แรกพบ
“อัค...มาไหว้พี่เขาเร็วลูก”
ดวงตาใสแจ๋วของเด็กชายยังจับจ้องอยู่แต่หนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดจนมารดาอดรนทนไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปดึงมันออกมา
“เดี๋ยวเถอะ...แม่บอกอะไรหัดฟังซะมั่ง !!” คุณนายเอ็ดเสียงแหว๋ว
“ไม่เอาน่าแม่ ตอนกำลังสนุกเลย” อัคคีขมวดคิ้ว เด็กชายวัย 13 ปีไม่คิดว่าการไปไหว้พี่ข้างบ้านจะเป็นเรื่องน่าสนใจกว่าการ์ตูนในมือเลยสักนิด “อีกอย่างนะ พี่เขาไม่สนใจหรอกว่าผมจะไปไหว้รึเปล่า ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“มันเป็นมารยาท เข้าใจไหม!” คุณนายกุมขมับกับความดื้อรั้น แต่จะโทษใครได้ล่ะ....ก็เพราะเธอตามใจลูกชายคนเดียวเสียจนเคยตัว “พี่เขาเป็นพนักงานบริษัทแม่นะ....อย่าให้คนเขาเอาไปนินทาว่าเราหยิ่ง”
“ก็เรื่องของเขา”
“อัค....”
“โอเค ๆ แค่ไหว้ก็จบใช่ปะครับ?” อัคคียกธงขาวยอมแพ้แม่ในที่สุด.....แม่ตอนโกรธน่ะน่ากลัวจะตาย ทางที่ดีเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า เขาไม่อยากถูกตัดค่าขนมจนต้องไปแย่งเพื่อนกินแบบคราวก่อนอีก คุณนายแม่ยิ้มหวานแต่ยังไม่ยอมคืนการ์ตูนให้เขา เธอเดินนำเขาออกมาหน้าบ้านเพื่อกดกริ่งเรียกเพื่อนบ้านออกมา
บ้านจัดสรรทุกที่ก็หน้าตาเหมือนกันไปหมด วันไหนเมา ๆ อาจเข้าผิดบ้านก็ได้ อัคคียืนล้วงกระเป๋าเงยหน้ามองบ้านชั้นเดียวตรงหน้า.....ดูจากสภาพแล้วพี่ข้างบ้านน่าจะเป็นพวกพนักงานกินเงินเดือนเฉิ่ม ๆ .....ใส่กางเกงรีดมีกลีบหน้า ก็ดูสิ....บ้านขาว ๆ โล่ง ๆ จืดชืดชะมัดเลย
“พี่เขาฉี่อยู่ป่ะแม่ เราค่อยมาใหม่ป๊ะ” อัคคีเสนอความเห็นแต่ถูกเหวี่ยงด้วยค้อนวงเบ้อเร่อทำให้ต้องหุบปากไป
แต่แล้วเสียงกุกกักที่ประตูไม้ก็เรียกให้สองแม่ลูกเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง และเมื่อมันเปิดออก
“อ้าว....พี่....สวัสดีครับ” เพื่อนบ้านชิ่งยกมือไหว้แม่เขาเสียก่อนซะนี่
“สวัสดีจ๊ะชล” คุณนายรับไหว้ก่อนจะใช้ศอกถองสีข้างไอ้เด็กแห้ง ๆ ข้างตัว
“อะ.....สวัสดีครับ” อัคคีรีบยกมือไหว้ปะหลก ๆ จนชลธีอดขำไม่ได้ จะไม่ให้ตกใจได้ไง....ใครจะไปคิดว่าพี่ชายข้างบ้านเขา...
