บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 20 “กรหยก”
ก่อนที่ใครสักคนจะคิดเลยเถิด จะคิดให้มันมากกว่านี้ มันคงไม่ดีเท่าไหร่
ผมเดินออกมาจากห้องครัวไม่สนใจเสียงพี่กฤษที่ร้องเรียก เจอป้านวลที่เป็นแม่บ้านของที่นี่กำลังกวาดพื้นอยู่ตรงโถงกลางโรงแรมผมก็ถามหาน้องพลอยทันที ป้านวลบอกว่าเดินออกไปที่ระเบียงท่าน้ำฝั่งบ้านโน่นคือด้านข้างของร้านอาหารนั่นเอง ผมขอบคุณป้านวลแล้วเดินไปหาน้องพลอยทันที
ผมกำลังจะเปิดประตูออกไปที่ท่าน้ำ แต่รู้สึกเหมือนน้องพลอยไม่ได้ยืนอยู่เพียงคนเดียว และเหมือนกำลังคุยอะไรกับใครสักคนที่เหมือนจะเป็นกระเทย ด้วยน้ำเสียงห้าวแบบผู้ชายที่บีบเสียจนเล็กแหลมกำลังร้องโวยวายออกมา ผมจึงตัดสินใจไม่ดันประตูออกไป
“นังพลอย...นี่แกกล้าดียังไงไปเรียกชั้นว่าเจ๊ ต่อหน้ากฤษกับหยกเค้าแบบนั้น แกเห็นไหมว่าหยกเค้าทำหน้ายังไง” เสียงพี่ทองหล่อดังขึ้น ผมต้องตะลึงด้วยความงง นี่พี่ทองหล่อเป็นเกย์สาวหรอกเหรอ ดูภายนอกไม่มีอาการแสดงออกถึงความเป็นเกย์เลยแม้แต่น้อย แถมยังมีผิวเข้มแบบผู้ชายไทย หน้าตาก็หล่อคมแบบพระเอกหนุ่มไทยแท้อีกต่างหาก
“แหม...ไม่นานพี่หยกก็รู้เองล่ะว่าพี่ทองเป็นพี่สาวหนู พี่ทองเวลาโกรธขึ้นมาแล้วแอ๊บอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วนี่ไม่ต้องมาโกรธหนูเรื่องนี้เลยนะ ทีเจ๊ไปทำท่าทำทางฟึดฟัดยังกับหึงหวงพี่กฤษแบบนั้น ทั้งที่ตอนนี้พี่กฤษก็เป็นผัวน้องหยกเค้าไปแล้วนะเจ๊ ที่ท่าทางที่ตัวเองแสดงอกมาหนูยังไม่อยากจะพูดเลย...เชอะ” น้องพลอยพูดจบ ผมก็ต้องรีบเอามือปิดปากนิ่ง ตกใจกับเรื่องไม่คาดคิดที่ได้ยินตอนนี้
“อีพลอย...ฉันกับกฤษตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ตอนนี้ฉันกับกฤษเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ฉันไม่ได้คิดอะไรกับมันแล้ว นี่แกยังจะมารื้อฟื้นหาอะไร ฉันไม่ได้หึงเหิงอะไรย่ะ อย่าให้รู้นะว่าแกเอาเรื่องนี้ไปบอกหยก ไม่อย่างนั้นแกจะโดนเจ๊ตบ” พี่ทอง...นี่ พี่ทองเคยเป็นอะไรกับพี่กฤษกันแน่ แล้วพี่กฤษก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังอีกด้วย ผมคิดในใจแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ค๊า...ไม่หึงเลย หนูเชื่อตายล่ะ ท่าทางเจ๊ยังกะจับได้ว่าผัวไปมีเมียน้อยแล้วพูดไม่ออก เห็นอะไรก็พาลไปหมดแบบนั้น หึ...ใครจะเชื่อ” สิ่งที่น้องพลยพูดยิ่งตอกย้ำให้ผมได้คิดไปไกลจนไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ออกมามากแค่ไหน ทำไมผมต้องเสียใจขนาดนี้ ผมรักผู้ชายคนนี้จริงๆ แล้วทำไมต้องมารับรู้เรื่องราวอะไรแบบนี้ ผมว่ามันเร็วเกินไป ผมกำลังมีความสุขดีอยู่แท้ๆ
