ตอนที่ ๓
แสงสีทองค่อยๆลอดผ่านม่านตาเมื่อผมปรือเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ซากปรักของวัดราชบูรณะแปรเปลี่ยนเป็นพัทธสีมาสีทองอร่ามวับวาม พี่ทองไชยแย้มยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะแตะไหล่พาผมเดินดูรอบๆบริเวณ
“ที่นี่คงเป็น...”
“ใช่แล้ว ภาพที่เจ้าเห็นคืออโยธยาศรีรามเทพนคร รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริยาศน์อมรินทร์ วัดราชบูรณะเป็นอารามหลวงเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามพระยา”พระยาไชยตอบก่อนจะหันมาทางผม “งดงามใช่ไหม ทองด้วงน้องพี่”
“ครับ งดงามมาก วิจิตรดังวิมานบนสวรรค์”
“วัดเวียงวังในชอบชัณฑ์อโยธยานั้นงดงามดั่งปราสาทบนทิพยมานบนสรวงสวรรค์ พวกฝรั่งมังฆ้องแลบาทหลวงชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ พระยาไชยหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ที่เจ้าเห็นนั้นล้วนแต่ก่อสร้างด้วยทองคำทั้งสิ้น หากกรุงศรีอยุธยาไม่แตกพ่ายในวันนั้น ความงดงามที่เจ้าเห็นคงจักดำรงอยู่สืบไปให้ลูกหลานได้ยินยล พี่เศร้าใจนักที่ความวิจิตรเหล่านั้นถูกเผาผลาญด้วยพระเพลิงแห่งสงคราม”
“ผมก็เศร้าใจไม่แพ้พี่ทองไชยหรอกครับ เพราะเหตุนี้ผมถึงมาเป็นนักโบราณคดีไง...ว่าแต่ ทำไมผมถึงมองเห็นภาพเหล่านี้ พี่ทำยังไงถึงได้”
“พี่เนรมิตให้เจ้าเห็นเองด้วยบุญบารมีแลกฤษดาภินิหารของพี่ “
“แล้วที่พี่อยากให้ผมเห็น คงไม่ใช่ประวัติศาสตร์กรุงศรีหรอกใช่ไหมครับ”
“ทองด้วงเอ๋ย ความคิดแลสติปัญญาของเจ้ายังคงหลักแหลมมิเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย สมภารขาวแลพระเจ้าเอกทัศน์ถึงได้โปรดปรานเจ้านัก .... เอาเถิด พี่ดีใจที่เจ้ามิได้ตกอกตกใจเมื่อได้พบพี่เช่นนี้ พี่จะเล่าขานให้เจ้าฟังผ่านนิมิตของพี่เอง เจ้าทองด้วง”
ภาพปราสาทราชวังสีทองอร่ามเลือนหายไปอย่างรวดเร็วดังกระพริบตา ก่อนที่รอบข้างผมจะเปลี่ยนไปเป็นวัดแห่งหนึ่งที่ไม่ได้งดงามเหมือนวัดราชบูรณะในสมัยกรุงศรีอยุธยา
“แล้วที่นี่คือที่ไหนล่ะครับ”
“ที่นี่คือวัดหัวรอ ที่พี่กับเจ้าเคยศึกษาเล่าเรียนกับสมภารขาวตั้งแต่เด็กๆ”
พระยาไชยพาผมก้าวขึ้นไปยังศาลา ด้านบนมีเด็กๆไว้ผมแกละผมจุกจำนวนไม่น้อยนั่งเรียงราย ในมือของเด็กเหล่านั้นมีกระดานชนวนขนาดเล็กๆ และเบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผมไม่มีผิด?! เขากำลังสอนให้เด็กๆเหล่านั้นท่องหนังสืออยู่
“เฮ้ย!!” ผมอุทานเสียงหลง เมื่อมาพบกับแฝดคนล่ะฝาในสมัยอยุธยาเช่นนี้
“มิต้องตกใจไปดอก ทองด้วง นั่นก็คือเจ้า...ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และภาพที่เจ้าเห็นนั้นก็เป็นเพียงนิมิตที่พี่อยากให้เจ้าเห็นเท่านั้น”