เท่ฉิบหาย!!!!! โคตรเท่เลย!!! อัคคีมองพี่ชายตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย....ใบหน้าคมสัน ไหนจะส่วนสูงที่ทำให้เขาและแม่ต้องแหงนหน้าคุยอีกล่ะ พี่ชายเพื่อนบ้านดูเท่สุด ๆ แม้จะใส่เพียงเสื้อยืดและกางเกงย้วย ๆ เท่านั้น ชายหนุ่มก้มลงมาส่งยิ้มให้เด็กชาย
“หวัดดีครับ”
“ลูกชายพี่เองจ๊ะ ชื่ออัคคี เรียกว่าอัคก็ได้”
“อ๋อ...ครับ” หนุ่มเพื่อนบ้านพยักหน้ารับรู้ “พี่ชื่อชลธีนะครับ เรียกพี่ชลก็ได้”
“ครับ...พี่ชล” เด็กชายพยักหน้ารับ
“อันนี้ขนมจ๊ะ.....สำหรับชล ถือซะว่าต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่” คุณนายยื่นถุงขนมให้พนักงานในบริษัท “มีอะไรเรียกพี่ได้นะจ๊ะชล”
“ขอบคุณครับพี่ แหม...ไม่น่าลำบากเลย”
“ไม่หรอกจ๊ะ....เพื่อนบ้านกันต้องมีอะไรพึ่งพากันอีกเยอะ” เธอยิ้มหวาน พลางยกมือลูบหัวลูกชายที่สูงกว่าเธอไปแล้ว “ตาอัคมีอะไรสงสัยเรื่องเรียนถามพี่ชลเขาได้นะลูก พี่เขาจบเกียรตินิยมเชียวนะ”
“จะไหวเหรอครับ ผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้วนะครับพี่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ชลธีหัวเราะร่า ก่อนจะก้มลงมาบอกเด็กชาย “เอาเป็นว่าถ้ามีคำถามลองถามมาก่อนแล้วกัน ถ้าพี่ช่วยได้ก็จะช่วยแล้วกันนะ”
“ครับ”
หลังจากนั้นคุณหญิงก็บอกลาชลธีและขอตัวไปทำความสะอาดห้องเสียหน่อย อัคคีชะเง้อคอมองจนกระทั่งมารดาจูงมือเขามาถึงรั้วบ้าน และชลธีก็หายไปจากสายตา
เขาว่ากันว่าช่วงวัยรุ่นเด็กทุกคนต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทุกคนล้วนต้องการมีจุดยืนที่โดดเด่นกว่าเพื่อน และหนึ่งในนั้นคือการหาต้นแบบหรือไอดอลเท่ ๆ สักคน บางคนเลือกดนตรี บางคนเลือกกีฬา แต่ชลธีคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่ต้องเลือกที่ไหนไกลเสียแล้ว...
“อ๊ะ!” เสียงแม่เรียกให้เด็กชายหลุดออกจากภวังค์ “แม่คืนการ์ตูนให้ละ”
“ผมนึกว่าแม่จะเก็บไปอ่านเองซะแล้ว” คนเป็นลูกยักคิ้วกวน ๆ “ขอบพระคุณคุณแม่ที่กรุณา”
“ย่ะ! อ่านเสร็จแล้วอย่าลืมทำการบ้านก็แล้วกัน”
“คร้าบบบบบบบ คุณนายแม่”
อัคคีเข้าไปกราบแทบอกมารดา ซึ่งบอกได้เลยว่าที่ทำไปนั่นเป็นความกวนประสาทล้วน ๆ มิได้ระลึกถึงค่าน้ำนมแต่อย่างใด คุณนายเลยประเคนสันหนังสือลงกลางหัวลูกชายสุดที่รักให้เป็นรางวัล
เด็กชายคว้าการ์ตูนแล้ววิ่งโร่กลับขึ้นไปที่ห้องนอนของตนเอง ฉากต่อสู้ที่อ่านค้างไว้กำลังถึงไคลแมกซ์เลยล่ะ!! เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะรู้ตอนต่อไปแล้ว อัคคีทิ้งตัวลงบนที่นอนก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ถึงจะเป็นตอนกลางวันแต่แม่ก็กำชับให้เขาเปิดไฟอ่านหนังสือตลอดเวลา พลันสายตาเด็กชายก็หันไปเจอบางสิ่งนอกหน้าต่างนั่น
ด้วยระยะห่างที่ไม่ไกลกันของตัวบ้านและการออกแบบที่เอาก่อสร้างง่ายเข้าว่า.....ดีไซน์บ้านของอัคคีจึงเหมือนกับหลังข้าง ๆ รวมไปถึงตำแหน่งของหน้าต่างด้วย สายตาคู่นั้นมองลอดออกไปที่กรอบสี่เหลี่ยม เพื่อนบ้านของเขานั่งอยู่ตรงนั้น
ชลธีนั่งหันหลังพิงขอบหน้าต่างพลางอ่านหนังสือในมือ นี่เป็นอีกมุมโปรดของชลธีเพราะอยู่ติดหน้าต่างอากาศเย็นสบายมีลมพัดเหมาะกับการพักผ่อน ชายหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาจากที่ไกล ๆ
คนอะไรโคตรเท่เลย!!!
