พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 05-01-2012 16:05:00

หัวข้อ: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 05-01-2012 16:05:00
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
_________________________________________________________

สวัสดีครับ

วันนี้ นายหนิงหน่องมาฝากนิยายเรื่องใหม่อีกแล้ว
(ได้ข่าวว่าของเก่าก็ยังเดินเรื่องเอื่อยเฉื่อยอยู่เลย)

 :laugh:

แต่เรื่องนี้เป็นพลอตที่อยากเขียนมาก เพราะหลังจากที่เขียนนิยายมาได้สักพัก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายระดับต้นๆ ที่อยากเขียน
อีกทั้งเวลาที่เหลือนิดหน่อย กับพล๊อตที่ไม่ยาวมากของเรื่องนี้ น่าจะเข็ญให้จบทันหนึ่งเดือน
ดังนั้น เลยเขียนควบสองเรื่องเลย  :laugh:

เอาเป็นว่า ขอฝากนิยาย(ขนาดสั้น) เรื่องนี้ด้วยแล้วกันนะครับ
 :กอด1:
สารบัญนิยาย by Glorious
1. หรือจะเก็บรักไว้ในสายลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28463.0)

2. อย่าติสท์ให้มากนัก ถ้าพี่รักแล้วน้องจะหนาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29320.0)

3. กรุ่นกลิ่นรวงข้าว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,30027.msg1727520.html#msg1727520)

รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา by Glorious (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29662.0.html)
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 05-01-2012 16:05:52

ตอนที่ ๑

ยาวนานเหลือเกิน.....
สองร้อยกว่าปีแล้วกระมัง ที่ข้ายังอยู่ที่แห่งนี้
สองร้อยกว่าปีสำหรับมนุษย์นั้นคงเทียบไม่ได้กับตัวข้า ช่วงเวลาที่ข้าอยู่ที่นี่คงจะนานนับอสงไขย มันช่างเนิ่นนานเหลือเกินกับเรื่องราวต่างๆที่ข้าได้สดับรับรู้....
หากแต่เพลานี้ ข้ารู้สึกได้ ว่าอสงไขยกาลแห่งข้าคงจะมาถึงการสิ้นสุด
ข้าได้พบเจ้าแล้ว หลังจากที่ข้าล่องลอยในสายธารแห่งกาลเวลามาเนิ่นนาน
ทองด้วง....ยอดดวงใจของข้า
.
.
.
แดดยามบ่ายสาดแสงจ้าจนผมต้องหรี่ตาหลบความสว่างจ้าของดวงตะวัน  ชุดข้าราชกาสีกากีในสังกัดกรมศิลปากรที่ผมสวมอยู่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อไคลจนผมแทบอยากจะถอดทิ้ง แต่ผมก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
“เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานวันแรก” เสียงพี่ยง ยอดธง รุ่นพี่นักโบราณคดีทักผมจากด้านหลัง
“ก็...ดีครับ ได้ทำงานอย่างที่อยากทำ”
“เข้าร่มก่อนไหม ดูสภาพเราอย่างกับไปตกน้ำมา”
ผมฉีกยิ้มและรับคำอย่างว่าง่าย ถึงความเป็นนักโบราณคดีรุ่นใหม่ไฟแรงของผมจะยังคุกรุ่นอยู่ภายใน แต่ความร้อนรุ่นของเปลวแดดยามนี้ก็พาลจะทำให้หน้ามืดลงได้ง่ายๆเหมือนกัน
“เห็นเขาบอกว่า เราจบเอกประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยามางั้นหรือ ด้วง”พี่ยงถามขึ้น
“ใช่ครับ”
“แล้วทำไมถึงเลือกเอกนี้ล่ะ”
“ก็.... ผมเกิดที่นี่ จะใช้คำว่าสำนึกรักบ้านเกิดก็ได้นะครับ ผมคิดว่าประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยานั้นยิ่งใหญ่และน่าหดหู่ บางทีหากในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ถ้าเราสามัคคีกัน พวกพม่าอาจจะไม่สามารถตีเอาเป็นเมืองขึ้นได้ง่ายดายเหมือนในประวัติศาสตร์” ผมทอดมองไปยังปรางค์ประธานวัดราชบูรณะด้วยความรู้สึกหดหู่ “ครั้งหนึ่ง มหานครแห่งนี้งดงามเหลืองอร่ามไปด้วยสีทองดั่งเมืองสวรรค์ ผมอยากให้คนรุ่นหลังได้เห็น เหมือนที่ผมเองก็อยากเห็นภาพเหล่านั้น”
“ปณิธานของเราแน่วแน่ดี พี่ดีใจนะที่ได้ด้วงมาทำงานร่วมกัน” รุ่นพี่ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวนี้ใครๆต่างก็พากันมองไปข้างหน้า คิดถึงแต่อนาคต จนลืมไปว่าหากหลงลืมว่าอดีตของตนเองเป็นเช่นไร ก็ไม่อาจจะมีวันต่อไปเช่นกัน”
“ผมเห็นด้วยครับพี่ ผมสัญญาจะทำงานนี้ให้เต็มที่ให้สมกับที่พี่ยงเลือกผมเข้ามาเลยครับ”
เราต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่พี่ยงจะขอตัวไปยังชั้นหนังสือสูงเลยหัวในห้องทำงาน

ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆว่าอยากจะเป็นนักโบราณคดี ผมยังจำได้ว่าผมชื่นชมในความห้าวหาญและความเท่ของอินเดียน่าโจนส์ ที่โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม อีกทั้ง....ด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในห้วงความคิด เหตุผลที่ผมไม่เคยบอกใคร ...นั่นคือ ภาพในความฝัน
ความฝันที่เหมือนกับภาพยนตร์ย้อนยุคที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก
ภาพบ้านเมืองและพระราชวังสีทองอร่าม กำแพงเมืองที่แสนงดงาม ในความฝันนั้น ผมเดินอยู่เคียงข้างใครคนหนึ่ง ผมเดาได้ว่าเป็นผู้ชายและผมเองก็รู้สึกได้ถึงความผูกพันที่แสนจะประหลาดเหมือนกับรู้จักมักคุ้นกันมานาน แม้ในความฝันนั้นผมจะไม่เคยเห็นใบหน้าของชายคนนั้นก็ตาม
และจากฝันที่ซ้ำไปซ้ำมานั้น ทำให้ผมอยากให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตของกรุงศรีอยุธยา เช่นเดียวกับที่ผมได้พบเห็นในความฝัน
.
.
.
งานของผมเป็นงานที่ต้องจมอยู่กับกองหนังสือเสียส่วนใหญ่ ผมต้องค้นคว้าถึงความเป็นไปในประวัติศาสตร์และในบางครั้งผมก็ต้องศึกษาข้อมูลเพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาเผยแพร่แก่สาธารณชนรวมถึงต้องเป็นวิทยากรในบางครั้งด้วย
ผมดีใจนะ ที่ได้มาทำงานตรงนี้ ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณบรรพบุรุษแห่งกรุงศรีที่ได้ให้โอกาสผมมายืนอยู่ตรงนี้

ลานกว้างที่วัดราชบูรณะถูกเซตเวทีและแสงสีสำหรับจัดการแสดงในคืนนี้ ผมนั่งมองเงียบๆอย่างมีความสุข และผมดีใจที่ยังมีคนที่ยังรำลึกถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นเดียวกับผม
“เหม่ออะไรอยู่หรือด้วง” พี่ยงทักผมด้วยรอยยิ้ม
“เปล่าหรอกครับ”
“คืนนี้มางานด้วยกันกับพี่มั้ย”
“ถึงพี่ไม่มาผมก็มาอยู่แล้วครับ” 
“โอเค ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เจอกันนะ “
.
.
.
นักท่องเที่ยวมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเริ่มนั่งประจำที่บนอัฒจรรย์ที่เตรียมไว้ เบื้องหน้าเวทีที่เนรมิตรอย่างวิจิตรรอคอยเหล่านักแสดงที่จะขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวการสมัยกรุงศรีอยุธยา ผมนั่งฟังเสียงดนตรีไทยคลอโหมโรงด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้มาชมการแสดงนี้ แต่ครั้งนั้นก็เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่สมัยผมยังใช้คำนำหน้าว่าเด็กชาย
“มานานแล้วหรอ” พี่ยงนั่งข้างๆผม เขามาในชุดโปโลสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ง่ายๆพร้อมด้วยรอยยิ้มเรียบๆเช่นเคย และรอยยิ้มนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่ยงเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง นอกจากใบหน้าเคร่งขรึมหน้ากองหนังสือประวัติศาสตร์
“สักพักแล้วครับ”
“จะว่าไป พี่เองก็ไม่ได้มางานนี้นานแล้วเหมือนกัน .... มาดูคนเดียวมันไม่น่าสนุกเท่าไหร่น่ะ”
“แล้วแฟนพี่ล่ะครับ”
“พี่ยังไม่มีใคร”พี่ยงหันมาตอบ “อาชีพนักโบราณคดีบางครั้งก็เหมือนเป็นเงาของสังคม บางคนก็ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่ามีเราอยู่เป็นข้ารับใช้พระยุคลบาท”
“ไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย” ผมยิ้มให้กับคำตอบที่ดูจริงจังของพี่ยง “ที่พี่ไม่มีใครน่าจะยังเพราะพี่ยังไม่เจอใครที่ถูกใจพี่มากกว่า”
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น หรือไม่พี่ก็คงจืดชืดจนไม่มีใครสนใจล่ะมั้ง” พี่ยงหัวเราะแบบแกนๆ
“ไม่หรอกครับ ผมว่าพี่ออกจะหน้าตาดีนะ”
“มาชมกันแบบนี้ อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานสินะ”
“ฮ่าๆๆ พี่ก็พูดไป” ผมหัวเราะ “แต่ถ้าได้ก้ดีครับ”

เสียงเพลงโหมโรงค่อยๆเบาลง ก่อนที่พิธีกรจะเริ่มกล่าวแนะนำการแสดงวันนี้ ผมหยุดบทสนทนาระหว่างพี่ยงลงก่อนจะหันไปสนใจการแสดงเบื้องหน้า ไม่นานนัก พิธีกรก็กล่าวจบลง เสียงมโหรีปี่พาทย์ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับนักแสดงคนแรกออกมาในชุดเครื่องแต่งกายสมัยเก่าและเริ่มขับเสภาที่เหมือนจะเป็นท่อนหนึ่งของบทเพลง

กรุงเอย...กรุงศรีอยุธยา....
ทัศนาปูชนียสถาน....
อิฐเก่าเก่าเหล่านี้มีตำนาน
วาดวิมานบนดินถิ่นราชัน....

คนกรุงเก่าเล่าให้ฟัง วัดเวียงวังดั่งสวรรค์
น้ำรอบมีขอบขัณฑ์ กำแพงกั้นชั้นนอกใน
ล้นเกล้าเจ้าอู่ทอง ครองนครสุขสดใส
ชื่อเสียง ธ เกรียงไกร แผ่ขยายพระบารมี

ทรงธรรม์สวรรคต โศกสลดทั้งกรุงศรี
ความรักสามัคคี เสนาบดีเสื่อมทรามลง
ข้าศึกจึงฮึกหาญ มารุกรานเพื่อประสงค์
มิให้ไทยมั่นคง ซ้ำยังส่งไส้ศึกมา

ยุคใดไทยสามัคคี ไพรีหวาดผวา
ยุคไหนในพารา ริษยาแตกแยกกัน
เครือญาติหวาดระแวง เนื่องจากแย่งครองเขตขัณฑ์
ดุจช้างที่ชนกัน หญ้าแพรกนั้นย่อมล้มตาย

คนดีมีฝีมือ คนซื่อก็สูญหาย
ถูกฆ่าน่าเสียดาย บ้างแยกย้ายหนีซานซม
ราชการงานเมือง มีแต่เรื่องที่ขื่นขม
สมบัติผลัดกันชม เป็นสังคมเฉพาะกาล

ศัตรูอยู่นอกรั้ว ขุนนางมัวสนุกสนาน
ไส้ศึกส่งสัญญาณ ข้าศึกผ่านเข้าสบาย
ทัพโจรปล้นธานินทร์ เผาทรัพย์สินจนเสียหาย
ต้อนคนไปมากมาย ถูกร้อยหวายเป็นเชลย

อดีตปัจจุบัน คล้ายคลึงกันพี่น้องเอ๋ย
จะเทียบหรือเปรียบเปรย ตามที่เคยรู้เห็นมา
คนซื่อฝีมือดี มักจะมีคนอิจฉา
ย้ายไปให้ไกลตา เพราะเหตุว่าชอบขัดใจ
ความรักสามัคคี เป็นสิ่งดีทุกสมัย
แบ่งสรรปันน้ำใจ เป็นผู้ใหญ่เอื้ออาทร
อิฐเก่าที่เราเห็น ดูไว้เป็นอนุสรณ์
มองไปใจสะท้อน ภาพมาหลอนถึงปัจจุบัน

(อิฐเก่าเล่าตำนาน ชินกร ไกรลาส)

บทเพลงอิฐเก่าเล่าตำนานดังขึ้น พร้อมกับการแสดงจินตลีลาประกอบเพลง ก่อนที่เรื่องราวประวัติศาสตร์การเสียกรุงจะเริ่มร้อยเรียงถ่ายทอดให้ผู้ชมได้รับชมรับฟัง ถึงความรุ่งเรืองและความอัปยศของกรุงศรีอยุธยาในอดีต

เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อการแสดงจบลง เหล่าบรรดานักแสดงออกมาจากด้านหลังพร้อมกับโค้งคำนับผู้ชมโดยพร้อมเพรียง ผู้ชมทั้งไทยและเทศเริ่มทยอยเดินลงจากอัฒจรรย์ในขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“ยังไม่กลับหรอด้วง”
“เอ่อ .... พี่ยงกลับก่อนก็ได้ครับ ผมขอนั่งอยู่อีกสักครู่”
“เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่ยงถามขึ้นด้วยแววตากังวล
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่อยากอยู่ต่ออีกหน่อย พี่กลับไปก่อนเถอะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ ...ตามใจด้วงเถอะ” พี่ยงเดินจากไป หากแต่ยังคงมองคล้อยหลังมาทางผมอย่างเป็นห่วง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนเริ่มบางตาลง ในขณะที่ผมค่อยๆปล่อยให้อารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ระบายออกมาผ่านทางหยาดน้ำตาที่ค่อยๆเอ่อออกมาทางหางตา บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเหมือนกันที่มันจะอินไปกับละครสมัยเก่าๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับภาพการเสียกรุงในยุคนั้น
ผมลูบหน้าตัวเองช้าๆเพื่อขจัดคราบน้ำตาของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเดินลุกจากอัฒจรรย์ลงไปยังข้างล่างและทอดน่องไปตามทางเดินในวัดราชบูรณะ สายลมเย็นพัดมาเบาๆทำให้ผมต้องกอดอกเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเอง ผมมองไปยังซากโบราณสถานในวัดด้วยความรู้สึกหดหู่เมื่อเปรียบเทียบกับความงดงามของราชวังในความฝัน ที่โอ่อ่าและสง่างาม หลายครั้งผมนึกสงสัยตัวเองว่าทำไมกันนะ ผมถึงได้ผูกพันกับที่แห่งนี้อย่างประหลาด ราวกับว่าชาติที่แล้ว ผมเคยเป็นไพร่ฟ้าหน้าใสที่อาศัยอยู่ที่นี่เลยทีเดียว
ผมเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงที่หน้าลานปรางค์ประธาน ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน แสงไฟที่ส่องขึ้นมาจากสปอตไลท์เผยให้เห็นความวิจิตรขององค์พระประธานที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของพระพุทธรูปเบื้องหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเสตามองสูงขึ้นไป คืนนี้ไม่มีดาวให้เห็นเลยหากแต่ดวงจันทร์นั้นกลับส่องสว่างเต็มดวงทำให้ผมเดาเอาว่าวันนี้คงเป็นวันขึ้น15ค่ำแน่ๆ
“ทองด้วง...ทองด้วงเอ๊ย”
เสียงดังแว่วมา อาจจะไม่ดังนักแต่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นเสียงของใครบางคน ผมหันซ้ายแลขวาก็พบกับความว่างเปล่า และความว่างเปล่านั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังไม่น้อย
“ทองด้วยน้องพี่....”
ผมหันหลังขวับเมื่อเสียงนั้นอยู่ใกล้ราวกับคนพูดนั้นอยู่ข้างหลัง และสิ่งที่ผมเห็นกำทำให้ผมต้องอุทานลั่น
“เฮ้ยยยยย!!!”
ผมล้มก้นจ้ำเบ้า เมื่อพบเห็นกับชายหนุ่มท่าทางน่าเกรงขามในชุดเหมือนกับนักแสดงบนเวทีเมื่อครู่และผมเลือกจะเดาว่าเขาเป็นคนเนื่องจากไม่เชื่อในเรื่องผีสางสักเท่าไหร่ ชายคนนั้นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรพร้อมกับส่งมือให้ผมคว้าไว้เพื่อพยุงตัวลุกขึ้น
“อะไรของคุณกันเนี่ย แอบย่องมาข้างหลังไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ข้าขอโทษ ทองด้วง อย่าได้ถือสาข้าเลย” ชายคนนั้นตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“คุณทำให้ผมตกใจนึกว่าผีนะเนี่ย โผล่มาข้างหลังไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจให้เจ้าตกใจแทบสิ้นสมประดีเช่นนั้นดอก ข้าก็แค่....ดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง”
“แหม...คุณนี่พูดจาภาษาโบราณได้คล่องจัง ผมได้ดูการแสดงของพวกคุณแล้วผมชอบมากนะ มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอยุธยาจริงๆเลยล่ะ” ผมชมเชยจากใจ “ว่าแต่เมื่อกี๊คุณเรียกผมว่ายังไงนะครับ ทองด้วง...หมายถึงผมหรอ”
“ไม่ผิดดอก ข้าหมายถึงเจ้านั่นแหละ”
“ทองด้วงงั้นหรอ” ผมนึกตาม “จริงๆผมชื่อด้วงนะ ว่าแต่ทำไมคุณถึงรู้จักผม แล้วที่บอกว่าได้เจอกันอีกครั้งมันหมายความว่ายังไง เราเคยเจอกันมาก่อนหรอครับ”
“ไม่แปลกดอกที่เจ้าจะจำข้าไม่ได้ นานอักโขทีเดียวที่ข้ากับเจ้าไม่ได้พบกัน”
“จริงหรอครับ ว่าแต่เราเคยเจอกันตอนไหนหรอครับ”
นักแสดงคนนั้นยิ้มเย็นๆ ก่อนจะตอบผมว่า “ วันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1129 ”
“แล้วจุลศักราช 1129 ของคุณเนี่ยมันพศ.ไหนกัน ทำไมคุณพูดจาฟังยากจัง”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พลางยิ้มเศร้าๆ และตอบคำถามโดยไม่ได้สบตาผม
“สองร้อยสี่สิบสี่ปี ... ตั้งแต่ที่อโยธยาศรีรามเทพนครเสียเอกราชให้แก่พวกพม่ารามัญ สองร้อยกว่าปีแล้ว ทองด้วงน้องพี่ที่ข้ารอคอยเจ้าอยู่ที่นี่”
“คุณว่าไงนะ!!!”
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 05-01-2012 16:27:54
ฮ่า ฮ่า พี่ท่านเล่นมาแบบนี้น้องด้วงเราต้องคิดว่าเป็นคนบ้าแน่นอน
เรื่องใหม่ไฉไลน่าติดตามจริง ๆ ประวัติศาสตร์อยุธยาด้วย บ้านเกิดเราเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 05-01-2012 16:37:57
กรี๊ดดดดด

อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ  สองร้อยกว่าปีแล้ว  โฮกกกกก

รอติดตามว่าทองด้วงกับพี่ชายที่รอคอยนั้นจะบรรจบกันยังไง

แต่ดูแววแล้วน่าจะเศร้าเนอะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 05-01-2012 16:49:38
 o13ชอบเเนวนี้สุดๆเลยค่ะ  แต่อย่ามาม่านะ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 05-01-2012 17:12:42
  แวะมาเปิดเรื่องใหม่ในแนวที่ชื่นชอบค่ะ
เรื่องแบบนี้หาคนแต่งยาก แต่ชอบค่ะ นิยายกลิ่นอายไทยเต็มๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 05-01-2012 17:38:47
รับเรื่องใหม่ :mc4:
ชอบแนวนี้เช่นกัน
+1
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 05-01-2012 19:51:42
สโลแกนของคนแต่ง
ถ้าเรื่องไหนไม่มีหยากไย่ใยแมงมุม ไม่ใช่ของแท้

แซวเล่นนะคะ  เพราะเรื่องภูเก็ตว่าย้อนอดีตแล้ว
เรื่องนี้ย้อนไปไกลยิ่งกว่า
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-01-2012 20:53:09
เศร้าๆ หวานๆ ปนน่ากลัวหน่อยๆ
ทองด้วงเอ๋ย ใจแข็งไว้นะ อย่าเป็นลมไปก่อนหล่ะ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-01-2012 21:29:48
ชอบนะนิยายแนวนี้

รออ่านต่อจ้า   :L2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 06-01-2012 10:15:32
ต้อนรับเรื่องใหม่  :L2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 06-01-2012 10:30:50
เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ นักโบราณคดีงั้นเหรอ ฝันแบบนั้น... น่าอิจฉาจัง ไอก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นอะไรแบบนั้นนะ

คือ..ไอก็คิดว่าอยุธยาเป็นเมืองที่น่าสนใจและน่าเสียดายจริงๆน่ะ

เป็นกำลังใจให้นะ (o^^o)
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 06-01-2012 11:18:41
เจ๋งสุดๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 06-01-2012 13:02:54
ตอนที่ ๒

“ด้วง ด้วง ทำไมถึงมานอนตรงนี้”
ผมค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นมาจากเสียงเรียกของพี่ยง ก่อนจะปรือตาขึ้นช้าๆและสำรวจๆรอบตัว ผมอยู่ที่ในห้องทำงานของตัวเอง และเหมือนเมื่อคืนจะเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย
“ทำไมไม่กลับบ้านฮึด้วง?” พี่ยงซักด้วยท่าทีกังวล ผมก้มลงมองเครื่องแต่งกายของตัวเองก็พบว่า เป็นชุดเดิมที่ใส่มาดูการแสดงเมื่อคืน ... และเหนือสิ่งอื่นใด ผมคิดว่าผมอาจจะ....
“คือ...ผมลืมกุญแจห้องไว้ในห้องน่ะครับ” ผมเลือกที่จะโกหกคำโตต่อพี่ยง เมื่อผมไม่สามารถที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้
“งั้นหรอ?” พี่ยงขมวดคิ้ว “แล้วทำไมไม่ไปนอนบ้านพี่ก่อน เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”
“ผมเกรงใจน่ะครับ เอาเป็นว่าถ้ามีเรื่องแบบนี้ผมจะนึกถึงพี่เป็นคนแรกเลยแล้วกัน”
“อย่าให้มีอีกจะดีกว่านะพี่ว่า”
“แหะๆ ครับ ผมขอลาป่วยได้มั้ยครับพี่ เหมือนจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ จะไปให้ช่างเค้างัดประตูให้ด้วย”
“เอาเถอะ แต่อย่าบ่อยนักแล้วกันเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีต่ออนาคตการงาน....ครั้งนี้พี่จะแกล้งไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน”
“ขอบคุณมากครับพี่ยง”
ผมเดินออกมาจากที่ทำงานที่ไม่ไกลจากวัดราชบูรณะมากนัก ผมหันหลังกลับไปมองยังเจดีย์ด้านในอีกครั้งด้วยความรู้สึกพิศวง หากผมไม่ฟั่นเฟือนจนเกินไป ผมคิดว่าเมื่อคืนนี้ ที่คุยกับผมนั้นไม่ใช่คน และผมเองก็คงไม่ได้หลอนไปเองที่คุยคนเดียวเป็นตุเป็นตะ
.
.
.
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนง่ายๆ ผมเลือกที่จะจมอยู่กับกองหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อที่จะลืมเรื่องที่เหมือนจะไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่ ก่อนนี้ผมซัดยาลดไข้ไปสองเม็ดและกำลังรอให้มันออกฤทธิ์ ต่อให้ผมคิดว่ามันชัดเจนแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เรื่องเมื่อคืนเป็นความจริงอยู่ดี
.
.
ไพร่ฟ้าหน้าใสรอบกำแพงเมืองอโยธยาเดินกันขวักไขว่บ้างร้องเรียกเชื้อชวนให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมร้านของตนเอง ชายหนุ่มก้าวช้าๆบนถนนในตลาด ก่อนจะไปหยุดที่ท่าเรือริมคูเมือง
“ไปเรือนพระยาไชยสุริเยนทร์จ๊ะพ่อ”

คนพายเรือจ้างค่อยๆใช้ไม้พายวาดกระแสน้ำเคลื่อนไปข้างหน้าฝ่าคลื่นน้ำและเปลวแดด ไม่นานนักเรือก็เทียบท่าน้ำที่ก่อสร้างเป็นศาลายื่นออกมาริมตลิ่ง ทั่วบริเวณรกครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ
“ขอบคุณขอรับท่าน” ชายพายเรือจ้างเอ่ยขอบคุณหลังจากรับเงินค่าจ้าง ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวขึ้นไปบนศาลา และเดินเข้าไปในบริเวณเรือนไทยภายในบริเวณ

“กลับมาแล้วรึ เจ้าทองด้วง” สุรเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นจากตั่งไม้สักกลางเรือน ชายคนนั้นอยู่ในเสื้อคอกลมสีเหลืองดอกพะยอม นุ่งโจงกระเบนอยู่ท่ามกลางบ่าวที่ร้อยมาลัยและโบกพัดคลายความร้อนในยามบ่าย ชายผู้อ่อนกว่าวางชะลอมในมือลง ก่อนจะยกมือท่วมหัวแสดงความเคารพ
“ขอรับ ท่านพระยา .... กระผมซื้อลูกจันทร์จากตลาดท้ายวังมาฝากท่านพระยาด้วย” ชายหนุ่มพูดพลางวางชะลอมไว้เบื้องหน้า
“ขอบใจเจ้ามาก ทองด้วง คราหลังไม่ต้องวุ่นวายหาส้มสูกลูกไม้มาฝากพี่ดอก “
“มิได้ดอก กระผมซื้อของเหล่านี้มาฝากก็ด้วยความเสน่หาแลเลื่อมใส อย่างไรเสียกระผมก็เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงในเรือนนี้ พอได้ดิบได้ดีจะลืมบุญคุณได้เยี่ยงไร”
“ข้าขอสรรเสริญในอัธยาศัยเจ้า ขอให้เจ้าเป็นที่เอ็นดูของพ่ออยู่หัวยิ่งๆขึ้นเถิด” พระยาไชยยิ้มให้แขก “ไปอยู่ในวังสุขสบายดีฤาพ่อ ข้าได้ข่าวว่าพระเจ้าเอกทัศน์ท่านโปรดปรานเจ้าอยู่มิน้อย”
“หามิได้ขอรับ แท้จริงนั้นพ่ออยู่หัวท่านก็เอาใจใส่กวีหลวงเท่าเทียมกันทุกคนนั่นแลขอรับ ท่านพระยา”
“ช่างถ่อมตัวนักนะพ่อ นิสัยเจ้ามิได้เปลี่ยนไปจากที่เราทั้งคู่ยังเป็นศิษย์หลวงปู่ขาวเลยเทียว”
.
.
.
ทองด้วงนั่งชันเข่ามองดวงจันทร์ที่เปล่งแสงนวลเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีด้วยแววตาว่างเปล่า เขาคิดถึงเรื่องราวต่างๆของตัวเองรวมถึงสถานภาพของตนที่น่าอดสูนัก ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเริ่มร่ายฉันทกวีลงบนกระดานชนวน