เด็กหนุ่มคนที่หน้าเหมือนผมสอนเด็กๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทรงผมทรงมหาดไทของเขาทำให้ผมนึกขำอยู่ในที มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอยู่มัธยมต้นที่ต้องไว้ผมทรงนักเรียนกะลาครอบยังไงอย่างนั้น
“สมภารขาวเอ็นดูเจ้ามาก เพราะเจ้านั้นแตกฉานในวิชาอ่านเขียนนัก ถึงขั้นไว้วางใจให้ช่วยสอนการอ่านเขียนแทนท่านได้ หากแต่พวกไพร่ทาสในเรือนกลับพากันอิจฉาในวาสนาของเจ้า เพราะด้วยความสงสารที่แม่ของเจ้านั้นตายไปตั้งแต่เจ้ายังเด็ก อีกทั้งนางก็เป็นนางต้นห้องของแม่พี่ตั้งแต่สาวๆ ท่านเลยเอ็นดูเจ้ากว่าใครๆ พี่ก็ไม่คิดหรอก ว่าความน่าเอ็นดูของเจ้าจะขจรขจายมาถึงพี่ด้วย จนวันหนึ่ง พี่ถึงเพิ่งมาได้สติว่า ตัวพี่นั้น สิเน่หาเจ้าเยี่ยงบุรุษเพศที่มีต่ออิสตรีเสมอกัน “
ผมฟังคำบอกเล่าของพี่ทองไชยอย่างไม่เชื่อตัวเองนัก รักร่วมเพศมันมีมาตั้งแต่ยุคนั้นเชียวหรือ หากแต่ด้วยมารยาทผมกลับทำได้แค่ยิ้มเขินๆให้ดวงวิญญาณตรงหน้า
“ทองด้วงเอย แม้นการเป็นวิญญาณเยี่ยงพี่จักทำให้พี่ไม่มีเลือดเนื้อกายหยาบเหมือนมนุษย์เช่นเจ้า หากแต่พี่นั้นก็ได้ยินเสียงคำพูดในห้วงมโนของเจ้านะ เจ้าคิดอ่านประการใดก็จงพูดออกมาเถิด พี่ไม่ถือโทษโกรธเจ้าดอก “พระยาไชยยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน
“เอ่อ.... ผมขอโทษครับ”
“พี่หาได้ถือโทษโกรธเจ้าดอก ทองด้วง พี่เข้าใจเจ้าดีว่าเจ้าคงจะงงงวยอยู่ไม่น้อย แลกาลเวลาที่ผ่านไปนับร้อยวสัตฤดูก็คงจะทำให้เจ้าลืมเลือนเรื่องราวของพี่กับเจ้าไป ด้วยเหตุนี้พี่ถึงได้รอคอยเจ้าที่นี่ พี่ปรารถนาเพียงให้ได้เจอเจ้าแลให้เจ้าได้ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพี่กับเจ้าเท่านั้นแล น้องพี่”
“อะ...เอ่อ ครับพี่ทองไชย”
ทองด้วงในนิมิตก้าวลงจากศาลาเมื่อเขาสอนหนังสือแก่เด็กๆเสร็จ ผมพิจารณาร่างกายตัวเองในอดีตชาติก็พบว่า ทองด้วงดูผอมแห้งมากเมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์วัยเดียวกันในสมัยนั้น รวมถึงผิวพรรณที่ค่อนไปทางขาวเนียนเหมือนผู้หญิง
“นั่นแล น้องพี่ เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ ความงามของเจ้าไม่แพ้หญิงใดในอโยธาเลยในสายตาพี่ อีกทั้งร่างกายเจ้าก็อ้อนแอ้นจนแทบจะแบกน้ำผ่าฟืนไม่ไหว หากไม่ได้ว่าคุณหญิงแม่พี่ท่านเอ็นดูเจ้าประหนึ่งลูกในไส้เสียแล้วล่ะก็ เจ้าคงเป็นบ่าวที่ไม่ได้ความที่สุดในอโยธยาศรีรามเทพนครเลยเทียว”
“พี่ทองไชยแอบอ่านใจผมอีกแล้ว” ผมพ้อ ด้วยความรู้สึกเหมือนขาดอิสระทางความคิด เพราะไม่ว่าจะคิดอะไร วิญญาณของพระยาไชยก็รู้เช่นเห็นชาติไปเสียหมด
“พี่มิได้ตั้งใจ ทองด้วงน้องพี่ ได้โปรดอย่าถือสาพี่เลย พี่แต่หยิกหยอกเจ้าเท่านั้น”
“เฮ้อ... ช่างมันเถอะครับ” ผมตัดบท ไม่อยากเอาชนะคะคานกับผี