อัคคีมองแผ่นหลังตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย เขาไม่รู้หรอกว่าชลธีจะเก่งกีฬา ดนตรี วิชาการหรืออะไรที่ไอดอลเด็กส่วนใหญ่นิยมกัน เขารู้แต่ว่าพี่ชายข้างบ้านดูเจ๋งชะมัดเลย!!!
นั่นเป็นครั้งแรกที่อัคคีถือการ์ตูนในมือแต่ไม่ได้ก้มไปอ่านเลยสักตัว....……………………………………………………………………………
อัคคีต้องสูงแน่ ๆ .....ใคร ๆ ก็บอกอย่างนั้น เพราะอย่างนั้นเด็กชายเลยไม่สนใจที่จะพยายามสูง ไม่เล่นกีฬา ไม่ดื่มนม หันไปมองพ่อมองแม่แค่พันธุกรรมสองคนนี้รวมกันเขาก็น่าจะเป็นเปรตได้ไม่ยากเลย อ๊อ...ไม่นับเรื่องเวรกรรมที่ทำกับวงศ์ตระกูลนะ ถ้ารวมด้วยรับรองว่าอัคคีคงเป็นผีเปรตที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
แม่น่ะเคี่ยวเข็ญให้เขาดื่มนมตลอดเวลา ไปห้างทีก็ซื้อมากักตุนไว้เป็นแกลลอน...ซึ่งอัคคีก็ไม่ชอบดื่มนัก ก็มันไม่อร่อยนี่นา...เขาชอบดื่มน้ำอัดลมมากกว่า อะไรที่กินแล้วตายเร็วมักจะอร่อยอยู่เสมอ
แม่พยายามทำทุกวิถีทางให้บุตรชายสุดที่รักได้เจริญเติบโตด้วยแคลเซียม....คุณนายแม่คิดว่าสารอาหารในนมจะส่งพลังไปต่อสู้กับโรคกระดูกพรุนในร่างกายได้ แต่อีตาลูกชายหัวดื้อก็ไม่เคยรินออกไปดื่มเลยถ้าเธอไม่บังคับ บางทีใกล้ ๆ หมดอายุเธอยังต้องเอาไปแช่ตัวแทนเลย
“อัค...แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดื่มนมเยอะ ๆ จะได้สูง ๆ”
“แค่นี้ผมก็เข้าแถวอยู่ข้างหลังแล้วแม่ สูงเกินกว่านี้ครูคงไล่ไปยืนหลังโรงเรียน” หล่อนอยากจะเป็นลมตาย จำได้ว่าไม่เคยสั่งเคยสอนให้ลูกกวนประสาทขนาดนี้
“แม่ไม่ได้เจาะปากมาให้แกเถียงฉอด ๆ นะยะ”
“อ๊ะ ๆ ผมดื่มเพื่อแม่เลยนะเนี่ย” เห็นท่าไม่ดีไอ้เด็กแสบเลยต้องวิ่งไปเอานมในตู้เย็นมากระดกโชว์ อัคคีกลืนมันลงคอดังอึก ๆ “ฮ๊า~.... รู้สึกสูงขึ้นมาห้าเซนเลยอะแม่ โห...สุดยอดดดดดดดดด ไม่ต้องไปต่อกระดูกถึงเมืองจีนแล้ว”
แม่เขกมะเหงกให้อัคคีเต็มรักก่อนจะออกเดินทางไปสังสรรค์ตามประสาแม่บ้านคุณหญิงคุณนาย อัคคียืนถือแก้วนมแล้วโบกมือหยอย ๆ ให้บุพการีทั้งสองจนลับสายตา ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ...เพราะบ้านหลังนี้กลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว !!!