“นวลเอ๋ยนวลบุหลัน   หวลรำพันเฝ้าฝันหา
เหลืองเด่นเพ็ญพรายตา   แต่ใจข้าร้าวอาลัย
พระพายชายโชยผิว   โบกพัดพลิ้วจนกายไหว
หนาวเหน็บเจ็บหทัย   ด้วยฝันใฝ่ในกามเวร
ดั่งโน้มกิ่งสาละ   ต้องอสุภะให้หมองเหม็น
อกเอ๋ยช่างลำเค็ญ   ไม่ใคร่เห็นนรกภูมิ”

“ทองด้วงเอย พี่เห็นใจเจ้านัก แต่พี่ก็ยังปรารถนาให้เจ้าเอ็นดูดวงใจพี่เหมือนเช่นในอดีต” เสียงพระยาไชยดังมาจากข้างหลัง ทองด้วงหันไปตามเสียงก่อนจะเบนหน้ากลับไปมองริมฝั่งน้ำดังเดิม
“ข้าสงสารทุกคน ทั้งตัวข้าเอง พี่ทองไชย แลคุณหญิงด้วย เธอไม่รู้เรื่องอันใดเลย”
“ความรักความเสน่หาเป็นสิ่งที่ยากแก่การเข้าใจ หากพบพานคนที่ใช่แล้วดวงใจจักตอบได้เอง เหมือนที่พี่รู้สึกกับเจ้าตั้งแต่ที่พี่แตกเนื้อหนุ่มนั่นแล”
“แต่มันผิดจารีต พี่ทองไชยก็น่าจะรู้ดี”
“ใครเล่าเป็นผู้สร้างขนบเหล่านั้นขึ้นมา ทองด้วงของพี่ “พระยาไชยลูบพวงแก้มของทองด้วงอย่างทนุถนอม “เจ้ารู้หรือไม่ หากพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จักไม่ขอรับยศแลศักดินาใดๆเลยเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตกับเจ้าอย่างสุขสันโดษ”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยไหลรินลงที่หางตา แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุขับผิวนวลของเขาให้เด่นขึ้นมาหากแต่คราบน้ำตาทำให้หน้าขาวของเขาดูเศร้าหมองลง พระยาไชยถอนหายใจอย่างอาดูรกับภาพตรงหน้าก่อนจะโน้มศีรษะของกวีหลวงให้ซุกลงบนแผงอกของตนใต้แสงเหลืองนวลของดวงบุหลัน
.
.
.
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นจากความฝัน ความฝันที่ช่างชัดเจน ผมคว้าโทรศัพท์ได้ก่อนจะรับสายนั้น
“เป็นยังไงบ้าง ด้วง”
“ก็ ดีขึ้นครับ ได้กินยาแล้วก็นอนพักไปหน่อย”
“อ้าวหรอ พี่รบกวนเราหรือเปล่า”
ผมมองไปยังนาฬิกาแขวนผนังห้อง สี่โมงกว่าแล้ว.... หลายชั่วโมงทีเดียวที่ผมหลับไป
“ไม่หรอกครับพี่ยง ผมกำลังจะตื่นพอดีนั่นแหละ ถ้านอนยาวกว่านี้คงไม่ดีแล้วล่ะ”
“อืม...พี่เป็นห่วงนะ เอาเป็นว่าพักผ่อนต่อเถอะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
“ครับพี่”
ผมวางสายลงก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ดวงตาของผมนั้นเจ็บแปลบเหมือนเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา ในความฝันเมื่อครู่ ทำไมนะ อะไรๆมันช่างดูเหมือนจริงไปเสียหมดทั้งภาพและความรู้สึก โดยเฉพาะ....
ใบหน้าของพระยาไชยสุริเยนทร์
ทำไมถึงช่าง...เหมือนกับวิญญาณตนนั้นนัก?!
.
.
.
ผมนั่งครุ่นคิดหลังจากที่รับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก่อนจะนั่งมองมอเตอร์ไซค์คู่ใจจอดที่อยู่หน้าบ้าน ความรู้สึกมากมายปะปนระคนกันไปหมด จนผมรู้สึกสับสน ว่าผมควรจะทำอย่างที่ลึกๆแล้ว ผมอยากจะทำหรือเปล่านะ?
....และเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่จิตใต้สำนึกชนะ เมื่อสายลมพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกแก้วมาปะทะจมูก ผมตัดสินใจคว้ากุญแจรถและสตาร์ทเครื่องออกจากบ้านไป
.
.
.
ผมใช้สิทธิ์ของพนักงานกรมศิลปากรแอบเข้ามาในวัดราชบูรณะตอนค่ำ ก่อนจะเดินลัดเลาะไปบนทางเดินอย่างชั่งใจอีกครั้ง แน่นอน.... ผมรู้ดีผมกำลังทำอะไรที่เหมือนคนเสียสติ คนสติดีๆคงไม่ทำแบบนี้แน่
ซุ้มประตูของวัดราชบูรณะสามารถมองทะลุไปถึงปรางค์ประธานขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านใน ไฟสปอตไลท์ส่องสว่างเพิ่มความงามเมื่อมองจากไกลๆ หากแต่ในความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมกลับรู้สึกวังเวงเสียมากกว่า ระคนกับความรู้สึกค้างคาใจในความฝันที่ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายปีก็ช่วยเพิ่มความกล้าให้ผม ความรู้สึกผูกพันเกี่ยวโยงกับชายคนนั้น คนที่ผมได้พูดด้วยเมื่อคืน และมาอยู่ในความฝัน
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ...แต่ถ้าคุณมีอยู่จริงๆ ช่วยออกมาให้ผมเห็นอีกทีได้มั้ย” ผมพูดไม่ดังมากหากแต่ความต้องการของผมแน่วแน่ และเมื่อผมพูดจบ ผมก็หลับตากลั้นใจอยู่นานเพื่อตั้งสติ หากผมใจไม่แข็งพอ บางทีถ้าอะไรๆเป็นอย่างทีผมคิดล่ะก็ ผมอาจจะเป็นลมล้มตึงไปเลยก็ได้
“ลืมตาขึ้นสิ ทองด้วงน้องพี่”
เสียงเรียกที่คุ้นหูดังมาจากเบื้องหน้า ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
“ไม่ต้องหวาดกลัวไปดอก น้องพี่ เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ไม่คิดปรารถนาให้เจ้าต้องหวาดกลัวในตัวพี่เลย”
ชายในชุดเจ้าพระยายิ้มให้ผม ในขณะที่ผมยืนแข็งทื่อราวกับต้องมนต์
“คุณคือ....พระยาไชยสุริเยนทร์หรอครับ” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ถูกแล้ว เจ้าทองด้วง พี่คือพระยาไชยสุริเยนทร์ หรือทองไชยที่เจ้าเคยรู้จักนั่นแล”
“ผม....ผมคิดว่าเราไม่เคย...”
“สองร้อยกว่าปีแล้วน้องพี่ที่เราพลัดพรากกัน หากแต่ความรักของพี่นั้นยังคงฝังรอยจำหลักไว้ชัดเจนประหนึ่งลายลงรักในเครื่องราชกกุธภัณฑ์” พระยาไชยยิ้มให้ผมพลางยื่นมือมาแตะไหล่ผมเบาๆ “นั่นเป็นหนึ่งในสองเรื่องที่ผูกมัดดดวงวิญญาณของพี่ไว้ ณ อารามหลวงแห่งนี้ และเจ้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่เฝ้ารอคอยให้บังเกิดขึ้นตลอดอสงไขยกาลที่ผ่านมา”
คำบอกเล่าของดวงวิญญาณดวงนี้ทำให้ผมนิ่งงันต่อไป ทว่าความสงสัยและคำถามในหัวมากมายก็สั่งให้ผมแข็งใจโต้ตอบกับวิญญาณตนนั้น
“แล้ว ... ที่ผมฝันถึงนั่น...”
“นั่นอาจจะเป็นโชคชะตาแลสายใยความผูกพันระหว่างข้ากับเจ้าที่ร้อยรัดให้เจ้าฝันถึงแลลิขิตให้เจ้ากำเนิดและได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้ ส่วนความฝันเมื่อคืนนั้น....เป็นฝีมือของพี่เอง”
ผมเริ่มตั้งสติขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่แข็งใจสนทนากับผีอยู่นานสองนาน ในฐานะที่เป็นนักโบราณคดี ทำให้ผมเลือกที่จะซักไซ้ต่อไป
“คุณเอ่อ... ท่านพระยาไชยสุริเยนทร์ ท่านจะบอกอะไรผมงั้นหรือครับ”
ชายตรงหน้าหัวเราะเบาๆหากแต่ทำให้ผมรู้สึกขนลุก เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบด้วยแววตาและท่าทีที่อ่อนโยน “เรียกพี่ว่าพี่ทองไชยเหมือนก่อนเถิด ทองด้วงเอย พี่ใคร่ได้ยินเช่นนั้น”
“อ่า...ก็ได้ครับ พี่ทองไชย”
“หลับตาลงสิ ทองด้วงน้องพี่ ... พี่จะเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด”
ผมเลือกที่จะทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อหลับตาลง ผมรู้สึกได้ว่ามือเย็นของพี่ทองไชยลูบแก้มผมเบาๆ ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งให้ผมลืมตาขึ้น
“ลืมตาได้แล้ว น้องพี่”

พี่ yeyong แซวซะผมอายเลย
หามิได้ดอก บางทีมันอาจจะเป็นด้วยเรื่องของอารมณ์กระมัง
แต่ผมอยากเขียนเรื่องนี้ด้วยปณิธานตั้งมั่นจริงๆ ไม่ได้เป็นแนวทางเอกลักษณ์แต่อย่างใด

(แกจะพูดเข้าใจยากทำไม  :laugh: :beat:)

ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ เป็นนิยายอีกเรื่องที่กว่าจะคลอดแต่ละตอนนั้นยากมาก เพราะต้องค้นข้อมูลกันหัวฟู
แต่เขียนแล้วสนุกดีกับการใส่คำโบราณ
หวังว่าจะชอบกันนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 06-01-2012 13:25:29
สนุกมาก แต่สั้นไปนิด
น่าสงสารทั้งสองคน
รอกันมานานนนน
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 06-01-2012 13:38:33
ชาติก่อนไม่สมหวัง แล้วครั้งนี้จะสมหวังไหมน้อ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 06-01-2012 13:41:40
เรื่องนี้จะจบเศร้าไหม

 :pig4:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 06-01-2012 14:55:47
จบเศร้าแน่ๆเลย พระยาไชยสุริเยนทร์เป็นผีทองด้วงเป็นคน
หรือจะให้ด้วงตายตามไปดี ๕๕๕๕๕

มาต่อไวๆเน้อ เป็ำนกำลังใจให้ ^^
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๑ (๕ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 06-01-2012 15:04:46
แนวย้อนยุคไทยๆซะด้วย ><
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 06-01-2012 18:08:58
จะสมหวังกันไหมเนี่ย เหอๆ

ติดตามๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 06-01-2012 19:50:32
รักที่มิอาจสมหวังแต่กาลก่อน หากแต่ยังคงเฝ้ารอด้วยใจภักดิ์ ข้ามผ่านห้วงเวลานับศตวรรษ เพื่อมาพบกันอีกครา...
แต่พี่ทองไชยยังเป็นวิญญาณอยู่เลยนะค่ะ การที่พี่ท่านจำต้องรอคอยอยู่แถวนี้คงมีเหตุผลสินะ ( ดราม่าแน่ ๆ )
พล็อตเรื่องเลอเลิศมากมายนะค่ะ ชอบการเลือกใช้คำจัง ดูละเมียดละไม สมยุค สมสมัย
อย่างคำว่า "อสงไขย" โดนใจอย่างแรง  :m1: 
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 06-01-2012 20:16:04
 o13

สุดยอดเลยค่ะ  ภาษาสวยดีชอบ  และรอลุ้นว่าพี่ทองไชยต้องการให้ทองด้วงรับรู้

เรื่องอะไร  และคู่ของด้วงน่าจะเป็นพี่ยงมั้ยคะ  ^^

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-01-2012 22:25:14
+1 ให้คนแต่งค่ะ

พี่ทองไชยกับน้องทองด้วง รอกันมานาน :sad11:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 06-01-2012 22:38:06
พี่ทองไชยจะพาน้องทองด้วง กลับไปดูอดีตใช่มั้ยจ๊ะ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 06-01-2012 22:39:22
เขียนย้อนยุค และมีเรื่องประวัติศาสตร์ ต้องอ่านหนังสืออ้างอิงเยอะ
แต่มันก็จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนดี o13

คิดว่าชาตินี้ทั้งคู่ไม่น่าจะสมหวังนะ  :sad11:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tanuki ที่ 07-01-2012 00:24:05
ชอบมากเลยครับ แยงย้อนยุคเนี่ย  o13

แล้วคุณก็เขียนดีมากๆด้วย ชื่นชมมากครับ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับผม!!
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Mai.IcySakura ที่ 07-01-2012 01:23:40
ว้าววว สมัยอยุธยาหรือนี่ ชอบมากค่า

ต่อไปจะเป็นเรื่องในอดีตจนจบเรื่องเลยรึเปล่านะ งี้ก็ดราม่าสินะ TT

แต่ว่าทองด้วงใจแข็งน่าดูเลย...เป็นเราคงเป็นลมตั้งแต่ครั้งแรกละ -*-
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: a-mee-ra ที่ 07-01-2012 01:36:52
อ่านแล้วชอบๆๆๆ  o13

รอตอนต่อไปนะคะ พอด้วงลืมตาแล้วจะเป็นเยี่ยงไร แอร๊ยยยย อยากรู้แล้วคร่าาาาา!!!

หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 07-01-2012 04:01:38
กลัวเศร้าจัง  :sad2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-01-2012 14:15:54
น่าสงสารพระยาท่านนะ ท่านรอมานานมากเลย แล้วจะสมหวังหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chantana ที่ 07-01-2012 19:33:41
+1 ให้จ้า

รอมานานนับอสงไขย  อยากอ่านต่ออะ   :impress3:

รอนะ :call: 
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 07-01-2012 20:12:33
 :z2: มีนิยายดีๆ ภาษาสวยๆมาให้อ่านกันอีกแล้ว
ขอหวานเยอะๆ ขมนิดเดียวนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 07-01-2012 22:22:59
ว้าว  ย้อนมิติกันแล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๒ (๖ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 07-01-2012 22:32:09
โอ๊ะ เรื่องโบราณล่ะ~

สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ เข้าใจตอนบอกว่ากว่าจะคลอดแต่ละตอนเพราะต้องหาข้อมูลนี่ลำบากขนาดไหนเลยค่ะเพราะต่ายเองก็แต่งเรื่องนึงที่ต้องค้นข้อมูลเหมือนกัน - -' 

แอบขำชื่อนายเอกนิดหน่อยค่ะ ทองด้วง...เห็นชื่อใหม่ก็ด้วงตอนแรกนึกว่ากลายเป็นพดด้วงเสียอีกนะเนี่ย 555+

มีคำผิดนิดหน่อยแต่ง่วง ๆ เลยลืมก๊อปมาเสียสนิท มันจะมีอย่างไม่ได้กดชิพด้วยน่ะค่ะ เช่น ก้ อะไรแบบนี้

ชอบกลอนจังเลยค่ะ แต่งเองหรือเปล่าคะเนี่ย?
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 08-01-2012 17:45:43
ตอนที่ ๓

แสงสีทองค่อยๆลอดผ่านม่านตาเมื่อผมปรือเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ซากปรักของวัดราชบูรณะแปรเปลี่ยนเป็นพัทธสีมาสีทองอร่ามวับวาม พี่ทองไชยแย้มยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะแตะไหล่พาผมเดินดูรอบๆบริเวณ
“ที่นี่คงเป็น...”
“ใช่แล้ว ภาพที่เจ้าเห็นคืออโยธยาศรีรามเทพนคร รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริยาศน์อมรินทร์ วัดราชบูรณะเป็นอารามหลวงเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามพระยา”พระยาไชยตอบก่อนจะหันมาทางผม “งดงามใช่ไหม ทองด้วงน้องพี่”
“ครับ งดงามมาก วิจิตรดังวิมานบนสวรรค์”
“วัดเวียงวังในชอบชัณฑ์อโยธยานั้นงดงามดั่งปราสาทบนทิพยมานบนสรวงสวรรค์ พวกฝรั่งมังฆ้องแลบาทหลวงชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ พระยาไชยหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ที่เจ้าเห็นนั้นล้วนแต่ก่อสร้างด้วยทองคำทั้งสิ้น หากกรุงศรีอยุธยาไม่แตกพ่ายในวันนั้น ความงดงามที่เจ้าเห็นคงจักดำรงอยู่สืบไปให้ลูกหลานได้ยินยล พี่เศร้าใจนักที่ความวิจิตรเหล่านั้นถูกเผาผลาญด้วยพระเพลิงแห่งสงคราม”
“ผมก็เศร้าใจไม่แพ้พี่ทองไชยหรอกครับ เพราะเหตุนี้ผมถึงมาเป็นนักโบราณคดีไง...ว่าแต่ ทำไมผมถึงมองเห็นภาพเหล่านี้ พี่ทำยังไงถึงได้”
“พี่เนรมิตให้เจ้าเห็นเองด้วยบุญบารมีแลกฤษดาภินิหารของพี่ “
“แล้วที่พี่อยากให้ผมเห็น คงไม่ใช่ประวัติศาสตร์กรุงศรีหรอกใช่ไหมครับ”
“ทองด้วงเอ๋ย ความคิดแลสติปัญญาของเจ้ายังคงหลักแหลมมิเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย สมภารขาวแลพระเจ้าเอกทัศน์ถึงได้โปรดปรานเจ้านัก .... เอาเถิด พี่ดีใจที่เจ้ามิได้ตกอกตกใจเมื่อได้พบพี่เช่นนี้ พี่จะเล่าขานให้เจ้าฟังผ่านนิมิตของพี่เอง เจ้าทองด้วง”
ภาพปราสาทราชวังสีทองอร่ามเลือนหายไปอย่างรวดเร็วดังกระพริบตา ก่อนที่รอบข้างผมจะเปลี่ยนไปเป็นวัดแห่งหนึ่งที่ไม่ได้งดงามเหมือนวัดราชบูรณะในสมัยกรุงศรีอยุธยา
“แล้วที่นี่คือที่ไหนล่ะครับ”
“ที่นี่คือวัดหัวรอ ที่พี่กับเจ้าเคยศึกษาเล่าเรียนกับสมภารขาวตั้งแต่เด็กๆ”
พระยาไชยพาผมก้าวขึ้นไปยังศาลา ด้านบนมีเด็กๆไว้ผมแกละผมจุกจำนวนไม่น้อยนั่งเรียงราย ในมือของเด็กเหล่านั้นมีกระดานชนวนขนาดเล็กๆ และเบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผมไม่มีผิด?! เขากำลังสอนให้เด็กๆเหล่านั้นท่องหนังสืออยู่
“เฮ้ย!!” ผมอุทานเสียงหลง เมื่อมาพบกับแฝดคนล่ะฝาในสมัยอยุธยาเช่นนี้
“มิต้องตกใจไปดอก ทองด้วง นั่นก็คือเจ้า...ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และภาพที่เจ้าเห็นนั้นก็เป็นเพียงนิมิตที่พี่อยากให้เจ้าเห็นเท่านั้น”
เด็กหนุ่มคนที่หน้าเหมือนผมสอนเด็กๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทรงผมทรงมหาดไทของเขาทำให้ผมนึกขำอยู่ในที มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอยู่มัธยมต้นที่ต้องไว้ผมทรงนักเรียนกะลาครอบยังไงอย่างนั้น
“สมภารขาวเอ็นดูเจ้ามาก เพราะเจ้านั้นแตกฉานในวิชาอ่านเขียนนัก ถึงขั้นไว้วางใจให้ช่วยสอนการอ่านเขียนแทนท่านได้ หากแต่พวกไพร่ทาสในเรือนกลับพากันอิจฉาในวาสนาของเจ้า เพราะด้วยความสงสารที่แม่ของเจ้านั้นตายไปตั้งแต่เจ้ายังเด็ก อีกทั้งนางก็เป็นนางต้นห้องของแม่พี่ตั้งแต่สาวๆ ท่านเลยเอ็นดูเจ้ากว่าใครๆ พี่ก็ไม่คิดหรอก ว่าความน่าเอ็นดูของเจ้าจะขจรขจายมาถึงพี่ด้วย จนวันหนึ่ง พี่ถึงเพิ่งมาได้สติว่า ตัวพี่นั้น สิเน่หาเจ้าเยี่ยงบุรุษเพศที่มีต่ออิสตรีเสมอกัน “
ผมฟังคำบอกเล่าของพี่ทองไชยอย่างไม่เชื่อตัวเองนัก รักร่วมเพศมันมีมาตั้งแต่ยุคนั้นเชียวหรือ หากแต่ด้วยมารยาทผมกลับทำได้แค่ยิ้มเขินๆให้ดวงวิญญาณตรงหน้า
“ทองด้วงเอย แม้นการเป็นวิญญาณเยี่ยงพี่จักทำให้พี่ไม่มีเลือดเนื้อกายหยาบเหมือนมนุษย์เช่นเจ้า หากแต่พี่นั้นก็ได้ยินเสียงคำพูดในห้วงมโนของเจ้านะ เจ้าคิดอ่านประการใดก็จงพูดออกมาเถิด พี่ไม่ถือโทษโกรธเจ้าดอก “พระยาไชยยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน
“เอ่อ.... ผมขอโทษครับ”
“พี่หาได้ถือโทษโกรธเจ้าดอก ทองด้วง พี่เข้าใจเจ้าดีว่าเจ้าคงจะงงงวยอยู่ไม่น้อย แลกาลเวลาที่ผ่านไปนับร้อยวสัตฤดูก็คงจะทำให้เจ้าลืมเลือนเรื่องราวของพี่กับเจ้าไป ด้วยเหตุนี้พี่ถึงได้รอคอยเจ้าที่นี่ พี่ปรารถนาเพียงให้ได้เจอเจ้าแลให้เจ้าได้ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพี่กับเจ้าเท่านั้นแล น้องพี่”
“อะ...เอ่อ ครับพี่ทองไชย”

ทองด้วงในนิมิตก้าวลงจากศาลาเมื่อเขาสอนหนังสือแก่เด็กๆเสร็จ ผมพิจารณาร่างกายตัวเองในอดีตชาติก็พบว่า ทองด้วงดูผอมแห้งมากเมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์วัยเดียวกันในสมัยนั้น รวมถึงผิวพรรณที่ค่อนไปทางขาวเนียนเหมือนผู้หญิง

“นั่นแล น้องพี่ เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ ความงามของเจ้าไม่แพ้หญิงใดในอโยธาเลยในสายตาพี่ อีกทั้งร่างกายเจ้าก็อ้อนแอ้นจนแทบจะแบกน้ำผ่าฟืนไม่ไหว หากไม่ได้ว่าคุณหญิงแม่พี่ท่านเอ็นดูเจ้าประหนึ่งลูกในไส้เสียแล้วล่ะก็ เจ้าคงเป็นบ่าวที่ไม่ได้ความที่สุดในอโยธยาศรีรามเทพนครเลยเทียว”
“พี่ทองไชยแอบอ่านใจผมอีกแล้ว” ผมพ้อ ด้วยความรู้สึกเหมือนขาดอิสระทางความคิด เพราะไม่ว่าจะคิดอะไร วิญญาณของพระยาไชยก็รู้เช่นเห็นชาติไปเสียหมด
“พี่มิได้ตั้งใจ ทองด้วงน้องพี่ ได้โปรดอย่าถือสาพี่เลย พี่แต่หยิกหยอกเจ้าเท่านั้น”
“เฮ้อ... ช่างมันเถอะครับ” ผมตัดบท ไม่อยากเอาชนะคะคานกับผี
“ทองด้วง เจ้ารู้ไหม” พระยาไชยเปลี่ยนเรื่อง “สมัยเด็กๆนั้นเจ้าก็โดนล้อเช่นนี้แล ด้วยความอ้อนแอ้นของเจ้า ทำให้พวกเด็กวัดชอบหาเรื่องแกล้งเจ้าบ่อยนัก หากไม่ได้พี่ช่วยขับไล่พวกอันธพาลเหล่านั้นไป เจ้าก็คงจะร้องไห้โยเยอยู่ท่ามกลางเด็กๆเหล่านั้นจนสายัณห์ต่ำคล้อยเลยเทียว”
“แหม ... เหมือนนิยายเล่นละสองบาทเลยนะครับ” ผมประชดอย่างไม่จริงจังนัก
“พี่ไม่รู้จักค่าอัฐของยุคเจ้า แต่พี่อยากจะบอกเจ้าว่า ทุกครั้งที่พี่นึกถึงภาพเหล่านั้น พี่ปลาบปลื้มใจนักที่ได้ปกป้องดูแลคนที่พี่นั้นรักจนหมดหัวใจ”
“เอ่อ...” ผมอึ้งกับคำพูดที่ซื่อตรงของพี่ทองไชย ถึงแม้นพี่ท่านจะเป็นผี แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากคำพูดและแววตาของเขา
ตัวผมในอดีตก้าวขึ้นเรือนหลังหนึ่งไป บนเรือนทีบ่าวไพร่มากมายทำงานต่างๆกันขวักไขว่ และเมื่อทองด้วงมาถึง ชายหนุ่มหน้าเหมือนพี่ทองไชยที่นั่งอยู่บนเรือนก็ส่งเสียงร้องเรียกทองด้วงที่เพิ่งขึ้นมาทันที
“ทองด้วงน้องพี่!!!”
“ขอรับ พี่ทองไชย พี่จะส่งเสียงดังแบบนั้นเพื่อการใดเล่า”
“อะพิโธ่ น้องพี่ ก็พี่ใจหายนี่นา ประเดี๋ยวพอพรุ่งนี้เช้าไก่ขัน ตัวพี่ก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแล้ว คงไม่ได้พบเจ้าอีกหลายเพลา”
“น้อยๆหน่อยเถิด ตาทองไชย แม่นั่งเป็นหัวตออยู่ตรงนี้ไม่ใคร่คิดบ่นหา กลับคร่ำครวญว่าจะขาดเพื่อนเล่น เราก็ไม่ได้เป็นเด็กๆแล้วนะ มันน่าจับเฆี่ยนเหมือนสมัยตีนเท่าฝาหอยจริงๆ” คุณหญิงพุดซ้อนตำหนิลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“โธ่ ... แม่ก็ ก็ผมเอ็นดูเจ้าทองด้วงมันเหมือนท่านแม่นั่นแหละ ดูสิ ถ้าผมไม่อยู่ ใครจะคอยขับไล่ไอ้พวกเด็กวัดที่มันมารังแกน้องของกระผมเล่าขอรับ”
“กระผมโตแล้วนะขอรับพี่ทองไชย ไม่ได้เป็นเด็กน้อยไว้จุกเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีเด็กวัดที่ใดมารังแกได้ดอกท่านพี่ ขอให้พี่จงไปทำงานรับใช้พ่ออยู่หัวอย่างสบายใจเถิด ส่วนคุณหญิงนั้น กระผมจักดูแลท่านด้วยชีวิต ขอท่านพี่อย่าได้กังวลทางนี้เลย”
“ทองด้วงเอย เจ้าฤาจะปกป้องใครได้ ข้านึกไม่ใคร่เห็นว่าเจ้าจะทำได้เช่นนั้น แต่เอาเถิด ข้าปีตินักที่ได้ยินน้องรักของพี่พูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วข้ามิได้ห่วงอันใดหรอก .... หากจะให้ตอบตามตรง ข้ามีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวมากกว่าในเพลานี้”
“อะไรฤา พี่ทองไชย”
แววตาของทองไชยหม่นลง ก่อนจะยิ้มให้กับน้องชายต่างสายเลือด “ไม่มีอันใดดอก ทองด้วงน้องพี่ .... เอาเป็นว่า คืนนี้พี่ขอร้องให้เจ้ามาอ่านกลอนให้พี่ฟังก่อนที่พี่จะไม่ได้ฟังอีกนานก็แล้วกัน น้องพี่ เจ้าติดขัดประการใดฤาไม่”
“ไม่มีขอรับ กระผมยินดี” ทองด้วงก้มหน้ารับช้าๆ “กระผมขอตัวไปช่วยงานในครัวก่อนนะขอรับ”
.
.
.
บรรยากาศรอบๆตัวผมค่อยๆมืดลง บ่าวไพร่เบื้องหน้าขยับกายว่องไวเหมือนหนังที่ถูกกด Fast Forward ก่อนที่บรรยากาศจะกลับคืนสู่ปกติช้าๆ เบื้องหน้าผมเป็นห้องชนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พี่ทองไชยในนิมิตนุ่งกางเกงแพรสีกรมท่า เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกและกล้ามท้องที่สมส่วนและผิวพรรณที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีสกุล พลางนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่หาได้ขัดกลอนไว้ไม่”
ทองด้วงผลักบานประตูเข้ามาตามที่เจ้าของห้องสั่ง พร้อมด้วยกระดานชนวนในมือ ก่อนจะขัดกลอนประตูไว้
“ทิวานี้ช่างมืดหม่นนัก พี่เฝ้ามองหาดวงจันทร์และหมู่ดาราที่หนใดบนท้องฟ้าแต่ก็หาพบไม่”
“ก็วันนี้เป็นวันแรมนี่ขอรับ พี่ทองไชยจักหาความสุกสกาวจากดาวดวงใดได้เล่า”
“แต่พี่ใคร่อยากให้คืนสุดท้ายของเรานั้นเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุด”
“คืนสุดท้ายที่ไหนกันขอรับ กระผมแลพี่ทองไชยหาได้ตายจากกันไปเลยเสียที่ไหน”
 “เอาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่คร้านจะต่อความกับเจ้า พี่ไม่เคยจะอัปราชัยสักครั้งหากเราได้ถกเถียงกันด้วยถ้อยคำ .... ทองด้วงน้องพี่ พี่อยากฟังบทกวีของเจ้าเสียแล้วในเพลานี้ เจ้าจะเริ่มเลยฤาไม่”
“ได้สิขอรับ” ทองด้วงรับคำ ก่อนจะเริ่มเอื้อนเอ่ยขึ้น