“ทองด้วง เจ้ารู้ไหม” พระยาไชยเปลี่ยนเรื่อง “สมัยเด็กๆนั้นเจ้าก็โดนล้อเช่นนี้แล ด้วยความอ้อนแอ้นของเจ้า ทำให้พวกเด็กวัดชอบหาเรื่องแกล้งเจ้าบ่อยนัก หากไม่ได้พี่ช่วยขับไล่พวกอันธพาลเหล่านั้นไป เจ้าก็คงจะร้องไห้โยเยอยู่ท่ามกลางเด็กๆเหล่านั้นจนสายัณห์ต่ำคล้อยเลยเทียว”
“แหม ... เหมือนนิยายเล่นละสองบาทเลยนะครับ” ผมประชดอย่างไม่จริงจังนัก
“พี่ไม่รู้จักค่าอัฐของยุคเจ้า แต่พี่อยากจะบอกเจ้าว่า ทุกครั้งที่พี่นึกถึงภาพเหล่านั้น พี่ปลาบปลื้มใจนักที่ได้ปกป้องดูแลคนที่พี่นั้นรักจนหมดหัวใจ”
“เอ่อ...” ผมอึ้งกับคำพูดที่ซื่อตรงของพี่ทองไชย ถึงแม้นพี่ท่านจะเป็นผี แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากคำพูดและแววตาของเขา
ตัวผมในอดีตก้าวขึ้นเรือนหลังหนึ่งไป บนเรือนทีบ่าวไพร่มากมายทำงานต่างๆกันขวักไขว่ และเมื่อทองด้วงมาถึง ชายหนุ่มหน้าเหมือนพี่ทองไชยที่นั่งอยู่บนเรือนก็ส่งเสียงร้องเรียกทองด้วงที่เพิ่งขึ้นมาทันที
“ทองด้วงน้องพี่!!!”
“ขอรับ พี่ทองไชย พี่จะส่งเสียงดังแบบนั้นเพื่อการใดเล่า”
“อะพิโธ่ น้องพี่ ก็พี่ใจหายนี่นา ประเดี๋ยวพอพรุ่งนี้เช้าไก่ขัน ตัวพี่ก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแล้ว คงไม่ได้พบเจ้าอีกหลายเพลา”
“น้อยๆหน่อยเถิด ตาทองไชย แม่นั่งเป็นหัวตออยู่ตรงนี้ไม่ใคร่คิดบ่นหา กลับคร่ำครวญว่าจะขาดเพื่อนเล่น เราก็ไม่ได้เป็นเด็กๆแล้วนะ มันน่าจับเฆี่ยนเหมือนสมัยตีนเท่าฝาหอยจริงๆ” คุณหญิงพุดซ้อนตำหนิลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“โธ่ ... แม่ก็ ก็ผมเอ็นดูเจ้าทองด้วงมันเหมือนท่านแม่นั่นแหละ ดูสิ ถ้าผมไม่อยู่ ใครจะคอยขับไล่ไอ้พวกเด็กวัดที่มันมารังแกน้องของกระผมเล่าขอรับ”
“กระผมโตแล้วนะขอรับพี่ทองไชย ไม่ได้เป็นเด็กน้อยไว้จุกเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีเด็กวัดที่ใดมารังแกได้ดอกท่านพี่ ขอให้พี่จงไปทำงานรับใช้พ่ออยู่หัวอย่างสบายใจเถิด ส่วนคุณหญิงนั้น กระผมจักดูแลท่านด้วยชีวิต ขอท่านพี่อย่าได้กังวลทางนี้เลย”
“ทองด้วงเอย เจ้าฤาจะปกป้องใครได้ ข้านึกไม่ใคร่เห็นว่าเจ้าจะทำได้เช่นนั้น แต่เอาเถิด ข้าปีตินักที่ได้ยินน้องรักของพี่พูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วข้ามิได้ห่วงอันใดหรอก .... หากจะให้ตอบตามตรง ข้ามีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวมากกว่าในเพลานี้”
“อะไรฤา พี่ทองไชย”
แววตาของทองไชยหม่นลง ก่อนจะยิ้มให้กับน้องชายต่างสายเลือด “ไม่มีอันใดดอก ทองด้วงน้องพี่ .... เอาเป็นว่า คืนนี้พี่ขอร้องให้เจ้ามาอ่านกลอนให้พี่ฟังก่อนที่พี่จะไม่ได้ฟังอีกนานก็แล้วกัน น้องพี่ เจ้าติดขัดประการใดฤาไม่”
“ไม่มีขอรับ กระผมยินดี” ทองด้วงก้มหน้ารับช้าๆ “กระผมขอตัวไปช่วยงานในครัวก่อนนะขอรับ”.
