Lesson 110
( Autt Part )
“พรหม ป๊อป ฮือๆๆ” ผมร้องไห้สะอื้นอย่างไม่อายใครกับภาพที่พึ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ มันเหมือนใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มจนทะลุพื้นดินหายไป ทำไมถึงทำแบบนี้ ผมถึงกับล้มทั้งยืนแต่มีวินเข้ามาประคองผมจึงกอดวินไว้เป็นที่ยึด มันหมดเรี่ยวหมดแรงไปหมด
“ไม่เป็นไรนะอัท...ไม่ต้องร้อง...เข้มแข็งไว้สิ” พี่ตัสเข้ามาปลอบผมแต่สภาพพี่แกเองก็ไม่ต่างจากผมเท่าไรนัก พี่เบิร์ดยังต้องประคองอยู่เลย
“ไม่!!!!!!!! ป๊อปลูกพ่อ/แม่”
“พรหมลูกพ่อ/แม่!!!!!” ต่างฝ่ายต่างเรียกชื่อลูกของตัวเองแล้วก็ปล่อยสายน้ำออกจากตา ไม่แปลกก็ลูกเค้าทั้งคนนี่เนอะ
“ฮือ...ฮึก.....เพราะพวกแกไอ้พวกวิปริต แกมันพวกผิดเพศเกิดเป็นผู้ชายดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันไปหมด!!!!!” แม่ป๊อปหันมาตวาดใส่ทางผม ซึ่งพ่อของป๊อปก็ห้ามปรามเอาไว้ แต่เหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะพี่ตัสมีท่าทีที่โกรธมากอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษทีเถอะ พวกผมเป็นแบบนี้มันหนักสมองซีกไหนของคุณนายไม่ทราบ” พี่ตัสพูดท่าทางขึงขัง ขนาดพี่เบิร์ดเข้าไปห้ามยังโดนตวาดกลับ
“แกอย่ามาย้อนฉันนะ รู้ไหมฉันเป็นใคร”
“เป็นใครมันก็ตายเหมือนกันแหละวะ....มันจะใหญ่คับฟ้าขนาดไหนเชียว” พูดตัสสวนกลับทันควัน
“หึ ลูกฉันมาเจอคนแบบแกไงถึงได้กลายพันธุ์ไปแบบนี้ อีพวกชั้นต่ำไร้หัวนอนปลายเท้าทำไมลูกฉันถึงมาเลือกคบไอ้พวกที่ไม่มีหน้ามีตาในสังคมแบบนี้” แม่ป๊อปก็ด่ากลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ แต่คนอย่างพี่ตัสรึจะยอม ไม่มีทาง!!!!
“หึ สนใจแต่หน้าตาในสังคม วันๆออกแต่งานสังคม ทำตัวไม่มีประโยชน์ไร้แก่นสาร ใช้ชีวิตแบบหาความสุขไม่ได้...จะทำอะไรสักอย่างก็ต้องเอาหน้าไว้ก่อน โถ่เอ้ยอีคุณหญิงมีหน้ามีตาในสังคม แต่ต้องกลายเป็นตนเหตุจบชีวิตลูกตัวเอง”
“หุบปาก!!!!! ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“แกเป็นใครมาสั่งฉัน อีฆาตรกร อีฆาตรกรฆ่าลูกตัวเอง หมามันยังรักลูกตัวเองเลย อีผู้ดีจอมปลอม หัดเข้าวัดทำบุญซะบ้างนะ จะได้รู้ว่าชีวิตไม่ได้มีแต่หน้าตาทางสังคมแต่เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จำเอาไว้ด้วยล่ะ อีคุณหญิงหน้าโง่!!!!!!” พี่ตัสด่าไปแม่ป๊อปก็ถึงกลับทรุดลงไปกับพื้น พ่อของป๊อปต้องเข้ามาพยุง
“พี่เบิร์ด โทรหาปอเต๊กตึ๊งยัง ให้เค้ามางมช่วยป๊อปกับพรหม” พี่ตัสหันไปบอกพี่เบิร์ด
“งมไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงก็ไม่รอด” การ์ดของแม่ป๊อปคนนึงพูดขึ้น