“ขอลาแล้วแก้วตาดวงใจ   พี่จะไปรับใช้พ่ออยู่หัว
อยู่แนวหลังสั่งไว้อย่าได้กลัว   ประเดี๋ยวผัวกลับมามิช้านาน
ฝากพ่อแม่ด้วยหนาแก้วตาเอ๋ย   อย่าละเลยเฉยชานะตาหวาน
ระวังใจห้ามใครมาแผ้วพาน   อยู่ทางบ้านรอผัวตัวกลับมา
เพลานี้พี่ใคร่เป็นคนธรรพ์   ห้ามตะวันผุดแสงมาส่องหล้า
ให้วันพรุ่งหามีไม่ในโลกา   ให้ตัวข้ากอดเจ้าไว้ใต้แสงจันทร์
ไก่จะขันเสียแล้วแก้วตาจ๋า   สูรย์จะมาเยือนโลกพี่โศกศัลย์
ถึงพี่ไกลใจอยู่คู่ลาวัลย์   แม่จอมขวัญคอยหน่อยเถิดกลอยใจ”

“บทกวีของเจ้ายังไพเราะจับจิตเช่นเดิมนะทองด้วง ยิ่งทำให้ข้าอดใจหายไม่ได้ที่อีกนานกว่าข้าจะได้ยินได้ยลอีกครา”
“ขอบคุณขอรับพี่ทองไชย พี่อย่าได้ทอดถอนใจไปเลย เกิดเป็นชายชาติทหารนั้นมิควรมาหลงใหลในความงดงามของโคลงฉันท์กาพย์กลอนดอกพี่ หน้าที่ของชายชาตรีคือการดูแลปกป้องบ้านเมืองถึงจะบังควร” ทองด้วงเสตามองไปยังฟ้าหม่นเบื้องหน้า “พี่ทองไชยรู้หรือไม่ ว่าข้านั่นอิจฉาท่านนัก ทั้งชาติกำเนิดดท่านก็สูงส่ง ร่างกายก็กำยำสมกับเป็นชายชาติทหาร ในขณะที่ตัวข้านั้นกลับอ้อนแอ้นเยี่ยงสตรีเช่นนี้”
“ทองด้วงน้องพี่ เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธชะตาวาสนาตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะไม่ได้เป็นเหมือนพี่ แต่สวรรค์ก็ส่งความสามารถอันประเสริฐในร้อยกรองให้แก่เจ้ามิใช่ฤา -- น้องพี่ ฟังพี่นะ ไม่มีผู้ใดที่เพียบพร้อมไปเสียหมดดอก”
“ข้ารู้สัจธรรมข้อนั้นดี พี่ทองไชย .... แต่ข้ากลับคิดว่าบางทีพี่ชายของข้าผู้นี้อาจจะเป็นข้อยกเว้นของสัจธรรมข้อนั้นก็เป็นได้นะขอรับ” ทองด้วงยิ้มให้
“หามิได้ ทองด้วงน้องพี่ พี่มิได้สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนั้นดอก”
“แล้วพี่ทองไชยยังใฝ่หาสิ่งใดเล่า”
“ความรักนั่นไง ทองด้วงน้องพี่”ทองไชยยิ้มมุมปากทว่าแฝงความรู้สึกเศร้าๆอยู่ลึกๆ
“อะพิโธ่  กระผมก็นึกว่าเรื่องอันใด พี่ทองไชยจักรีบร้อนไปไย พี่เองก็เพิ่งบวชเรียนมาไม่นาน จะรีบร้อนมีคู่ครองไปเพื่อเหตุใดเล่า”
“หาได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดดอก ทองด้วง ความจริงแล้วไซร้ พี่ชายของเจ้าคนนี้มีวาสนาความรักที่น่าสงสารกว่าที่เจ้าคะเนมากนัก”
“แล้วมันเป็นเช่นไรฤาขอรับ พอจะเฉลยให้กระผมเข้าใจได้ไหม”
“ความรักของพี่คงมิอาจเป็นไปได้”
“เพราะอะไรฤาขอรับ ด้วยศักดินาของท่านออกญาแลคุณหญิงก็น่าจะไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหนๆได้ทั่วราชธานีอโยธยาศรีรามเทพนคร แล้วไฉนเลยพี่ทองไชยถึงได้กล่าวกับข้าเช่นนี้”
ทองไชยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมามองทองด้วง “เจ้าอยากรู้จริงๆฤา”
“หากพี่ทองไชยประสงค์อยากให้น้องชายคนนี้รับรู้”
ลูกชายออกญายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางมือลงบนเตียง
“ขึ้นมานั่งข้างๆพี่สิ น้องรักของพี่”
ทองด้วงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่ทองไชยจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นแตะที่อกข้างซ้ายของบ่าวในเรือนคนนี้
“นั่นเพราะข้าปรารถนาในร่างกายแลหัวใจของเจ้าอย่างไรเล่า ทองด้วงเอย”
“คุณพระ!!!” ทองด้วงอุทาน “พี่ทองไชยมิควรจะพูดจาบัดสีหยอกกระผมเยี่ยงนี้ พระพรหมท่านจะทรงฟาดอสุนีบาตมาสู่เราทั้งคู่ได้”
“ข้าขอโทษ ทองด้วงน้องพี่ หากแต่พี่ยืนยันว่าที่ตัวพี่พูดทุกถ้อยคำนั้นล้วนกลั่นถ้อยร้อยวจีมาจากดวงใจที่แท้จริงของพี่ ข้ารักเจ้านัก และรักเจ้ามานานแล้ว ทองด้วงเอย”
“พี่ทองไชย!!!”
“พี่รู้ดี ความรักของพี่นั้นผิดจารีตประเพณีหากแต่ขึ้นชื่อว่าความรักแล้ว มักจะหาเหตุผลมารองรับไม่ใคร่ได้นัก เหมือนที่โบราณท่านว่าความรักทำให้คนหูตามืดบอดกระนั้นแล”
“พี่ทองไชยกำลังหูตามืดบอด จนเผลอพูดจาผิดปกติไปแล้วแน่ไซร้ ข้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เจ้าพูดถูก ทองด้วงน้องพี่ และแม้ว่าตัวพี่จักปรารถนาให้เจ้านั้นคิดเช่นเดียวกับพี่ หากแต่พี่ก็ไม่ใคร่ฝืนใจเจ้าได้ดอก เพียงแต่พี่ประสงค์เพียงอยากจะขอร้องเจ้าสักหนึ่งประการเท่านั้น”
“อะไรฤาขอรับ”
“พี่ต้องการให้เจ้านอนกับพี่คืนนี้ ขอให้พี่ได้มีเจ้าอยู่ข้างกายในอ้อมกอดของพี่ เพียงเท่านั้นจะได้ไหมเล่าทองด้วงน้องพี่”
“เอ่อ... พี่ทองไชย”
ทองไชยหลุบตาต่ำ อย่างรู้สึกผิด “พี่ขอโทษที่ขอร้องเจ้าบัดสีเช่นนั้น เอาเถิด เจ้ากลับเรือนของเจ้าไปได้แล้ว วันพรุ่งค่อยพบกัน น้องพี่”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นมา “ดับไฟเสียเถิด พี่ทองไชย ประเดี๋ยววันพรุ่งเราคงตื่นสายกันพอดี”
บ่าวหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างอายๆ พลางเสตาหนีไปทางอื่น และจากกริยาท่าทางของทองด้วงนั้น ก็ทำให้ทองไชยฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณบ่าวผู้นั้น
“พี่ขอบคุณเจ้ามาก น้องรักของพี่”
เปลวไฟจากตะเกียงเจ้าพายุถูกหรี่จนดับลง ก่อนที่ทองด้วงจะค่อยๆยกเท้าขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงของลูกชายออกญา อึดใจเดียวร่างกายของเขาก็ถูกโอบกอดด้วยวงแขนแกร่งของทองไชย เสียงลมหายใจของทั้งคู่แว่วชัดในความเงียบ เจ้าของเตียงหลับใหลลงในเวลาไม่นานในขณะที่คนที่อยู่ในอ้อมกอดกลับนอนตาแป๋วอย่างครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจทำลงไป ....อีกทั้งความอบอุ่นที่ได้รับจากชายผู้นี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่า เหมือนตัวเขาต้องการมันมากกว่าแค่คืนนี้
.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมกับที่รอบๆตัวผมกลับกลายเป็นซากปรักหักพังของวัดราชบูรณะดังเดิม หากแต่พระยาไชยสุริเยนทร์ยังยืนยิ้มให้ผมอยู่
“ใบหน้าของเจ้ายามหลับตาลงยังน่ายลเหมือนอดีตไม่มีผิด ทองด้วงน้องพี่”
“เป็นนิมิตที่งดงามและน่าเศร้ามากเลยครับพี่ทองไชย ครั้งหนึ่ง ผมกับพี่ทองไชยเราเคย....เอ่อเป็นแบบนั้นกันจริงๆหรอครับ”
“ถ้าพี่บอกว่าจริงเจ้าจะเชื่อไหมเล่า .... ทำไมเจ้าไม่ฟังเรื่องราวที่พี่อยากให้เจ้าเห็นต่อไปล่ะ เจ้าจะได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ถ่องแท้ขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ ช่วยนิมิตให้ผมเห็นอีกสิครับ” ผมยิ้ม เรื่องราวความรักของผมในอดีตชาติก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยหรอก หากแต่ความเป็นนักโบราณคดีของผมทำให้ผมรู้สึกว่า ภาพเหล่านั้นเหมือนกับหนังสืออ้างอิงชั้นดีที่จะทำให้ผมมองเห็นภาพประวัติศาสตร์ในอดีตชัดเจนขึ้น
“เจ้าดูเป็นคนที่เฉโกขึ้นด้วยนะ ทองด้วง” พระยาไชยสุริเยนทร์ยิ้มขัน ก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไรดอก เพราะข้าเองก็ปรารถนาจะให้เจ้าเห็นแลเข้าใจทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ราตรีนี้คงจะดึกเกินไปที่เจ้าจะได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆต่อไป เจ้าจงกลับเคหะสถานของเจ้าไปก่อนเถิด ทองด้วงน้องพี่ แล้วคืนวันพรุ่งพี่จะเล่าให้เจ้าฟังอีกครั้งหนึ่ง”
“เล่าให้หมดเลยวันนี้เลยไม่ได้หรอครับ พี่ทองไชย”
“มิได้ดอก ทองด้วงเอย การถอดจิตไปดูอดีตชาติเป็นเวลานานๆนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อกายหยาบของเจ้านัก น้องพี่จงกลับไปพักผ่อนเสียเถิด พี่สัญญาว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอนตราบที่เจ้าปรารถนาอยากจะพบพี่ที่อารามหลวงแห่งนี้”
“ก็ได้ครับ พี่ทองไชย เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ผมรับคำอย่างเสียดาย ก่อนจะก้าวออกจากประตูวัดไป
ผมหันหลังกลับมาอีกครั้งก็พบว่าพี่ทองไชยโบกมือให้ผมช้าๆอยู่บนปรางค์ประธาน ถึงภาพนั้นจะทำให้ผมขนลุกอยู่เล็กน้อย แต่ผมก็เลือกที่จะโบกมือลาพี่ทองไชยก่อนจะก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน   

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
เขียนเรื่องนี้เหนื่อยแต่สนุกมากกว่าเพราะได้ใช้คำหรูหราสะใจดี
ขอบคุณที่ชมว่าใช้คำสวยด้วย
ส่วนคำว่าอสงไขย นั้น ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า ผมค่อนข้างจะใช้พร่ำเพรื่อในนิยายเรื่องนี้มาก นั่นเพราะผมก็ชอบมากเหมือนกัน

ส่วนที่ว่าเขียนดีมั้ยนั้น ผมว่าผมยังเขียนไม่ดีเท่าไหร่หรอกครับ
(มีพีเอ็มมาท้วงหลังไมค์พอสมควรเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่าง)
แต่ไม่โกรธจริงๆนะครับ ขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมจริงยิ้งขึ้น

อ้อ ในตอนแรก แอบไปแก้ไขตามที่มีคนท้วงมาเรื่องการนับวันเดือนปีสมัยอยุธยานะครับ
คือ สมัยนั้นเค้าจะบอกเป็นวันข้างขึ้นข้างแรม ปีนักกษัตริย์ ร่วมกับจุลศักราช
ไม่ใช่บอกเป็นเดือนมีนาเมษาเหมือนปัจจุบัน
(เราเพิ่งมีเดือนมีนาเมษาตอนสมัย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม)
ดังนั้น ในวันที่ 7 เมษายน จศ. 1129 นั้น ผมเลยแก้ไขเป็น
วันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1129 ครับ

อ้อ ส่วนหัวเรื่องอัพเดท เผื่อมีคนงง จุลศักราช 1374 มาจาก พศ. 2555 นั่นเองครับ
(มาจาก 2555 ลบด้วย 1181 ดามวิธีการนับ จุลศักราช)

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ส่วนเศร้าไม่เศร้า ไม่ขอสปอยครับ  :laugh:

เพิ่งมาอ่านเจอ ฉันท์ที่พ่อทองด้วงเขีนในตอนที่ 2 กับนิราศในตอนที่ 3 นั้น ผมแต่งเองครับ
แต่เพลงในบทแรกเป็นเพลงของ พ่อชินกร ไกรลาสครับ ชื่อเพลงอิฐเก่าเล่าตำนาน
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-01-2012 18:08:14
อยากรู้สาเหตุที่ทองไชยต้องรอคอยมานานานขนาดนี้
รออ่านน๊า
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 08-01-2012 19:34:30
นับถือในการหาข้อมูลและการใช้ภาษาจริงๆค่ะ o13

ทองไชยต้องทำให้ทองด้วงน้อยเข้าใจผิดและตายจากก่อนจะรู้ความจริงแน่ๆเลย

รอติดตามตอนต่อๆไปค่ะ

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 08-01-2012 20:15:07
พี่ทองไชยดูเป็นคนอบอุ่นจัง

เนื้อเรื่องสนุกมาก รออ่านอยู่เน้ออ

หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Allure-Q ที่ 08-01-2012 20:46:57
โอ้ววววว....ย้อนยุค o13
ติดตามตอนต่อไป :z2:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 09-01-2012 18:54:59
เศร้า ไม่เศร้า พระเอก-นายเอก ก็พลัดพรากจากกันแต่ชาติก่อน บัดนี้ก็อยู่กันคนละภพ คนละชาติเองเนอะ  :m23:
การที่พี่ทองไชยยังอยู่แบบนี้คงมีเรื่องค้างคาอะไรสักอย่าง ลุ้นให้พี่บรรลุจุดมุ่งหมาย
เพื่อจะได้ไปเกิดชาติภพใหม่ได้ครองคู่กับน้องทองด้วงสักที... (แต่ชาตินี้ไม่น่าทันนะ  :m21: )
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-01-2012 19:25:08
แล้วความรักของทั้งสองคนในชาติก่อน จบลงแบบไหนแต่คงไม่แฮปปี้ล่ะมั้ง

ดำเนินเรื่องด้วยภาษาเก่าๆ แบบนี้เพราะดีนะคะ 
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๓ (๘ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 09-01-2012 20:19:47
อ่านแล้วใจหวิวๆ น้ำตาปริ่มๆ
ชอบบรรยากาศแบบนี้จังค่ะ

แล้วการเกี๊ยวกันในสมัยก่อนก็งดงามหวานซึ้งผิดกับยุคปัจจุบัน
พออ่านทีไรก็ทำให้เขินได้ตลอดเลยค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 11-01-2012 10:54:57
ตอนที่ ๔

ผมมาทำงานในตอนเช้าด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย แสงอาทิตย์สาดส่องข้ามยอดปรางค์วัดราชบูรณะทำให้ผมนึกถึงเรื่องเหนือธรรมชาติเมื่อคืน และคืนนี้ ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าผมจะไปฟังเรื่องราวจากพระยาไชยสุริเยนทร์อีก แม้ว่าจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับก็ตาม ผมออกจะตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ไม่รู้สึกหวาดกลัววิญญาณตนนั้นเลย น่าแปลกที่ ลึกๆแล้วผมกลับรู้สึกมีความผูกพันกับพี่ทองไชยอย่างประหลาด เรื่องเล่าจากนิมิตของท่านนั้นอาจจะเป็นความจริงก็ได้
“อรุณสวัสดิ์ ด้วง” พี่ยงทักทายผมในตอนเข้า ก่อนจะมานั่งลงข้างๆ
“ครับพี่ กินข้าวหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้ว เราล่ะ มาแต่เช้าเลยนะวันนี้”
“ครับ ก็ทำตัวเหลวไหลมานี่นา ก็ต้องทำดีเอาหน้าเสียหน่อย”
“ช่างเจรจานะเรา เอาเถอะ พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน”

พี่ยงจากไปเงียบๆเหมือนเคยก่อนที่ผมจะกลับครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ผมนั่งค้นคว้าจากหนังสือเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาสมัยก่อนกรุงแตกเพื่อหาชื่อของพระยาไชยสุริเยนทร์ในนั้น แต่ก็ไม่เจอ
สาเหตุที่ผมอยากรู้เรื่องราวของพี่ทองไชยให้มากกว่านี้ นั่นก็เพราะผมอยากรู้ปูมหลังของวิญญาณตนนั้นบ้าง บางทีการฟัง อย่างเดียวก็ทำให้ผมอึดอัดอยู่ไม่น้อย เหมือนคนที่อยู่ในที่มืดกับที่แจ้ง ที่ผมไม่สามารถล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย

ผมตั้งใจทำงานให้ช้าลงกว่าปกติ จนได้เวลาเลิกงาน พี่ยงก็มาทักผมเหมือนทุกวัน
“ไม่กลับบ้านหรอเรา ฮึ”
“อ่า งานยังไม่เสร็จเลยครับ”
“งั้นหรอ.... พี่ให้งานเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอกครับพี่ ผมคงทำช้าไปหน่อย พี่กลับบ้านเถอะครับ ผมขอเคลียร์งานอีกหน่อยก็จะกลับแล้ว”
“อืม งั้นดูแลตัวเองด้วยนะ พี่กลับแล้ว”

พี่ยงทิ้งผมไว้เบื้องหลังลำพังตามที่ผมตั้งใจไว้ ก่อนที่ผมจะหลับตาลงช้าๆ รอคอยให้ตะวันตกดิน
.
.
.
“พี่ทองไชย พี่ทองไชยครับ ผมมาแล้ว” ผมส่งเสียงเรียกกลางโถงประธานวัดราชบูรณะตอนเวลาราวสองทุ่มกว่า ไม่นานนักลมเย็นยะเยียบก็พัดผิวกายของ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกคุ้นหูจากทางด้านหลัง
“พี่มาแล้ว ทองด้วงน้องพี่ พี่ดีใจนักที่เจ้ารักษาคำมั่นว่าจักมาให้พี่ในคืนวันนี้”
ผมหันไปตามเสียงพูดของวิญญาณตนนั้นที่กำลังยิ้มให้ผมจากด้านหลัง พร้อมกันนั้น ดอกแก้วกลีบขาวสะอาดก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือของพี่ทองไชย กลิ่นของมันหอมฟุ้งขจรขจายจนผมเผลอหลับตาดอมดมกลิ่มนั้นอย่างลืมตัว
“เมื่อก่อนนั้น ทั้งพี่แลเจ้าต่างชมชอบในกลิ่นรัญจวนของดอกแก้ว จนเจ้านั้นปลูกต้นของมันไว้รอบเรือนเลยเทียว”
“แต่มันก็หอมจริงๆนะครับ พี่ทองไชย”
พี่ทองไชยคว้ามือผมขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะวางดอกแก้วดอกนั้นลงบนฝ่ามือของผม บรรยากาศรอบๆตัวแปรเปลี่ยนกลับไปในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง ก่อนที่พระยาไชยจะสบตาผมด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ถัดไปด้านหลังของพระยาไชย ตัวผมและพระยาไชยในอดีตชาตินั่งอยู่ในเรือนริมน้ำ โดยตัวพี่ทองไชยกำลังนอนหนุนตักของผมอยู่
“ข้าคิดถึงเจ้านัก ทองด้วงน้องพี่ เจ้าจะรู้บ้างหรือไม่ว่าดวงใจของพี่นั้นแทบจะแยกออกเป็นสองซีกยามที่พี่พึงทำได้แค่จินตนาการถึงใบหน้าของเจ้าบนนภายามราตรี”
“พี่ทองไชยขอรับ พี่มิควรจะเอื้อนเอ่ยเช่นนั้นนะขอรับ ท่านคงจะเคยได้ยินโบราณท่านว่า หน้าต่างมีหูประตูประตูมีตา หากบ่าวไพร่มาได้ยิน พวกมันคงจะนำไปนินทากันสนุกปากแท้ๆเทียว”
“แต่เพลานี้หามีใครไม่ ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ ไฉนเลยเจ้าต้องถือโทษโกรธพี่ที่พี่นั้นได้ระบายความสิเน่หาที่เอ่อล้นอุราของพี่ เอ็นดูพี่สักหน่อยเถิด หากมิให้พี่ได้เอื้อนถ้อยร้อยวาจาออกมา พี่คงจะอกแตกตายเป็นแน่ไซร้”
“ความรักของพี่ทองไชยเปรียบเหมือนมะม่วงสุกที่ออกผลใต้พื้นพสุธาที่หามีไม่ในสากลโลก ตรองดูสักหน่อยเถิด กระผมคิดว่าหากเราจะหยุดสิเน่หาต่อกันไว้เพียงเท่านี้...”
“สิเน่หาต่อกัน...?.” พระยาไชยยิ้มอย่างมีความสุข “นั่นหมายความว่า ทองด้วงน้องพี่มีความในเข่นเดียวกับที่พี่รู้สึกต่อเจ้าใช่หรือไม่ ทองด้วงเอย”
ทองด้วงถอนหายใจ พลางทอดสายตามองระลอกน้ำสีดำทะมึนยามราตรี “นั่นหาใช่สาระสำคัญดอกขอรับพี่ทองไชย กระผมคิดว่าเราควรจะหยุดมันไว้แค่ตรงนี้ที่เราพอจักหักห้ามมันลงได้เสียแต่เนิ่นๆ”
“ได้โปรดเถิด ทองด้วงน้องพี่ อย่าได้เอื้อนเอ่ยวาจาเช่นนั้นเลย เพราะมันทำให้ดวงใจของพี่ร้าวรานดังถูกมีดกรีดลงตรงกึ่งกลาง .... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พี่ขอให้คำสัจจาธิษฐานต่อเจ้า ต่อหน้าเจ้าพระยามหานที ว่าความรักของพี่ที่มีต่อเจ้านั้นจักมั่นคงประหนึ่งเสาเอกแห่งพระบรมมหาราชวัง แลจักคงไว้นิรันดร์ตราบอสงไขยเวลา”
“มิมีดอกพี่ สิ่งใดที่จักอยู่นิรันดร์ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้แลแสดงให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้รู้ได้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป “
ทองไชยลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลูบหัวของทองด้วงเล่นอย่างเอ็นดู “พี่คงไม่สามารถจะเอาชนะเจ้าได้สักเรื่องเลยสินะ ทองด้วง แม้แต่ดวงใจของพี่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แล้วนี่เจ้ายังทำให้พี่อับจนถ้อยคำอีกแล้ว”
“หามิได้ดอกขอรับ พี่ทองไชย กระผมเพียงแต่พูดให้ฟังด้วยเหตุผลเท่านั้น”
“แต่พี่ยืนยัน ว่าพี่นั้น....รักเจ้าเสมอหนึ่งชีวิตของพี่ รองจากบ้านเมืองแลบิดรมารดา ข้ายกให้เจ้าเป็นคนสำคัญเหนือใครทั้งปวงในอโยธยาศรีรามเทพนคร”
“เอาเถิดพ่อ กระผมเองก็คร้านจะห้ามพี่ทองไชยแล้ว”
“เจ้าก็ควรที่จะปล่อยให้พี่....แลตัวเองทำตามความรู้สึกนึกคิดบ้าง”
“หากกระผมมิตามใจพี่ คืนนั้นพี่ทองไชยคงได้นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง”
“แล้วดวงใจของเจ้าเล่าน้องพี่ เจ้าได้ปล่อยให้มันคิดอย่างอิสระแล้วหรือยัง”
ทองไชยคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไปแนบหน้าอกของตน ก่อนจะคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้แน่น “ หากเจ้าเชื่อมั่นในสัญญาของชายชาติทหารเยี่ยงพี่ ขอให้เจ้าจงปล่อยใจอย่าได้ยึดติดกับจารีตต่างๆเลย หากว่าดวงใจของเจ้านั้นคิดอ่านเช่นเดียวกันกับตัวพี่ แลพี่ขอให้เจ้าอดทนรออีกสักหน่อย พี่สัญญาว่าเราทั้งคู่จักได้ใช้ชีวิตร่วมกันดังคู่ผัวตัวเมียในที่ที่ๆไกลแสนไกลโดยที่เจ้ามิต้องเกรงกริ่งว่าจะมีผู้ใดมาครหาเจ้า พี่ขอให้คำมั่น”
ทองด้วงค่อยผละกายออก ด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์เบื้องลึก “พี่ทองไชยขอรับ ได้โปรดอย่าคิดอ่านดังนั้นเลย พี่เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านออกญา หากท่านทำดังเช่นที่ท่านให้คำมั่นแล้วไซร้ ผู้มีพระคุณของกระผมทั้งสองคนคงจะแช่งชักตัวกระผมจนต้องตกนรกอยู่ในอเวจีมหาโลกันต์เป็นแน่”
“แล้วพี่เล่า ทองด้วงเอย เจ้ามิเห็นใจพี่บ้างฤา”
ทองด้วงถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านได้ยลแลได้กลิ่นของพุ่มดอกแก้วรอบๆเรือนของกระผมหรือไม่ขอรับ”
“กลิ่นของมันช่างหอมจรุงใจนัก น้องพี่ ว่าแต่ เจ้าปลูกต้นแก้วเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พี่ไม่ยักสังเกตเห็น”
“มินานเท่าไหร่ดอกขอรับ แท้จริงแล้วกระผมปลูกต้นแก้วเหล่านี้ไว้เพื่อเตือนใจตนเอง ถึงกลิ่นของมัน”
“กลิ่นของดอกแก้ว?”
“ขอรับพี่ทองชัย....กลิ่นของดอกแก้วจักหอมจัดตอนราตรี เหมือนเช่นตัวพี่แลตัวกระผมที่เราจักได้มาพบกันแค่ในเพลานี้เท่านั้น ในยามกลางวันเรากลับต้องประพฤติตนต่อกันได้เพียงนายกับบ่าว .... พี่ทองไชยคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสัมพันธ์ที่สามารถดำเนินไปจนนิรันดร์แลอสงไขยดังที่พี่เอ่ยวจีได้ฤา”
“ทองด้วงน้องพี่!”
“ความรักต้องห้ามนั้นจักได้ประโยชน์อันใดเล่าพี่ รังแต่จะทำร้ายจิตใจเรื้อรังประหนึ่งแผลผุพองที่ไร้ทางรักษา กระผมถึงใคร่เตือนเราทั้งคู่ว่าเราควรจักหยุดมันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเพียงสะเก็ดแผลเล็กๆ มิควรปล่อยให้มันลุกลาม”
“อันความเสน่หานั้นไซร้หาใช่แผลร้ายดังที่เจ้าคิด พี่ดีใจนักที่เจ้าเองก็มีไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่พี่คิดอ่าน ขอให้น้องพี่อดทนแลเชื่อใจพี่เถิด สักวันหนึ่งพี่จักทำให้เจ้าแจ้งชัดว่ารักของพี่นั้นยิ่งใหญ่ปานใด”
“กระผมคร้านจะจำนรรจ์กับพี่ทองไชยแล้ว กลับเรือนไปเสียเถิดขอรับ นี่ก็หลายยามแล้ว”
ทองด้วงหันหลังให้ทองไชย และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถือโอกาสประทับรีฝากลงบนแก้มนวลที่หอมแป้งร่ำอ่อนๆของบ่าวหนุ่มผู้นั้น เจ้าของปรางหันมาค้อนอีกฝ่าย หากแต่เขาก็ต้องอ่อนท่าทีลงเมื่อเห็นแววตาหม่นๆของผู้เป็นนาย
“ทองด้วงเอย พี่ใคร่อยากจะอยู่กับเจ้าเสียที่นี่ในคืนนี้นัก แต่เอาเถิด เพื่อความสบายใจของเจ้า พี่จักกลับเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้”