ไม่ได้คาดคิดว่าจะโดนพี่กฤษหลอกว่าผมเป็นผู้ชายคนแรก ทำไมต้องหลอกกัน แค่ตอนนี้พี่กฤษอยู่กับผม เรารักกันผมก็พอใจแล้ว ถึงแม้พี่กฤษจะมีใครมาก่อนผมไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ผมไม่ได้สนใจเพราะผมก็ผ่านการมีใครคนอื่นมาแล้วเหมือนกัน แต่...ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องมาปิดบังกันด้วย ถ้าเรื่องแค่นี้ยังต้องปิดบังไม่ให้ผมรู้ แล้วเรื่องอื่นผมจะไว้ใจได้อย่างไร ผมคิดได้ดังนั้นเดินออกมาจากประตูระเบียงท่าน้ำทันที ไม่อยากฟังอีกแล้วว่าสองพี่น้องจะคุยอะไรกันต่อ
“อ้าว...คุณหยกเป็นอะไรไปคะ แล้วนี่ร้องไห้ทำไม” เสียงป้านวลที่เห็นผมร้องไห้เดินปาดน้ำตาออกมา ทักเสียจนเสียงดัง จนสองคนข้างหลังที่ยืนคุยกันอยู่ที่ท่าน้ำ เปิดประตูระเบียงเดินตามผมมาทันที ยังดีนะที่พี่กฤษยังทำอาหารอยู่ที่ในครัวด้านหลังอีกฟากหนึ่งของโรงแรม ผมรีบส่ายหน้าว่าไม่เป็นแล้วเดินเร็วๆ เพราะไม่รู้จะไปไหนดี ก็เลยคิดว่าจะไปนั่งที่ชุดรับแขกฝั่งร้านขนมเพื่อสงบสติอารมณ์
“พี่หยก...พี่หยกคะ เป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” น้องพลอยที่เดินมาด้วยท่าทีร้อนรนจนทันผมที่ยังไม่ทันถึงชุดรับแขกดี พยายามดึงแขนผมให้หันกลับมา เจอน้องพลอยที่ทำสีหน้าเป็นกังวลกับอาการของผม
“พี่...เอ่อ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมรีบปาดน้ำตาออกทันที แล้วยิ้มให้น้องพลอย จนมองเห็นพี่ทองที่ยืนอยู่ข้างหลังทำสีหน้าตกใจพอสมควรที่เห็นน้ำตาผมไหลออกมาแบบนั้น
“เมื่อกี้...หยก แอบฟังพี่กับพลอยคุยกันใช่ไหม” พี่ทองเดินเข้ามาใกล้เอ่ยปากถามออกมาเบาๆ แล้วบอกป้านวลที่กำลังยืนงงอยู่ข้างๆ ว่าไม่มีอะไรให้ไปทำงานต่อแล้วหันมาสั่งน้องพลอย
“พลอยพาหยกขึ้นไปคุยกันข้างบน” พี่ทองสั่งเสียงเข้มแล้วเดินนำเราสองคนขึ้นไปชั้นสอง น้องพลอยก็ได้แต่ทำหน้าเสียพยายามดันแขนผมให้ตามพี่ทองขึ้นไป จนเราเดินเข้ามาในห้องมุมสุดที่มีประตูสีส้มสดตัดกับขอบวงกบสีขาว ผนังบนชั้นสองก็ทาสีฟ้าสดใสเหมือนตัวบ้าน
“หยกเข้ามาคุยกันในห้องของพี่ก่อนนะ แล้วพี่จะอธิบายให้หยกฟังทั้งหมด” พี่ทองใช้กุญแจห้องไขลูกบิดแล้วเปิดเดินนำผมกับน้องพลอยเข้าไปในห้อง พอผมกับน้องพลอยเข้ามายืนตรงกลางห้อง เจ้าของห้องก็เดินไปล็อกประตู แล้วบอกให้ผมกับน้องพลอยนั่งลงบนเตียง ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดตัดกับสีผ้าห่มลายดอกไม้หลากสี ตรงมุมเตียงมีตุ๊กตาหมีและกระต่ายน่ารักวางอยู่