.
.
บรรยากาศรอบๆตัวผมค่อยๆมืดลง บ่าวไพร่เบื้องหน้าขยับกายว่องไวเหมือนหนังที่ถูกกด Fast Forward ก่อนที่บรรยากาศจะกลับคืนสู่ปกติช้าๆ เบื้องหน้าผมเป็นห้องชนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พี่ทองไชยในนิมิตนุ่งกางเกงแพรสีกรมท่า เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกและกล้ามท้องที่สมส่วนและผิวพรรณที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีสกุล พลางนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่หาได้ขัดกลอนไว้ไม่”
ทองด้วงผลักบานประตูเข้ามาตามที่เจ้าของห้องสั่ง พร้อมด้วยกระดานชนวนในมือ ก่อนจะขัดกลอนประตูไว้
“ทิวานี้ช่างมืดหม่นนัก พี่เฝ้ามองหาดวงจันทร์และหมู่ดาราที่หนใดบนท้องฟ้าแต่ก็หาพบไม่”
“ก็วันนี้เป็นวันแรมนี่ขอรับ พี่ทองไชยจักหาความสุกสกาวจากดาวดวงใดได้เล่า”
“แต่พี่ใคร่อยากให้คืนสุดท้ายของเรานั้นเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุด”
“คืนสุดท้ายที่ไหนกันขอรับ กระผมแลพี่ทองไชยหาได้ตายจากกันไปเลยเสียที่ไหน”
“เอาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่คร้านจะต่อความกับเจ้า พี่ไม่เคยจะอัปราชัยสักครั้งหากเราได้ถกเถียงกันด้วยถ้อยคำ .... ทองด้วงน้องพี่ พี่อยากฟังบทกวีของเจ้าเสียแล้วในเพลานี้ เจ้าจะเริ่มเลยฤาไม่”
“ได้สิขอรับ” ทองด้วงรับคำ ก่อนจะเริ่มเอื้อนเอ่ยขึ้น
“ขอลาแล้วแก้วตาดวงใจ พี่จะไปรับใช้พ่ออยู่หัว
อยู่แนวหลังสั่งไว้อย่าได้กลัว ประเดี๋ยวผัวกลับมามิช้านาน
ฝากพ่อแม่ด้วยหนาแก้วตาเอ๋ย อย่าละเลยเฉยชานะตาหวาน
ระวังใจห้ามใครมาแผ้วพาน อยู่ทางบ้านรอผัวตัวกลับมา
เพลานี้พี่ใคร่เป็นคนธรรพ์ ห้ามตะวันผุดแสงมาส่องหล้า
ให้วันพรุ่งหามีไม่ในโลกา ให้ตัวข้ากอดเจ้าไว้ใต้แสงจันทร์
ไก่จะขันเสียแล้วแก้วตาจ๋า สูรย์จะมาเยือนโลกพี่โศกศัลย์
ถึงพี่ไกลใจอยู่คู่ลาวัลย์ แม่จอมขวัญคอยหน่อยเถิดกลอยใจ”
“บทกวีของเจ้ายังไพเราะจับจิตเช่นเดิมนะทองด้วง ยิ่งทำให้ข้าอดใจหายไม่ได้ที่อีกนานกว่าข้าจะได้ยินได้ยลอีกครา”
“ขอบคุณขอรับพี่ทองไชย พี่อย่าได้ทอดถอนใจไปเลย เกิดเป็นชายชาติทหารนั้นมิควรมาหลงใหลในความงดงามของโคลงฉันท์กาพย์กลอนดอกพี่ หน้าที่ของชายชาตรีคือการดูแลปกป้องบ้านเมืองถึงจะบังควร” ทองด้วงเสตามองไปยังฟ้าหม่นเบื้องหน้า “พี่ทองไชยรู้หรือไม่ ว่าข้านั่นอิจฉาท่านนัก ทั้งชาติกำเนิดดท่านก็สูงส่ง ร่างกายก็กำยำสมกับเป็นชายชาติทหาร ในขณะที่ตัวข้านั้นกลับอ้อนแอ้นเยี่ยงสตรีเช่นนี้”