.
.
“พี่ทองไชยในตอนนั้นน่ากลัวจังแฮะ” ผมพูดอย่างหวาดๆ เมื่อบรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนกลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกครั้ง คำพูดของผมทำให้วิญญาณเบื้องหน้าย่นคิ้วอย่างสงสัย
“พี่น่ากลัวเยี่ยงไรฤา พี่หาได้แหวกอกถลกตาให้เจ้าดูรึก็ไม่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ คือแบบยังไงดีล่ะ พี่ดูตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกจนน่ากลัว ผมคิดว่าผมเข้าใจทองด้วงตอนนั้นนะ เขาคงอึดอัดไม่น้อยที่ถูกพี่พูดจากับเขาแบบนั้น”
“ความซื่อตรงของพี่นั้นน่ากลัวอย่างนั้นเลยรึทองด้วง พี่ไม่เข้าใจนัก”
“ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าทองด้วงคงต้องการเวลาในการถามตัวเองสักหน่อย สังคมสมัยนั้นไม่ได้เปิดกว้างในเรื่องรักร่วมเพศเท่ากับสมัยนี้”
“จุลศักราชนี้บุรุษเพศสามารถที่จะรักกันฉันท์สวาทกันได้แล้วรึ ทองด้วงน้องพี่” แววตาของพี่ทองด้วงดูตื่นเต้นเมื่อได้ยินผมพูด
“เอ่อ.... ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กันอย่างหลบๆซ่อนๆเหมือนเมื่อก่อน ตุ๊ด...เอ่อ คือผู้ชายใจหญิงที่แต่งตัวเลียนแบบผู้หญิงก็มีให้พบเห็นเยอะแยะในยุคนี้น่ะครับ”
“จริงรึ น่าตกใจนัก .... แล้วเจ้าล่ะ ทองด้วงน้องพี่ ในชาติภพนี้เจ้า เอ่อ....สิเน่หาในบุรุษเพศเหมือนดั่งกาลก่อนหรือไม่“
“เอ่อ” คำถามของพระยาไชยทำเอาผมสะดุ้ง “ไม่รู้สิครับ อาจจะก็ได้มั้ง “
ผมเลือกจะตอบอ้อมๆ ถ้าตาพระยาไชยนี่เป็นคนล่ะก็ ผมอาจจะโดดถีบเลยก็ได้ที่มาถามกันแบบนี้ แต่เผอิญเป็นผี ผมเลยออกลูกเกรงใจไปหน่อย
พระยาไชยอมยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าลืมไปแล้วฤา ว่าพี่ได้ยินเสียงในใจเจ้า”
“ไอ้บ้า!” ผมสบถอย่างลืมตัวว่ากำลังต่อคารมกับผีอยู่
“ภพนี้เจ้าก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบนะ ดูกระโดกกระเดกเหมือนแม่แปรกท้ายตลาด”
“ผมไม่รู้ว่าที่พี่ทองไชยพูดหมายความว่ายังไง แต่ผมพอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ๆ”
“อย่าโกรธาไปเลยน้องพี่ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเป็นเจ้าที่พี่เฝ้ารอมานานนับอสงไขยนะพ่อ ”
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า ผมอยากฟังต่อไปแล้วล่ะครับพี่ทองไชย”
พระยาไชยยิ้ม ก่อนจะปรายตาไปรอบๆอีกครั้ง และบรรยากาศรอบตัวก็แปรเปลี่ยนเป็นพระบรมมหาราชวังอันงดงามสีทองสุกสกาวไปทั่วอาณาบริเวณ
“แล้วที่นี่คือ...”
“พระบรมมหาราชวังของพ่ออยู่หัวสุริยาศน์อมรินทร์”
ผมหมุนตัวมองรอบๆ ก่อนจะอุทานอย่างลืมตัว “งดงามจริงๆครับพี่ทองไชย”
พี่ทองไชยไม่ได้ตอบผม ไม่นานนัก พระยาไชยในนิมิตก็พูดขึ้น
“สวัสดีขอรับ ท่านขุนนรลักษณ์อักษร”
“ไหว้พระเถิด ท่านหมื่นทองไชย” ชายวัยกลางคนๆหนึ่งรับไหว้ พลางมองลอดมาด้านหลัง “แล้วนั่นพาใครมาด้วยรึพ่อ”
“น้องชายเกล้ากระผมเองขอรับ ชื่อเจ้าทองด้วง – ทองด้วง เข้ามากราบท่านขุนท่านสิ”
ทองด้วงในชุดโจงกระเบนสีน้ำตาลกับเสื้อคอกลมสีฟ้าหมอบคลานมาหาท่านขุท่านนั้น ก่อนจะกราบแสดงความเคารพ
“น้องเจ้านี่หน้าตาจิ้มลิ้มดีนะ ท่านหมื่น”
“เอ่อ .... ท่านหมื่นก็กล่าวเกินไปขอรับ อันที่จริงแล้ว กระผมเป็นเพียงบ่าวในเรือนของคุณหญิงพุดซ้อนเท่านั้น”
“แต่กระผมก็เอ็นดูบ่าวคนนี้เสมอน้องชายร่วมอุทรณ์ขอรับท่านขุน แลด้วยเหตุนี้กระผมจึงพามันมาฝากตัวกับท่านเพราะเห็นหน่วยก้านของมันน่าจะเป็นที่พอใจของพ่ออยู่หัว ฝีมือร้อยกรองของเจ้าทองด้วงนั้นเพราะพริ้งจับใจนัก ข้าเลยอยากให้ท่านเมตตาอุปการะมันสักหน่อย”
“ท่านหมื่นอุตส่าห์เสียแรงมาโฆษณาถึงที่นี่ เห็นทีข้าคงต้องให้พ่อหนุ่มหน้ามนคนนั้นเสดงฝีมือเป็นประจักษ์ตาข้าเสียแล้วล่ะ เอาเถิดพ่อ” ขุนนรลักษณ์อักษรยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไหนเจ้าลองนิพนธ์ร้อยกรองให้ข้าได้แจ้งในฝีมือของเจ้าสักบทเถิด พ่อหนุ่ม”
“ได้ขอรับ ท่านขุน” ทองด้วงยิ้มอย่างแน่วแน่ ก่อนจะจรดดินสอหินลงบนกระดานชนวนเป็นบทร้อยกรอง

“นภากาฬรานร้าวข้าเศร้าจิต   ดั่งชีวิตใกล้ยุดสุดจะฝืน
บุหลันนวลครวญคร่ำข้ากล้ำกลืน    ความขมขื่นคืนนั้นยังฝังใจ
ครวญคะนึงถึงคนเคยบ่นว่า   โอ้ชะตาน่าฉงนชวนสงสัย
ใยขีดพามาพบปะช้าเกินไป   หวังวาดไว้ปลิวหายกับสายลม
บทเพลงยาวร้าวรานในคืนเศร้า  ฟ้าสีเทาเฝ้าอาลัยใจขื่นขม
วอนบุหลันฟังคำวอนอ่อนระทม   เพียงสายลมยังกรีดใจให้ร้าวชา
สุรารินลงจอกดั่งบอกกล่าว   พอรุ่งเช้าสูรย์ลอยโปรดรู้ว่า
ต่อจากนี้รักที่เคยสร้างมา  จักต้องลาลืมเลือนเหมือนลืมกัน   
จูบอำลาสุดท้ายตอนใกล้สาง   ยังมิจางรสขื่นสะอื้นศัลย์
รอยน้ำตารินไหลในวันวาน   ยังสะท้านทรวงอยู่มิรู้คลาย
บทเพลงยาวบทนั้นยังฝังอยู่   ข้าแหงนดูฟ้าดำย้ำใจหาย
ในราตรีที่แสงโสมโลมผิวกาย    คืนสุดท้ายจำมั่นบุหลันครวญ   “

ทองด้วงเอื้อนเอ่ยร้อยกรองบทนั้นเป็นทำนองเสนาะ และเมื่อจบลง ขุนนรลักษณ์ฯก็ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับตบมือให้เป็นการชมเชย
“ไม่เลวทีเดียว พ่อหนุ่ม เจ้าชื่อทองด้วงใช่ไหม”
“ขอรับ ท่านขุน”
“เอาล่ะ เอาเป็นว่า จากนี้ต่อไป เจ้าจักได้เป็นคนของฝ่ายใน คอยดูแลรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ฝ่ายของกรมเวียง เบื้องต้นเจ้าควจะศึกษาราชพิธีฝ่ายในไว้เสียบ้างนะ ทองด้วงเอย”
“ท่านขุน ท่านหมายความว่า” หมื่นทองไชยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ข้าตกลงรับเจ้าทองด้วงเข้ามาอยู่กับข้าในวังแล้ว ท่านหมื่น”
“ขอบพระคุณมากขอรับ” หมื่นทองไชยดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเจ้าตัว “ทองด้วงน้องพี่ ขอบคุณท่านขุนเสียสิ”
“ขอบพระคุณมากขอรับ”
.
.
.
บรรยากาศรอบตัวผมกลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกครั้ง ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา พระยาไชยยังยิ้มให้ผมอยู่ในอิริยาบถเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“กลับไปก่อนเถิดน้องพี่ เพลานี้ก็ดึกดื่นค่ำค่อนแล้ว”
“ว้า.... หมดเวลาสนุกแล้วหรอเนี่ย” ผมพูดติดตลกพลางยิ้มตาหยี
“อีกไม่นานดอกน้องพี่ เรื่องราวของเราสองคนจักไม่หฤหรรษ์เหมือนดั่งที่เจ้าเห็น”
“งั้นหรอครับ” สีหน้าผมเจื่อนลง “มันจะเศร้ามากไหมครับเนี่ย”
“มากของเจ้านั้นพี่เองก็ไม่รู้ว่าจักหาหน่วยใดมาเทียบเคียง หากแต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ผูกมัดรัดรึงดวงวิญญาณของพี่ไว้ ณ ที่แห่งนี้”
“ผมอยากรู้ครับ พี่ทองไชย อย่าเกรงใจผมเลย ผมยินดีและอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดจริงๆ พี่จะนิมิตให้ผมเห็นทั้งหมดในคืนนี้เลยก็ได้”
“มิบังควรดอก พี่เตือนเจ้าไปแล้วนี่ว่าการหักโหมท่องนิมิตในอดีตชาติเป็นเวลานานๆนั้นจักเป็นอันตรายกับเจ้าเพียงใด จงกลับไปก่อนตามที่พี่บอกแก่เจ้าเถิดน้องพี่”
“เฮ้อ...ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ผมกล่าวอำลา
“พี่ควรจะกล่าวกับเจ้ามากกว่า ทองด้วงเอย อันตัวพี่นั้นหาต้องการการพักผ่อนนิทราดังเช่นเจ้าไม่ หากแต่การพักผ่อนของพี่นั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากโลกภูมิมนุษย์ต่างหากเล่า น้องพี่”
ผมแอบใจหายเล็กๆเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ทองไชย จนอดถามไปตามความรู้สึกไม่ได้
“แล้วพี่ทองไชยจะไปสู่สุคติเมื่อไหร่หรอครับ”
วิญญาณตรงหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะตอบผม “อีกไม่นานดอกน้องพี่ ตั้งแต่ที่พี่พบเจ้า ณ ที่แห่งนี้ เพลาแห่งการจากไปของพี่ก็นับถอยหลังลงเสียแล้ว แลไม่เพียงแต่เจ้าหรอกที่ใจหาย ตัวพี่เองนั้นก็สะท้อนใจไม่แพ้เจ้าแม้พี่จะเฝ้ารอให้เพลานี้มาถึงนานเนิ่นอสงไขย ยิ่งพี่ได้มาพบเจ้าเพลานี้ ยังทำให้ตัวพี่อยากอยู่กับเจ้าให้นานอักโข แต่พี่ก็มิอาจทำได้เช่นใจปรารถนาเพราะพี่ได้บิดเบือนกฎของสวรรค์มานานเกินไปเสียแล้ว”
“ถ้าผมเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้พี่ทองไชยได้ไปสู่สุคติจริงๆ ผมก็ดีใจที่เป็นเช่นนั้นครับพี่ อย่ากลัวการจากลาเลย เพราะถ้าไม่มีการจากลาก็จะไม่มีการเริ่มต้นนะครับ”
“แม้เพลาจะผ่านไปหลายร้อยปีแต่คำพูดของเจ้าก็ยังน่าสดับรับฟังเสมอ ทองด้วงเอย ขอบใจเจ้ามาก กลับไปพักผ่อนเถิด”

แอบเหนื่อยกับการสรรหาคำ  :sad4:

พี่ทองไชยยังเล่าๆ แบบกั๊กๆ ไม่ไปไหนต่อไหน แต่น่าจะใกล้แล้วล่ะครับ

อ้อ ผมแก้ไขเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่ตอนน่าจะจบครบถ้วนสมบูรณ์

เพราะลองๆเจียนดูแล้วนี่มันก็ใกล้จะไคลแมกซ์แล้วล่ะ

เลยสรุปให้มันกลายเป็นเรื่องสั้นมากกว่าจะเป็นนิยายขนาดสั้น (ต่างกันตรงไหน  :really2:)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 11-01-2012 11:16:24
มาม่าอ่ะ เขารับไม่ได้
ให้สองคนอยู่ด้วยกันได้ไหม
ให้พี่ทองไชยมาเกิดใหม่ก็ได้
เขากลัวจิตตกอ่ะ

แต่ยังไงก็รออ่านน่ะ เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 11-01-2012 12:55:12
 :กอด1:

พี่ทองไชยก็กั๊กจริงๆคนอ่านเลยยังไม่ได้รู้ซะที

ว่าเพราะอะไรทั้งคู้ถึงแยกจากกัน  ทองไชยต้องรอ

ทองด้วงนานขนาดนั้น

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 11-01-2012 12:57:21
 :pig4:  o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-01-2012 13:56:39
เรื่องสนุกดีครับ  ชอบๆๆๆๆๆ :3123:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 11-01-2012 14:23:38
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรื่นหูมากกก
อ่านเรื่อยยย ๆ ไพเราะมาก
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: a-mee-ra ที่ 11-01-2012 14:48:38
รอตอนต่อไปคร่าาา กำลังสนุกเลย  o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 11-01-2012 20:27:46
ถึงจะเป็นความรักที่จำต้องซ่อนเร้น เก็บงำ และ ปิดบังให้ลับที่สุด
แต่ประโยคที่พี่ทองไชยเอื้อนเอ่ยแสดงความรักและเสน่หาต่อน้องทองด้วงนั้น ประหนึ่งได้อ่านเพลงยาว
ด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ ลึกซึ้ง แต่ก็ตรงไปตรงมา และ แจ่มชัดในความหมายยิ่งนัก
สมกับเป็นผู้ชายสมัยกรุงศรีเหลือเกิน ทำเอาคนอ่านแทบละลาย :m3:

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 11-01-2012 20:40:21
ต้องใช้คำสละสลวย เวลาอ่านนิยายเรื่องนี้อดไม่ได้ต้องอ่านออกเสียง
 ได้อารมณ์ไปอีกแบบ :laugh:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๔ (๑๑ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-01-2012 19:25:45
ชอบค่ะ  ใช้คำได้สละสลวย o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 24-01-2012 20:25:53
ตอนที่ ๕

เงากระจกที่สะท้อนภาพของผมนั้นทำให้ผมตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองที่ดูหมองลงอย่างน่าใจหาย การพักผ่อนที่น้อยลงคงจะเริ่มกระบวนการทำให้ผมต้องโทรมลงแบบนี้ แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่แลกมาผมก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ กับการได้ท่องไปในลำนำประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำบอกเล่าจากพงศาวดารใดๆ
ระหว่างที่ผมได้ดูเรื่องราวของตนเองในอดีตนั้น สายตาของผมมักจะลอบมองดูรอบๆเพื่อศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีรวมถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น และนี่แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของการที่ผมยอมอดตาหลับขับตานอนทำแบบนี้ร่วมเดือน ส่วนอีตาไชยสุริเยนทร์นั่น....ช่างผีมันเถอะ หลังๆมานี่ผมก็แอบๆเบื่อมันเหมือนกัน ไม่รู้มันจะอะไรนักหนา พาไปดูแต่ฉากพลอดรักกันอยู่นั่นแหละ ....
ถึงอย่างไรก็เถอะ พูดถึงตาคนนี้แล้ว ผมก็แอบรู้สึกถึงความรักมากมายที่ทำให้พี่แกยังวนเวียนสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอผม บางที ถ้าอีตาคนนี้มีลมหายใจล่ะก็ ผมอาจจะ...หวั่นไหวมากกว่านี้ก็ได้ot
.
.
.
“ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยด้วง ดูโทรมๆไปนะ” พี่ยงถามขึ้น ระหว่างกาแฟช่วงเช้าของเรา
“เอ่อ .... ผมติดละครน่ะครับ”
“ละคร? ก็ไม่ดึกเท่าไหร่นี่นา มันจบสี่ทุ่มกว่าๆไม่ใช่หรอ”
“พอจบแล้วผมก็ต่อซีรีส์เกาหลีน่ะครับ” ผมแถหน้าด้านๆ
“หืม? ขนาดนั้นเลยหรอ” สีหน้าของคนตรงหน้าดูกังวลและสงสัยอยู่ในที “ดูแลตัวเองหน่อยสิ”
“ครับพี่ขอบคุณครับ”
“เอ่อ... พี่...เป็นห่วงนะ”
“เอ๋ ....ครับพี่ ขอบคุณมากครับ” ผมกล่าวเก้อๆอีกครั้ง ก่อนที่คนพูดจะลุกจากไปอย่างงงๆ

กลิ่นกาแฟอุ่นๆเรียกความกระปรี้กระเปร่าให้ผมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะก้มหน้าลงบนกองหนังสือต่อ ผมนั่งนึกถึงภาพชาวอยุธยาที่ได้ไปเห็นทุกคืนพลางนำภาพเหล่านั้นมาซ้อนทับกับเรื่องราวในหนังสือตรงหน้า ก่อนจะเขียนเป็นบทความสำหรับเผยแพร่ ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงที่มาของข้อมูล ว่านี่ผมจะต้องให้เครดิตอ้างอิงหนังสือเล่มไหน หรือจะต้องเขียนชื่อพระยาไชยสุริเยนทร์ลงไปเลยดีนะ
.
.
.
แสงสปอตไลท์ที่ฉาบทับกับยอดพระปรางค์ยามค่ำทำให้มองเห็นยอดปรางค์วัดราชบูรณะเปล่งประกายสีทองเด่นตระหง่าน ผมนั่งรอพระยาไชยอยู่ใต้ต้นไม้ในบริเวณของวัดอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกข้างๆกายอันเป็นสัญญาณว่าพี่ท่านมาหาผมแล้ว
“มาได้ซักทีนะครับ”
“ไม่เพียงแต่เจ้าดอก ทองด้วงเอยที่รอคอยให้สายันห์ตะวันลา พี่เองก็ใคร่อยากจะมีอิทธิฤทธิ์ผลักดวงอาทิตย์ให้ลับฟ้าไปเสียไวๆเพื่อให้ได้มาพบเจ้าเช่นกัน”
“พูดจาเยอะแยะมากมายเหมือนเดิม ถ้าพี่ทองไชยเป็นคนคงจะคอแห้งพิลึก เพราะพูดจาออกมาแต่ละอย่างนี่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงมากๆ”ผมค่อนแคะ
“แม้ใจความคำพูดของพี่จะมีเพียงประหนึ่งน้อย หากแต่ครรลองถ้อยเหล่านั้นก็มาจากดวงใจแท้จริงของพี่”
“โอเคครับ โอเค ตอนนั้นผมอาจจะเป็นนักกวีเจ้าบทเจ้ากลอน แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวจะจะต่อความกับพี่จริงๆ” ผมเอ่ยยอมแพ้ ก่อนจะชวนเข้าเรื่อง “ไปกันเลยไหมครับ”
พระยาไชยยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าผมเบาๆ มือของเขายังเย็นเยียบเหมือนเคย หากแต่แววตาหม่นเศร้าคู่นั้นดูหม่นลงกว่าที่เคยเห็น และรอยยิ้มที่ยะขึ้นนั้ก็คล้ายจะฝืนแสดงออกมาให้ผมรู้สึกดี
“มิมีปัญหา น้องพี่”
.
.
.
เรือนหลังเล็กริมน้ำรถครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ผมเห็นภาพของตนเองนั่งเหงาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ริมศาลาไม่ไกลกันนักด้วยแววตาที่เหม่อลอย กลิ่นดอกแก้วหอมขจรขจายอบอวลทั่วบริเวณในยามเย็นก่อนที่พี่ทองไชยจะเดินมาจากด้านหลัง
“ทองด้วงน้องพี่”
“ขอรับพระยาไชยสุริเยนทร์ มีเหตุอันใดฤาถึงมาในยามวิกาลเช่นนี้”
“น้องพี่ ไม่มีเหตุอันใดที่เจ้าจักเรียกชื่อพี่ด้วยยศศักดินาเช่นนั้น เพลานี้มีแค่เราเพียงสองคนเท่านั้น”
ตัวผมในภาพนิมิตก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบไป “หามิได้ดอกขอรับ อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงพระยศพระยาแห่งกรมคลังแล้ว หาใช่เป็นหนุ่มฉกรรจ์ดังกาลก่อน อีกทั้ง....”
“พี่ยังเหมือนเดิม ทั้งร่างกาย....แลจิตใจ”
“แล้วมันจะหาประโยชน์อันใดได้เล่าขอรับ ท่านพระยา”
“ได้โปรดเถิด ยอดดวงใจของพี่ อย่าได้พูดจาหักหาญน้ำใจพี่เยี่ยงนั้น เพียงแค่เรื่องที่พี่เพียรครุ่นคิดเพลานี้ ดวงใจพี่ก็แทบจะราญรอนลงแล้ว ทองด้วงเอย”
“แต่นั่นมันก็เป็นความจริงที่เราต่างต้องเข้าใจและยอมรับ ว่าสิ้นพรรษานี้ ท่านพระยาจะต้อง....”
“ได้โปรดเรียกพี่ว่าพี่ทองไชยเหมือนก่อนเถิด อย่าให้ชายชาตรีเช่นพี่ต้องหลั่งน้ำตาเพราะวาจาของเจ้าเลย!”
ทองด้วงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะพูดต่อ “ก็ได้ขอรับ พี่ทองไชย.... แต่ไม่ว่าอย่างไร ความจริงก็คือความจริง ว่าสิ้นวสันต์นี้ พี่ทองชัยก็จักต้องเข้าพิธีวิวาห์กับคุณพุดซ้อน กระผมคิดว่า มันถึงเพลาที่เราควรจักต้องหักห้ามความสิเน่หาระหว่างเราลงแต่เพียงเท่านี้”
พระยาไชยหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆและคว้าตัวของชายหนุ่มเข้ามากอด “แต่เพลานี้ พี่ก็ยังเอ่ยจำนรรจ์กับเจ้าได้ ยังกอดเจ้าเช่นนี้ได้ไม่ใช่รึ”
คนในอ้อมกอดเริ่มมีน้ำใสๆคลอหน่วยตา ก่อนจะแข็งใจพูดออกมา “ปล่อยกระผมเถิดขอรับ ไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่เราจะพยายามรักษามันเอาไว้ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่ามันจักต้องจบสิ้นลงในวันหนึ่ง ยิ่งเราต่างคิดเยี่ยงนั้นก็รังแต่ทำให้เราสองจักตัดขาดกันได้ย่างยิ่ง”
“ตัดขาด....น้องพี่ พี่ไม่มีวัน...”
“เราต้องทำได้ขอรับ ในเมื่อเราต่างเรียนรู้ที่จะผูกเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ แม้จักต้องเจ็บปวดดวงใจดั่งไฟเผาอุราก็ตาม”
“ทองด้วงน้องพี่!”
“ได้โปรดเถิดขอรับ หยุดมันไว้แต่เพียงเท่านี้เพื่ออนาคตของเราทั้งคู่”
พระยาไชยคลายอ้อมกอดลงก่อนจะมองลึกลงไปในแววตาของคนตรงหน้า เขากำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ที่ร้าวราน
“น้องพี่ หากเป็นเช่นนั้น บางทีพี่คงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสักหน่อย”
“พี่ไม่ควรคิดเช่นนั้น”
“เจ้าบอกพี่ว่าเมื่อเราเรียนผูกก็จักต้องเรียนแก้ แต่ที่พี่ได้รู้เห็นมานั้น การคลายเงื่อนตายนั้นหามีวิธีไม่”
“แต่สำหรับพี่ทองไชยแลกระผม กระผมไม่เห็นว่ามันจักเป็นเงื่อนตาย เรายังหยุดมันได้”
“มิได้ดอก พี่ไม่มีวันยอมเสียเจ้าไป และหากเงื่อนนั้นยังไม่แน่นพอ พี่จักรัดรึงมันให้แน่นขึ้นกว่านี้”
“พี่ทองไชยหมายความเยี่ยงไร”
พระยาไชยไม่ได้ตอบคำถามของหมื่นวิจิตรฉันท์ หากแต่รุกคืบไปประกบปากบางของเขาพร้อมกับออกแรงกดให้อีกฝ่ายนอนลงไปและเริ่มซุกไชร้ร่างของคนตรงหน้า เสียงอู้อี้ไม่สามารถลอดออกมาจากปากของคนที่กำลังพ้อต่อสิ่งผิดจารีตที่กำลังดำเนินไปด้วยความสิเน่หาและขาดการยับยั่ง พร้อมกับที่นิมิตนั้นค่อยๆจางหายไป


