินกว่าจะสู้หน้าได้ก็เท่านั้น
หมดเวลาที่เช่าม้า วิพารันต์เป็นคนลงมาจากหลังม้าก่อนจะตามด้วยนิธิศโดยมีเจ้าของม้าคอยช่วยดูแลอยู่เหมือนเดิม บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับมาเป็นปกติ แต่ในความปกตินั้นอาจจะยังไม่มีใครรู้สึกตัวว่าสายใยบางๆที่เรียกกันว่า ‘ความผูกพัน’ กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นอีกหนึ่งคำที่มีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น
………................
……………….....................
น้ำทะเล สิ่งที่วิพารันต์มีโอกาสได้ลงไปเล่นในเย็นของวันนี้โดยที่มีนิธิศยืนมองอยู่ไม่ห่าง ชุดน่ารักเมื่อเช้าถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดธรรมดาแทนเพราะหากจะต้องใส่ชุดแบบนั้นเล่นน้ำทะเลก็คงจะดูไม่สะดวกเสียเท่าไหร่
“อย่าเดินไปไกลนะรัน อยู่เล่นแค่แถวนี้พอ”
นิธิศตะโกนบอกวิพารันต์ด้วยความเป็นห่วง จริงๆก็ไม่ค่อยอยากให้เจ้าตัวเล่นสักเท่าไหร่เพราะยังเข็ดกับการเล่นน้ำคราวที่แล้วของวิพารันต์ แต่ตอนนี้มาถึงทะเลทั้งทีจะให้อีกฝ่ายนั่งมองดูคนอื่นเล่นกันอยู่เฉยๆก็คงดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย
มาริสาเป็นอีกหนึ่งคนที่ร่วมลงไปเล่นน้ำกับวิพารันต์ด้วยท่าทางสนุกสนาน จนนิธิศเองอดไม่ได้ที่จะนึกขำกับภาพที่เห็น ทั้งๆที่อายุก็ไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย แต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามลงทุนทำตัวให้กลมกลืนกับเด็ก เขาล่ะนับถือความสามารถของเพื่อนคนนี้จริงๆ
ปล่อยให้เล่นกันไปได้พักใหญ่นิธิศก็ต้องรีบตะโกนเรียกตัววิพารันต์ขึ้นมาเพราะกลัวจะเล่นนานเกินไปจนไข้ขึ้นอีก ซึ่งคราวนี้คนตัวเล็กก็เชื่อฟังแต่โดยดี ยอมเดินเท้าเปล่าขึ้นมาหาเขาที่นั่งรออยู่ห่างจากที่ที่เจ้าตัวเล่นไม่ไกลนัก ทว่าไม่ทันได้ระวัง เท้าข้างขวาของวิพารันต์จึงเผลอไปเหยียบเปลือกหอยแตกๆเข้าเต็มแรง
จากที่ชาในตอนแรก ก็เริ่มรู้สึกเจ็บ เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลซึมออกมา ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเลยนั่งลงกับพื้นก่อน
นิธิศที่เห็นท่าทางแปลกๆของอีกฝ่ายที่เดินอยู่ดีๆก็ลงไปนั่งเสียอย่างนั้นจึงรีบเดินเข้าไปดู ตัวเปียกซก ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ และที่ฝ่าเท้าก็มีเลือดไหลซึมออกมา
“เอาผ้านี่ไปพันห้ามเลือดไว้ก่อน”
มาริสาที่วิ่งตามมาดูติดๆยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกอยู่ในกระเป๋าสะพายของตัวเองให้นิธิศใช้พันแผลที่เท้าของวิพารันต์ วีรนนท์และนัทนทีที่เดินตามมาสมทบทีหลังเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบแนะนำให้เพื่อนพาวิพารันต์ไปทำแผลที่โรงพยาบาลใกล้ๆแทนที่จะทำกันเองเพราะเป็นห่วงเรื่องความสะอาดและกลัวแผลจะอักเสบ
ซึ่งหลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อยนิธิศก็รีบพาวิพารันต์กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องทันทีเพราะเกรงว่าเจ้าตัวจะเป็นหวัดเนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นยังชื้นเหลือเกิน
“อาบน้ำไม่ต้องล็อกประตูนะรัน”