“ทองด้วงน้องพี่ เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธชะตาวาสนาตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะไม่ได้เป็นเหมือนพี่ แต่สวรรค์ก็ส่งความสามารถอันประเสริฐในร้อยกรองให้แก่เจ้ามิใช่ฤา -- น้องพี่ ฟังพี่นะ ไม่มีผู้ใดที่เพียบพร้อมไปเสียหมดดอก”
“ข้ารู้สัจธรรมข้อนั้นดี พี่ทองไชย .... แต่ข้ากลับคิดว่าบางทีพี่ชายของข้าผู้นี้อาจจะเป็นข้อยกเว้นของสัจธรรมข้อนั้นก็เป็นได้นะขอรับ” ทองด้วงยิ้มให้
“หามิได้ ทองด้วงน้องพี่ พี่มิได้สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนั้นดอก”
“แล้วพี่ทองไชยยังใฝ่หาสิ่งใดเล่า”
“ความรักนั่นไง ทองด้วงน้องพี่”ทองไชยยิ้มมุมปากทว่าแฝงความรู้สึกเศร้าๆอยู่ลึกๆ
“อะพิโธ่ กระผมก็นึกว่าเรื่องอันใด พี่ทองไชยจักรีบร้อนไปไย พี่เองก็เพิ่งบวชเรียนมาไม่นาน จะรีบร้อนมีคู่ครองไปเพื่อเหตุใดเล่า”
“หาได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดดอก ทองด้วง ความจริงแล้วไซร้ พี่ชายของเจ้าคนนี้มีวาสนาความรักที่น่าสงสารกว่าที่เจ้าคะเนมากนัก”
“แล้วมันเป็นเช่นไรฤาขอรับ พอจะเฉลยให้กระผมเข้าใจได้ไหม”
“ความรักของพี่คงมิอาจเป็นไปได้”
“เพราะอะไรฤาขอรับ ด้วยศักดินาของท่านออกญาแลคุณหญิงก็น่าจะไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหนๆได้ทั่วราชธานีอโยธยาศรีรามเทพนคร แล้วไฉนเลยพี่ทองไชยถึงได้กล่าวกับข้าเช่นนี้”
ทองไชยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมามองทองด้วง “เจ้าอยากรู้จริงๆฤา”
“หากพี่ทองไชยประสงค์อยากให้น้องชายคนนี้รับรู้”
ลูกชายออกญายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางมือลงบนเตียง
“ขึ้นมานั่งข้างๆพี่สิ น้องรักของพี่”
ทองด้วงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่ทองไชยจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นแตะที่อกข้างซ้ายของบ่าวในเรือนคนนี้
“นั่นเพราะข้าปรารถนาในร่างกายแลหัวใจของเจ้าอย่างไรเล่า ทองด้วงเอย”
“คุณพระ!!!” ทองด้วงอุทาน “พี่ทองไชยมิควรจะพูดจาบัดสีหยอกกระผมเยี่ยงนี้ พระพรหมท่านจะทรงฟาดอสุนีบาตมาสู่เราทั้งคู่ได้”
“ข้าขอโทษ ทองด้วงน้องพี่ หากแต่พี่ยืนยันว่าที่ตัวพี่พูดทุกถ้อยคำนั้นล้วนกลั่นถ้อยร้อยวจีมาจากดวงใจที่แท้จริงของพี่ ข้ารักเจ้านัก และรักเจ้ามานานแล้ว ทองด้วงเอย”
“พี่ทองไชย!!!”