“ทองด้วงเอย พี่คงไม่สามารถให้เจ้าดูนิมัตรต่อจากนี้ไปได้ แม้เพลานั้นพี่จักสุขสมกับกิจนั้นมากมายนักก็ตาม” วิญญาณพระยาไชยยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ผมหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้เห็นบทเล้าโลมในอดีตชาติ
“พี่มันบ้า พี่มันหื่น!!!” ผมพ้อ
“แต่พี่ก็ทำเพราะความสิเน่หาล้นอุรา พี่ไม่ยอมให้เราจบลงเพียงเท่านั้น”
“แต่ตอนนั้นพี่ก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่หรอครับ”ผมถาม
พระยาไชยเสตาไปทางอื่น ก่อนจะเดินช้าๆไปตามทางเดิน “ถูกแล้ว ทองด้วงน้องพี่ หลังจากที่พี่ได้รับยศพระยาไชยสุริเยนทร์และเจ้าก็ได้เป็นหมื่นวิจิตรฉันท์ได้ไม่นาน  ท่านพ่อของพี่ก็ไปทาบทามแม่พุดซ้อนบุตรีของพระยาไกรสีหนาทเพื่อนรักของท่านมาเป็นสะใภ้ แม้พี่จักคัดค้านมานานหลายเพลา ท่านคิดอ่านว่า ทั้งศักดินาแลอายุอานามของพี่นั้นถึงควรแก่การออกเรือนแล้วในเพลานั้น ....และในที่สุด พี่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ แม้ใจพี่นั้นจักอาลัยเจ้าสักปานใด”

ใบหน้าของพี่ทองไชยดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาคือรักแท้ที่มีต่อตัวผมในอดีตชาติอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่าในนิมิตที่ผ่านมา แม้ทั้งพระยาไชยและเจ้าทองด้วงต่างไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ หากแต่ทองด้วงก็ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักออกมาสักครั้ง มีเพียงสีหน้าที่เดาอารมณ์ได้ยาก และการยินยอมให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจ แม้นิมิตรสุดท้ายที่ผมได้เห็น ตัวผม...เอ่อ ก็เหมือนจะโดนข่มขืนอยู่ในทีเหมือนกัน
“ผม....ผมอยากรู้ว่าแล้วในตอนนั้น ผม....ผมรักพี่ทองไชยเหมือนที่พี่รักผมหรือเปล่าครับ”
พระยาไชยหันมามองผมช้าๆ ก่อนจะหลุบตาต่ำลง พร้อมๆกันนั้น บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปเป็นเรือนไทยที่มีบ่าวไพร่ในเรือนกำลังนั่งร้อยมาลัย บนลานกลางเรือนนั้น พี่ทองไชยนั่งอยู่บนตั่งข้างๆกับหญิงสาวที่ดูเป็นคนมีสกุล ทั้งคู่ต่างมีสีหน้ากังวลอยู่ในที

“ท่านพระยาคิดว่า ศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดเจ้าคะ อิฉันฟังข่าวคราวบ้านเมืองแต่ละวันๆแล้วใจไม่สู้ดีเลย ทัพหงสารุกคืบเข้าพระนครไปทุกทีๆ แต่ทัพหลวงอโยธยากลับนิ่งนอนใจอยู่ในกำแพงเมืองเยี่ยงนี้” คุณหญิงพุดซ้อนพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “คุณพี่คิดว่า...”
“สถานการณ์บ้านเมืองเพลานี้ไม่ผิดแผกไปจากที่คุณหญิงปรารภไว้ดอก  พี่เองก็รู้สึกสงสารชาวบ้านบางระจันยิ่งนักที่สู้จนตัวตายโดยที่คนในพระนครหาได้เหลียวแลไม่ อีกไม่นานนักดอก คุณพุดซ้อน ทัพหงสารามัญคงจักมาประชิดพระนคร”
“แต่อีกไม่นานก็จักถึงฤดูน้ำหลาก ทัพหงสาเองก็คงจักแตกพ่ายกลับไปเอง ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ทางกลาโหมท่านก็ว่าอย่างนั้น แต่พี่ก็ยังไม่ไว้ใจบ้านเมืองยามศึกสงครามนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่พ่ออยู่หัวทรงอ่อนแอแลเสพแต่ความสุขสราญเช่นนี้”
“ท่านพระยา!!!” ทองด้วงที่นั่งอยู่ไม่ไกลส่งเสียงท้วง เมื่อพระยาไชยพูดจาหมิ่นพระบรมเดชา “มิบังควรเลยที่ท่านจะพูดถึงพ่ออยู่หัวเยี่ยงนี้”
“พี่หาพูดผิดไปดอก ทองด้วงน้องพี่ แลเหตุนี้เอง พี่ถึงได้มีเรื่องที่จำเป็นจักต้องแจ้งแก่พวกเจ้าให้รับรู้ว่าพี่นั้นคิดอ่านเห็นงามแล้วว่า พี่จักส่งคุณหญิงพุดซ้อนแลเจ้าทองด้วง ให้ไปอยู่กับญาติฝั่งแม่ของพี่ที่หัวเมืองจันทบุรี ที่นั่นจักปลอดภัยแก่พวกเจ้าแลบ่าวไพร่ ส่วนตัวพี่นั้น คงต้องอยู่ที่นี่คอยรับศึกหงสา”
พระยาไชยกล่าวแสดงปณิธานด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยว แวบหนึ่งของแววตาคู่นั้นพลันอ่อนโยนลงและเหลือบมามองทองด้วงที่มองอยู่อย่างไม่เข้าใจนัก
“เดี๋ยวก่อนขอรับท่านพระยา สำหรับคุณหญิงพุดซ้อนนั้น กระผมหามิได้ขัดข้องอันใดที่จะทัดทาน แต่ส่วนตัวกระผมหาได้เข้าใจว่าเหตุอันใดจักต้องไปที่หัวเมืองจันทบุรีด้วยเล่า”
“พี่ใคร่ขอร้องให้เจ้าไปช่วยดูแลคุณหญิง....แทนตัวพี่”
“ขออภัยด้วยนะขอรับคุณหญิง หากกระผมจักขอกล่าวตามจริง” ทองด้วงยกมือท่วมหัวไปทางคุณหญิงพุดซ้อน “ท่านพระยาช่างพูดเอาแต่ได้นัก เพลาศึกเช่นนี้พี่จักให้ตัวข้าทิ้งพ่ออยู่หัวไปได้เยี่ยงไร มิใช่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์รึ ที่เมตตากระผมจนผมได้เป็นหมื่นวิจิตรฉันท์ทุกวันนี้”
“อย่างเจ้ารึ จะช่วยอะไรได้ เพียงลมเหวี่ยงคันศรที่ไร้ลูกธนูเจ้าก็คงจักปลิวตามแรงลม เพลานี้โลกหาได้เป็นดั่งกวีกลอนที่เจ้าคิดจะรังสรรค์ขึ้นมาอย่างไรก็ได้ดอกนะ ยามนี้เป็นยามศึก และหากเจ้าตายนั่นย่อมหมายถึงความตายจริงๆ” พระยาไชยยืนยันหนักแน่น
 “อย่างไรเสียกระผมก็ทิ้งเจ้านายไปมิได้ดอก หากข้าบาทต้องตายก่อนเบื้องยุคลก็สมควรแล้วมิใช่รึขอรับ แม้กระผมอาจจะไม่กำยำดั่งชายชาติทหาร หากแต่จิตใจของกระผมก็หาได้ขลาดกลัวพวกพม่ารามัญไม่” ทองด้วงพูดชัดเจนทุกคำ ก่อนจะหันมากราบคุณหญิงพุดซ้อน “กระผมต้องขอโทษคุณหญิงด้วย ที่ไม่สามารถตามไปดูแลคุณหญิงได้”
“มิเป็นไรดอกจ๊ะท่านหมื่น ตัวอิฉันก็เห็นงามดั่งที่ท่านว่าทุกประการ ขอให้พ่อจงช่วยปกป้องอโยธยาศรีรามเทพนครแลพ่ออยู่หัวให้พ้นภัยจากพวกหงสาวดีเถิดจ๊ะพ่อ”
ทองด้วงยิ้มรับคำอวยชัย ก่อนจะกล่าวอำลา
“ขอบพระคุณมากขอรับคุณหญิงที่เข้าใจกระผม ถ้าเช่นนั้น กระผมขอตัวกลับเรือนก่อน”
.
.
แสงวาบไหวจากตะเกียงเจ้าพายุสาดทับแก้มนวลของทองด้วงให้เด่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ชายหนุ่มขีดเขียนกาพย์กลอนลงบนกระดานชนวนคู่ใจตามประสาเช่นทุกวัน ก่อนที่เสียงกุกกักจากด้านหลังจะทำให้ชายหนุ่มหันมามอง
“ท่านพระยา!”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตามที่พี่สั่ง” พระยาไชยถามขึ้นทันทีที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนหลังเล็กของทองด้วง
“กระผมคิดว่าผมแถลงไขแก่ท่าน...”
“พี่ทองไชย!”
“ขอรับพี่ทองไชย ผมคิดว่าผมแถลงไขไปแล้วสิ้นกระบวนความ และที่สำคัญ เพลานี้ท่านควรจักอยู่ที่เรือนใหญ่ .....กับคุณหญิงเธอ”
“นั่นหาใช่ประเด็นไม่ ทองด้วง ทำไมฤาเจ้าจึงไม่คิดจะเข้าใจเจตนาของพี่ พี่ขอสั่งอีกครั้งว่าเจ้าจักต้องไปอยู่ที่หัวเมืองจันทบุรีพร้อมคุณหญิง!!!!”
“ผมขอยืนยันตามปณิธานเดิม”
“พี่ไม่อนุญาต!!! เจ้าจง....” พระยาไชยออกคำสั่งเสียงกร้าว หากแต่ยังไม่ทันจะขาดคำ ทองด้วงก็ขัดขึ้นมา
“ท่านมีสิทธิ์อันใดขอรับ ท่านลืมแล้วฤาว่ากระผมเป็นคนของพ่ออยู่หัว หาได้เป็นบ่าวในเรือนของท่านไม่”
“สิทธิ์ของคนที่รักเจ้าเท่าชีวิตแลลมหายใจอย่างไรเล่า ทองด้วงน้องพี่ เพราะพี่นั้นรักเจ้าดังดวงใจพี่ถึงไม่อยากให้เจ้าต้องเผชิญกับสงคราม มันน่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดนักนะ ทองด้วง”
พระยาไชยคว้าคนตรงหน้ามากอด ก่อนจะลูบผมมันขลับของคนในอ้อมกอดเบาๆ
“จงไปกับคุณหญิงเถิด พี่ขอร้อง”
คนในอ้อมกอดแน่นิ่งไร้สรรพเสียงใดๆ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบงันยามราตรี
“แล้วพี่ทองไชยมิคิดบ้างรึขอรับ ว่ากระผมเองก็ห่วงพี่ทองไชยไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย”
“แต่เจ้าจักเป็นอันตราย หากยังอยู่ที่นี่”
“กระผมหาได้กลัวเกรงไม่ อย่างไรเสียกระผมก็เป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ....อย่าห่วงเลยขอรับ พี่คงมิรู้ดอกว่ากระดานชนวนของกระผมนั้นหากได้ฟาดข้าศึกศัตรูก็ทำให้พวกหงสาตองอูบอบช้ำได้เช่นกัน”
ทองด้วงพูดพลางอมยิ้ม แต่ในขณะที่พระยาไชยไม่ได้ตลกด้วยเลย
“นี่หาใช่เรื่องล้อเล่นนะ ทองด้วง!!!”
“ให้กระผมได้อยู่ที่นี่เถิดขอรับ กระผมมิเป็นไรดอก กระผมยังจำได้ดีถึงเรื่องราวแลคำพูดเมื่อกาลก่อน พี่ทองไชยเคยบอกกระผมว่า พี่จักดูแลผมได้ไม่ว่าจักเกิดอะไรก็ตามมิใช่รึขอรับ”
“แต่ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก พี่จึง....”
“พี่ทองไชยนี่ช่างตระบัดสัตย์นัก” ทองด้วงยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะพูดต่อ “เอาเถิดขอรับ ความจริง พี่ทองไชยน่าจักรู้จักผมดีกว่าใครว่าตัวกระผมนั้น หากยืนยันแน่นหนักเป็นครั้งที่สองแล้วไซร้นั่นหมายความว่ากระผมจักไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด”
พระยาไชยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะจับไหล่สองข้างของทองด้วงเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ทองด้วงน้องพี่ หากแต่....มีเรื่องหนึ่งที่เจ้ายังไม่เคยยืนยันคำมั่นกับพี่เลย”
“มีด้วยรึขอรับ”
“มีสิ.... ที่ข้าเคยถามเจ้าว่า เจ้ารักพี่เหมือนที่พี่รักแลเทิดทูนเจ้าบ้างหรือไม่”
“ผมเคยบอกพี่ไปแล้ว ว่าความรักของเรานั้นเป็นไปไม่ได้”
“นั่นหาใช่คำตอบไม่ น้องพี่ คำตอบของพี่มีเพียงใช่ฤาไม่ ....เท่านั้น”
ทองด้วงเผยยิ้มอย่างขวยเขินพร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ เขาแหงนมองดวงจันทร์ที่เหลืองนวลในยามค่ำคืน ก่อนจะผละตัวให้ห่างจากชายตรงหน้า
“กระผมตามอารมณ์พี่ทองไชยไม่ทันจนรู้สึกวิงเวียนพิกล เห็นทีคืนนี้คงต้องขอตัวไปพักผ่อนเสียแล้วล่ะขอรับ “
“ทองด้วง.... พี่อยากอยู่กับเจ้าที่นี่...คืนนี้ ไม่สิ ข้าอยากอยู่กับเจ้า...ตลอดไป”
“ประโยชน์อันใดเล่าขอรับที่ท่านจักมานอนร่วมหมอนกับบุรุษเพศเช่นตัวกระผมให้บ่าวไพร่มันนินทาเอา ไม่ว่าอย่างไร กระผมก็ยังอยู่ในเขตขัณฑ์ของคุ้มพระยาไชยสุริเยนทร์อยู่แล้ว ....ตราบจนกระผมจักสิ้นลมหายใจ”
“ทองด้วง....เจ้ารักพี่บ้างหรือไม่”
เจ้าของเรือนถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะตอบ
“เอาเถิดขอรับ เพลานี้หาใช่เวลามาต่อเพลงยาวกัน แต่กระผมสัญญาว่า หากเสร็จศึกครานี้ กระผมจักตอบพี่ทุกอย่างที่พี่ทองไชยคับข้องแคลงใจ”
พระยาไชยยิ้มอย่างดีใจ ความขุ่นข้องจากเมื่อตอนแรกที่หุนหันมาที่เรือนหลังเล็กหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของเรือน
“พี่ใคร่จักขอร้องเจ้าอีกสักเรื่อง”
“อะไรรึขอรับ”
“ช่วยฝันถึงพี่ ....บ้างเถิดนะ คนดีของพี่ทองไชย”
[/i]


โห เปิดมาดูแล้วอึ้ง นี่ผมทิ้งไปสองอาทิตย์เลยทีเดียว  :sad4:
เอาเถอะนะครับ เห็นใจผมหน่อย ช่วงนี้งานเยอะมาก
เหมือนเค้ารู้ว่าผมจะไปบวช เลยประเคนงานกันใส่แบบไม่ยั้ง
(ผมบวชวันที่ 12 เดือนหน้า)

เอาเป็นว่าจะพยายามเข็นพี่เมฆ น้องโน กับพี่ทองด้วงกับพี่ทองไชยให้จบทั้งสองเรื่องนะครับ
ขอบคุณที่ยังตามอ่านนะครับ :L2:

(จะมีมั้ยน้อ  :laugh:)
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-01-2012 20:42:28
อนุโมทนาด้วยค่ะ

ก่อนจะไปบวชแต่งให้จบก่อนได้ป่าว  :really2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 24-01-2012 21:48:00
แล้วจะเป็นยังไงต่อน้อ  ศึกครั้งนี้จะทำให้

ทั้งคู่แยกจากกันและพี่ทองไชยก็ไม่ได้ฟัง

คำรักจากปากทองด้วงรึเปล่า

กดบวกและเป็ด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 25-01-2012 01:06:31
จะเป็นยังไงหลังสงครามนะ
จะมีใครตายหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 25-01-2012 01:18:19
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
รออ่านตอนต่อไป
+1
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 25-01-2012 15:08:01
พี่ทองไชยแกเจ้าบทเจ้ากลอน ยิ่งกว่าน้องทองด้วงซะอีก
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 25-01-2012 16:52:17
เกรงว่าหลังสิ้นศึกสงคราม
ทองด้วงจะมีโอกาสกล่าวความในใจหรือไม่? :monkeysad:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 26-01-2012 18:06:20
การที่พี่ทองไชยยังวนเวียนไม่ไปไหน เพราะ อยากฟังคำว่า "รัก" จากน้องทองด้วงหรือเปล่านะ ?
คิดว่าน้องทองด้วง น่าจะรักพี่ท่านเหมือนกัน แต่เจียมตัว เจียมตน ทนแบกรับจารีต จึงเอาแต่ปฏิเสธตัวเอง
ทั้งที่ความรักของพี่ทองไชย ออกจะ Passionate มากมาย ทั้งการกระทำและคำพูด จะบ่ายเบี่ยงได้ ต้องใจแข็งมาก ๆ เลย
เพราะ คนอ่านเจออนุภาพรักนั้น attack ไปแต่ละตอน จนจะละลายได้อยู่แล้ว (ทั้งคำหยอด คำหวาน  :give2: )

ป.ล. พี่ทองไชยไม่ให้น้องด้วงเห็นซีนมัดเงื่อนตาย แต่คนอ่านอยากเห็นบ้างอะไรบ้าง ทำไงดี ???  :interest:
 ( โดนคนเขียนโบก  :z6: )

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 26-01-2012 21:53:23
ขออนุโมทนาบุญด้วยคนนะคะเรื่องบวช

สงสัยวิญญาณยังไม่ไปผุดไปเกิดก็เพราะจิตผูกพันกับคำว่า"รัก" หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 27-01-2012 11:37:39
ขออนุโมทนากับคนเขียนด้วยค่ะ
===
 :laugh: ด้วงมีการเบื่อผีด้วย
ในภาคอดีต ทั้งสองคนจะได้กลับมาตอบคำถาม/ฟังคำตอบไหมหนอ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 27-01-2012 12:20:41
สงสัยยังไม่ทันเสร็จ ไม่ทันได้พูดความในใจแน่เลยอะ สงสารคุณพี่ทองไชยจังเลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 28-01-2012 02:56:18
เพิ่งตามมาอ่าน สนุกมากเลยค่ะ ภาษาสวยมากๆ อ่านแล้วลื่นไหลดีจัง  :m4: :m4: :m4:

สงสารพี่ทองไชยจัง เมื่อไหร่จะได้ยินคำว่ารักจากปากน้องด้วงเนี่ย รึที่ไปเกิดไม่ได้เพราะไม่มีโอกาสได้ยิน  :dont2: :dont2: :dont2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๕ (๒๔ มกราคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 28-01-2012 15:07:07
พี่ทองไชยรุกหนักขนาดนี้  เมื่อไหร่หนอ.. น้องทองด้วงจะเอ่ยคำว่า " รัก " ออกมาซะที   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 06-03-2012 16:51:48
ตอนที่ ๖

ผมมาทำงานอย่างงัวเงียเหมือนเช่นเคย ก็จะไม่ให้งัวเงียได้อย่างไรในเมื่อผมได้เดินทางย้อนยุคไปสองร้อยกว่าปีทุกคืนๆ กว่าจะได้กลับบ้านก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง แต่ยังไงๆผมก็ยืนยันอยู่ดีแหละว่ามันคุ้มกับเวลานอนที่ถูกเบียดบังไป
กลิ่นกาแฟหอมลอยมาจากห้องทำงานของพี่ยง ผมเหลือบมองไปยังนาฬิกาแขวนก็พบว่าวันนี้เหมือนพี่ยงจะมาเช้ากว่าปกติพอสมควร และไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรได้ต่อ พี่ยงก็เดินออกมาจากห้องด้วยสายตาที่แปลกไปจากทุกวัน
“เข้ามาคุยกันหน่อยสิด้วง”
“พี่ยงมีเรื่องอะไรหรอครับ”
พี่ยงไม่ได้ตอบคำถาม และสีหน้ายังคงเรียบเฉย ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในห้อง และนั่นยิ่งทำให้ผมแปลกใจระคนหวาดระแวงกับท่าทีนั้น
เจ้าของห้องนั่งลงบนโต๊ะ ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเข้าประเด็นสนทนา
“ด้วงเข้าไปในวัดทำไมตอนดึกๆ”
“อะไรนะครับ” ผมตกใจหน้าซีดเผือด เมื่อรู้ถึงประเด็นที่ถูกซักถาม
“พี่ถามว่า เราเข้ามาทำไมที่นี่ดึกๆ แล้วก็ห้ามปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ เพราะยามเขาบอกพี่แล้ว ว่าด้วงมาที่นี่ทุกคืน”
ผมกลืนน้ำลายอึก พลางนึกถึงคำโกหก และถ้าผมโกหกไม่เนียน นั่นหมายถึงตำแหน่งหน้าที่ที่หลุดลอยและอิสรภาพที่จะหายไปแถมต้องไปใช้ชีวิตในซังเตด้วย ไอ้คุณพี่ทองไชยก็หายไปไหนไม่รู้ เวลานี้ทำไมไม่มาช่วยผมบ้างเลยนะ
“ผมถามว่าคุณเข้ามาทำไมดึกๆดื่นๆ คุณไม่รู้หรือไงว่าที่คุณทำเค้าเรียกบุกรุก”
“เอ่อ .... ผม ผมไม่ได้เข้ามาขโมยหรือทำอะไรอย่างที่พี่คิดจริงๆนะครับ แต่...”
“แต่อะไร คุณจะอธิบายว่ายังไง” พี่ยงพูดด้วยเสียงดัง
“ผมขอโทษครับพี่ ผมเข้ามาที่นี่จริงๆนั่นแหละ”
“แล้วด้วงเข้ามาทำไม”
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกพี่ว่ายังไง แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายแน่ๆครับพี่ยง ผมยินดีให้พี่ค้นบ้านค้นตัว ตรวจสอบทุกอย่าง แต่ผมไม่รู้จะบอกเหตุผลที่ผมต้องมาที่นี่ไม่ได้จริง” ผมตอบด้วยน้ำตาที่รื้นแฉะและอับจนถ้อยคำ ไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่นว่ายังไงว่ามาคุยกับผีทุกคืน
“ด้วง....” น้ำเสียงพี่ยงดูสงบลง “เอาเถอะ พี่ก็ไม่ได้คิดว่าด้วงจะเข้ามาทำอะไรอ่างนั้นหรอก เอาเป็นว่าพี่จะไม่ตรวจค้นหรือซักไซ้อะไรหรอก เพียงแต่อย่าทำอีกก็แล้วกัน
“ขอบคุณมากครับ พี่ยง”
“....อาทิตย์นี้พี่จะไปต่างจังหวัด และพี่หวังว่า ด้วงจะรักษาสัญญานะ”
ผมหันไปมองยังยอดปรางค์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก .... มันรู้สึกใจหาย....เหมือนกับกำลังจะต้องล่ำลากับคนที่รู้สึก...ดีด้วยยังไงก็ไม่รู้
.
.
.
แสงสปอร์ตไลท์สาดทับยอดพระปรางค์เหมือนเช่นเคย พร้อมกับที่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ต้องผิดคำพูดที่ให้ไว้กับพี่ยง แต่เอาเถอะ ครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ถึงอีตาพี่ทองไชยจะไม่ใช่คน แต่ผมก็อยากจะบอกลาแกซักหน่อยนะ ไหนๆแกก็รอคอยผมมาตั้งหลายร้อยปีนี่นา

ลมเย็นๆพัดวูบชวนขนลุกเหมือนเคยเป็นการบ่งบอกว่าอีตานั่นมาแล้ว ผมหันไปข้างหลังก็พบกับชายร่างหนายืนทำหน้าเศร้าอยู่
“พี่ทองไชย....คือผม”
“พี่รู้แล้ว ทองด้วงเอย”
“ผมมาลาครับ ผมคงไม่ได้มาหาพี่แบบนี้อีกแล้ว”
“พี่เข้าใจแล้ว .... แล้วเจ้าเล่าทองด้วง ยังอยากฟังเรื่องราวจากพี่อยู่ฤาไม่”
“เอ่อ.... คือผม... ช่างเถอะ ก่อนอื่นผมอยากรู้ว่า จากนี้ไป พี่จะเป็นอย่างไรต่อไป พี่จะต้องอยู่ที่นี่อีกเมื่อไหร่ แล้วอีกนานมั้ยกว่าที่พี่จะไปเกิด”
 “เจ้าจงอย่าได้ใส่ใจพี่เลย ทองด้วง อย่างไรเสียเราก็อยู่กันคนละโลก พี่ควรจะยอมรับในเรื่องนี้ตั้งแต่ที่พี่สิ้นลมเสียด้วยซ้ำ”
“พี่ทองไชย....”
“ลาก่อน ทองด้วง ยอดดวงใจของพี่”
“เดี๋ยวครับพี่ทองไชย” ผมร้องทักไว้ ก่อนที่พี่ทองไชยจะหันหลังให้ “ ....ช่วยเล่าให้ผมฟังต่อเถอะครับ”
“ทองด้วง..”
“หากผมจะทำให้พี่มีความสุขและพ้นจากสิ่งที่ทำให้พี่วนเวียนอยู่ที่นี่ได้ ผมยินดีที่จะทำครับ ขอเพียงแค่พี่บอกผมมา”
พี่ทองไชยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก” พลันทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผู้คนในเครื่องแต่งกายสมัยอยุธยาเดินไปมาขวักไขว่อยู่ในอาณาบริเวณที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นในเขตกำแพงเมือง หากแต่ครั้งนี้สีหน้าแต่ละคนดูไม่ค่อยมีความสุขนัก

