Inert 9เรื่องเมื่อวันก่อน เข้าถึงหูแม่
ก่อนจะตามมาด้วยยาอีกขวด
“…..”
ถึงจะพูดอะไรออกไป ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไปไม่ได้
ริมฝีปากสีแดงก่ำจากลิปสติก ขยับขึ้นลง ส่งเสียงออกมา สมองไม่รับรู้
ไม่เห็นประโยชน์ใดๆจากยา แต่ก็ยังถูกคะยั้นคะยอให้กินอยู่เสมอ
ยานั่น เพื่ออะไรกันนะ…
ความสงสัยผุดขึ้นในส่วนที่เคยยิ่งเฉย
เพราะไม่เคยมีความสงสัย คำถามจึงไม่เคยเกิดขึ้น
แต่ถึงมีคำถาม ก็ยังเฉื่อยชาที่จะหาคำตอบ
“กินนะไผ่ มันจะทำให้ไม่เครียดมากตอนอ่านหนังสือ”
ไม่ได้ถูกนำมาเพื่อจุดประสงค์อื่นนอกจากการเรียน
เข้าใจเจตนาที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นดี
รอยยิ้มหลอกลวง อยู่คู่กับดวงตาที่เรียบสนิท
บางทีก็เข้าใจที่มาของสายตาตัวเอง
เหมือนแม่ไม่มีผิด
ดวงตาคู่ที่จ้องมองตามมือที่เอื้อมออกไปรับยานั่น แล้วเอาเข้าปาก
ยกแก้วขึ้น
กัดยานั่นไว้ระหว่างกราม กลืนน้ำลงไป ผ่านยารสขม
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสายตาที่มองตามทุกก้าว
เห็นภาพดวงตาคู่นั้นในความคิด โดยไม่จำเป็นต้องหันไปมอง
กลับเข้าไปในห้อง คายยานั้นออกมา
ยาเม็ดสีขาว เริ่มอ่อนตัวลง กดชักโครก ยานั่นก็หายไป หายไปในวงน้ำที่หมุนและยุบตัวลงไปเรื่อยๆ
บ้วนปาก รสขมเจือจาง กวักน้ำขึ้นลูบหน้า
เห็นเสี้ยวหน้าของตัวเองในกระจก
แว่นที่บดบังพื้นที่ส่วนใหญ่ไป ดวงตาที่เรียบเฉย ดำสนิท ริมฝีปาก ที่ไม่เคยมีรอยยิ้มมาเยือน
จำไม่ได้ตอนเด็กๆ เคยมีรอยยิ้ม ความสดใสอยู่บนนี้หรือเปล่า
จำเรื่องราวตอนเด็กๆไม่ได้
เหมือนความทรงจำบางส่วน ถูกดึงออกไป สูญหาย ไปในตัว
เรื่องบางเรื่อง อาจดีแล้วที่หายไป
นอกจากความทรงจำที่ควรจะหายไป
อีกสิ่งที่สมควรจะหมดไปจากโลกนี้สักที
….แตะเงาสะท้อนตัวเองในกระจก และก็ได้พบกับคำตอบ
………………………………
…………………………
เวลาไม่เคยสนใจใคร
มันผ่านไปเรื่อยๆอย่างที่มันต้องการ
บ่อยครั้ง ที่รู้สึกตัวอยู่ในห้องเรียนที่ไร้เสียง เหมือนเป็นคนเดียวที่มีสติในห้วงนั้น ในห้วงที่ทุกคนตะกละในความรู้ กอบโกยทุกสิ่งด้วยแรงทั้งหมดอย่างน่ากลัว
ในวังวนเดิมๆนั่น มองเห็นอีกคน ที่มีท่าทีต่างจากคนอื่น
คิม
นั่งอยู่เกือบริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก ทำท่าทีเฉยเมยต่อความละโมบในห้อง ทั้งๆที่ปกติ น่าจะเป็นคนที่มีสิ่งนั้นมากที่สุดแท้ๆ คะแนนที่ร่วงลงมา ก็มีคิม ที่ขึ้นไปยืน ณ จุดนั้นแทน
“ไผ่ มีอะไรหนักใจหรือเปล่า?”
“ไม่”
“หรอ? แค่คิดว่าช่วงนี้ไผ่ดูแปลกๆไปน่ะ”
“….”
ต้องการคำตอบแบบไหน?
รอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของคิม เห็นแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกอยู่
จะไม่มีซ้ำสองอีก
“เออ จริงสิ อันนี้โน้ตช่วงที่ไผ่หายไป จะยืมไปอ่านหรือเปล่า”
“หายไป?”