“พี่รู้ดี ความรักของพี่นั้นผิดจารีตประเพณีหากแต่ขึ้นชื่อว่าความรักแล้ว มักจะหาเหตุผลมารองรับไม่ใคร่ได้นัก เหมือนที่โบราณท่านว่าความรักทำให้คนหูตามืดบอดกระนั้นแล”
“พี่ทองไชยกำลังหูตามืดบอด จนเผลอพูดจาผิดปกติไปแล้วแน่ไซร้ ข้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เจ้าพูดถูก ทองด้วงน้องพี่ และแม้ว่าตัวพี่จักปรารถนาให้เจ้านั้นคิดเช่นเดียวกับพี่ หากแต่พี่ก็ไม่ใคร่ฝืนใจเจ้าได้ดอก เพียงแต่พี่ประสงค์เพียงอยากจะขอร้องเจ้าสักหนึ่งประการเท่านั้น”
“อะไรฤาขอรับ”
“พี่ต้องการให้เจ้านอนกับพี่คืนนี้ ขอให้พี่ได้มีเจ้าอยู่ข้างกายในอ้อมกอดของพี่ เพียงเท่านั้นจะได้ไหมเล่าทองด้วงน้องพี่”
“เอ่อ... พี่ทองไชย”
ทองไชยหลุบตาต่ำ อย่างรู้สึกผิด “พี่ขอโทษที่ขอร้องเจ้าบัดสีเช่นนั้น เอาเถิด เจ้ากลับเรือนของเจ้าไปได้แล้ว วันพรุ่งค่อยพบกัน น้องพี่”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นมา “ดับไฟเสียเถิด พี่ทองไชย ประเดี๋ยววันพรุ่งเราคงตื่นสายกันพอดี”
บ่าวหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างอายๆ พลางเสตาหนีไปทางอื่น และจากกริยาท่าทางของทองด้วงนั้น ก็ทำให้ทองไชยฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณบ่าวผู้นั้น
“พี่ขอบคุณเจ้ามาก น้องรักของพี่”
เปลวไฟจากตะเกียงเจ้าพายุถูกหรี่จนดับลง ก่อนที่ทองด้วงจะค่อยๆยกเท้าขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงของลูกชายออกญา อึดใจเดียวร่างกายของเขาก็ถูกโอบกอดด้วยวงแขนแกร่งของทองไชย เสียงลมหายใจของทั้งคู่แว่วชัดในความเงียบ เจ้าของเตียงหลับใหลลงในเวลาไม่นานในขณะที่คนที่อยู่ในอ้อมกอดกลับนอนตาแป๋วอย่างครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจทำลงไป ....อีกทั้งความอบอุ่นที่ได้รับจากชายผู้นี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่า เหมือนตัวเขาต้องการมันมากกว่าแค่คืนนี้.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมกับที่รอบๆตัวผมกลับกลายเป็นซากปรักหักพังของวัดราชบูรณะดังเดิม หากแต่พระยาไชยสุริเยนทร์ยังยืนยิ้มให้ผมอยู่
“ใบหน้าของเจ้ายามหลับตาลงยังน่ายลเหมือนอดีตไม่มีผิด ทองด้วงน้องพี่”
“เป็นนิมิตที่งดงามและน่าเศร้ามากเลยครับพี่ทองไชย ครั้งหนึ่ง ผมกับพี่ทองไชยเราเคย....เอ่อเป็นแบบนั้นกันจริงๆหรอครับ”
“ถ้าพี่บอกว่าจริงเจ้าจะเชื่อไหมเล่า .... ทำไมเจ้าไม่ฟังเรื่องราวที่พี่อยากให้เจ้าเห็นต่อไปล่ะ เจ้าจะได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ถ่องแท้ขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ ช่วยนิมิตให้ผมเห็นอีกสิครับ” ผมยิ้ม เรื่องราวความรักของผมในอดีตชาติก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยหรอก หากแต่ความเป็นนักโบราณคดีของผมทำให้ผมรู้สึกว่า ภาพเหล่านั้นเหมือนกับหนังสืออ้างอิงชั้นดีที่จะทำให้ผมมองเห็นภาพประวัติศาสตร์ในอดีตชัดเจนขึ้น