“ทัพหงสาตีโอบเราทุกด้าน ไม่ว่าเราจะส่งทัพหลวงไปทางใดก็แตกพ่ายกลับมาทุกทาง และในเพลานั้น อโยธยาศรีรามเทพนครเหลือกลศึกเพียงประการเดียว นั่นคือกลน้ำหลากที่เคยใช้มาเช่นทุกครั้ง” พี่ทองไชยบอกด้วยใบหน้าเรียบ ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวจะดำเนินไปเรื่อยๆ เราพากันเดินมาจนถึงเรือนหลังขนาดไม่ใหญ่โตนัก ข้างบนนั้นมีตัวผมในอดีตกับพี่ทองไชยที่วางห่อผ้ลงพลางนั่งลงบนระเบียงของเรือน

“เหนื่อยไหม ทองด้วงน้องพี่”
“ไม่ดอกขอรับ แต่ใจหายเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าจะนานอีกสักกี่เพลากว่าจะได้กลับออกไปนอกกำแพงเมือง บ้านเรือนที่หัวรอทิ้งไว้นานๆคงจะทรุดโทรมจนน่าเศร้านัก”
“เป็นธรรมดาเมื่อถึงคราศึกสงคราม สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพึงรักษาไว้รองจากอธิปไตยแห่งประเทศนั่นก็คือชีวิต แลที่สำคัญยิ่งยวดคือต้องดำรงไว้ทั้งสองอย่าง อดทนหน่อยเถิดทองด้วงน้องพี่”
ทองด้วงยิ้มรับเล็กน้อยก่อนจะเสมองออกไปนอกกำแพงเมือง พระยาไชยเดินตามมานั่งข้างๆพลางโอบคอจากด้านข้างก่อนจะขยับคนร่างบอบบางให้มาชิดกับตนมากขึ้นเอง
“แต่สิ่งดีๆก็ยังมีในยามสงครามเช่นนี้เหมือนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่หาได้มีแต่ความกังวลไม่ในเพลานี้ ทว่าพี่กลับรู้สึกอิ่มเอมอยู่ไม่น้อยที่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าเช่นนี้”
“พี่ทองไชยช่างพูดเอาแต่ได้ หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หาใช่เวลาที่จักคิดเยี่ยงนั้นนะ”
“มิได้ดอกน้องพี่ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก แลความสุขนั้นสำหรับบางคนก็เหมือนกับความฝันที่ไม่อยากตื่นมารับรู้ความจริง แต่สำหรับพี่นั้น กลับเหมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ความฝันอันสูงสุดของพี่ได้เป็นจริง แล้วเจ้าเล่าทองด้วง คิดอ่านตรงกับดวงใจพี่ฤาไม่”
ทองด้วงกลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบาก ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น
“นั่นหาใช่สิ่งสำคัญสำหรับตัวกระผม หากความสุขนั้นหาความจีรังไม่กระผมก็ขอเลือกที่จะไม่ทุกข์ไม่สุข แลไม่คิดอ่านมันเสียจะดีกว่า”
“พี่พร่ำบอกว่ารักเจ้านับหมื่นแสนโกฏิคำ แต่เจ้าเล่า มิใคร่จักเฉลยความในให้พี่ได้ฟังบ้างรึ”
ทองด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาตอบ
“หากพี่ใคร่ฟังในถ้อยคำที่หาประโยชน์ไม่ได้คำนั้นแล้วไซ้ ได้โปรดรอให้เสร็จศึกครานี้เถิด ข้าจักเฉลยคำนั้นเอง”


บรรยากาศรอบตัวกลับกลายเป็นซากปรักหักพังของวัดราชบูรณะดังเดิม ก่อนที่พระยาไชยจะปรายตามาทางผมด้วยแววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก่อนจะตัดพ้อกับผม
“เจ้ารู้หรือไม่ ทองด้วง แม้ในเพลานี้บางครั้งตัวพี่ก็แอบซ่อนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่อเจ้ามิได้”
“น้อยใจผม..?”
“หากเป็นอิสตรีทั่วแคว้นแดนถิ่นต่อให้ใจแข็งดั่งหิน ก็ยังมีวันกร่อน แต่กับเจ้าเพียงแค่ถ้อยคำสั้นๆคำเดียวนั้นก็แสนยากเย็นที่พี่จะได้สดับรับฟัง”

พระยาไชยยิ้มเล็กน้อยในขณะที่ผมเป็นฝ่ายนิ่งเงียบฟังต่อไป “บางครั้งพี่ก็คิดนะว่าความรักของพี่ประหนึ่งการออกแรงทุบหินผาหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะออกแรงสักเพียงใดแต่ภูผานั้นไซ้ก็หาสั่นไหวเลยสักน้อย ..... พี่แค่ใคร่อยากจะรู้ว่าเจ้ารักพี่บ้างหรือไม่ แค่คำเดียวเท่านั้นที่พี่ใคร่ได้ยิน”

ทั้งคนทั้งผีต่างนิ่งเงียบจนได้ยินเสียงจักจั่นเรไรอย่างชัดเจน บรรยากาศชวนอึดอัดนี้ทำให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อนเสียเอง
“ถ้าผมในอดีตรอจะเฉลยความในใจหลังเสร็จศึกนั่นก็หมายความว่า....สิ่งที่ทำให้พี่ยังวนเวียนไม่ไปไหน นั่นก็คือ คำว่ารักจากผมงั้นหรอครับ”

วิญญาณของพี่ทองไชยไม่ยอมตอบผม แต่กลับนิมิตรอบตัวให้กลับสู่อดีตอีกครั้ง และตอนนี้เรามายืนอยู่บนกำแพงเนือง ด้านนอกนั้นน้ำเอ่อสูงอย่างน่ากลัวตามที่ในพงศาวดารกล่าวไว้ หากแต่หากมองไกลออกไปนั้น กลับมีเกาะกระโจมของกองทัพพม่ารายล้อมพระนครเต็มไปหมด
“กลศึกน้ำหลากนั้นหาได้ผลไม่ในการศึกครานี้ พวกพม่ารามัญคิดอ่านมาเป็นอย่างดีว่ากรุงศรีอยุธยาจักใช้ลูกไม้เดิมในการตั้งรับ พวกมันตั้งค่ายสูงและสร้างเป็นเกาะประดิษฐ์รอไว้ในฤดูน้ำหลาก รวมถึงมีทัพเรือล้อมรอบกรุงศรีเป็นจำนวนหลายลำ แม้เราจะได้เปรียบในเพลานั้น หากแต่เราก็ทำได้แค่ตั้งรับ เพราะไม่ว่าจะส่งกำลังไปตีพวกหงสาสักกี่กระบวนพลก็ถูกตีแตกพ่ายกลับมาหมด จนสิ้นฤดูน้ำหลาก” ตาทองไชยพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด กรามของเขาบดแน่นจนผมมองเห็นได้ชัด

.
.
เสียงดังราวกับโลกจะแตกดังขึ้นมาจากนอกกำแพงเมือง ชาวเมืองวิ่งหนีกันอย่างโกลาหลหลบกระสุนปืนที่ยิงข้ามมาจากปืนใหญ่ของทัพหงสาที่สร้างคันดินล้อมพระนครไว้ทุกด้าน กินเวลาเนิ่นนาน ก่อนที่เสียงปืนจะสงบลงทิ้งไว้แต่เสียงครวญครางจากผู้คนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ คละเคล้าเสียงร่ำไห้ของผู้คนที่สูญเสียคนที่รักไป

“ท่านหมื่น ช่วยหยิบไพลแลขมิ้นให้ที เสร็จแล้วท่านจงฝนไพลเพิ่มให้ข้าอีกสักหน่อย” เสียงคนที่น่าจะเป็นหมอออกคำสั่งท่ามกลางความโกลาหล ตัวผมในตอนนั้นรับคำพลางวิ่งวุ่นไปนั่นมานี่ และสิ่งที่ทำให้ทองด้วงต้องตกตะลึงจนแทบจะทิ้งยาสมุนไพรทั้งหมดลงพื้น นั่นคือร่างของพระยาไชยสุริเยนทร์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด!!

“พี่ทองไชย!!!”
.
.
.
“ท่านขุนทิพโอสถขอรับ อาการของพี่...เอ่อ พระยาไชยสุริเยนทร์ไม่ดีขึ้นเลยหรือขอรับ” ทองด้วงถามขึ้นขณะที่นั่งดูอาการของคนเจ็บที่นอนอยู่บนแคร่
“ท่านพระยาเสียเลือดมาก ไม่เพียงเท่านั้น เพลานี้หยูกยาแลสมุนไพรต่างๆที่เราเหลือก็หาเพียงพอไม่สำหรับคนเจ็บเรือนพันเยี่ยงนี้”
“แต่กระผมปล่อยท่านพระยาให้ตายไม่ได้!!!” ทองด้วงพูดด้วยน้ำตาที่นองหน้า ก่อนจะปาดน้ำตาของตน ด้วยหลังมือ “ทุกคนฟังข้าให้ดี จงแต่งกำลังพลมาให้ข้าสักหยิบมือ เราจักไปหาสมุนไพรมารักษาเหล่าทหารหาญทั้งหลาย หากไม่มีพวกเขา อโยธยาศรีรามเทพนครก็เท่ากับนับถอยหลังรอวันปราชัย”
“แต่....”
“หากหามีผู้ใดจักไปกับข้าเพียงเพราะหวาดกลัวต่อทัพหงสา ก็จงจัดม้ามาให้ข้าเพียงตัวเดียว ข้าจักไปเพียงลำพังและจักกลับมาเป็นแน่ โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า”
ขุนทิพโอสถถอนหายใจ ก่อนจะแตะไหล่ทองด้วงเบาๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าฝากท่านหมื่นด้วย เอาล่ะ ทุกคนฟังข้า จงจัดทหารมือหนึ่งแลทหารแพทย์ตามท่านหมื่นไปสักยี่สิบนาย แลแต่งกายเป็นชาวบ้านอย่าให้พวกพม่ารามัญรู้ว่าเราจะลอบออกนอกกำแพงเมือง คืนนี้เราจักไปหาสมุนไพรมาสำหรับเป็นสเบียงแพทย์กัน”
.
.
.
การลอบออกไปหาสมุนไพรประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามวันต่อมาอาการของพระยาไชยรวมถึงทหารที่บาดเจ็บหลายๆคนก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าสมุนไพรที่มีนั้นก็ไม่เพียงพอต่อคนเจ็บที่มีมาอย่างต่อเนื่องอันเกิดจากการถล่มจากนอกกำแพงเมืองของทัพพม่าที่รุกรานอยู่ตลอด
“เราจักต้องไปหายามาเพิ่มอีก” ทองด้วงกล่าว
“แต่เพลานี้ไม่สมควรอย่างยิ่งเจ้าจักออกไป พวกพม่ารามัญยิงปืนใหญ่ข้ามกำแพงเมืองเข้ามาทุกวันๆ แลพวกทหารพม่าก็มีมากมายที่ประชิดติดพระนครอยู่ พี่เห็นว่า...”
“ท่านพระยาขอรับ กระผมเคยออกไปแล้วคราหนึ่ง ย่อมรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี อีกทั้งการช่วยชีวิตคนนั้นประเสริฐนัก บ้านเมืองยามศึกสงครามมิต้องการทหารหาญที่หวาดกลัวต่อความตาย แต่ท่านพระยาเชื่อผมเถิดว่ากระผมจักต้องกลับมาได้เหมือนเช่นคราก่อนเป็นแน่”
พระยาไชยมองลึกไปยังดวงตาของคนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้
“เจ้านี่น่าดุด่าก็ตรงนี้แหละ ดื้อรั้นมิฟังใคร แลตั้งใจสิ่งใดก็หามีใครค้านได้ เอาเถิดคืนนี้พี่จักไปกับเจ้า จงไปแต่งไพร่พลให้พร้อมเถิด ทองด้วงเอย”
“ขอรับ พี่ทองไชย” ทองด้วงยิ้มพร้อมกับเรียกชื่อของคนตรงหน้าโดยไม่ได้ขานศักดินา

“ท่านพระยาขอรับ” เสียงทหารเลวนายหนึ่งร้องเรียกขึ้น
“มีอะไรรึ”
“ท่านออกญาเรียกพบในวังขอรับ”
พระยาไชยพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ ก่อนจะหันมาทางทองด้วง
“พี่ขอตัวก่อนนะ แล้วค่อยพบกันคืนนี้”
.
.
.
พระยาไชยเปิดประตูไม้ออกช้าๆ พลางเข้าไปในห้องที่ออกญาผู้เป็นพ่อรอพบอยู่ สีหน้าของท่านดูเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมาทางลูกชาย
“มีเรื่องอันใดจึงเรียกหากระผมฤาครับท่านพ่อ”
“นั่งก่อนสิ”

พระยาไชยทรุดนั่งลงบนตั่ง ก่อนที่ออกญาจะเริ่มกล่าวต่อ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อาการคงดีขึ้นนะ”
“ก็ดีขึ้นขอรับ แล้วท่านพ่อเล่าครับ ได้ดูแลพ่ออยู่หัวในนี้ สุขสบายดีฤาไม่”
ผู้เป็นพ่อหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะทอดมองออกไปนอกพระราชวัง ขุนนางวัยชราไม่ได้ตอบคำถามหากแต่เลือกที่จะถามคำถามอื่น
“เจ้าคิดอ่านอย่างไรบ้างกับการศึกครานี้”
“ก็หนักหนาไม่น้อยครับ ท่านพ่อ”
ออกญาเพ่งมองผู้เป็นลูกด้วยแววตาจริงจัง ก่อนจะเค้าคำพูดที่จะกล่าวต่อไป
“สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นคำสั่งในฐานะของออกญาแห่งกรมวัง ขอให้เจ้าจงรับฟังและให้สัตย์ปฏญาณต่อข้าว่าจักปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด “
“ขอรับ ท่านออกญา” พระยาไชยรับคำ”
“ดีมาก ตามข้ามาสิ”
ออกญากรมวังเดินนำหน้าลัดเลาะไปตามทางเดินในพระราชวังฝ่ายใน ก่อนจะไขประตูที่ทำด้วยทองคำเข้าไปด้านใน และสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้านั้นก็ทำให้เจ้าพระยาหนุ่มอดตกใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือทรัพย์สมบัติอันประกอบด้วยทองคำแลเพชรพลอยต่างๆวางเรียงรายอยู่ในห้อง และที่เด่นสง่าอยู่กลางโถงนั้นก็มีเครื่องราชกกุธทั้งห้าประดิษฐานอยู่
“ฟังให้ดีนะ พระยาไชยสุริเยนทร์ หากอโยธยาศรีรามเทพนครแตกพ่ายเมื่อไหร่ เจ้าจักต้องดูแลทรัพย์สมบัติแลเครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้อย่าให้ได้ตกเป็นของพวกพม่ารามัญเป็นอันขาด”
“ขอรับ ท่านออกญา แต่ถ้าหากพวกหงสามันเข้ามาได้ ลำพังตัวกระผมนั้นจักปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ได้อย่างไร กระผมหาได้หวาดกลัวต่อความตายไม่ แต่ความตายของกระผมคงมิสามารถปกป้องราชธานีแลทรัพย์ศฤงคารเหล่านี้ได้ ......หากอโยธยาศรีรามเทพนครแตกพ่ายจริงๆ”
ออกญาเดินไปยังหน้าแท่นวางเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ก่อนจะหยิบคัมภีร์ในลานเล่มหนึ่งยื่นให้พระยาไชย
“นี่เป็นมนต์ลับที่สืบทอดกันมาระหว่างรุ่นต่อรุ่น ที่ออกญาแห่งกรมวังรับช่วงสืบต่อกันมา ใช้สำหรับบังตามิให้ผู้ใดพบเห็น เจ้าจงเก็บไว้ แลท่องจำให้ขึ้นใจ หากพม่าบุกเข้ามาเมื่อไหร่ จงหนีไปให้ไกลแล้วนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้าไปด้วย ข้าฝากให้ เจ้าจงรักษาไว้รอคอยให้ลูกหลานชาวอโยธยาผู้มีบุญญาบารมีเพียงพอและส่งให้คนผู้นั้น”
พระยาไชยรับคัมภีร์ใบลานมาไว้ในมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายช้าๆ
“ท่านออกญากำลังหมายความว่า”
“ใช่ อโยธยาศรีรามเทพนครคงจะแตกพ่ายในไม่ช้า” ผู้เป็นพ่อตบบ่าลูกชายเบาๆ “และพ่อขอฝากหน้าที่นี้ให้กับเจ้าผู้เป็นคนหนุ่มฉกรรจ์ที่จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีกว่าคนแก่เยี่ยงพ่อ เจ้าคิดไม่ผิดดอก มนต์นี้จักต้องแลกด้วยชีวิตของข้าราชบริพารผู้เปล่งวาจาขานมนต์นั้น”

ออกญาแห่งกรมวังพูดด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาช้าๆ หากแต่สุรเสียงยังฟังดูน่าเกรงขาม
“ข้ายินยอมที่จะตกอเวจีมหานรกกับการที่ข้าได้กระทำเสมือนกำดาบฟันคอลูกชายตัวเอง แต่ข้าไม่ยอมให้เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์เหล่านี้ต้องตกอยู่ในมือของพวกพม่ารามัญเป็นอันขาด เจ้าเข้าใจพ่อใช่ไหม ทองไชยลูกพ่อ”

พระยาไชยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หากแต่เขาก็ยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ
“ด้วยความเต็มใจยิ่งขอรับ”


อ๊ากกก เขียนตอนนี้เครียกดอะ ยาก แต่สนุกมาก ปล้ำอยู่สองวันเต็มๆ
ไม่รู้จะยังมีใครรออ่านอยู่มั้ย หลังจากหายไปเดือนกว่า
(ไปบวชเสียเกือบยี่สิบวันด้วย)

ยังไงซะก็ยังคิดถึงทุกคนและฝากติดตามอ่านด้วยนะครับ ตอนหน้าก็จะจบแล้วครับ สำหรับเรื่องนี้
 :L2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 06-03-2012 17:12:58
เครียด จัง ที่เเท้ก็ต้องมารักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี่เอง

ทำให้ไม่ได้ ฟังคำว่ารักจาก ทองด้วง หรือเปล่า ??

หรือทองด้วงตายก่อน เลยไม่ได้ฟัง

เฮ้อๆๆๆ ดราม่าใช่ไหมเรื่องนี้ เเต่ตอนจบเเล้วหรอ ชอบเรื่องนี้มาก

ยังไม่อยากให้จบเลย TT
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 06-03-2012 19:28:23
 :เฮ้อ:

เครียดจริงเมื่อเดาจุดจบของเรื่องไปก่อนแล้ว 

หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง(555)

เรื่องรักคงเป็นรองหน้าที่ซะแล้วงานนี้

 :กอด1:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 06-03-2012 19:43:56
รักชาติยิ่งชีพ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 07-03-2012 01:44:44
กลายเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไปเลย  :a5:
สามคำ>>>ชอบ เรื่อง นี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 07-03-2012 02:36:20
หน้าที่อันยิ่งใหญ่ การรักษาทรัพย์แผ่นดิน
+1
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: akihito ที่ 07-03-2012 12:35:46
รอออออออออ ค้างมากมาย
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-03-2012 22:03:46
พี่ทองไชย สละชีพเพื่อชาติ บ้านเมือง สมเป็นชายชาติทหาร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ว่าแต่พี่ท่านเฝ้าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้ามาเป็นร้อย ๆ ปี แล้วภาระอันยิ่งใหญ่นี้จะจบสิ้นเมื่อใดล่ะ ?
อยากให้ พี่ทองไชย-ทองด้วง ครองรักกันสุขสม ไม่ชาตินี้ก็ชาติภพไหนสักทีเถอะ...  :impress:

คุณทิดหนิง กลับมาแล้ว กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะ... :กอด1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๖ (๖ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบตอนหน้า)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-03-2012 15:43:52
อั้ยยะ พี่ทองไชย คุณพี่สุดยอดมากกกกกกกจริงๆๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 08-03-2012 23:58:46
ตอนที่ ๗

ผมเริ่มรู้สึกหน้าซีดและมือเย็นเฉียบ เรื่องราวที่ผมได้เห็นได้รับรู้รับฟังนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่คิดนัก ความน่ากลัวของสงคราม การรับรู้ถึงความสูญเสีย มันเจ็บปวดและหวิวโหวงในหัวใจยิ่งกว่าการดูภาพยนตร์สงครามสักเรื่องนัก
“เพราะเรื่องนี้หรอครับพี่ทองไชย พี่ถึงได้ไม่สามารถไปไหนได้”
“เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาใช่เหตุผลทั้งหมด ทองด้วงน้องพี่” ตาทองไชยหันมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะนิมิตให้ผมได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ดำเนินต่อไปในครั้งนั้น
.
.
.
พระยาไชยและทองด้วงรวมถึงไพร่พลที่แต่งไว้อยู่ในชุดพรางสีดาเพื่ออำพรางตัวในความมืดกำลังตระเตรียมข้าวของสำหรับลอบออกไปหาหยูกยาสำหรับการรักษาไพร่พล ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้น
“รีบไปเถิด ทองด้วง พี่ไม่อยากจะกลับมาสายนัก”
“ได้ขอรับ”

ม้าศึกถูกควบออกไปช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง กำลังพลที่เคลื่อนไปนั้นค่อยๆเดินทางมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณหัวรอ ซึ่งเป็นบริเวณที่ทองด้วงนำไพร่พลมาเก็บสมุนไพรจากคราวก่อน ทั้งหมดผูกม้าไว้ตามภูมิประเทศก่อนจะกระจายกำลังไปทำงานของแต่ละคน
“พี่ทองไชย ดูนั่นขอรับ” ทองด้วงชี้ไปยังฟากหนึ่งของชายป่า ซึ่งมีแสงไฟและควันไฟลอยขึ้นฟ้าเป็นการแสดงว่า มีการตั้งกองกำลังของพวกหงสาอยู่บริเวณนั้น
“พวกพม่ารามัญ” พระยาไชยบดกรามแน่น “มันตั้งกองไพร่พลล้อมรอบกำแพงนครถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“พ่ออยู่หัวแลแม่ทัพน้อยใหญ่ในกำแพงพระนครทราบหรือไม่ขอรับพี่ทองไชย ว่าพวกหงสาตองอูนั้นมันหาญกล้าถึงเพียงนี้”
“พี่ไม่ทราบได้ ทองด้วงน้องพี่”
“ถ้าเช่นนั้น กระผมเห็นว่า เราควรจักไปสอดแนมพวกมัน ว่าพวกหงสานั้นมันกำลังคิดอ่านประการใดต่อไป”
“ทองด้วง!!! เจ้าหาใช่นักรบไม่ หากพลาดพลั้งขึ้นมา มิเพียงแต่ข่าวสารที่เจ้าจักเอากลับไปไม่ได้ แม้แต่ชีวิตของเจ้าก็จักต้องทิ้งไว้ที่นี่” พระยาไชยเอ่ยห้าม
“ในยามสงครามหากคร้ามเกรงต่อความตายก็มิสมควรที่จักเรียกตนว่าเป็นชายชาตรี พี่ทองไชยอย่าได้หวาดกลัวเลยขอรับ ยามนี้ก็ค่ำมืดยากนักต่อการที่พวกพม่ารามัญจักสังเกตเห็นเราได้ อีกทั้งป่านี้ก็รกชัฏอยู่ไม่น้อย”
ทองด้วงกล่าวพร้อมกับเดินนำพระยาไชยโดยไม่สนใจฟังคำทักท้วง จนอีกคนต้องตามมาด้วยความเป็นห่วง และภาพเบื้องหน้านั้นก็ทำให้ทั้งคู่ตกใจไม่น้อยอันเนื่องจากความอหังการ์ของทหารหงสา กองดินขนาดใหญ่สูงท่วมหัวเทียมกำแพง ด้านบนของกองดินนั้นมีปืนใหญ่ของพวกพม่ารามัญตั้งอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจนั่นก็คือ ดินพวกนั้นถูกขุดขึ้นมาจากโพรงดินที่มีทหารพม่าหลายคนทยอยเดินเข้าเดินออกในโพรงดินขนาดมหึมานั้น

“พวกมันคิดจะทำอะไร” พระยาไชยพูดกับตนเองอย่างพิจารณา
“แต่เมื่อเพ่งพินิจดูแล้ว กระผมใจมิค่อยดีเลยครับ กลศึกของมันช่างแปลกประหลาดพิสดารนัก”

ทั้งสองคนเพ่งมองอยู่นานพอสมควร ก่อนที่เชลยของพวกพม่าจะนำดินสีดำจำนวนมหาศาลเดินลงไปในโพรงนั้นทีละคนๆ และนั่นเป็นภาพที่ทำให้พระยาไชยตาเบิกโพลง
“นั่นมัน ดินระเบิด!!!”
“ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่า....”
“เราต้องรีบไปแจ้งข่าวแก่เหล่าแม่ทัพนายกองในกำแพงเมืองบัดเดี๋ยวนี้ ทองด้วงน้องพี่!!!”
“ข..ขอรับ” ทองด้วงรับคำ และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัว เขาก็เสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้น แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้เหล่าทหารพม่านั้นรู้ตัวแล้วว่ามีคนซุ่มดูอยู่
“วิ่ง!! ทองด้วง”
ข้อมือบางของทองด้วงถูกพระยาไชยคว้าไว้แน่น ก่อนจะพาวิ่งอย่างไม่ได้มองหลัง แต่ทว่าทหารพม่าจำนวนไม่น้อยที่ลาดตระเวนอยู่นั้นก็ตามมาล้อมทั้งคู่ไว้ทัน
เกิดการปะทะกันแบบสิบต่อสองโดยพระยาไชยและทองด้วงถูกล้อมไว้ทุกทาง และเพียงไม่นานการโรมรันก็เกิดขึ้น เสียงดาบปะทะกันดันเปรี้ยงปร้างประหนึ่งอัสนีบาตที่ฟาดฟันลงมายังพื้นดิน แม้จำนวนคนนั้นทั้งคู่จะเป็นรอง แต่โชคยังดีที่หน่วยลาดตระเวนนั้นเป็นเพียงทหารเลวปลายแถว หากแต่ถูกประวิงเวลานานกว่านี้ หน่วยสนับสนุนของพวกพม่าคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“พี่ทองไชยระวัง!!!” ทหารพม่านายหนึ่งเงื้อดาบหมายจะฟันพระยาไชยจากด้านหลัง หากแต่ทองด้วงนั้นไสดาบไปรับไว้ทันหาก ทว่าดาบของทองด้วงที่ไม่ได้กำไว้มั่นก็หลุดมือของนักกวีหนุ่ม และด้วยสัญชาตญาณแห่งความจงรักภักดี เขาผลักตัวไปหมายจะรับดาบนั้นและใช้ข้อมือตนเองรับไว้จนถูกฟันขาดกระเด็น....
“อ๊ากกก”
“ทองด้วงงงง!!!” พระยาไชยสุริเยนทร์คำรามก้องอย่างบ้าลือด ก่อนจะกระโดดฟันคอทหารพม่าคนนั้นจนขาดสะพายแล่งจนเลือดสาดกระเซ็นเต็มใบหน้า ก่อนที่พระยาไชยจะไล่ฆ่าทหารเหล่านั้นจนหมดในเวลาไม่นาน
 “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ทองด้วง”
“ข้ามิเป็นไรขอรับ” ทองด้วงยิ้มพลางรับคำด้วยเสียงสั่นๆ พระยาไชยห่อผ้าที่นำมาสำหรับเก็บสมุนไพรมาฉีกเป็นริ้วและพันห้ามเลือดไว้ “เราต้องรีบไปแล้ว”
“พี่จะรีบพาเจ้าไปรักษา อดทนเอาหน่อยเถิดนะ ทองด้วงน้องพี่”

เสียงปืนคาบศิลาดังไล่หลังทำให้ทั้งคู่ต่างพากันรีบวิ่งกึ่งลากกึ่งจูงมายังม้าที่ผูกอยู่ พระยาไชยผูกผ้าพันร่างของทองด้วงไว้กับแผ่นหลังของตน ก่อนจะควบม้าห้อตะบึงกลับไปยังกำแพงเมือง และเสียงปืนก็ยังดังเปรี้ยงปร้างไม่ขาดสายประหนึ่งฟ้าจะถล่ม
.
.
.
“ท่านจงไปแจ้งข่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกอง ว่าพวกพม่ารามัญมันกำลังจะเผารากของกำแพงเมืองทางฝั่งหัวรอ จงบอกพวกเขาให้เตรียมรับมือ ณ จุดๆนั้นเถิด” พระยาไชยตะโกนออกคำสั่งเมื่อมาถึงโรงหมอ หากแต่ไม่นานนัก เสียงครืนครามระคนเสียงโห่ร้องของทหารพม่าก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนของทหารอโยธยา

“กำแพงเมืองถล่มแล้ว กำแพงเมืองถล่มแล้ว!!!”