“มึงหุบปากปีจอมึงไปซะ....ถ้ากูไม่เห็นศพสองคนนั้น มันก็ยังไม่ตาย!!!!!” พี่ตัสพูดจุดประกายให้พวกผมอีกครั้ง และจากนั้นไม่นานรถปอก็มาพร้อมกับนักประดาน้ำ
“คุณพระคุณเจ้า โปรดช่วยพรหมกับป๊อปด้วยเถอะ” ผมพูดออกมาลอยๆเมื่อยืนดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่จนแล้วจนรอดปาเข้าไปสองทุ่มแล้วก็ไร้วี่แวว+กับความมืดที่ปกคลุม ทำให้การค้นหานั้นลำบากยากยิ่งขึ้น
“เรากลับกันเถอะ” พี่เบิร์ดเดินมาบอก ผมกับพี่ตัสก็พากันเดินไปที่รถอย่างคอตกไม่อยากให้มันเป็นอย่างที่คิดเลย
สามวันต่อมาการค้นหาที่ดำเนินอยู่นั้นจำต้องหยุดลงเพราะไม่ว่าจะหาไปไกลขนาดไหนก็ไม่พบร่างของทั้งสองคนเลย ตำรวจจึงลงความเห็นว่าหายสาบสูญ ส่วนทางบ้านของสองคนก็จัดงานศพทั้งๆที่ไม่มีศพ
“ตัส จะไปงานไหม” พี่เบิร์ดถาม
“งานอะไร” พี่ตัสถามเสียงแข็ง หลังจากเกิดเรื่องขึ้นพี่ตัสเหมือนมีความทุกข์ตลอดเวลา มองตาก็ขวางตลอด แต่พวกผมเข้าใจเลยไม่ได้อะไรมากเพราะเคยเห็นมาก่อนแล้วตอนที่พี่ตัสทะเลาะกับพี่เบิร์ด
“งานศะ....”
“มันยังไม่ตาย....จะไปงานใครพี่เบิร์ด!!!!” พี่ตัสตะโกนใส่พี่เบิร์ด ทำให้พี่เบิร์ดนิ่งไปทันที เพราะรู้ดีกับนิสัยดื้อรั้นและไม่ยอมคนของพี่ตัส
“ตัสพี่หิวแล้ว” พี่เบิร์ดบอก พี่ตัสก็ลุกไปในครัว
“เดี๋ยวผมช่วยนะพี่ตัส” ผมก็เดินตามเข้าไป ตลอดเวลาการทำอาหารพี่ตัสไม่พูดอะไรซักคำเดียว ทำกับข้าวก็เหม่อๆเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เสร็จแล้ว ไปตามพวกนั้นทีนะ พี่ขึ้นห้องก่อน”
“อ้าว ไม่กินด้วยกันหรอพี่”
“ไม่หิว...พี่เหนื่อย” ผมก็พยักหน้าแล้วออกไปตามพี่เบิร์ดและวิน
“จะไปงานกับพี่ไหม” พี่เบิร์ดถามผม
“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยไป” พี่เบิร์ดและวินก็ลุกมาตามคำบอกของผม
“แล้วตัสล่ะ” พี่เบิร์ดถามผม
“เห็นบอกว่าเหนื่อยเลยขึ้นไปนอนน่ะ”
“อื้อ...รีบกินเถอะจะได้รีบไปรีบกลับ” พี่เบิร์ดพูดจบพวกเราก็ลงมือกินอาหารกันทันที การกินอาหารเป็นแบบนี้มาสามวันแล้วมาคุแปลกๆ บรรยากาศอึดอัดเพราะการหายตัวไปของคนสองคน
“อิ่มกันแล้วก็ไปขึ้นเลยนะ” พี่เบิร์ดพูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะไป ผมกับวินก็มองหน้ากัน เราจ้องตากันสักพักวินก็เอื้อมมือมาจับมือผม
“สักวันสองคนนั้นต้องกลับมาหาเรา”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ...” ผมเริ่มพูดขาดๆหายๆเพราะน้ำตาผมไหลออกมาแล้ว
“ยังไงพวกเราทุกคนก็จะรอมันสองคนกลับมา....ไม่ร้องนะครับ ร้องกันมามากพอแล้ว อย่าให้ต้องล้มหมอนนอนเสื่อกันเลย” ผมโผเข้ากอดวิน วินก็ลูบหัวผมและพูดปลอบผมตลอดเวลา