“เจ้าดูเป็นคนที่เฉโกขึ้นด้วยนะ ทองด้วง” พระยาไชยสุริเยนทร์ยิ้มขัน ก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไรดอก เพราะข้าเองก็ปรารถนาจะให้เจ้าเห็นแลเข้าใจทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ราตรีนี้คงจะดึกเกินไปที่เจ้าจะได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆต่อไป เจ้าจงกลับเคหะสถานของเจ้าไปก่อนเถิด ทองด้วงน้องพี่ แล้วคืนวันพรุ่งพี่จะเล่าให้เจ้าฟังอีกครั้งหนึ่ง”
“เล่าให้หมดเลยวันนี้เลยไม่ได้หรอครับ พี่ทองไชย”
“มิได้ดอก ทองด้วงเอย การถอดจิตไปดูอดีตชาติเป็นเวลานานๆนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อกายหยาบของเจ้านัก น้องพี่จงกลับไปพักผ่อนเสียเถิด พี่สัญญาว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอนตราบที่เจ้าปรารถนาอยากจะพบพี่ที่อารามหลวงแห่งนี้”
“ก็ได้ครับ พี่ทองไชย เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ผมรับคำอย่างเสียดาย ก่อนจะก้าวออกจากประตูวัดไป
ผมหันหลังกลับมาอีกครั้งก็พบว่าพี่ทองไชยโบกมือให้ผมช้าๆอยู่บนปรางค์ประธาน ถึงภาพนั้นจะทำให้ผมขนลุกอยู่เล็กน้อย แต่ผมก็เลือกที่จะโบกมือลาพี่ทองไชยก่อนจะก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
เขียนเรื่องนี้เหนื่อยแต่สนุกมากกว่าเพราะได้ใช้คำหรูหราสะใจดี
ขอบคุณที่ชมว่าใช้คำสวยด้วย
ส่วนคำว่าอสงไขย นั้น ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า ผมค่อนข้างจะใช้พร่ำเพรื่อในนิยายเรื่องนี้มาก นั่นเพราะผมก็ชอบมากเหมือนกัน
ส่วนที่ว่าเขียนดีมั้ยนั้น ผมว่าผมยังเขียนไม่ดีเท่าไหร่หรอกครับ
(มีพีเอ็มมาท้วงหลังไมค์พอสมควรเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่าง)
แต่ไม่โกรธจริงๆนะครับ ขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมจริงยิ้งขึ้น
อ้อ ในตอนแรก แอบไปแก้ไขตามที่มีคนท้วงมาเรื่องการนับวันเดือนปีสมัยอยุธยานะครับ
คือ สมัยนั้นเค้าจะบอกเป็นวันข้างขึ้นข้างแรม ปีนักกษัตริย์ ร่วมกับจุลศักราช
ไม่ใช่บอกเป็นเดือนมีนาเมษาเหมือนปัจจุบัน
(เราเพิ่งมีเดือนมีนาเมษาตอนสมัย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม)
ดังนั้น ในวันที่ 7 เมษายน จศ. 1129 นั้น ผมเลยแก้ไขเป็น
วันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1129 ครับ
อ้อ ส่วนหัวเรื่องอัพเดท เผื่อมีคนงง จุลศักราช 1374 มาจาก พศ. 2555 นั่นเองครับ
(มาจาก 2555 ลบด้วย 1181 ดามวิธีการนับ จุลศักราช)
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ส่วนเศร้าไม่เศร้า ไม่ขอสปอยครับ
เพิ่งมาอ่านเจอ ฉันท์ที่พ่อทองด้วงเขีนในตอนที่ 2 กับนิราศในตอนที่ 3 นั้น ผมแต่งเองครับ
แต่เพลงในบทแรกเป็นเพลงของ พ่อชินกร ไกรลาสครับ ชื่อเพลงอิฐเก่าเล่าตำนาน