ห้องนอนของพี่ทองทาด้วยสีส้มอ่อนดูร้อนแรงดี แล้วมีม่านลูกไม้สีขาวตรงหน้าต่าง บนโต๊ะเครื่องแป้งมีเครื่องสำอางวางอยู่เต็มจนเกือบล้นโต๊ะ อีกทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก มีครบชุดจนดูสะดวกสบาย ผนังห้องมีกรอบรูปครอบครัวทำด้วยไม้ทาสีส้มสลับขาวประดับอยู่ ทั้งรูปงานรับปริญญา และงานวันเกิด ดูจากในรูปแล้วท่าทางคุณพ่อคุณแม่พี่ทองกับน้องพลอยจะเป็นคนใจดีอย่างที่พี่กฤษเล่าให้ฟังจริงๆ และเหมือนจะสังเกตได้ว่าพี่ทองเป็นคนชอบสีส้ม เพราะเห็นทุกอยางแทบจะเป็นสีส้มไปหมดทั้งห้อง
ส่วนพี่ทองเดินไปลากเก้าอี้โต๊ะเล็กมีล้อเลื่อนหน้าเครื่องแป้งมานั่งใกล้ผมกับน้องพลอยแล้วถอนหายใจออกมาเสียงดัง บรรยากาศน่าอึดอัดจนผมรู้สึกไม่อยากนั่งอยู่นาน แล้วตอนนี้น้ำตาผมก็หยุดไหลไปแล้ว อีกอย่าง ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่ทองเลยถ้าจะเคยเป็นอะไรกับพี่กฤษมาก่อน เพียงผมรู้สึกเสียใจกับคำหวานของคนรักที่โกหกว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกของเค้าเท่านั้นเอง
“พี่ทองจะพูดอะไรก็รีบพูดสิคะ เดี๋ยวพี่กฤษก็ขึ้นมาตามหรอก” น้องพลอยเหมือนสังเกตได้ถึงอาการอึดอัดของผม ผมจึงก้มหน้าไม่อยากสบตาใครในตอนนี้
“น้องหยก พี่ขอโทษนะที่แสดงท่าทางไม่ดีออกไปวันนี้” พี่ทองเอ่ยออกมาหลังจากนั่งเงียบไปสักครู่
“ไม่เป็นไรครับ หยกเข้าใจ คนเคยรักกันแล้วต้องมาเจอกันทุกวันยังไงก็คงจะมีเยื่อใยกันอยู่” ผมพูดออกไปพาลน้ำตาจะไหลลงมาอีกรอบ
“เอ่อ...หยก...พูดเรื่องเยื่อใยอะไร” พี่ทองทำหน้างงแล้วถามผมออกมาทันที
“อุ๊ย...หนูว่า พี่หยกกำลังเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ เลย เจ๊ของหนูเค้าไม่ได้เป็นเมียพี่กฤษแบบพี่หยกนะคะ จะได้มามีเยื่อยงเยื่อใยอะไรกัน” น้องพลอยที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้นมาบ้าง ทำให้ผมต้องงงแล้วหันหน้าไปมอง
“พ่อแม่พี่เค้าเป็นอาจารย์ ทุกปีมหาวิทยาลัยที่ท่านสอนจะพาครอบครัวของอาจารย์มาเที่ยวประจำปี มีอยู่ปีหนึ่งมหาลัยพาเรามาที่อัมพวาเมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น พี่กับกฤษเจอกันที่นี่ครั้งแรกตอนที่แม่พี่พาไปซื้อน้ำตาลมะพร้าวไปเป็นของฝากเพื่อนๆ คณะอื่นที่ทำงาน กฤษมาช่วยยายขายของเค้าพูดจาเชิญชวนแม่พี่ใหซื้อน้ำตาลแล้วชิมน้ำตาลสด จนแม่พี่ชมใหญ่ว่ากฤษเก่งและน่ารักก็เลยเหมาของที่ยายกฤานำมาขายจนหมด” พี่ทองเล่าเรื่องราวในอดีตให้ผมฟัง จนน้องพลอยที่เห็นว่าขึ้นมาข้างบนนานแล้วก็ขอตัวลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมรับลูกค้า แล้วปล่อยให้ผมปรับความเข้าใจกับพี่ทองเพียงลำพังสองคน
