มาแล้วครับอีกหนึ่งตอน อาจจะเป็นตอนที่สั้นไปนิด แต่รับรองว่าได้เห็นแง่มุมของแอนนี่แน่นอน แถมความฮาอีกเล็กน้อยครับพ้มมมมมตู้ม! ซ่า!เสียงดังมาจากข้างหลังผม เมื่อผมหันกลับไปดูก็พบว่า ไอ้คนที่กำลังตามกวนประสาทผมเมื่อกี้ ตกลงไปในน้ำพุของห้างไปซะแล้ว ให้ตายสิ ทำไมไม่เดินให้มันระวังซะหน่อยนะ นี่ยังดีที่หัวไม่ไปฟาดอะไรเข้า....... เออ แต่ยังไงซะก็สมน้ำหน้าเหมือนกัน ทำกะกูไว้เยอะ ฟ้าฝนเอาคืนแล้วมั้ยล่ะไอ้ตี๋ คริคริ
จะยังไงก็เหอะ ไหนๆตอนนี้มันก็ไม่ได้เป็นอะไรและ พนักงานของห้างก็มาช่วยมันและ ก็คงไม่ต้อง... ไม่ต้องสนใจอะไรนิ่ รีบเดินหนีไปดีกว่า ก่อนที่มันจะตามมาทัน
“ไปซะนานเชียวแอนนี่” ไอ้มิวพูด หลังจากที่ผมเดินมาเจอกับมันและไอ้ต้นซึ่งไปซื้อซีดีเพลงกันมา พวกเรานัดเจอกันตรงทางออกพาราก้อนตรงทางขึ้น BTS ฝั่งริมสุดด้านถนนอังรีดูนัง
“โทษทีๆ พอดีมีเรื่องอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“เรื่องอะไรวะ” ไอ้ต้นถาม
“เจอพวกโรคจิต ชอบสะกดรอยตามน่ะ”
“แน่ใจเหรอ” ไอ้มิวแหย่
“เออน่ะ กลับกันเหอะ” ผมรีบตัดบท แต่แล้วก็มีเสียงนึงดังขึ้นมาจากข้างหลังผม
“Annie” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงและพบว่าเป็นพี่แจ๊สนั่นเอง
“พีแจ๊ส Hi” ผมทักขึ้น
“Hi… ไงต้น พี่เราอยู่นู่นแน่ะ” พี่แจ๊สเบ้หน้าไปทางที่ไอ้พริกเพิ่งจะลงไปเล่นน้ำเมื่อกี้นี้ “หวัดดี มิว”
ไอ้มิวทักทายกลับด้วยการ กลอกตา หันหน้าไปทางอื่นแล้วพูดว่า “Come on. Let’s go home.”
“เดี๋ยวก่อนสิมิว... พี่จะมาคุยกับแอนนี่ ขอเวลาแปบเดียวนะ”
ไอ้มิวมองหน้าพี่แจ๊สด้วยหางตาซักพัก แล้วยักไหล่ เอ๊ะ สองคนนี้มันต้องมีเรื่องไม่ถูกอะไรกันอยู่รึเปล่านะ ผมเห็นไอ้มิวมันดราม่าใส่พี่แจ๊สมาสองรอบและ
“Annie…” เอาล่ะ ในเมื่อตรงนี้จะเริ่มเป็นคำพูดภาษาอังกฤษรวดเดียวหมด เพราะงั้น พี่ๆทีมพากย์ช่องเก้า ช่วยพากย์เป็นพี่แจ๊สด้วยครับ “...เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆไอ้พริกมันถึงตกน้ำพุไปล่ะ”
“มันซุ่มซ่ามเองนิ่พี่ ช่วยไม่ได้” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก... มันคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ
“พี่เข้าใจนะว่าเรายังโกรธมันอยู่ แต่นี่มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ ถ้าเกิดมันเกิดหัวฟาด หรือเป็นอะไรขึ้นมาเราจะไม่ห่วงมันซะหน่อยเลยเหรอ” ไม่หรอก มันไม่เกินไปหรอก แต่ว่าหัวฟาดเหรอ??