นิธิศกำชับบอกวิพารันต์ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกระเผลกๆเข้าไปในห้องน้ำ ขาเจ็บอยู่ จะให้เรียกก็ไม่ได้เลยต้องบอกออกไปแบบนี้ เพราะถ้าเกิดอีกฝ่ายเป็นอะไรในห้องน้ำขึ้นมาจะได้เข้าไปช่วยได้ทัน
หมอบอกว่าแผลห้ามโดนน้ำ การอาบน้ำของวิพารันต์ในครั้งนี้จึงดูจะลำบากขึ้นนิดหน่อยเพราะต้องนั่งลงกับขอบอ่างอาบน้ำแล้วยื่นขาข้างที่เจ็บออกไปพาดเอาไว้
เคร้ง! โครม!เสียงที่ดังออกมาจากในห้องน้ำทำให้นิธิศใจหายวูบ ล้มในห้องน้ำ หรือว่าเป็นอะไรมากกว่านั้น รีบวิ่งไปที่หน้าห้องน้ำแล้วเปิดประตูเข้าไปทันที ไม่ได้เคาะ ไม่ได้บอกก่อน เพราะตอนนี้ในใจคิดแต่ว่ากลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป
วิพารันต์ที่กำลังก้มตัวลงไปเก็บขวดสบู่เหลวกับขวดอะไรต่อมิอะไรอีกสองสามขวดที่ตัวเองเผลอเอามือไปปัดโดนจนหล่นลงมาเสียงดังสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆนิธิศก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาเสียอย่างนั้น
ของที่กำลังก้มเก็บอยู่ล่วงลงไปอยู่กับพื้นตามเดิม หน้าคงแดงไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง...อาย...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่รู้จะต้องทำอะไรก่อน สมองเหมือนประมวลผลไม่ได้ไปชั่วขณะก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วดึงผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวใกล้ๆมาปิดตัวเองไว้
“อะเอ่อ...รัน...ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
นิธิศยืนอึ้งอยู่สักพักกว่าจะพูดอะไรออกมาทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่นาน
อยากจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แค่เผลอทำของตก แต่วิพารันต์ก็ทำได้แค่กำชายผ้าเช็ดตัวเอาไว้แน่นแล้วส่ายหน้ารัวๆเป็นคำตอบเท่านั้น
“อ่า...งั้น พี่ออกไปนะ ขอโทษที่เข้ามารบกวน”
นิธิศพูดพลางยกมือขึ้นเกาจมูกเก้อๆ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องน้ำแล้วปิดประตูให้เรียบร้อย
ยืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น นึกขำตัวเองที่ทำอะไรผลีผลามจนได้เรื่องแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปทำให้อาย แต่ที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วง กลัวจะเข้าไปช่วยไม่ทัน โดยที่ไม่รู้ โดยที่ไม่คาดคิด ว่าจะเจอภาพแบบนั้น แล้วที่สำคัญ ก็ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลยเหมือนกัน ว่าหลังจากที่กลับออกมาแล้ว หัวใจของตัวเองจะเผลอเต้นแรงได้ขนาดนี้...
TBC.
Rewrite
แจกอมยิ้มให้คนละอัน รู้นะว่าอ่านแล้วนั่งอมยิ้มกันอยู่ หุหุ~
เสร็จไปอีกหนึ่งตอน ยังไม่ได้กลับบ้านกันซักที 555 ยังไม่หมดสามวันสองคืนเลยน้า ตอนหน้าไปเที่ยวกันต่อ(ทำไมมันนานจังฟระ) เพลินวานดีไหม ก่อนกลับบ้านกัน // แอบปาดเหงื่อ
นั่งรอคอมหลายชั่วโมง มีอยู่เครื่องเดียวใช้กันทั้งบ้าน โดนแม่ พ่อ และน้องบ่น หาว่าจองคอมคนเดียว ถามว่าแต่งไปแล้วได้อะไร (ก็ความสุขไงคะแม่)
ปีหน้า เข้ามหา'ลัยได้คงจะได้โน๊ตบุ๊คเสียที เฝ้ารอมานาน อิอิ
บ่นมากไปและ .. พรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียน ใช้ชีวิตม.6ให้คุ้ม หุหุ