“ก็ วันที่ไผ่ไปนอนอยู่ห้องพยาบาลไง”
ส่ายหน้าปฏิเสธ ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ไม่อยากเห็นสายตาที่กำลังสื่อความจริงใจออกมา เริ่มต้นเหมือนกันทุกคน
“เย็นวันศุกร์จะมีซ้อมแสตนด์ครั้งแรก อยู่ด้วยกันสิ”
“…มีงานอื่นแล้ว”
“ไผ่ทำอยู่ฝ่ายไหนนะ? เราจำไม่ได้”
ตอบไม่ได้
เพราะไม่เคยสนใจเรื่องในห้อง ถึงไม่เคยรู้
พอเงียบไปนาน คิมก็ลุกไปจากเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ดึงแฟ้มออกมา หาใบรายชื่อ แล้วเดินกลับยื่นให้ดู
“นี่ไง ฝ่ายเชียร์ ก็คงต้องขึ้นแสตนด์เหมือนกัน”
“…..”
“ไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานกับเพื่อนไม่ได้หรอกนะ เราอธิบายให้หมดแล้ว”
“…มันไม่ใช่เรื่องของนาย”
“….”
คิมไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนคนอื่นๆ
ถึงแม้จะมีอาการแปลกใจ ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หัวเราะแห้งๆแล้วเดินถอยออกไป
ไม่ได้ทำตามที่ต้องการ
พื้นที่ส่วนตัว
ถูกคนสองคน ทำลาย ไม่สนใจเสียงร้องครวญครางที่เงียบสนิทนี้
หลุบตาลง
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
หัวใจที่เน่าเปื่อย ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครสงสาร
ไม่สิ ไม่น่าใช่ความสงสาร ใช้คำว่าสมเพช บางทีอาจจะเหมาะสมกว่า
“มันสนุกแน่ เชื่อฉันสิ กีฬาสีน่ะ ไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอกนะ”
กิจกรรมทางสังคมชนิดหนึ่ง
ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอาศัยการสื่อสารเพื่อเข้ากลุ่มหลอกๆทางจิตวิทยานั่น ก็อยากจะถอนตัวจากความเป็นมนุษย์ ย้อนหลังวิวัฒนาการ กลับคืนสู่ความว่างเปล่า
คิมได้รับความเงียบแทนคำตอบ และจากไป
เวลาหมุน บิดเบี้ยว ตามเข็มนาฬิกาที่คนอยู่บนหน้าปัด
รองเท้าพละสีดำตรงหน้า
ไม่ได้เงยหน้ามอง ก็รู้ว่าใคร คล้ายกับเดจาวู มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย เสียจนใกล้เป็นกิจวรรตประจำวัน
“วันนี้ต้องกลับบ้าน”
“กลับไปทำไม?”
“….”
บ้านหรือ
ที่ไหนที่เรียกว่าบ้าน สิ่งก่อสร้างนั่นหรือเปล่า
“มีใครรอนายอยู่หรือไงไผ่ ที่บ้านหลังนั่นน่ะ?”
ไม่มี
มีแค่แม่ที่ซึมเศร้า กับพ่อ ที่ทำงานหนัก
ความสัมพันธ์ที่ถูกผูกมัดเข้าด้วยสายเลือด
น่าอึดอัด ที่แห่งนั้น ไร้อากาศ
“ถ้าไม่มีใครรอ ก็ไม่ต้องกลับไปหรอก”
“ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน…”
ดังนั้น
ถ้าเลือกได้ อยากจะกลับไปอยู่ในที่แบบนั้นเสียดีกว่า
ไม่ปลอดภัย
สัญญาณดังเตือนในหัว ทุกครั้งที่จอห์นเดินเข้ามาใกล้
พออีกฝ่ายยื่นมือออกมา ก็ถอยหลังกลับหนึ่งก้าว เป็นปฎิกริยาตอบสนองโดยธรรมชาติ
“หึ”
มือสองข้าง บีบเข้ากับต้นแขน จับแรงเสียจนเจ็บ
สีหน้าเรียบเฉย
เจ็บหรือเปล่านะ หรือแค่คิดไปเอง
“นายไม่เจ็บหรือไง?”
“….ไม่”
“ถึงจะบีบแรงแบบนี้ ก็ไม่เจ็บงั้นหรือ”
เล็บจิกลงมาผ่านเสื้อ
ผ่านเนื้อผ้า ที่เต็มไปด้วยช่องว่างมากมาย อารมณ์บางอย่างส่งผ่านเข้ามา
“ฮะ…ฮะฮ่า นายกำลังตัวสั่น ไผ่ นายไม่รู้สึกตัวหรือไง”
รู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ยกมือขึ้นมอง แม้แต่ปลายนิ้ว ยังสั่นระริก
“นายกลัว นายกลัวฉัน ไผ่ หึ กลัวจนตัวสั่นเลยหรือไง?”
ต้นแขนชา
แต่แรงนั่นก็ผ่อนลง
เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินผ่านข้างหลังไป มีสองสามคนที่หันมามอง แล้วเดินต่อไป
ไม่สนใจ
ไม่มีใครยื่นความช่วยเหลือมาให้ ในหลุมดำมืดที่ไร้ก้น
ตกลงมานานแค่ไหนแล้วนะ
นานเสียจน ลืมไปเสียแล้ว ว่าความสว่างที่ปากหลุมนั่นเป็นเช่นไร
“กลับกับฉัน”
คำสั่งบงการเส้นเชือกที่มองไม่เห็น
ก้าวเท้าตามไปอย่างเงียบเชียบ
…………………………………………
…………………………….