“แล้วมันเป็นอะไรรึเปล่าล่ะครับ”
“เปล่า มันไม่ได้เป็นอะไร” ก็ดีแล้วนิ่... เอ่อ หมายถึง แล้วทำไมผมต้องห่วงมันล่ะ ถ้าอย่างงั้นน่ะ
“เห็นมั้ยล่ะครับ มันก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ่”
“แต่เราก็ไม่คิดจะเข้าไปช่วยหรืออะไรเลยเหรอ”
“แล้วทีมันต่อยหน้าผมล่ะครับ! มันสมควรให้ผมช่วยมั้ย!”
“แอนนี่ ฟังนะ...”
“พี่แจ๊ส กลับไปหาเพื่อนพี่เถอะครับ พวกผมจะกลับแล้ว” แล้วผม ไอ้ต้น (ซึ่งมีสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่) และไอ้มิว (ซึ่งมองพี่แจ๊สไล่หลังด้วยสายตาเย็นชา) ก็เดินออกจากพารากอนมา โดยที่คำพูดนึงของพี่แจ๊สยังคงก้องอยู่ในหัวผม .....
ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ ถ้าเกิดมันเกิดหัวฟาด หรือเป็นอะไรขึ้นมา.....
ไม่หรอกน่ะ ไม่ใจร้ายเกินไปซะหน่อย มันจะได้รู้สึกซะบ้างว่าการโดนกระทำมันมีความรู้สึกเป็นยังไง
Chapter 9: Cover Hey, ey, ey, ey. Like a girl gone wild, a good girl gone wild.
I'm like… เสียงริงโทนใหม่ของผมดังขึ้นเป็นรอบที่แปดล้านได้แล้วมั้ง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่ผมพยายามหลบหน้าไอ้พริกมันตลอด แต่ด้วยเวทย์มน คุณไสย หรืออะไรก็แล้วแต่ อยู่ดีๆมันก็หาเบอร์ของผมเจอจนได้ครับ (Oh! Gosh!!!) แล้วนับจากนั้นมามันก็โทรหาผมมาตลอด รอบแรกผมก็ยังไม่รู้หรอกว่าเบอร์ใคร ผมถึงรับสายไป
(Flashback!!!)
Hey, ey, ey, ey. Like a girl gone wild, a good girl gone wild.
I'm like… ”Hi. It’s Anthony speaking.””ดีกันน้าาาาาาาาาาาาาาห์ ” อะจึ้ย เสียงแบบนี้มัน.... ตัดสายดีกว่า
ตู๊ด.. ตู๊ด.. ตู๊ด.. ตู๊ด..(กลับมาปัจจุบัน แจ้)
โอยยยยย แค่นึกถึงตอนนี้ยังขนลุกซู่อยู่เลยครับ ทำเสียงกระเส่าผ่านโทรศัพท์มาซะด้วย ให้ตายเหอะ!
Hey, ey, ey, ey. Like a girl gone wild, a good girl gone wild.
I'm like… โทรมาอีกแล้ว โว้ยยยยย อะไรกันนักกันหนา นี่มันเวลากินข้าว เมิงจะไม่กินรึไง โทรมาอยู่ได้!!!