ฮ่า ๆ ๆ ๆ อยากจะหัวเราะให้ฟันกระเด็นอัดติดข้างฝา อัคคีรู้สึกว่าชีวิตเป็นอิสระ !! เขาเอาแก้วน้ำแช่ในซิงค์ล้างจานก่อนจะวิ่งโร่ขึ้นไปบนห้อง
การทิ้งเด็กผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ไว้ในบ้านคนเดียว....คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นได้สักกี่อย่างเชียว ถึงจะรู้ว่าพ่อกับแม่คงไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ แต่อัคคีก็เซฟตี้เฟิร์สด้วยการล็อกประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ก่อนจะวิ่งไปรื้อแผ่นซีดีในกระเป๋านักเรียน....โชคดีจริง ๆ ที่เพื่อนเพิ่งให้ยืมมา ไม่คิดว่าจะสบโอกาสเร็วขนาดนี้ รื้อไปนี่มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว
สมัยอัคคียังเด็กคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายและมีใช้ในหมู่คนรวยเท่านั้น ถึงบ้านเขาจะมีคอมเครื่องเบ้อเร่ออยู่แต่มันเป็นของพ่อ ไอ้ครั้นจะไปดูหนังโป๊ในเครื่องพ่อก็เหมือนเดินแก้ผ้าอยู่กลางสี่แยกรอให้ตำรวจมาจับ แต่ก็เป็นบุญเหลือเกินที่ในห้องนอนของอัคคีมีเครื่องเล่นแผ่น VCD ที่เขารบเร้าแม่ให้ซื้อให้ อัคคีกราบขอบพระคุณแม่ที่ส่งเครื่องนี้มาให้เขาใช้งานได้หลากหลายความต้องการ ไม่ว่าจะบันเทิงในด้านใดก็ตาม
เด็กชายเสียบปลั๊กเข้ากับจอทีวี ก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อภาพติดขึ้นมาบนจอ......นี่ถ้าพ่อมาเห็นคงประทับใจมากในความฉลาดล้ำด้านเทคโนโลยีของลูกชาย หรือไม่นี่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่อัคคีสนใจเรียนวิศวะก็เป็นได้.... โอ้...น้ำตาจะไหล
ฟึ่บ!! ไม่รอช้าเครื่องเล่นอ่านข้อมูลแผ่นก่อนจะประมวลผลขึ้นมาเป็นภาพบนจอทีวี จากภาพสีฟ้าก็กลายเป็นฉากของห้องเรียนแห่งหนึ่ง.....มีครูสาวทรงดินระเบิดทั้งบนและล่างเดินมาส่งภาษาญี่ปุ่นอะไรไม่รู้สองสามประโยค แค่นั้นแหละพล็อทเรื่องทั้งหมด ซึ่งใจความสำคัญของเรื่องแม่งอยู่ต่อจากนี้แหละ !!!
เขาจิกมือลงบนผ้าปูที่นอนเมื่อนักเรียนชายเริ่มมืออยู่ไม่สุขและกำลังวุ่นวายอยู่กับเสื้อผ้าของครูสาว...
ถอดเลยสิวะ ลีลาอยู่ดะ.... “อ้าว! อัค!!” เฮือกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!!!!!!!!!...... พลังทำลายล้างยิ่งกว่าถูกปิกาจูช็อตไฟฟ้าแสนโวลต์แล่นเข้าร่างจนไอ้เด็กหัวเกรียนกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง พลันสายตาเหลือบไปมองสิ่งที่อยู่ข้าง ๆ จอทีวี มันคือกรอบสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าหน้าต่าง....และในกรอบสี่เหลี่ยมนั้นก็มีกรอบสี่เหลี่ยมอีกที....และในกรอบสี่เหลี่ยมอีกทีก็มีใบหน้าของเพื่อนบ้านอยู่
ฉิบหาย...พี่ชล.... ชลธีเกาะขอบหน้าต่างอยู่ตรงนั้นพร้อมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไง...เพิ่งรู้นะว่าตรงนี้มองเห็นห้องนอนอัคด้วย”
อัคคีแม่งอยากจะกัดลิ้นตาย พ่อแม่ต้องให้รอยหยักสมองมาน้อยแน่ ๆ เขาถึงได้ลืมปิดหน้าต่าง.....โธ่เว้ย!! กูไม่น่าหื่นขึ้นสมองเลย ไอ้หัวเกรียนก็ได้แต่ปั้นยิ้มตอบไป
“นั่นสิ....ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” เวรละ....ไอ้นักเรียนนั่นล้วงเข้าไปในเสื้อเชิ้ตคุณครูแล้ว...
“แบบนี้ก็เจอหน้ากันจนเบื่อไปข้างสิ” ชลธียิ้มเท่ ๆ “นี่มุมโปรดพี่เลยนะ”
“อ๋อ...เหรอครับ” บนโต๊ะเรียนแล้วครับ!!....บนโต๊ะเรียนแล้ว!!!