“หลังจากคราวนั้นพี่รบเร้าให้พ่อกับแม่พามาที่นี่บ่อยๆ และทุกครั้งพี่จะไปช่วยกฤากับยายขายของจนพี่กับกฤษเป็นเพื่อนกัน พี่แอบชอบมันตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ แต่มันไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชอบมัน จนกระทั่งโรงแรมหลังนี้เค้าเซ้งกิจการและพี่เรียนจบพอดีจึงขอพ่อกับแม่มาเปิดโรงแรมที่นี่ พ่อพี่เป็นคณบดีแล้ว ส่วนแม่พี่ก็สอนทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท ท่านทั้งสองจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมาดูที่นี่ พี่เลยขอให้พ่อกับแม่พี่รับพี่กฤษมาช่วยงานเรา” พี่ทองเป็นฝ่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาบ้างที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง
“พี่ดีใจมากที่กฤษยอมมาช่วยงานเราที่โรงแรม และพี่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันกับกฤษ ก่อนหน้านั้นพี่จะได้เจอกับกฤษแค่เดือนละครั้งเพราะพ่อแม่พี่ท่านไม่ค่อยว่างพามาเที่ยวที่นี่ พอพี่เริ่มเรียนมหาลัยพี่ก็มาเองทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ตอนนั้นพี่คิดว่าฝันของพี่เป็นจริงแล้วหลังจากรอเวลานี้มาเป็นสิบปี” พี่ทองน้ำตาซึมออกมาบ้างเมื่อเล่ามาจนถึงจุดนี้
“วันนั้นที่เราเปิดกิจการวันแรก คุณพ่อคุณแม่พี่และญาติ ไหนจะเพื่อนของท่านและเพื่อนของพี่กับน้องพลอยอีก เรารับแขกกันเยอะมาก คุณยายกฤาก็มาช่วยทำอาหารเลี้ยงแขกจนทุกคนต่างชมกันใหญ่ หยกรู้ไหม...พี่แอบคิดว่ามันเหมือนงานแต่งงานของพี่กับกฤษเลย หึหึ...พี่มันบ้าไปเองทั้งนั้น” พี่ทองน้ำตาไหลลงมาอย่างต่อเนื่องเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ผมไม่รู้จะปลอบยังไงเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก
“คืนนั้น...พี่กับกฤษเหนื่อยมาก พ่อมี่และคนอื่นๆ กลับกรุงเทพฯ กันตั้งแต่สามทุ่ม ส่วนกฤษไปส่งยายที่บ้านแล้วยังต้องกลับมาช่วยพี่ทำความสะอาดเก็บกวาดล้างจานกว่าจะเสร็จก็เกือบตีสองแล้ว นี่แหล่ะความน่ารักของกฤษมัน พอน้องพลอยก็ขึ้นไปนอนบนห้องเรียบร้อยพี่เลยชวนกฤษไปนั่งดื่มเบียร์ที่ท่าน้ำ กฤษกับพี่พูดคุยกันอย่างมีความสุขแล้วก็เริ่มเมาเพราะพี่ตั้งใจจะมอมเหล้ามัน” พี่ทองเล่ามาถึงจุดนี้ก็มองหน้าผมแล้วทำหน้าเศร้าลงไปอีก ผมไม่พูดอะไรเพราะอยากฟังเรื่องราวต่อไป
“พี่พามันขึ้นมานอนบนเตียงนี้ล่ะ แล้วพี่ก็เช็ดตัวให้มัน...ปัง...ว๊ายยย...แหก...ตกใจหมด” พี่ทองหยุดเล่าแล้วเอามือทาบอกด้วยความตกใจเพราะเสียงถีบประตูอย่างแรงดัง “ปัง” ผมเองก็ตกใจจนต้องหันไปมองที่ประตู
“ไอ้ทอง...มึงพูดอะไรกับหยก ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะมึงก่อนที่กูจะพังประตูเข้าไปกระทืบมึง...เร็ว” เสียงพี่กฤษตะโกนดังลั่นท่าทางโมโหมาก จนผมตกใจและงงว่าพี่กฤษกลัวว่าพี่ทองจะพูดอะไรกับผม หรือไม่อยากให้รู้ว่าพี่กฤษกับพี่ทองเคยเป็นอะไรกันมาก่อน