กีฬาสี
วุ่นวาย เสียงสูงต่ำ ภาพรอบตัวเหมือนหมุนไปเรื่อยๆ หาที่ให้สายตาได้จับจ้องไม่ได้
นั่งอยู่ที่หลังแสตนด์ ไม่มีใครเข้ามาเรียกให้ไปช่วยงาน หรือแม้แต่ผู้ชายคนนั้น ที่ยกแผ่นไม้คนเดียวจนทับข้อเท้า ทั้งๆที่มองมาทางนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียก
หรือจะไม่มีใครเห็น
บางที การมีตัวตนอยู่ ณ ตรงนี้ อาจเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
โกหก ว่ามี ”ทิวไผ่” อยู่บนโลกใบนี้
“อ้าว ไผ่ ว่างอยู่หรือเปล่า”
การนั่งเฉยๆ เป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคำถามนี้
“มาทางนี้หน่อยสิ มาช่วยงานหน่อย”
เดินตามเสียงเรียกของคิมไป เพราะเป็นสังคมที่มีการจัดลำดับชั้นอยู่ การไม่ทำตามสิ่งที่ผู้เหนือกว่าบอก อาจจะมีการลงโทษทางสังคมเกิดขึ้น ไม่อยากให้ชีวิตต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายนั้น
ยกกล่องที่ข้างในมีขวดน้ำอยู่ จากที่แห่งหนึ่งไปสู่อีกแห่ง มีคนยกไม่กี่คน ไม่เข้าใจ ทำไมถึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า
“เฮ้ย อย่างนายน่ะ ยกสองลังไม่ไหวหรอกนะ ตัวหักพอดี”
“…”
“ถามจริงเถอะไอ้คิม ไอ้นี่มันพูดได้หรือเปล่าวะ?”
“ถามเจ้าตัวเองสิ”
ยกเพียงลังเดียวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว
เดินกลับมาอีกครั้ง ที่ๆเคยเป็นที่ตั้งของลัง ว่างเปล่า
“หมดแล้วล่ะ เออ เหลืออีกงานนึง ไผ่เอานี้ไปเก็บที่สโตร์ให้หน่อยสิ”
กล่องเปล่า
ยกกล่องนั้นไป ไม่มีน้ำหนักของกล่องที่ถืออยู่ เดินตัดผ่านสนามฟุตบอล แดดอ่อนแรงลง เงียบสนิท ที่ๆเคยมีคนอยู่ ตอนนี้มีเพียงถนนว่างเปล่า
แดดเป็นสีส้ม
ได้ยินเสียงฝีเท้า หันกลับไป เผลอถอยออก แต่มันกลับว่างเปล่า
หูฝาด
ไม่มีใคร
ตามองต่ำจนเป็นนิสัย ไม่เห็นเงาใคร
สโตร์ประจำสี อยู่ในมุมลึกสุด ของวางไม่เป็นระเบียบ ประตูไม่ได้ล็อก หาที่ว่างแล้ววางกล่องนั้นไป
ลังตะปูร่วงลงมา
ยืนมอง ไม่รู้สึกว่าต้องเข้าไปเก็บ หมุนตัวกลับ
เดินมาถึงประตูที่ปิดลง
หมุนลูกบิด
เปิดไม่ออก
ลองเปิดดูอีกครั้ง แต่ลูกบิดไม่หมุน
ถูกล็อค สโตร์เป็นที่ๆกุญแจจะถูกล็อกจากด้านนอก
ไม่ได้พยายามต่อ เพราะรู้ ว่าเป็นการพยายามที่ไร้ประโยชน์
ทำไปก็เท่านั้น
วันนี้เป็นวันศุกร์ เสาร์กับอาทิตย์ โรงเรียนปิด
อย่างเร็วที่จะได้ออกจากที่นี่ คือวันจันทร์
มีเพียงแสงสีส้มที่ลอดผ่านแนวอิฐที่แตกอยู่ทางมุมผนัง ที่เป็นแสงสว่างเดียวในที่แห่งนี้
นั่งลงกับพื้น
กอดเข่าไว้ ไม่สนแม้แต่ความหวังที่จะให้ประตูนั้นเปิดออก
ที่แห่งนี้ สงบและเงียบ
มีเพียงเขา ลำพัง
มือถือที่อยู่ในกระเป๋านักเรียน อาจจะสั่น หรืออาจจะอยู่เฉยๆ
ทิวไผ่หายไป
จะมีใครคิดตามหา
ไม่มี
เพราะเป็นคนที่จะอยู่ หรือจะไม่มีก็ได้ จึงไม่มีใครให้ความสนใจ
ไม่มีแม้สักคน….……………………………………..
…………………………
[Inert 9:complete]
[17.4.55]
เอิ่ม นานมาก

วันนี้ Down กำลังดี เขียนเรื่องนี้ กำลังเหมาะ