อัคคีสับสนในชีวิตว่าควรทำอะไรก่อนหลังดี ไอ้ที่หวังจะคึกคักพอเจอสถานการณ์นี้เข้าไปแทบจะหดแล้วหายไปจากโลก
“แล้วทำอะไรอยู่นั่น ?” ชลธียิงโป้งแสกกลางหน้าเด็กชาย.... โธ่!! พี่ชล ผมรู้ว่านี่มันคำถามตามมารยาท แต่พี่ช่วยไร้มารยาทตอนนี้จะได้ไหมครับ!!
อัคคีเลิ่กลั่ก แต่สมองไอ้เด็กนี่ก็เร็วเอาเรื่อง “ก็ดูทีวีเรื่อย ๆ แหละครับ” ทำเป็นนั่งตรงแต่มือขวาของมันเอื้อมไปควานหารีโมตด้านหลัง อัคคีชักหน้ามืดตามัวเพราะต้องเหลือบมองคู่สนทนาสลับกับคู่...............เอ่อ...คู่นั้นแหละ!!
“เหรอ....วันอาทิตย์ทั้งทีน่าจะออกไปเล่นนอกบ้านนะ”
“แถวนี้ไม่มีอะไรเล่นหรอกครับพี่” อัคคีเห็นหางตาแว้บ ๆ ว่าเสื้อผ้าครูสาวไม่เหลือแล้ว......เวรละ....รีโมตไปอยู่ไหนของมึงวะ!!!
“เฮ้ย...เราก็พูดเกินไป วัยประมาณนี้มันต้องออกมาวิ่งเล่นกับเพื่อนสิ”
......ตึก..... ปลายนิ้วพบสัมผัสแข็ง ๆ ของรีโมตแล้ว.....อัคคีแสยะยิ้มในใจอย่างผู้ชนะ
หึ...ไม่ได้แอ้มกูหรอกมึง “เออ...พี่ก็ลืมคิดไปเนอะว่าแถวนี้ไม่มีเด็กอยู่เลย”
อัคคีเห็นชลธีทำปากพะงาบ ๆ เพราะตอนนี้สรรพเสียงใดก็มิอาจแทรกเข้าโสตของเขาได้อีกแล้ว....นิ้วชี้คลำหาปุ่มปิดเสียงที่เขาจำได้.....เขาออกแรงกะ....
“งั้นลงมาข้างล่างสิ ไปเล่นกับพี่ดีกว่า”
“อ๊า ~~~~ อิไต ๆ ...อื้อออออออออออออออ....!!!!!!!!” เสียงระดับร้อยเดชิเบลดังลั่นไปทั้งห้อง.....ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าชลธีจะได้ยินไหม คือถ้าพี่เขาไม่ได้ยินอัคคีคงต้องรีบพาไปส่งโรงบาลโดยด่วน ครูสาวในจอขยี้ใจเขาแหลกคาตีนด้วยเสียงกรีดร้องประหนึ่งใกล้ตายของเธอ.....ความเงียบโรยตัวระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง มีแต่เสียงสาวในจอที่ดังไม่เลิก.....แล้วแต่ละคำก็แหม.....
อัคคีมองชลธีที่สตั๊นไปนาน ทำไมชลจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นในเมื่อเขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาเหมือนกัน ชายหนุ่มตั้งสติก่อนสตาร์ทด้วยประโยคที่ว่า “เสร็จแล้วก็มากดกริ่งบ้านพี่แล้วกันนะ”
“ครับ”
อัคคีน้ำท่วมปาก.....ใจจริงอยากจะถามว่าอะไรเสร็จครับพี่.............
หลังจัดการตัวเองเรียบร้อยอัคคีก็หน้าด้านบากหน้าลงไปกดกริ่งที่หน้าบ้านชลธี ตอนแรกก็เหมือนจะอายอยู่หรอก....แต่อัคคีเป็นพวกหัวดื้อ เขาคิดว่าถ้าเขาหมกตัวอยู่ในห้องก็เท่ากับเขาอาย ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่!! มายืนหยัดให้โลกได้รู้ว่าการช่วยตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดและอับอายแต่อย่างใด
เด็กหนุ่มยืนหยัดอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงปึงปังดังมาจากในตัวบ้าน ไม่นานนักเจ้าของบ้านก็แง้มประตูโผล่หน้าหล่อ ๆ ออกมา ชลธีอดจะแปลกใจไม่ได้ที่เห็นอัคคีมาหาที่บ้านภายหลังเกิดเหตุการณ์ทันที
“พี่ขอหยิบรองเท้าผ้าใบแป๊บหนึ่งนะ” ชลเอ่ยบอกแล้วหายกลับเข้าไปหลังบานประตูอีกครั้ง ทิ้งให้เด็กชายยืนรอสักพักเขาก็กลับมาพร้อมรองเท้าผ้าใบในมือ ชลธีนั่งลงที่ประตูบ้านเพื่อสวมมัน “อัคไปเปลี่ยนรองเท้าซะนะ ใส่ผ้าใบมาจะได้เล่นง่าย ๆ”
“แล้วจะเล่นอะไรอะพี่ชล ?” อัคคีล่ะงงกับผู้ชายคนนี้....เขาอายุตั้งสิบสามแล้วจะไปวิ่งเล่นกลางทุ่งกว้าง....กินน้ำหวานจากดอกเข็มก็คงไม่ใช่แนวแล้ว
“เล่นบาส หรืออยากเล่นบอล?”
“ผมเล่นไม่เป็นนะบอกไว้ก่อนเลย”
“เล่นเป็นแต่เกมล่ะสิเรา” ชลธีหัวเราะหึ “สายตาเสียหมดพอดี”
“แล้วจะให้ผมเล่นอะไรล่ะ” อัคคีมองตาขวาง....พี่ชลเห็นแบบนี้ก็ขี้บ่นเหมือนแม่เขาเลยแฮะ “ทั้งซอยนี่ก็มีแต่บ้านผมกับพี่ จะให้ไปเล่นกับเด็กอีกแก๊งก็ต้องข้ามถนนใหญ่ไปนู่น รถทับผมตายพี่ชลปั้มใหม่ให้แม่ผมไหมครับ ?”
“โอเค...พี่ผิดก็ได้” ไอ้เด็กนี่กวนประสาทกว่าที่ชลธีคิด....อันที่จริงนี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามของสกิลที่อัคคีมีด้วยซ้ำ “ไปเปลี่ยนรองเท้าไปอัค”
“ครับพี่”
หลังจากอัคคีกลับมาพร้อมรองเท้าผ้าใบสีขาวของโรงเรียนเขาก็ถูกพี่ชายข้างบ้านลากตัวไปที่ลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน มันเป็นลานเน่า ๆ ที่มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม....ไม่สิพูดให้ถูกคือมันเป็นซากต้นไม้ที่ตายแล้วแต่ไม่มีใครเอาไปทิ้ง หมู่บ้านของพวกเขาไม่มีเด็ก ถ้ามีก็เป็นเด็กทารกไปเลยทำให้สนามเด็กเล่นที่โครงการทำเอาไว้เสื่อมโทรม...เครื่องเล่นขึ้นสนิม จะมีคนมาใช้งานก็คือคุณปู่คุณย่าที่มาจ๊อกกิ้งออกกำลังกายตอนเช้าเท่านั้นแหละ
ข้าง ๆ สนามเด็กเล่นมีลานบาสผสมบอลอยู่ คือมีแป้นบาสติดตั้งอยู่ แต่ก็มีประตูบอลขนาดเล็กกองไว้ด้านข้าง ใครอยากเล่นก็ไปลากออกมาได้....ถ้าไม่กลัวสนิมบาดมือเป็นบาดทะยักตายล่ะก็นะ....
ชลธีเคาะลูกบาสลงกับพื้นเพื่อทดสอบลมด้านใน....ถึงจะบางไปหน่อยเพราะไม่ได้แตะนานแต่ก็ยังหอไหวอยู่ “พี่ต้องสอนเดาะลูกปะ ?”
“ไม่ต้องครับ แค่เคาะกับพื้นมันก็เด้งขึ้นเหมือนกันแหละ” อัคคีไม่ได้กวนนะ แค่พูดตามที่คิด “ถามจริงเล่นบาสเล่นบอลกันสองคนมันจะหนุกเหรอพี่ชล”
“เล่นเกมคนเดียวยังสนุกได้เลย แล้วทำไมเล่นสองคนจะสนุกไม่ได้” ชลธีโยนลูกสีส้มให้อีกฝ่าย “เอ้า! ไปเลี้ยงมาจากฝั่งนู้นแล้วชู้ตผ่านพี่ให้ได้”
“เลี้ยงแบบป้อนข้าวป้อนนมปะพี่ชล...” ชลธีมองค้อน “โอเค....ไปก็ได้”
อัคคีถอนหายใจเซ็ง ๆ พลางคาดโทษในใจอย่างลูกคนเดียวว่าถ้าไอ้การเล่นกีฬานี่ไม่สนุกล่ะก็...พี่ชลเจอดีแน่ เด็กชายเคาะบอลลงกับพื้นเพื่อจับจังหวะ...ถึงจะบอกว่าเล่นไม่เป็นแต่ของแบบนี้ใคร ๆ ก็น่าจะทำได้ เด็กชายพุ่งตัวเข้าไปที่อีกฝั่งหนึ่ง ชลธียืนตัวสูงโย่งอยู่ตรงนั้นกางแขนออกเตรียมบล็อกเขาเต็มที่
อัคคียิ้มมุมปาก....
ไม่ได้กินผมหรอกพี่ชล!! ผัวะ!! ยังไม่ทันได้ง้างมือลูกกลม ๆ ก็ถูกคนแก่กว่าปัดทิ้งซะแล้ว แย่งอย่างเดียวยังไม่สาแก่ใจ!! ชลธีคว้าลูกแล้ววิ่งเลี้ยงกลับไปชู้ตที่แป้นอีกฝั่งลงไปอย่างสวยงาม
“หึ...เป็นไงล่ะ นี่ขนาดพี่ไม่ได้เล่นนานแล้วนะ”
“ชนะเด็กไม่เห็นน่าดีใจเลยพี่” คนแพ้ยู่ปากทั้ง ๆ ที่ในใจแอบแค้น.....แต่ก็ยอมรับว่าพี่ชลเล่นบาสแล้วโคตรเท่เลย!! เจ๋งชะมัด
“แล้วไม่อยากชนะผู้ใหญ่มั่งรึไง” ชลธีฉีกยิ้มกว้าง
“หึ....เอาใหม่เลย รอบนี้ไม่ชนะ รอบหน้าผมก็จะชนะพี่ให้ดู!!”
ท่ามกลางลานเก่า ๆ ที่ถูกทอดทิ้งจนรกร้าง ความรู้สึกบางอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่นี่.....อัคคีเพิ่งรู้ว่าการเล่นนอกบ้านกับคนอื่นมันสนุกแบบนี้นี่เอง เขาเป็นลูกคนเดียว....แถมอาศัยอยู่ในที่ที่ไม่มีคนวัยเดียวกันอยู่ แต่พี่ชายที่อายุห่างกันตั้งสิบเก้าปีกลับเดินเข้ามาชวนเล่นด้วย
ตอนแรกอัคคีก็แค่คิดว่ามันสนุกดี........
“ยอมดื่มนมแล้วเหรอเราน่ะ”
“ดื่มก็บ่น....ไม่ดื่มก็บ่น แม่ไม่พอใจอะไรผมปะ” ไอ้ลูกตัวดียักคิ้วหนา ๆ รัว ๆ เป็นการกวนประสาทคุณแม่จนเธออยากจะดึงขนคิ้วลูกตัวเองทิ้ง
“แม่ถามย่ะ...ไม่ได้บ่น” คุณนายจ้องหน้า “แต่ก่อนกว่าจะยอมแตะแต่ละแก้วลีลาตลอด”
“ก็ดื่มนมจะได้สูง ๆ ไง แล้วก็จะได้ชนะพี่ชลได้สักที”
“นี่ไปชวนชลเขาเล่นอะไรซน ๆ อีกล่ะ รบกวนพี่เขา” คนเป็นแม่บีบจมูกอย่างมันเขี้ยวจนอัคคีต้องดิ้นหนี
“ผมเปล่าซะหน่อยแม่ พี่ชลเขามาชวนผมเล่นเองนะ”
“เล่นอะไรกันมั่งล่ะ...หือ?”
“สารพัดอะ.....บาส บอล วิ่งแข่ง หมากเก็บ เป่ากบ โดดยาง วิ่งกระสอบ”
“ตาอัค...”
พอเห็นท่าไม่ดีไอ้ตัวกวนก็เข้าไปเกาะแข้งเกาะขาแม่ทันที “โอ๋ ๆ ....ก็เห็นแม่ทำงานกลับมาเครียด ๆ เลยอยากช่วยคลาย นี่ไม่รักจริงผมไม่ทำนะแม่”
“ขอบใจย่ะ”
อัคคีเฝ้ารอเวลาเย็นของทุกวัน....เวลาที่เขาเหวี่ยงกระเป๋าเข้าไปในบ้านโดยไม่เปิดรั้วแล้ววิ่งไปกดกริ่งบ้านข้าง ๆ เป็นจังหวะสามช่าเพื่อเร่งให้ชายหนุ่มที่หมกมุ่นกับงานออกมาวิ่งเล่นกับเขา อย่างวันนี้พวกเขาก็เดินเล่นกันรอบหมู่บ้านโดยมีกฎที่ว่าใครเดินเหยียบเส้นอิฐบล็อกก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ซึ่งชลธีเสียเปรียบกว่าเล็กน้อย
อัคคีเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างผอมสูงที่ชลธีมองว่าอีกไม่นานคงสูงกว่าเขาแน่ ๆ ยิ่งมาวิ่งออกกำลังกายทุกเย็นแบบนี้จะไปไหนได้ จะว่าไปถึงจะไม่มีเพื่อนในละแวกนี้แต่ทำไมเด็กอัคคีไม่ไปหาแฟนสักที....อยู่มัธยมต้นแล้วแฟนสักคนคงไม่ยากเกินจะหาด้วยใบหน้าหล่อ ๆ แบบนี้
“ไม่มีแฟนเหรอ”
“ห๊ะ?” อยู่ชลธีก็ยิงคำถามแปลก ๆ มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนฟังสะดุ้งจนเกือบเหยียบเส้นไปแล้ว
“เป็นวัยรุ่นก็ต้องมีแฟนไม่ใช่เหรอ ?” ชลธีตอบไปตามที่คิด “กินข้าว...ดูหนัง....เดินห้าง....”
อัคคีเบ้หน้า “ไม่เห็นสนุกเลยต้องไปนั่งตามใจคนอื่น”
ไอ้เด็กเอาแต่ใจ..... ชลธีอดด่าในใจไม่ได้
“อีกอย่างนะ”
“..............”
“เล่นกับพี่ชลสนุกกว่าเยอะเลย” อัคคียิ้มจนตาปิด น่าเอ็นดูในสายตาผู้ใหญ่จนชลเสียจังหวะไป....แต่ไม่รอดสายตาไอ้เด็กนี่หรอก “พี่ชลเหยียบเส้นแล้ว!!!!! แพ้!!!!!!”
“ไม่ เดี๋ยวสิ....เมื่อกี้ไม่นับเว้ย!!”
“ขี้โกง!!! แล้วแบบนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้ยังไง”
เสียงหัวเราะผสมกับเสียงโวยวายดังไปตลอดทั้งถนนเส้นนั้น แม้จะมีช่องว่างของอายุแต่ทั้งสองคนกลับเข้ากันอย่างน่าประหลาด อัคคีมีความสุขเวลาได้เล่นกับชลธี......มันต่างจากการเล่นหัวกับเพื่อนที่โรงเรียน ชลธีพิเศษกว่าใคร ๆ ....เขาเปิดโลกที่เคยมีแต่โรงเรียนและเกมในห้องนอนของอัคคีออกมา ชลธีเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้อัคคีฟังมากมายโดยไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กแต่อย่างใด
อัคคีชอบมองใบหน้าหล่อ ๆ ยามขยับปากเล่าเรื่องสนุก ๆ .....ชอบคิ้วเรียวที่มักจะผูกกันเวลาบ่นเรื่องงานที่บริษัทให้ฟัง ชลธีเป็นผู้ใหญ่หัวใจเด็ก....ตอนแรกอัคเคยวาดภาพพี่ชายสุดเท่ในใจเหมือนกัน แต่พอมาเจอเข้าจริง ๆ ดันคนละเรื่องเลยนี่สิ พี่ชลทั้งเปิ่นทั้งขี้โวยวาย
“นั่นไง!! อัคก็เหยียบเส้นเหมือนกัน!!”
“ก็พี่ชลเหยียบไปก่อนแล้ว ผมก็ชนะไปแล้วไง”
“แต่อัคก็เหยียบเหมือนกัน เจ๊ากันไป!!”
“โกงว่ะ!! ผู้ใหญ่คอรัปชั่น!!”
เด็กชายก็แค่อยากอยู่แบบนี้ไปนาน ๆ...