“ไปขึ้นรถเถอะ” วินจูงมือผมมาขึ้นรถ และเราสามคนก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่วัดที่ทำพิธีให้กับสองคนนั้น ภายในวัดคนค่อนข้างมากเพราะว่าเป็นงานศพแบบคู่ ซึ่งแม่ของพรหมขอไว้ว่าอยากทำอะไรให้ลูกบ้างเป็นครั้งสุดท้ายเพราะตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ตัวเองบังคับลูกสารพัดลูกก็ไม่เคยบ่น ดังนั้นเค้าอยากจะให้ลูกได้สมหวังในความรักถึงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม
“ตามมาจริงๆด้วยสินะ” พี่เบิร์ดพูดขึ้นขณะที่เรายืนกันอยู่หน้าศาลาพอหันหลังกลับไปก็พบว่าพี่ตัสกำลังเดินตรงมาทางนี้
“เข้าไปกันเลยไหม” พี่ตัสเอ่ยขึ้น
“อืม” แล้วพวกเราก็เข้าไปในศาลาของวัด บรรยากาศภายในก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและเมื่อพวกเราเข้าไปไหว้โรงศพจุดธูปกันสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น
“แกมาทำไม ออกไป!!!!” แม่ป๊อปมาเหวี่ยงถึงที่เลยครับ
“คุณหญิงนี่งานศพนะ ทำไมทำแบบนี้” พ่อป๊อปก็ปรี่เข้ามาห้ามคุณหญิง
“เพราะไอ้พวกนี้ไง ลูกเราถึงต้องเป็นแบบนี้......ทุกคนดูนะคะ ไอ้พวกนี่แหละที่มันชักจูงลูกดิฉันจนต้องจบชีวิตลงแบบนี้!!!!!” แม่ป๊อปว่าเราเสียๆหายๆอีกหลายอย่างจนคนในศาลามองเราเป็นจุดเดียว
“หุบปาก!!!!! อีคุณหญิง” หลังจากที่พี่ตัสเงียบมานานเพราะว่าเป็นงานศพ พี่ตัสก็เลยสำรวมวาจาเพราะถือว่าให้เกียรติคนตาย....ถึงจะไม่เชื่อว่าตายก็เถอะ
“จะพูดจะว่าอะไรใครน่ะ หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างนะ....ที่ฉันยืนนิ่งให้แกด่าเนี่ย เพราะคิดว่าคงไม่เหมาะจะมามีปากเสียงกันในงานแบบนี้ แต่ในเมื่อคุณหญิงต้องการฉันจะจัดให้....ทุกคนครับ พวกผมเกิดมาเป็นแบบนี้พวกผมไม่ผิด แล้วที่คนทั้งสองต้องจากโลกนี้ไปก็เพราะ ทนแรงกดดันจากพ่อจากแม่ของเค้าไม่ไหว ที่สนใจแต่หน้าตาในสังคม หึ น่าสมเพชจริงๆ ตัวเองทำเองแล้วก็มาโยนให้คนอื่น แบบนี้เค้าเรียกรำไม่ดีโทษปี่โทษกลองนะคุณหญิง”
“ฉันโทษอะไรใคร แกเงียบไปเดี๋ยวนี้!!!!!!!” คุณหญิงโวยขึ้นพร้องกับน้ำตามากมาย
“ก็โทษคนอื่นว่าทำลูกตัวเองตายทั้งๆที่แกนั้นแหละที่เป็นสาเหตุให้ลูกตัวเองต้องตายไง....ได้ยินไหมอีฆาตรกร!!!!!” พี่ตัสเน้นคำหลังและเดินออกจากงานศพไปทันที ผมวินพี่เบิร์ดเลยต้องเดินตามออกมาท่ามกลางเสียงฮือฮาดังลั่นทั้งศาลาวัด
ปล.มีคำถามครับคุณผู้อ่านคิดว่ารูปไหนดูดีกว่าระหว่าง 1 กับ 2
1

2

หาความมั่นใจ ผู้แต่งตัดผมเรียน ร.ด. ปี3 หัวเกรียนเย็นหัวว้าบเยย TAT