หากแต่พระยาไชยหาได้สนใจต่อเสียงนั้นไม่ เขาแกะผ้าที่พันตนออกก่อนจะนำร่างของทองด้วงที่อยู่ด้านหลังมา และเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าร่างบางของชายผู้เป็นที่รักนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดยิ่งกว่าตอนแรก
“ทองด้วง เจ้าถูกยิง!!!”
เจ้าของร่างชุ่มเลือดยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ท่านจงไปสมทบกับพวกทหารเถิดขอรับ เพลานี้อโยธยาศรีรามเทพนครถึงคราคับขันแล้ว อย่าได้ใส่ใจกระผมเลย”
“พี่จักทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้” พระยาไชยเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า
“อย่าได้เศร้าโศกไปเลยขอรับ ข้าดีใจแล้วที่เกิดมามิเสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นชายแลได้ตายเพื่อชาติ” ทองด้วงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะสำลักเลือดออกมา
“ทองด้วง เจ้าจักเป็นอะไรมิได้ เจ้าลืมสัญญาที่เจ้าให้ต่อข้าแล้วรึ พี่ยังใคร่ได้ยินคำว่ารักจากเจ้านะ”
ทองด้วงสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตั้งแต่กระผมเกิดมายังไม่เคยทำผิดสัญญาสักครั้ง แต่เห็นทีครานี้หากต้องรอให้เสร็จศึกคงจักไม่ได้ทำดังที่บอกพี่ทองไชยไว้...”
ร่างชุ่มเลือดนั้นถูกคนร่างกำยำผวากอดทั้งน้ำตา “พี่ไม่ใคร่ได้ยินในเพลานี้ เจ้าจงรอให้อโยธยาได้รับชัยชนะในศึกสงครามครั้งนี้เสียก่อน ดังนั้นเจ้าห้ามเป็นอะไรทั้งนั้น เจ้าได้ยินพี่หรือไม่!”
“กระผมคงต้องบอกพี่เสียตอนนี้แล้วล่ะครับ ผม....ร....”
ทองด้วงพูดอย่างยากลำบากด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา ก่อนที่พระยาไชยจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดหายไปที่ข้างพวงแก้มของตนเอง
“ทองด้วง!!!!”
พระยาไชยตะโกนสุดเสียง หากแต่เสียงนั้นกลับถูกกลบกลืนด้วยเสียงปืนใหญ่ของฝั่งพม่าที่ระดมยิงเข้ามา ผู้คนเริ่มวิ่งหนีอย่างโกลาหล วัดเวียงและพระราชวังเริ่มถูกเพลิงเผาไหม้และระเบิดเสียหายเป็นจำนวนมาก เสียงโห่ร้องโรมรันอันเกิดจากการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายดังโหวกเหวกน่ากลัวประหนึ่งอเวจีมหานรก หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดมิได้ทำให้พระยาไชยพรั่นพรึงแม้แต่น้อย เขารู้สึกประหนึ่งโลกหยุดหมุน มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาของตนกับลมหายใจที่สิ้นสุดลงของชายผู้เป็นประหนึ่งดวงใจซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า

เสียงปืนใหญ่แลเสียงโห่ร้องยังอึงมี่ไปทั่วอโยธาศรีรามเทพนคร พระยาไชยกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพาร่างไร้วิญญาณของทองด้วงผู้ไว้กับหลังตนอีกครั้ง แล้วควบม้าไปยังพระบรมมหาราชวัง ....เพื่อทำในสิ่งที่ต้องทำก่อนจะสิ้นลมหายใจของตน
.
.
.
เมื่อมาถึงห้องพระคลัง พระยาไชยรีบเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งหมดลงยังห่อผ้าที่เตรียมมาด้วย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากพระราชวังท่ามกลางเสียงหวัดร้องของสนมแลข้าราชบริภาร และเมื่อเขาก้าวออกมานอกวัง ก็พบกับทหารพม่าจำนวนไม่น้อยไล่ฆ่าฟันชาวอโยธยาอย่างไร้ความปราณี และอีกจำนวนไม่น้อยที่พุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายพระยาแห่งกรมวัง

“ย้ากกกก” พระยาไชยคำรามเรียกความห้าวหาญให้ตนเอง ก่อนจะก้าวขึ้นควบม้าบึ่งทะยานหนีไปอย่างไม่คิด แต่ไม่ว่าจะไปทางไหน ก็มีแต่ทหารพม่ารามัญที่อยู่เต็มไปหมด

“ฮี้!” เสียงม้าที่พระยาไชยควบอยู่ร้องเสียงหลง ก่อนจะล้มลงกับพื้นทั้งคนทั้งม้า และพระมหาพิชัยมงกุฎทองคำนั้นก็กลิ้งหลุดไปจากพกผ้า เมื่อพระยาไชยจะเอื้อมไปหยิบก็ถูกหารเลวของพม่าใช้เท้าเขี่ยไปทางอื่นพลางเงื้อง่าหมายจะฟัน ทำให้พระยาไชยตัดสินใจพาตนเองและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือหลบหนีจากพวกทหารพม่า และวิ่งอย่างทุลักทุเลไปยังพระปรางค์เจดีย์เจ้าอ้ายและเจ้ายี่พระยาที่กำลังถูกไฟเผา ทองคำบริสุทธิ์ที่ก่ออยู่ด้านนอกของพระปรางค์ค่อยๆหลอมเหลวหลุดออกมาช้าๆ หากแต่ทหารที่ไล่ขับพระยาไชยมาก็หากลัวไม่เพราะพวกมันรู้ว่าคนที่มันกำลังไล่ตามนั้นมีสมบัติติดตัวมาด้วยและกำลังหมดทางสู้

“พลั่ก!!!” ทหารพม่าที่อยู่หน้าขบวนบนบันไดขึ้นพระปรางค์ถูกถีบตกบันไดและล้มระเนระนาดจนเสียกระบวนทั้งหมด พระยาไชยยิ้มอย่างมีชัย ก่อนจะโยนห่อผ้าทั้งหมดลงไปในปล่องของพระปรางค์ พลางยกมือพนมและกล่าวมนต์กำบังกาย

“นะโมพุทธายะ ปะลิยะติ จักขุนะ จักขุโก จักขุพุธโธ นะโกหากุ ปะลิยะติ”

เลือดไหลออกจากทวารทั้งห้าของพระยาไชย ก่อนที่เขาจะล้มหงายหลังทิ้งตัวลงในปล่องพระปรางค์
“ลาก่อน ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ พี่เศร้าใจนักที่พี่ทำได้แค่ทอดกายทิ้งร่างไร้วิญญาณอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ แต่หากพี่มีวาสนาเพียงพอ ขอให้ชาติภพหน้าเราจงได้ครองรักกันอย่าได้มีอุปสรรคใดด้วยเถิด”

พระเพลิงเผาผลาญพระปราง์ช้าๆท่ามกลางสายตาแห่งความละโมบของพวกพม่ารามัญ หากแต่ภายในความเสียหายนั้น ...กลับเป็นเพียงการเริ่มต้นของตำนานบทหนึ่งที่ล่องลอยข้ามสายธารแห่งกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน
.
.
.
ภาพเบื้องหน้าผมค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟสีขาวนวลที่สว่างอยู่ทั่วห้องพร้อมกับกลิ่นคละคลุ้งที่ผมไม่คุ้นนักที่ฉุนจนผมต้องยู่จมูกเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบว่า คนที่นั่งฟุบอยู่ข้างๆเตียงที่ผมนอนอยู่นั้น คือพี่ยง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
พี่ยงสะดุ้งตื่นมั่วได้ยินเสียงของผม ก่อนที่พี่แกจะทำหน้าดุและถอนหายใจเสียงดัง
“พี่ต่างหากที่ต้องถามด้วง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ด้วงกลับไปที่วัดตอนดึกๆทำไม “

ความทรงจำผมเริ่มวนกลับมา เมื่อคืนนี้ผมไปพบกับพีทองไชย แต่ไหงผมถึงมานอนแหม่บอยู่ที่โรงพยาบาลได้
“ถ้าพี่ไม่โกหกเราจะรู้มั้ย ว่าสุดท้ายเราก็เป็นคนเชื่อคำพูดไม่ได้ ด้วงขึ้นไปทำอะไรที่พระปรางค์คนเดียว แล้วไหนจะ...พูดคนเดียวแบบนั้น แล้วจู่ๆ ด้วงก็ล้มพับไป”

ความทรงจำของผมค่อยๆกลับมา เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงตอนที่ตัวเองขาดใจตาย ผมก็เริ่มมือเย็นไร้ความรู้สึก ก่อนที่ภาพที่ผมมองเห็นจะขาวโพลนเมื่อพี่ทองไชยทิ้งตัวลงไปในพระปรางค์ที่กำลังลุกไหม้ มันโหดร้ายจริงๆกับการต้องมองดูชีวิตคนที่ต้องตายทีละเป็นร้อยเป็นพันคนแบบนั้น และนี่แหละมั้งคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นลมหมดสติไป
“พี่ถามว่าทำไมด้วงถึงต้องทำแบบนี้ มีเหตุผลอะไร” พี่ยงยังคงถามย้ำในคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ทำไมถึงต้องทำให้พี่เป็นห่วง รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงน่ะ ด้วง”
“ผม....”
“พี่แคร์ด้วงนะ”
“อย่าเพิ่งบอกอะไรผมตอนนี้เลยครับ ขอผมอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย!”
ผมพลิกตัวหันหลังให้พี่ยง เสียงเรียกของพี่ยงไม่มีความหมายกับผมในเวลานี้เลย หากแต่ในใจนั้นผมกลับครุ่นคิดถึงแต่คนๆนั้น ....คนที่ทอดร่างอยู่ในพระปรางค์วัดราชบูรณะ
.
.
.
ผมถูกพักงานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อทำการสอบสวนเป็นการภายในในข้อหาที่ผมบุกรุกโบราณสถานยามวิกาล แต่ผมก็ยังคงเข้ามาเที่ยวในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งได้ในตอนกลางวัน ..... และผมมาที่นี่ทุกวัน ด้วยความลึกๆว่าจะได้พบกับพระยาไชยสุริเยนทร์ ....อีกครั้ง

“ที่นี่มันมีอะไรให้ด้วงต้องค้นหามากกว่าข้อมูลในหนังสือหรอด้วง” พี่ยงถามขึ้นในวันหนึ่งที่ผมมาเที่ยวที่นี่
“ประวัติศาสตร์มันก็เป็นเพียงการบอกเล่าของคนๆหนึ่ง เหมือนเส้นตรงที่ไม่มีมิติ หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีหลายด้านหลายมุมเสมอไม่ใช่หรอครับ” ผมตอบพลางเหม่อมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลับเหลี่ยมเจดีย์
“ด้วงพูดเหมือนกับรู้อะไรมากกว่าในตำรา”
ผมยิ้มให้กับพี่ยง ก่อนจะพูดต่อ “พี่ยงจำสมัยที่วัดแห่งนี้ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรมศิลปากรได้ไหมขอรับ ยุคที่เขาเรียกว่ายุคกรุแตก ทรัพย์สมบัติของชาติถูกพวกโจรใจทรามมาขุดเอาไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะที่นี่ พระเครื่องเอย เครื่องทองโบราณเอย ถูกขุดขโมยไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลย”
“ใช่ แต่ยังดีที่เราจับพวกโจรพวกนั้นได้ เลยยึดของคืนกลับมาได้เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระเจ้าเอกทัศน์ที่ขุดพบในพระปรางค์แห่งนี้ แม้พระมหาพิชัยมงกุฎทองคำจะถูกนำออกไปได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยอีกสี่ชิ้นเราก็ยังเก็บไว้ได้” พี่ยงสำทับ
“ความจริงต้องพูดว่า มีคนที่เขาดูแลรักษาไว้ครับ เขารอวันที่จะส่งต่อให้กับลูกหลานคนไทยต่อไป”
“พี่เชื่อนะ ว่าคงมีวิญญาณบรรพบุรุษที่ดูแลรักษาสมบัติของชาติเหล่านี้เอาไว้ไม่ใช้พวกคนใจชั่วมันมาขโมยไป ว่าแต่...มันเกี่ยวอะไรกับที่ด้วงไม่ยอมบอกเหตุผลที่ต้องแอบเข้ามาที่นี่ตอนกลางคืนทุกคืนๆกันล่ะ” พี่ยงคาดคั้น
ผมยิ้มเล็กน้อยพลางมองไปยังปรางค์ประธานด้านในอีกครั้งด้วยความหวังจะได้พบกับคนๆนั้นอีกครั้ง
“ผมก็ไม่รู้สิครับว่ามันเกี่ยวกันยังไง ผมก็แค่พูดไปตามความรู้สึกของอิฐเก่าๆที่มันบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้นเอง”

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมเหลียวมองไปยังปรางค์ประธานในวัดอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังให้ด้วยความรู้สึกหดหู่
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อน ด้วง”
“ครับ”
“พี่ขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิครับ”
พี่ยงดูเก้ๆกังๆ เมื่อรั้งตัวผมไว้ ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เหมือนเรียกความมั่นใจอะไรบางอย่าง
“พี่จะไม่ถามเรื่องเหตุผลของด้วงอีกแล้ว แต่ตอนนี้ที่พี่อยากรู้คือ ....เอ่อ จะพูดยังไงดี เหมือนพี่จะรู้สึกดีกับด้วง...แหะๆ ยังไงไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆคือ พี่แคร์ด้วงมากนะ พี่ถึงได้ตามด้วงไปคืนนั้นไง ...ด้วงเข้าใจพี่มั้ย”
ลมกรรโชกราวกับพายุจะมา หากแต่ไร้ซึ่งกลิ่นลมฝน มีเพียงกลิ่นหอมที่เกือบจะฉุนของดอกแก้วที่จู่ๆก็อบอวลคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พร้อมกับที่พี่ยงล้มตัวหมดสติลงตรงนั้น
“พี่ยง!!!”
“อย่าได้ตกใจไปเลยทองด้วงน้องพี่ พี่หาได้ทำให้มันถึงกับตายดอก” เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับที่ผมเริ่มปล่อยโฮ
“หายไปไหนมา ฮะ ไอ้. ... ไอ้... ผีบ้าเอ้ย มาเข้าฝันก็ยังดี”
ตาทองไชยอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าคิดถึงข้ารึทองด้วง”
“นึกว่าไปเกิดในท้องหมาแล้วต่างหาก”
“ปากร้ายนัก .... แล้วใครกันเล่าที่ร้องไห้อยู่คนเดียวตอนที่ไม่ได้เจอพี่”
“นี่!!! แสดงว่าแอบไปหาแต่ไม่ยอมให้เห็นใช่มั้ย” ผมพ้อ
พี่ทองไชยยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะลูบแก้มผมเบาๆ “พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าสิ้นสติในวันนั้น เรื่องราวมันคงจะโหดร้ายเกินไปแลพี่คงพาเจ้าท่องนิมิตนานเกินกว่าที่ร่างกายแลจิตใจเจ้าจะรับไหว เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวพี่นั้นรู้สึกผิดสักเพียงใด”
“ผมไม่ได้โกรธพี่เลย พี่ทองไชย ...ผมโกรธที่พี่ไม่มาให้ผมเห็นต่างหากล่ะ”
“เจ้าขาดพี่ไม่ได้ถึงเพียงนั้นเชียวรึ?”
“อย่ามาเล่นลิ้นนักได้มั้ย พี่อ่านใจผมออกนี่ว่าผมคิดอะไรยังไง....โอเค ผมรักพี่ โอเคมั้ย แล้วจากนี้ไปอย่าหายไปไหนอีกนะ”
พี่ทองไชยทำตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะยิ้มให้ผม....เป็นครั้งสุดท้าย
“คำว่ารักของเจ้านั่นออกมาจากใจเจ้าจริงๆรึ หาใช่เพียงสงสารดวงวิญญาณผู้ทุกข์ทรมาณเช่นพี่ดอกนะ”
ผมหน้าแดงเมื่อโดนผีแกล้งตีรวน งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเผลอไปสารภาพรักกับผีได้ยังไง แต่แค่แวบแรกที่ได้เจอผมก็รู้สึกเหมือนกับผูกพันกันมาเนิ่นนาน ยิ่งได้มารับรู้รับฟังเรื่องทั้งหมด ผมยิ่งแน่ใจว่าหัวใจของผมนั้นได้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาเพื่อรอคอยวันนี้อย่างแน่นอน
“ข้าได้ยินเสียงในใจเจ้าทั้งหมดแล ทองด้วงเอย ....พี่ดีใจยิ่งนักแม้พี่จะยังไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ....เจ้าจำได้หรือไม่ว่าพี่เคยบอกกับเจ้าว่า มีสองสิ่งที่ผูกมัดรัดรึงพี่ไว้ที่ภพนี้ พี่จักเฉลยให้เจ้าฟัง สิ่งแรกนั่นก็คือ พี่จักต้องปกปักรักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพ่ออยู่หัวไว้ให้แก่ผู้มีบุญญาธิการได้ครอบครองต่อไป และพี่นั้นก็ได้ทำสำเร็จเมื่อเหล่าข้าราชบริภารของพ่ออยู่หัวยุคปัจจุบันมาขุดเอามันไปได้สำเร็จ ....แลอีกข้อนั้น เพิ่งจะลุล่วงไปเมื่อสักชั่วเคี้ยวหมากแหลกนี้เอง สิ่งนั้นก็คือ ....พี่เพียงใคร่อยากได้ยินคำว่ารักจากเจ้า ....เพียงสักครั้ง”
“แล้วพี่จะเป็นอย่างไรต่อไปหรอครับ” ผมพูดด้วยความรู้สึกจุกในอก เมื่อเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
“ไม่ผิดจากที่เจ้าคิดดอก ทองด้วง พี่คงต้องละดวงจิตไปจากภพนี้เสียที”
“ไม่ ผมไม่ยอม ในเมื่อผมบอกรักพี่ทองไชยแล้วพี่จะหนีผมไปไหนอีก” ผมกล่าวทั้งน้ำตา
 “พี่ขอโทษ ยกโทษให้แก่ความเห็นแก่ตัวของพี่เถิด ยอดดวงใจของพี่ แต่เจ้าจงเข้าใจเสียเถิดว่าถึงอย่างไรเราก็อยู่กันคนละภพ”
“เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ย”
“หากเราทั้งคู่ยังมีวาสนาต่อกัน เราคงได้เกิดมาคู่กันอีก”
คำพูดสุดท้ายของพี่ทองไชยทำผมสะอื้นจนตัวโยนพร้อมทั้งโผเข้ากอดร่างหนานั้นอย่างไม่อาย หากแต่ผมกลับคว้าได้เพียงอากาศก่อนที่ร่างนั้นจะฟุ้งกระจายเป็นฝุ่นผงสีทองลอยลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้าช้าๆทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของดอกแก้วจางๆ
“ลาก่อน ทองด้วง ....ยอดดวงใจของพี่”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ขออีดิทตอนจบทิ้งไว้ก่อนนะครับ


 

จบแล้วครับ
เป็นอีกตอนที่ปล้ำอยู่นาน
เรื่องนี้พยายามจบปลายเปิด (ให้จินตนาการต่อเอาเอง)
ไม่รู้ว่าสำเร็จหรือเปล่า (แต่ผมว่ายังไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่มั้ง  :เฮ้อ: )

แต่ก็พยายามให้มันเป็นเหมือนบทละครเต็มที่นะครับ ไม่รู้ว่าอ่านๆกันแล้วจะรู้สึกได้มั้ย
เกือบจะถอดใจตัดจบตรงคำว่าลาก่อนแล้ว  :laugh:

แต่คงจะโหดร้ายไปหน่อย (ไม่อยากจบแบบเจ็บๆเหมือนตาอ๊อดกะตาปอง)
สุดท้ายหวังว่าจะชอบกันนะครับ

จากนี้ก็คงได้ไปวุ่นกับพี่เมฆกะน้องโนจริงๆจังๆเสียที เพื่อจะได้คลอดนิยายที่แพลนไว้เรื่องแรกแต่ไม่ได้เขียนเสียที

นั่นคือ....
"เพทุบายในสายหมอก"

เร็วๆนี้ครับ
ทิดหนิงหน่อง
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 09-03-2012 00:23:11
ขอบคุณสำหรับความสนุก :L2:
อยากบอกว่าดำเนินเรื่องน่าติดตามตลอด
แต่มาเสียความรู้สึกตรงบทสรุป 2655
rewrite ซักนิดได้มั้ยเอ่ย
+1
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: wittawattrk ที่ 09-03-2012 00:50:18
+1 งงนิดหน่อย อิอิ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: supery ที่ 09-03-2012 01:20:22
โธ่ ไม่ได้เกิดมาคู่กันใหม่หรือคะ รอกันมาตั้งนาน
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 09-03-2012 06:28:34
เศร้าได้ใจมากๆ

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 09-03-2012 07:03:55
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆภาษาสวยๆเรื่องนี้นะคะ

รอติดตามผลงานต่อๆไปค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนที่๗ (๘ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)(อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 09-03-2012 08:26:20
อ้าวไง ตอนจบไปคุ๋กับผู้หญิงซะงั้นละ

แต่สนุกดีเน้อะ

เเล้วทองด้วงไม่ได้คู่กับพี่ยงหรอ

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 14-03-2012 12:12:15
บทอวสาน

คุณเคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ
ลิขิตที่เบื้องบนกำหนดไว้ ว่าคนที่คุณรอคอยนั้นจะต้องได้เจอในสักวันที่ไหนสักแห่ง

สำหรับผม พรหมลิขิตของผมอาจจะอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังแห่งโบราณสถานแห่งนี้ก็เป็นได้....
ไม่สิ ผมคิดว่า .... มันเป็นอย่างนั้น
แล้วทำไมผมถึงเชื่อมั่น?