“จะไม่รับหน่อยเหรอ” ไอ้ต้นถามขณะมองไปที่โทรศัพท์เจ้าปัญหา
“ไม่มีทาง ปล่อยให้มันโทรมาจนแบตหมดน่ะแหละ”
“ใจแข็งจังนะมึงเนี่ยะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มันเป็นสุภาษิตไทยน่ะ เข้าใจมั้ย”
“วันนี้มึงมาแนวไหนเนี่ยะ สอนธรรมะกูด้วย”
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ ก็แค่บอกดู เชื่อสิ ถ้าไอ้มิวอยู่มันก็คงอยากให้มึงเลิกโกรธพี่พริกเหมือนกันแหละน่า” พอดีว่าไอ้มิวมันรีบกลับน่ะครับ มันก็เลยแยกกับพวกผม แล้วผมกับไอ้ต้นก็มานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคณะนี่แหละ
“เห๊อะ ไม่แน่หรอก ก็ดูอย่างมันเอง มันก็ยังไม่อภัยพี่แจ๊สเล้ย” ผมพูดไปตามที่เห็น
“ให้อภัย??” ไอ้ต้นทำสีหน้าสงสัย
“ก็... คือกูก็ไม่รู้หรอกนะว่าสองคนนั้นเค้ามีเรื่องอะไรกันมาก่อน แต่ดูท่าทางพี่แจ๊สก็คงจะเคยทำให้ไอ้มิวโกรธเหมือนกันล่ะม้างง”
“ก็ไม่รู้ว่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆจะไปถามซะด้วย” ก็จริงนะ อยู่ดีๆไปถามน่าเกลียดตายเลย “แต่ว่า มึงก็น่าจะเห็นนิ่ ถ้ามึงโกรธแล้วหนีหน้าพี่พริกไปเรื่อยๆ มันจะอึดอัดมั้ยล่ะ”
“อืม.... ก็จริงของมึงนะ...” ผมเริ่มจับประเด็นในสิ่งที่มันพูดได้ แต่ในใจของผม ก็ยังคงสับสนอยู่ดี
“มึงก็ลองคิดดูดีๆและกัน” ไอ้ต้นพูดพร้อมกับลุกขึ้น “เดี๋ยวกูมา ไปเข้าห้องน้ำแปบนึง”
“อืม” ผมตอบรับ และปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด สิ่งที่มันทำ มันก็ไร้เหตุผลและงี่เง่าเกินไป แถมมันเองก็ไม่ยอมพูดคำคำนั้นกับผมซะที... แต่ถ้ามองอีกแง่ สิ่งที่มันทำอยู่ก็เท่ากับว่ามันรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันทำไว้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ... จะยังไงก็เหอะ ตอนนี้อยู่ดีๆก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังเข้ามาก่อกวนโสตประสาทของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“กินข้าวด้วยคนดิ่” เสียงที่ฟังแล้วกวนประสาทดังขึ้นจากข้างๆผม พร้อมกับร่างของเจ้าของเสียงที่ตามมา “ทำไมมากินข้าวคนเดียววะ แล้วไอ้ต้น กับไอ้เด็กพั้งค์ไปไหนซะล่ะ แค่กๆ”
“His name is Music.” ผมตอบเสียงเรียบ
“นั่นแหละ ต้นกับมิวสิกไปไหนซะล่ะ แค่กๆ”
“Somewhere. They’ll be here soon.” จะถามอะไรนักหนาวะ รำคาญ
“แน่ใจเหรอวะ เอ... เมื่อกี้กูเพิ่งเห็นมิวสิกสะพายกระเป๋าออกนอกมหา’ลัยแล้ว ส่วนไอ้ต้นเมื่อกี้กูเจอในห้องน้ำ มันบอกเดี๋ยวจะไปหาพี่มันต่อเลยให้กูมานั่งเป็นเพื่อนมึง... มันคงไม่กลับมาเร็วๆนี้หรอกมั้ง” อ้าว ไอ้ต้น เจ้าหักหลังข้า!!
“So?”
“So, let me sit here with you” มันยิ้มแฉ่ง ไม่น่าเชื่อแหะว่าถึงสำเนียงมันจะแปร่งๆ แต่พูดได้คล่องขึ้นเยอะเลยนี่... เอ่อ แต่ก็ยังงั้นๆอยู่แหละถ้าเทียบกับเจ้าของภาษาน่ะนะ แล้วจะเอายังไงกับมันดีล่ะเนี่ยะ เล่นนั่งไม่แคร์สื่ออยู่อย่างงี้
“Fine. I can find another place to sit” ผมลุกขึ้นยืนแล้วตั้งท่าจะเดินไปหาที่นั่งใหม่ แต่ว่า
“เดี๋ยวก่อน” มันคว้าข้อมือผมไปจับไว้แน่น โดยไม่ได้สนใจสายตาชาวบ้านที่หันมามองด้วยความงุนงงแต่อย่างใด “มึงฟังกูก่อนได้ป่าววะ แค่กๆ”
“Let me go. People stare at us” ผมพูดเสียงเบาจนแทบกระซิบ
“งั้นมึงก็นั่งลง แล้วฟังกูก่อน” มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่ว่า ไม่! ทำไมผมจะต้องฟังที่มันสั่งด้วยล – อ้าว เห้ย! แล้วอยู่ดีๆทำไมผมนั่งลงที่เดิมแล้วล่ะ ในหัวผมมันก็บอกอยู่แท้ๆว่าให้เดินหนีไปซะ ให้ตายสิ เสียหมาชะมัด
“Speak up real quick. I don’t have much time.”
“โอเค...” มันถอนหายใจแล้วนั่งลงข้างๆผม พร้อมทำสีหน้าจริงจัง.... เอาเข้ หล่อว่ะ... ผมหมายถึงว่า คิดว่าหล่อรึไงวะ “แอนนี่ เรื่องที่กูต่อยมึง กูเข้าใจแล้วว่ามันไร้สาระมาก และกูก็ผิดเองที่ทำตัวงี่เง่าในตอนนั้น จริงอยู่....... จริงอยู่ ไอ้เรื่องที่กูเครียดเรื่องรับน้องมันอาจจะทำให้กูสติหลุดได้ง่าย...... แต่ที่กูทำมันก็งี่เง่าเกินไป งี่เง่าและไร้เหตุผลจริงๆ.... แอนนี่..... กู...... เอ่อ กู...... คือ กู.... ข – กูขอโทษ”
ไอ้พริกพูดกับผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมไม่เคยเห็นมันจริงจังกับอะไรมากขนาดนี้ และผมรู้สึกมันได้... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยกโทษให้มันนะ
“กูขอโทษมึง จากใจจริง” มันพูดพร้อมเอามือมาตบบ่าผมเบาๆ... แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า... ผมจะยกโทษ... ให้มัน...
“Urrr…” อ้าวเห้ย พูดสิวะแอนนี่ ไมอ้ำอึ้งอย่างงี้ล่ะกู
“เอ้อ จริงสิ มึงเคยฟังเพลงเกาหลีมั่งป่ะวะ” เห มาอารมณ์ไหนวะ กูปรับมู้ดไม่ถูก
“Umm… Yeah? A little bit.”
“แล้วมึงรู้จักวง Super Junior ป่ะ แค่กๆ” ทำไมวันนี้มันไอบ่อยแหะ แต่ว่าแต่ วงนี้เหรอ เหมือนเคยได้ยินนะ ที่อเมริกาตลาดเพลงเกาหลีไม่ค่อยมีมาโปรโมทเท่าไหร่ แต่วงนี้เคยฟังอยู่เพลงนึงติดหูดี
“I’ve heard them” ตอบไปสั้นๆก่อนดีกว่า อยู่ดีๆอะไรของมันวะ... เอ๊ะ อ้าว แล้วกูจะตอบทำไมวะ ยังไม่ได้บอกว่าจะยกโทษให้เลย ชิชิ
“เหรอ ดีๆ เพราะว่า เอ่อ... กูมีเพลงๆนึงอยากจะให้....” เพลง?? เอาจริงดิ่ “เพื่อเป็นการ... เอ่อ ขอโทษ แต่คือ กูไม่รู้จักเพลงฝรั่งที่มีความหมายขอโทษ เพลงไทยมึงก็คงไม่ฟัง ก็... เห็นเพลงนี้มันมีเนื้ออะไรขอโทษ ไม่รู้ ยังไงก็...”
ก็... ก็แล้วมันก็ลุกขึ้นไปยืนตรงที่โล่งๆ ด้วยท่าทางเกร็งๆ แล้วซักพักนึงเท่านั้นแหละครับ อยู่ดีๆ ลำโพงอินเตอร์คอมในโรงอาหารก็มีเสียงเพลงจังหวะอิเล็กโทรนิกกับบีตกลองหนักๆก็ดังขึ้น แล้วผมก็ถึงกับแทบสำลักน้ำลายทันทีกับ หนึ่ง ไอ้พริก มึงเอาไมค์ลอยมาจากไหนวะ!! สอง ไอ้ต้น!? พี่ต่อ!? พี่แจ๊ส!? เจ๊โหดด้วย!? ใส่ไมค์ลอยเดินมาจากไหนกันวะเนี่ยะ ไม่อายคนเลยรึไง มุงดูกันเป็นม็อบแล้ว!!
Dance Dance Dance Dance (เด็กอ่ะ เด็กอ่ะ โอ้!)
Dance(เด็กอ่ะ เด็กอ่ะ โอ้!) Dance(เด็กอ่ะ เด็กอ่ะ โอ้!) Dance(เด็กอ่ะ เด็กอ่ะ โอ้!) Dance(เด็กอ่ะ เด็กอ่ะ โอ้!)
Dance (เอ้อ เอ๊อ) Dance (เอ้อ เอ๊อ)
เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ
Sorry Sorry Sorry Sorry
บึ๊ดจ้ำบึ๊ดจ้ำบึ๊ดจ้ำบึ๊ดจ้ำ (หน้าผม -*-)
ชุลหลีอยากจะขอโทษปลาช่อน (ปลาช่อน?? กูเหรอเห้ย??)
ปลาช่อน ปลาช่อนราดพริก เบ้เบ่
Shawty Shawty Shawty Shawty
นุ้งนิ้ง บึ๊ดจ้ำบึ๊ดจ้ำบึ๊ดจ้ำ
ซูชิเดี๋ยวกูเลี้ยงนะเอามะ
ปลาช่อน ปลาช่อน ปลาเก๋า เบ่เบ่
…………………………..
อาร้ายยยยยยยยยยยย!! มันท่องอะไรก๊านนนนน จำได้ว่าถึงเคยฟังแค่สองรอบ กูก็ไม่คุ้นว่ามีเนื้อเพลงไทยเลยนะเห้ย แล้วไอ้ท่าขาหมุนๆเกือบลื่นนั่นมันอะไร ร้องมั่วกันได้อีกนะ เอ้อ แต่โอเค ท่อนกลางๆเพลงที่เจ้ทรายแกออกมาเต้น ใช้ได้อยู่ๆ... เห้ออออออ นี่คือเพลงที่ให้ผมเหรอเนี่ยะ 5555555555555555 ฮาจริงๆ
............................
เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ เอ้อ เอ๊อ
โอ๊เย้ เย้ๆๆๆๆๆๆๆ ฮะฮ่า (-*-)
............................................................
...............................................
.......................................
...............................
.......................
.................
............
......
...
ฮูก ฮูก เอ่ออออ ซาวด์เอ็ฟเฟ็กนกฮูกมาจากไหนครับ -*-
เพลงจบแล้ว และทุกคนในโรงอาหารก็ติด silence ไปเกือบหนึ่งนาที หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปกินอาหาร ซื้อกับข้าว ทำกับข้าว ซื้อน้ำ หรืออะไรก็แล้วแต่ตามปกติ โดยที่ไอ้พริกกับเพื่อนๆของมันและไอ้ต้นก็ค่อยๆเดินจ๋อยๆมาหาผม
“เป็นไง?” มันถามอย่างไม่มันใจ
ผมยืนขึ้นแล้วถอนหายใจ “To behonest, your dance – Lame. Your singing – Horrible.”
“แล้ว – แล้วมึงยกโทษให้กูรึยังล่ะ”
ผมหยิบกระเป๋าแล้วยิ้มมุมปากให้มัน “Bye” แล้วผมก็เดินจากมันไป
“Hey! Annie, wait!!” ไอ้ต้นเรียกแล้วเดินตามหลังผมมา
ปล่อยให้มันสติแตกไปอย่างงั้นแหละครับ ส่วนผมก็ผมแอบหัวเราะโดยที่ไม่ให้มันเห็น ให้ตายสิ อะไรมันจะฮาขนาดนี้ ถึงจะเป็นการร้องและเต้นที่ทุเรศมาก แต่ผมชอบนะ 55555555
โอเค... ผมยกโทษให้มันก็ได้ แต่ผมยังไม่บอกมันหรอก ให้มันนั่งเครียดนอนเครียดไปอีกซักพักแล้วกัน เอาคืนๆ หึหึหึหึหึหึ
**********************************************************************************
สองวันต่อมา วันนี้ผมอยู่ที่คอนโดอย่างสบายใจแล้วครับ ไหนๆก็หมดช่วงเทศกาลรับน้องแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงเปิดเทอม แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไอ้พริกก็เงียบหายไปเลย หลังจากวันนั้น จนผมเริ่มสงสัยแล้วว่า หรือว่ามันถอดใจที่จะง้อผมแล้ว (ไรว้า อุตส่าห์ยกโทษให้แล้วนะ)
แล้วจู่ๆ
Hey, ey, ey, ey. Like a girl gone wild, a good girl gone wild.
I'm like… ไอ้ต้นก็โทรมาหาผม
“ว่าไง”
“ฮัลโหล เฮ้ย แอนนี่ คุยได้ป่าววะ”
“ก็ได้อยู่ ทำไมวะ”
“เออๆ คือ มึงช่วยไปดูห้องพี่พริกหน่อยดิ่วะ ว่าพี่เค้าอยู่รึเปล่า”
“ตลกและ มึงก็รู้อยู่ว่ากูยังไม่พูดกับไอ้พริก มึงยังจะให้กูไปหามันอีก... คราวที่แล้วแอบไปช่วยมันง้อ กูยังไม่คิดบัญชีมคงเลยนะเห้ย”
“โอยยยยย มึง เอาไว้ก่อนดีกว่า คือพี่กูบอกว่า พี่เค้าไม่ได้ไปม. มาสองวันแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรรึเปล่า โทรไปหาก็ไม่รับ” อ้าว ซะงั้นอ่ะ เป็นอะไรของมันนะ
“เหรอ... แต่กูไม่อยากไปดูว่ะ” ขอเล่นตัวซักนิดแล้วกันนะ คิคิ
“มึงอย่าเพิ่งมาดราม่าอะไรตอนนี้เลย เมิงช่วยไปดูให้หน่อยแล้วกันน่าว่าพี่เค้าเป็นอะไรรึเปล่า”
“เออๆๆๆ โอเคๆ กูไปดูก็ได้วะ แล้วเดี๋ยวกูโทรไปบอก”
“ดีมาก”
“เดี๊ยะเหอะมึง”
“ฮ่ะๆๆๆๆ โอเค ฝากด้วย บาย”
ให้ตายสิ ไอ้พริกมันคิดอะไรของมันอยู่เนี่ยะ นึกจะหายตัวไปเฉยๆ จะดราม่ารึยังไง ห้องก็อยู่ตรงข้ามกันแค่นี้ จะมาง้ออีกหน่อยไม่ได้รึไงฟระ! คิดแล้วมันอารมณ์บ่จอยครับ
ก๊อกๆๆ“Prick! Are you in there?” เงียบครับ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ก๊อกๆๆ“Prick! Are you there?”ยังคง เงียบอยู่ครับ
ก๊อกๆๆ“Prick!” ไม่ตอบ เอาเถอะ สงสัยมันคงไม่อยู่ละมั้งครับ อาจจะกำลังไปมหา’ลัยอยู่ เดี๋ยวผมโทรกลับไปบอกไอ้ต้นก่อนดีกว่า
แอ๊ดดดดด....ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเองอยู่นั้น อยู่ๆประตูห้องไอ้พริกก็ค่อยๆเปิดออก และเมื่อผมหันไป ผมก็พบกับร่างของชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่ดูซีดเซียว ขอบตาดำคล้ำ เส้นเลือดนัยตาเป็นสีแดง และท่าเดินโซเซไปมา.... ซอมบี้...!!???
“เฮือก!!!” เสียงร้องของผมเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ และมันค่อยๆเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ...
To be continued
ตอนหน้า... สรุปว่า ตัวอะไรโผล่ออกมาจากห้องไอ้พริก!?