ก็ถ้าคุณได้ยินเสียงเรียกของเขาทุกวัน
ถ้าคุณฝันเห็นเขาทุกคืน

คุณก็คงจะรอคอยที่จะมาพบเจอกับเขาแบบผมนี่แหละ
.
.
.
ผมชื่อดารากร เป็นจิตรกรอิสระจนๆคนหนึ่งในศตวรรษที่ 22 ท่ามกลางยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีมันไปไกลนี่แหละ ทำให้มีคนหวนรำลึกถึงอดีตกันน้อยลง และอาชีพอย่างผมเลยไม่ค่อยฟู่ฟ่าเท่าไหร่ รูปภาพโบราณสถานเก่าๆที่ผมวาดเลยไม่ได้มีคุณค่าทางจิตใจมากมายเกินไปกว่าศิลปะประดับผนังเท่านั้น

แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักกับเรื่องนั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงนั่นก็คือ ผมเฝ้ารอคอยคนที่อยู่ในความฝัน ที่ผมหลงรักและเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิต
เขาชื่อทองไชย

เขาเรียกชื่อผมทุกคืนในความฝัน ด้วยชื่อที่ผมไม่คุ้นหู แต่ผมกลับคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนกับเป็นชื่อของตนมานมนาน และคืนแล้วคืนเล่า ที่เราเจอกันเพียงในความฝัน ก็ทำให้ผมเลิกล้มที่จะตามหาใครสักคนในโลกแห่งความจริง เป็นการเฝ้ารอคนที่ชื่อทองไชย ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่หรือไม่บนโลกใบนี้

มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ว่าคนๆนี้แหละ ที่ผมจะต้องเจอกับเขาในสักวัน
แม้เวลาจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เถอะ
.
.
.
พระอาทิตย์สาดแสงจ้าจนรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าแม้ผมจะนั่งลากดินสออยู่ใต้ร่มโพธิ์ภายในอาณาบริเวณของวัดราชบูรณะ ผมร่างแบบคร่าวๆลงบนแผ่นกระดาษที่ขึงอยู่บนพอร์ท ก่อนจะเริ่มจรดดินสอสีลงรายละเอียดของอิฐเก่าๆที่ซ้อนเรียงกันเป็นเจดีย์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
“วาดสวยจังครับ”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันตามไป และใบหน้าของเจ้าของเสียงนั้นเหมือนกับทำให้นาฬิกาทั้งหมดในโลกหยุดเดิน ...ผมทำได้เพียงอุทานเบาๆ
“พี่ทองไชย”
“ทองไชย? คุณหมายถึงผมหรอครับ” ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เอ่อ.... ผมจะพูดยังไงดี ช่างเถอะครับ” ผมเรียกสติคืน แม้ลึกๆแล้วจะดีใจมากแค่ไหนที่ได้พบเจอกับคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคนที่รอคอยถึงเพียงนี้
“เป็นชื่อที่เพราะดีครับ และมีความหมายใกล้เคียงกับชื่อของผมด้วยละมั้ง ผมชื่อไชยสุวรรณ ....” ชายคนนั้นแนะนำตัว “ขอโทษนะครับที่เข้ามารบกวน จริงๆผมแอบมองอยู่นานแล้ว คุณวาดภาพสวยดีนะ”
“ไม่ได้รบกวนหรอกครับ ....อ้อ ผมชื่อดารากร จะเรียกด้วงก็ได้นะครับ”
“ด้วงงั้นหรอ ....” ชายหนุ่มกลอกตานึก “เป็นชื่อเล่นปรกติๆ แต่ก็แปลกนะ ผมเพิ่งรู้จักคนชื่อด้วงเป็นคนแรกในชีวิต”
 “บางทีเบื้องบนอาจจะอยากให้คุณรู้จักผมเป็นด้วงคนแรกของโลกก็ได้มั้ง” ผมยิ้มและหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงย่าม “เคยมาที่นี่มั้ย สนใจไปเดินเที่ยวกับผมหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาทัวร์เอง”
“เหมือนจะเคยมาทัศนศึกษาตอนเด็กๆครับ แต่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศเสียนานเพิ่งกลับมา เลยถือโอกาสมาเที่ยวเสียหน่อย”
“แล้วทำไมถึงเลือกที่นี่ล่ะครับ” ผมถามในขณะที่เดินนำลูกทัวร์ร่างหนาไปตามทางเดิน
เขายิ้มบางๆก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิครับ”
ผมพยักหน้าเบาๆ พลางนึกถึงตัวเอง หากผมไม่ใส่ใจในความฝัน หากผมไม่ได้รับรู้ มันคงจะดีกว่านี้เหมือนกัน ...การรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมันทรมาณไม่น้อยเลย

“คุณด้วง ...เจดีย์ใหญ่ๆตรงนั้นคือ...?”
“ปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะครับ ในอดีตเป็นที่ที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งถูกขุดค้นพบในช่วงกรุแตก โชคยังดีที่อาภรณ์เหล่านั้นไม่ได้ถูกขโมยไป ไม่งั้นสมบัติของชาติก็คงตกเป็นของพวกต่างชาติ”
“แล้วตอนนี้มีอะไรข้างในหรือเปล่าครับ”
“มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นรูปชุมนุมทวยเทพและบอกเล่าเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ครับครับ สนใจจะเข้าไปดูมั้ยล่ะ” ผมชวน
“เข้าไปดูได้หรอครับ”
“ในส่วนนี้เข้าไปดูได้ครับ”
“งั้นก็ไปสิครับ”
.
.
.
ผมเดินนำคุณไชยสุวรรณลงไปตามบันไดราวเหล็กที่สร้างลึกลงไปในตัวพระปรางค์ประธาน กลิ่นอับๆฉุนจมูกและอากาศที่บางเบาทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“เดินระวังๆนะครับ” ผมเตือน พลางหันหลังไปหาลูกทัวร์
“ครับผม” เขาตอบรับภายใต้แสงไฟสีส้มที่เปิดไว้ส่องทางเป็นระยะตามทางเดิน

เพียงชั่วอึดใจ เราก็มาถึงด้านในที่แสดงภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านล่าง หนุ่มนักเรียนนอกหมุนตัวชมจิตรกรรมรอบๆตัวก่อนจะยิ้มและยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้
“น่าเสียดายนะครับ ทรุดโทรมไปเยอะ”
“ใช่ คนสมัยใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอดีตเท่าไหร่ ทั้งที่หากความจริงเราเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต เราก็จะเข้าใจอนาคตได้อย่างถ่องแท้” ผมตอบ
“คุณด้วงพูดเหมือนเป็นนักโบราณคดีเลยนะครับ” ไชยสุวรรณพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนที่จู่ๆ แสงสว่างในพระปรางค์ก็ดับลง

“เฮ้ย!!!” ผมอุทานพร้อมกัน
“เอาไงดีวะเนี่ย”
“เรารีบขึ้นไปเถอะครับ อยู่ที่นี่นานๆเดี๋ยวจะเป็นอะไรไป อากาศข้างในนี้มันน้อยกว่าปกตินะครับ” ผมบอก ก่อนจะกางมือควานหาลูกทัวร์ ทว่ากลิ่นอับรอบตัวเราทั้งสองคนกลับพลันจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกแก้ว
และแสงสว่างๆเล็กๆคล้ายๆเทียน ก็สว่างวาบขึ้น เบื้องหน้ามีภาพที่ปรากฏเหมือนกับจอภาพยนตร์และดำเนินเรื่องราวเหมือนกับในความฝันของผม

“ทองด้วงเอย พี่เห็นใจเจ้านัก แต่พี่ก็ยังปรารถนาให้เจ้าเอ็นดูดวงใจพี่เหมือนเช่นในอดีต” เสียงพระยาไชยดังมาจากข้างหลัง ทองด้วงหันไปตามเสียงก่อนจะเบนหน้ากลับไปมองริมฝั่งน้ำดังเดิม
“ข้าสงสารทุกคน ทั้งตัวข้าเอง พี่ทองไชย แลคุณหญิงด้วย เธอไม่รู้เรื่องอันใดเลย”
“ความรักความเสน่หาเป็นสิ่งที่ยากแก่การเข้าใจ หากพบพานคนที่ใช่แล้วดวงใจจักตอบได้เอง เหมือนที่พี่รู้สึกกับเจ้าตั้งแต่ที่พี่แตกเนื้อหนุ่มนั่นแล”
“แต่มันผิดจารีต พี่ทองไชยก็น่าจะรู้ดี”
“ใครเล่าเป็นผู้สร้างขนบเหล่านั้นขึ้นมา ทองด้วงของพี่ “พระยาไชยลูบพวงแก้มของทองด้วงอย่างทนุถนอม “เจ้ารู้หรือไม่ หากพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จักไม่ขอรับยศแลศักดินาใดๆเลยเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตกับเจ้าอย่างสุขสันโดษ”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยไหลรินลงที่หางตา แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุขับผิวนวลของเขาให้เด่นขึ้นมาหากแต่คราบน้ำตาทำให้หน้าขาวของเขาดูเศร้าหมองลง พระยาไชยถอนหายใจอย่างอาดูรกับภาพตรงหน้าก่อนจะโน้มศีรษะของกวีหลวงให้ซุกลงบนแผงอกของตนใต้แสงเหลืองนวลของดวงบุหลัน
.
.
.
 “ทองด้วง เจ้าถูกยิง!!!”
เจ้าของร่างชุ่มเลือดยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ท่านจงไปสมทบกับพวกทหารเถิดขอรับ เพลานี้อโยธยาศรีรามเทพนครถึงคราคับขันแล้ว อย่าได้ใส่ใจกระผมเลย”
“พี่จักทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้” พระยาไชยเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า
“อย่าได้เศร้าโศกไปเลยขอรับ ข้าดีใจแล้วที่เกิดมามิเสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นชายแลได้ตายเพื่อชาติ” ทองด้วงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะสำลักเลือดออกมา
“ทองด้วง เจ้าจักเป็นอะไรมิได้ เจ้าลืมสัญญาที่เจ้าให้ต่อข้าแล้วรึ พี่ยังใคร่ได้ยินคำว่ารักจากเจ้านะ”
ทองด้วงสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตั้งแต่กระผมเกิดมายังไม่เคยทำผิดสัญญาสักครั้ง แต่เห็นทีครานี้หากต้องรอให้เสร็จศึกคงจักไม่ได้ทำดังที่บอกพี่ทองไชยไว้...”
ร่างชุ่มเลือดนั้นถูกคนร่างกำยำผวากอดทั้งน้ำตา “พี่ไม่ใคร่ได้ยินในเพลานี้ เจ้าจงรอให้อโยธยาได้รับชัยชนะในศึกสงครามครั้งนี้เสียก่อน ดังนั้นเจ้าห้ามเป็นอะไรทั้งนั้น เจ้าได้ยินพี่หรือไม่!”
“กระผมคงต้องบอกพี่เสียตอนนี้แล้วล่ะครับ ผม....ร....”
ทองด้วงพูดอย่างยากลำบากด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา ก่อนที่พระยาไชยจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดหายไปที่ข้างพวงแก้มของตนเอง
“ทองด้วง!!!!”
พระยาไชยตะโกนสุดเสียง หากแต่เสียงนั้นกลับถูกกลบกลืนด้วยเสียงปืนใหญ่ของฝั่งพม่าที่ระดมยิงเข้ามา ผู้คนเริ่มวิ่งหนีอย่างโกลาหล วัดเวียงและพระราชวังเริ่มถูกเพลิงเผาไหม้และระเบิดเสียหายเป็นจำนวนมาก เสียงโห่ร้องโรมรันอันเกิดจากการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายดังโหวกเหวกน่ากลัวประหนึ่งอเวจีมหานรก หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดมิได้ทำให้พระยาไชยพรั่นพรึงแม้แต่น้อย เขารู้สึกประหนึ่งโลกหยุดหมุน มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาของตนกับลมหายใจที่สิ้นสุดลงของชายผู้เป็นประหนึ่งดวงใจซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า

“ลาก่อน ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ พี่เศร้าใจนักที่พี่ทำได้แค่ทอดกายทิ้งร่างไร้วิญญาณอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ แต่หากพี่มีวาสนาเพียงพอ ขอให้ชาติภพหน้าเราจงได้ครองรักกันอย่าได้มีอุปสรรคใดด้วยเถิด”
.
.
.
หลังจากที่เราเดินออกมาจากพระปรางค์ เราต่างคนต่างนิ่งเงียบและมานั่งพักกันที่ใต้ต้นโพธิ์ต้นเดิมที่เราเจอกัน
“คุณด้วง ....คุณเห็นเหมือนกับผม...ใช่มั้ย”
“ครับ”
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย คุณถึงเรียกผมว่า พี่ทองไชย” ไชยสุวรรณถามย้ำด้วยใบหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ผม...ผม...” ผมจนด้วยถ้อยคำ ผมก็ไม่รู้จะบอกกับเขาว่ายังไง ว่าผมฝันถึงเขามาตลอด
“ถ้าผมบอกว่าผมฝันถึงพระยาไชยสุริเยนทร์ที่หน้าตาเหมือนคุณมาตลอดที่ผมจำความได้ ถ้าผมบอกว่าผมเฝ้ารอเขามาตลอด คุณจะเชื่อผมหรอครับ!!!” ผมพูดทั้งหมดออกมา ก่อนจะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถอะ ผมบอกคุณหมดแล้ว คุณจะลืมๆมันไปก็ได้ ก็แค่นิยายน้ำเน่าเรื่องหนึ่งที่คุณบังเอิญได้ยินได้ฟัง”

ผมเดินหันหลังให้ด้วยดวงตาที่คลอน้ำใสๆ การรอคอยของผมสิ้นสุดลงแล้ว และความเจ็บปวดทั้งหมดก็ถูกทิ้งไว้ภายใต้ความทรงจำของผม....คนเดียว

“จะไปไหน!!!”

ผมถูกคว้าไหล่ตัวจากด้านหลังให้หันหลังกลับไป และพริบตานั้นร่างกายทุกส่วนของผมก็อยู่ในวงแขนของเขา
“ใช่นายจริงๆด้วย ทองด้วง ... คนที่ผมฝันถึง....ตลอดมา“



สายลมเย็นเยียบพัดโชยทำให้ใบโพธิ์แก่สีน้ำตาลอ่อนอ่อนปลิดใบไปทั่วบริเวณ
มือเล็กๆของคนในอ้อมกอดเอื้อมไปคว้าแผ่นหลังของอีกคนแน่นราวกับดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง
....และอสงไขยเวลาก็ถึงคราสิ้นสุดลง ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๔๗๔  

เข้ามาแก้ตอนจบ โดยเพิ่มตอนอวสานไป

ก่อนอื่นขอเล่าตอนจบเดิมคร่าวๆก่อน

คือหลังจากที่พระยาไชยสุริเยนทร์หลุดพ้น เหตุการณ์ก็ข้ามมาถึงร้อยปีต่อมา
โดยผมตั้งใจให้เป็นนิยายปลายเปิดว่า ชายหญิงสองคนนี้ คือพี่ทองไชยกับทองด้วงกลับชาติมาเกิดหรือไม่ ซึ่งพอมันขาดการอธิบายหลายๆอย่าง ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่า เอ๊ย พี่ทองไชยไปเอาน้องนีหรอเนี่ย

และอีกอย่าง นี่เป็นเรื่องแนว Boys love ดังนั้นผมจึงแก้ไขเป็นตอนจบแบบนี้
(ซึ่งผมรู้สึกว่าชอบกว่าแบบเก่า และน่าจะตรงใจกับใครหลายๆคน)

ปล. ปลายเปิดคงเป็นตอนจบที่ยากเกินความสามารถของผมไปสักหน่อย ขอโทษทุกคน มา ณ ที่นี้ด้วย
และขอโทษที่มาแก้ช้าไปนิด เพราะงานรัดตัวจนถึงวันนี้เลย
(นี่ก็แอบอู้มาเขียน ฮาๆ)

เอาเป็นว่า นี่จะเป็นตอนจบจริงๆแล้วครับ
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามตลอดมาครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-03-2012 12:25:11
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ภาษาสวยๆ ที่มอบให้กันครับ จะรอเรื่องต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 14-03-2012 21:02:22
จบแบบนี้ชอบค่ะ เป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการ ไม่ชอบตอนจบแบบปลายเปิด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 14-03-2012 21:15:28
ขอบคุณสำหรับตอนอวสานใหม่ :L2:
ชอบเวอร์ชั่นนี้ รสชาติกลมกล่อมมากกว่า
เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องหน้า
+1
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 14-03-2012 21:28:46
จบแบบใหม่ค่อยยังชั่วหน่อย ขอบคุณมากค่ะ  :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 14-03-2012 21:35:10
จบสวยเว่อวีว่า
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 14-03-2012 22:40:19
ชอบค่ะแฮปปี้ทุกฝ่าย

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 15-03-2012 01:32:45
จริง ๆ เข้ามาอ่านทันตอนจบแบบเก่า แต่เห็นว่าจะ edit เลยขอรออ่าน"ตอบจบของจริง"ก่อนล่ะกัน 
ซึ่งก็แต่งออกมาได้เจาะลึกและซาบซึ้งกว่าจริง ๆ ทั้งในด้านอารมณ์และรายละเอียดปลีกย่อย
ตอบโจทย์ในเรื่องความรัก ความผูกพันที่ลึกซึ้งถึงแก่นของวิญญาณได้โรแมนติกชะมัดเลย   :m1:

เราชอบตรงที่ชี้เฉพาะเจาะจงว่า พี่ทองไชย-น้องทองด้วง คนเดิม ๆ กลับมาหากันจนเจออีกครั้ง
เพราะมีการ Flashback ย้อนรอยความทรงจำให้ดูด้วย รับประกันไม่มีการผิดตัวแน่นอน  :m23:
ประหนึ่ง สวรรค์เมตตาประทานโอกาสให้ทั้งคู่มาสานต่อความรักในยุคที่ไม่ต้องมีจารีตใด ๆ มากีดกั้น
การรอคอยอันแสนยาวนานนับอสงไขยได้สิ้นสุดลงแล้ว เป็นตอนจบที่สว่างไสว เรืองรองจริง ๆ ค่ะ ( ซึ้ง o7 )
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 15-03-2012 06:43:29
จบสวยกว่าเดิมมากๆครับ

เอา+เป็ดไปเลย

 o13

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 15-03-2012 09:04:41
 :L2:จบแบบนี้ก็o.kนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 16-03-2012 13:40:14
เขียนดีมากเลยค่า

มีเสน่มากๆ น่าเขียนแนวนี้บ่อยๆนะ^^
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 16-03-2012 16:33:24
จบแบบสมหวังงงดีใจจ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 18-03-2012 20:49:30
น้ำตาไหลเลยค่ะ
เป็นการจบที่งดงามมาก o13

เป็นกำลงใจให้มีงานเขียนดีๆแบบนี้ออกมาอีกนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: tomodaging ที่ 18-03-2012 22:54:46
งดงามจับจิต ฮืออออออ~ น้ำตาจะไหลอ่า~
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zoochi ที่ 21-03-2012 04:17:17
 :bye2: :bye2:  ภาษาสวยมากค่ะ ไม่ค่อยมีใครแต่งแนวนี้

พอเห็นชื่อเรื่อง ก็คิดว่า ต้องใช่แน่ๆ จะได้อ่านประวัติศาสตร์ไทยอีกแล้วหรือนี่

แต่เสียดายที่เป็นเรื่องสั้นนะค่ะ อยากให้แต่งต่อภาคปัจจุบันจัง คงสนุกไม่น้อย

อ่อใช่อีกอย่างคือ กลอนแต่ละบทเพราะมากค่ะ  คนแต่งเยี่ยมามาก  o13 o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 21-03-2012 19:16:00
แวะมาชม ว่า ชอบบทกลอนในเรื่องครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 22-03-2012 12:47:38
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวดีๆ ภาษาที่เขียนผมชอบมาก
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 24-03-2012 11:19:07
ภาษาสวยมากคะ ประทับใจในความรักของทั้งสองคน ในที่สุดก็ได้อยู่ภพเดียวกัน
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 25-03-2012 22:02:07
จบทั้งแบบที่หนึ่งและแบบที่สองก็ดีมากทั้งหมดค่ะ
แต่ตามความคิดส่วนตัวชอบแบบที่สองกว่า เพราะมีที่มาที่ไป
และตามความคิดเล็กๆ ไม่อยากให้ด้วงในชาติที่สองต้องเสียใจกับการจากไปของพี่ทองไชย
แบบว่าอยู่ๆรักแล้ว แล้วอีกคนก็จากไปซะงั้น มันไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไหร่
เพราะสุดท้ายกลายเป็นสลับกันรอคอย ทรมานค่ะ
แต่พอจบแบบที่สองก็เป็นแบบว่า การรอคอยสิ้นสุดเสียที
แบบว่าความทรมานจะได้จบลงน่ะค่ะ ชอบมากๆ

อยากบอกว่าตอนอ่านช่วงแรกๆแอบกลัว กลัวว่าจะจบเศร้าจนเกือบไม่อ่านต่อ
แบบว่าชีวิตจริงก็เศร้าเรื่องความรักแล้ว พอมาอ่านนิยายคุณภาพแบบนี้ก็เศร้าอีก
 :sad4: :o12:
เลยต้องขอเวลาทำใจน่ะค่ะ  แต่สุดท้ายทนความสนุกไม่ไหนเลยต้องอ่านต่อ
แบบว่า เป็นไงเป็นกัน จะเศร้าก็เศร้า  เลยอ่านจนจบ สุดท้ายก็แฮ๊ปปี้ ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Homepage ที่ 22-04-2012 18:38:49
อ่านเรื่องนี้แล้วแอบได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ซะเยอะ ชอบภาษาที่คนเขียนใช้นะครับ
เรื่องราวในอดีตจบลงแบบเศร้าเกินกว่าจะรับไหว TT สงสารทั้งคู่เลย
,, ขอบคุณที่นำเรื่องราวดี ๆ แบบนี้มาแบ่งปันกันนะครับ (:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 22-04-2012 21:00:28
เข้ามาอ่านแบบรวดเดียวจบอีกแล้วฮะ ถ้ามารออ่านทีละตอนๆคงขาดใจก่อนแน่ๆ ฮาๆๆๆ
สรุปแล้วเลยไม่ได้อ่านตอนจบเวอร์ชั่นแรก ได้อ่านแต่เวอร์ชั่นล่าสุด
เราปลี้มเรื่องนี้มากๆ ภาษาหรูเริ่ดมากมาย ท่าทางคุณหนิงจะเหนื่อยพอตัวกว่าจะได้ภาษาแนวโบราณขนาดนี้มา
แต่สุดยอดไปเลยค่าาาาาาาาา  ชื่นชมจากใจ
:กอด1:
แล้วจะติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: charapin ที่ 26-04-2012 00:30:36
เป็นตอนจบที่ดีนะครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 04-05-2012 21:54:17
 :L1: น่ารักมากมายครับ  เป็นนิยายที่ภาษางดงามมาก  o13

คือหรือผมชอบอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ที่ทองไชย น่ารักอบอุ่น

ทองด้วงน่ารักมันทั้งสองชาติอ่ะ  :m12:

ขอชื่นชมคนเขียนเรื่องนี้นะครับ

เก่งมากๆจริง ผมรู้สึกดีที่ได้เสพนิยายที่ดีขนาดนี้

เรื่องตอนจบที่ผมไม่ได้อ่านก่อนจะแก้ใข

ผมก็รู็สึกว่ามันสวยงามนะครับ

เพราะผมมองว่า"ความรักไม่แบ่งเพศ"

แต่ตอนอวสานใหม่ก็แจ่มมากครับ  o13

แต่ผมสงสัยเรื่องอายุจัง หรือทองด้วงกลับไปเกิดใหม่อีกรอบ?

อ่อ ลืมพี่ยงไป น่าสงสารพี่เค้าเนอะ

แต่อย่าไปพรากของที่ททองทั้งสองเลย รอมาตั้งหลายร้อยปีขนาดนั้น

ขอบคุณมากครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 09-05-2012 15:38:38
ก่อนอื่นขอชมเชยเรื่องกลอนก่อน อ่านตอนแรกแล้วเกิดความสงสัยว่าไปหามาจากไหนหรือเปล่านี่
แต่เมื่อทราบว่าแต่งเองก็เกิดความอึ้ง ทึ่ง (ไม่เสียว)
ประทับใจมากครับ

การดำเนินเรื่องดูไหลลื่นดี ผมไม่ได้เป็นพวกอะไรกับประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวในอดีตมากก็คงไม่ได้มีอะไรให้ติได้ตรงนั้น
อ่านแล้วก็เห็นภาพความสวยงามในสมัยก่อนดีครับ

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าหวานกว่าเรื่องอื่นๆนะ แม้ว่าสุดท้ายจะมาสมหวังกันไกลไปหน่อย
ไม่รู้เป็นเพราะความละเมียดละไมของภาษาและตัวละครกรุงเก่าหรืออย่างไร
รู้สึกว่าทองด้วงช่างน่ารักเสียเหลือเกิน น่าทะนุถนอมเป็นที่สุด
ส่วนพี่ทองไชยออกแนวฮาๆ แบบหนุ่มอารมณ์ดีมากกว่า
จะมีก็แค่พี่ยงที่ดูเหมือนทำตัวไม่ค่อยถูกอยู่ร่ำไป ตกลงไม่รู้จะเอายังไงดีแน่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้วก็หายไปเฉยๆ

ก็นั่นแหละ น่าอ่านน่าติดตามเหมือนเคยครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 10-05-2012 19:07:32
มาไม่ทันตอนจบแบบแรก แต่ชอบตอนจบแบบหลัง
เรื่องนี้ให้ความรู้สึกหน่วงๆเศร้าๆ ปนหวาน
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Naenprin ที่ 15-05-2012 01:55:30
 :L2: :L1: สนุกมากคะ จะติดตามผลงานต่อไปนะค่ะ :3123: :bye2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 14-06-2012 20:28:07
เค้าไม่ทันตอนจบแบบเก่า  แต่... ไม่เป็นไร เพราะตอนจบแบบนี้ก็ซึ้งซะ มากมาย


ขอบคุณนะคะที่เขียนงานดีๆมาให้อ่านกันอีกแล้ว   o13

 
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 14-06-2012 23:33:14
จดๆ จ้องๆ ที่จะอ่านอยู่หลายที แต่ก็ไม่ได้อ่าน
เพิ่งมาได้อ่านวันนี้ พออ่านแล้วก็คิด มัวแต่ชักช้าอยู่นั่น
ได้อ่านเรื่องดี ๆ ช้าเลย
ชอบการใช้ภาษา สำนวนการเขียนมากๆ
แล้วจะติดตามผลงานอื่นๆ อีกนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 12-08-2012 09:18:27
 o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sp_infinity ที่ 18-08-2012 10:59:33
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:


ยังไงก็ต้องเสียน้ำตาให้นิยายคุณหนิงใช่มั้ยน๊อเรา

แต่ครั้งนี้เสียน้ำตาแบบซาบซึ้ง ตื้นตัน มีความสุขนะคะ


อ๊างงงงงงง ทองด้วงน้องพี่ >< สลบไปทั้งน้ำตาเลยเจ้าค่ะ

คือเราเองก็เป็นคนมีซัมติงกับอยุธยา อ่านเรื่องนี้ไปขนลุก น้ำตาไหลพราก

อาจจะเป็นนิยายของทองด้วง..และพี่ทองไชย
แต่เราเองอาจมีตำนานของตัวเองซ้อนอยู่ในนั้น  :monkeysad:

คือคั่นอารมร์วินหมอกมาอ่านเรื่องนี้ ... ฟินมว๊ากกกกกกก

ขอมอบเพลงนี้อีกเพลงประกอบนิยายเรื่องนี้นะคะ

http://www.youtube.com/embed/cIa3He4154M

เพลงอสงไขย

ปล.ขอชื่นชมอีกอย่าง กลอนซึ้งกินใจมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Pakarang ที่ 26-11-2013 21:27:47
ชอบเรื่องนี้มากกกก รู้สึกอินตามเลย
ร้องไห้จนปวดหัวเลย ซาบซึ้งมากกกกก
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Phoebus ที่ 03-11-2014 11:19:57
ชอบมากครับ o13 นึกถึงเพลงๆหนึ่งเลย
ช "รอคอยเธอมาแสนนาน ทรมานวิญญาณหนักหนา ระทมอยู่ในอุรา
แก้วกานดาฉันปองเธอผู้เดียว"
ญ "เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล ชายใดดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รักเธอแน่ใจจริงเชียว รักเธอรักเดียวนิรันดร์"
เพลง แต่ปางก่อน
ขอบคุณผู้แต่งมากๆ ครับ สำหรับนิยายสนุกๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 01-12-2014 13:35:10
นิยายสนุกมาก. ชอบแนวนี้

อยากได้อี๊ก.ก ก . :hao5:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 15-02-2015 18:38:11
สนุกมาก ๆ ครับ ชอบมากครับ รอตั้งหลายร้อยปีกว่าจะสมหวังในรัก

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 16-02-2015 01:42:51
ปลาบปลื้ม อ่านแล้วอยากไปเที่ยวที่อยุธยา รำลึกถึงความแต่หนหลังจังเลย
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 29-11-2015 20:59:14
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: นางสาวกานาเลส ที่ 01-12-2015 13:42:55
ชอบมากๆเลยค่ะ ซึ้งงง ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 17-01-2016 14:29:08
เรื่องสนุกมากอยากให้มีต่อแบบภพต่อไปไรงี้จัง
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 23-01-2016 22:57:20
ต้องบอกก่อนเลยว่าถึงเนื้อหาจะไม่มาก....แต่ทุกตอนติดตาตรึงใจเรามากเรารักตัวละครทุกตัวในเรื่องเราอินกับความรู้สึกของตัวละครได้ไม่อยากภาษาที่คุณแต่งสวยงามมากได้อารมณ์ในการอ่านมาก
ตอนจบตอนแรกเศร้าได้ใจมาก แต่ที่มาลงใหม่เรามีความสุขมากกับการจบที่สมหวัง
ขอบคุณคุณลำนำบุหลันครวญ มากสำหรับนิยายย้อนอดีตแบบนี้มันยากที่จะแต่งแต่คุณประสบความสำเร็จแล้วนะเราว่าเพราะผลงานคุณดีมาก
#อิฐเก่าเล่าตำนานจะอยู่ในใจเราตลอด 23:02  23/01/2559 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 30-05-2017 09:56:06
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
รักพี่ทองไชยและทองด้วง
เศร้ามากอะ

ขอบคุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 01-06-2017 23:58:31
ภาษาสวยดีค่ะ  :mew1: