รู้สึกตอนนี้กระแสเกลียดพริกจะเริ่มมาแล้วแหะ
แต่เอาจริงๆ คนเขียนเองยิ่งเขียนก็ยิ่งไม่ชอบพริกเหมือนกันอ่ะ ยิ่งตอนล่าสุดนี้ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ 55555555 (พริก: อ้าวคุณคนเขียน ) แต่ยังไงก็นะ ตอนใหม่นี่ ผมตั้งใจจะทำเพื่อให้ข้อคิดกับใครหลายๆคนที่อาจจะทะเลาะกับเพื่อนหรืออะไรก็แล้วแต่เลยละครับ ถือซะว่าไอ้พริกมันเป็นตัวแทนของใครหลายๆคนที่เผลอทำเรื่องแบบนี้ไปก็แล้วกันนะ (จริงๆเรื่องพริกต่อยแอนนี่แอบเอามาจากเรื่องจริงของเพื่อนนิดนึงอ่ะ *w*)ผมนั่งรอ ยืนรออยู่หน้าห้องของผมอยู่นานเกือบเป็นชั่วโมงแล้ว รอเวลาให้ไอ้คนที่ผมเผลอไปต่อยหน้ามันกลับมาซะที ช่างมันและ รับน้องเย็นนี้ ยังไงผมก็ต้องคุยกับมันให้ได้ ตั้งแต่เมื่อกลางวัน พอผมต่อยมันเสร็จ ผมก็เดินออกมาสงบสติอารมณ์ก่อน ก็มันเล่นเอาเรื่องชื่อผมไปพูดซะให้เสียๆหายๆ มันก็ต้องยั้วะกันบ้างแหละ แต่ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่ผมทำมันไม่ถูก ยังไงก็คงต้องเคลียร์กับมันหน่อยล่ะ...
ไอ้ฝรั่ง... ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับมาอีกวะ
ติ๊งเสียงลืฟต์ดังขึ้นจากอีกฟากของตึก ผมลุกขึ้นยืนเพื่อดูว่าใช่คนที่ผมรออยู่รึเปล่าที่จะออกมาจากลิฟต์แล้วก็พบว่า...
เป็นคุณยายวรนาทที่อยู่ห้องถัดจากผมไปสามห้อง แกยิ้มทักทายก่อนจะถามว่า “ทำไมไม่เข้าห้องไปล่ะจ๊ะพ่อหนุ่ม”
“อ่ออออ พอดีอยากออกมาสูดอากาศนอกห้องน่ะครับ” เป็นการแถที่ดูไร้เหตุผลมาก แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะตอบว่ายังไงไม่ให้เป็นเรื่องยาว
แกพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ “ระวังมืดๆเข้า เดี๋ยวโดนตะขาบกัดนะพ่อหนุ่ม”
เอ่อออ -_-“ ทำไมต้องตะขาบวะ
ติ๊งเสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกรอบ ผมจึงหันไป แล้วก็พบว่าไอ้ฝรั่งยืนอยู่ตรงนั้น ถึงตอนนี้อยู่ดีๆในหัวผมว่างเปล่าเลยครับ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับมันยังไง โดยเฉพาะ ‘มันในตอนนี้’ ที่ดูท่าทาง ไม่มีการโวยวาย ไม่กระโจนเข้ามางับผม ไม่มีอาการว่าอยากจะเดินเข้ามาข่วนผมแต่อย่างใด มีแต่สายตาที่ดูเหมือนจะละเลยการมีตัวตนของผมไปซะแล้ว ถึงตอนนี้ผมก็ยอมรับว่าทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ไอ้ฝรั่งเดินมาจนถึงประตูห้องมันแล้ว และผมยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว... พูดสิวะไอ้พริก พูดอะไรออกไปซะหน่อยสิ ให้มันรู้ว่าเราก็รู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ถูกต้อง
“อ – เอ่อ หน้ามึงเป็นยังไงบ้าง....” เป็นคำถามที่โง่มากครับ ผมรู้ดี ก็เห็นอยู่ว่าหน้ามันบวมจนจะเป็นเนื้องอกอยู่แล้ว... แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าควรจะพูดอะไร
“........” ผมได้ความเงียบและสายตาดุๆที่ส่งมาเป็นคำตอบ จะพูดอะไรดีวะพริก พูดอะไรที่ทำให้คนตรงหน้ายอมใจอ่อนสิ อะไรซักอย่าง ลองนึกดู
“เอ่อ... มึงยังทำกุญแจหายอยู่รึเปล่า... ไม่งั้นมารอแม่มึงในห้องกูก็ได้”
“It’s alright” มันตอบผมด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมันพูดมาก่อน แล้วมันก็โชว์กุญแจที่ตอนนี้ร้อยมาเป็นสร้อยให้ผมเห็น “I have mine”
แล้วมันก็หันไปไขประตูเพื่อเข้าไปในห้องมัน ผมพยายามรวบรวมความคิด หาคำพูดที่จะทำให้มันกลับมาเหวี่ยง กลับมาโวยวาย กลับมากวนประสาทผม แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้นก็เพียงแค่...
“...แอนนี่” ...พึมพำเบาๆในขณะที่มันปิดประตูห้องมันลงตรงหน้าผม
ปัง!!Chapter 8: ไม่รู้จักโต“ไอ้พริก” ...............
“ไอ้พริก..” ...............
“ไอ้เชี่ยพริก!!” ใครวะ เรียกอยู่ได้ คนกำลังนึกๆอะไรอยู่ พอหันไปปุ๊บ เหล่าสหายของผมนั่งมองผมด้วยสีหน้าเอือมระอาทันที
“มองอะไรของพวกมึง” ผมถาม
“มองหมามั้งถามได้ ก็มองมึงไง” ไอ้ทรายตอบกวนประสาทอีกตามเคย
“มองกู? แล้วมองทำไมวะ”
“ก็กูเรียกมึงไปเจ็ดแปดรอบแล้ว มึงก็เหม่ออยู่นั่นแหละ” ไอ้แจ๊สตอบ ยังคงมองหน้าผมอย่างพินิจพิเคราะห์ตามสไตล์ของมัน
“อ – อ้าว... เหรอ??”
“ไม่ต้องมาอ้าวเหรอเลยมึง คิดอะไรอยู่ล่ะ” ไอ้ต่อถาม สายตาเพ่งเขม่ง
“คิดถึงเรื่องน้องแอนนี่อยู่อะดี๊” ไอ้แจ๊สเสือกรู้ดี มีการมองผมด้วยหางตาอีกต่างหาก
“ป – ป๊าววว จะไปคิดถึงเรื่องนั้นทำไม๊”
เพี๊ยะ“เชี่ยทราย ตบหัวกูทำไมเนี่ยะ!” ผมโวยวายถามมัน
“ยังจะมาถามอีก มึงไปต่อยหน้าน้องเค้าแล้วแทนที่จะสำนึกนะ!”
“ก็ – ก็จริงๆ กูก็นึกอยู่แหละว่าจะไปพูดกับมันอยู่เมื่อไหร่ดี” ผมตอบแบบอายๆ เพราะมันเสียฟอร์มครับ ธรรมดาผมเคยง้อใครที่ไหน
“ถ้าคิดแล้ว มึงจะทำยังไงต่อ” ไอ้แจ๊สถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็ยังไม่รู้เลยว่ะ เจ้าตัวก็ไม่ยอมคุยกับกูเลย”
“ก็แล้วมึงไปต่อยหน้าเค้าทำไมล่ะ” ไอ้ต่อถาม
“ก็ตอนนั้นกูปรี๊ดนิ่ อยู่ดีๆเอาชื่อกูไปล้อเลียนกับคนอื่นนี่หว่า”
เพี้ยะ!“โอ๊ยยย ไอ้ทราย! คราวนี้อะไรมึงอีกเนี่ยะ!”
“ยังจะถามกูอีก ไอ้พริก! มึงนี่มันไอ้หัวกระดอจริงๆว่ะ!ถามหน่อย มึงเนี่ยนะควรปรี๊ด ได้ข่าวว่ามึงไปกวนตีนน้องเค้าก่อนไม่ใช่รึไง มึงถามคุณผู้อ่านได้เลยว่าใครเป็นฝ่ายกวนประสาทใครก่อน”
“เออ รู้แล้วน่า ก็นี่ไง ถึงหาทางคุยกับมันอยู่เนี่ยะ” ผมตอบไอ้ทรายก่อนจะนึกอะไรดีๆออก “นี่ไง ไอ้ต่อ มึงก็ให้น้องมึงช่วยพาแอนนี่มาหากูหน่อยดิ่”
“เห๊อะ ปัญหามึง มึงก็แก้เองสิวะ” ไอ้ต่อ ไอ้เพื่อนใจร้าย พูดเสร็จมันก็ลุกหนีไปเลย... อ้าว ไอ้ทราย ไอ้แจ๊สก็ลุกด้วย
“อ่าว เห้ย! ไปกันหมดเลย”
“ก็พวกกูมีเรียนบ่ายนี่หว่า บอกให้ลงเรียนด้วยกัน มึงก็เสือกอินดี้ ไม่ยอมลง”ไอ้แจ๊สบอก แล้วจึงเดินตามไอ้ต่อไป
เพี้ยะ!“มึงตบหัวกูทำไมอีกเนี่ยะทราย!!”
“กูหมั่นไส้มึง” มันตอบหน้ากวนก่อนจะเดินตามไอ้ต่อกับไอ้แจ๊สไปเรียนตอนบ่าย ในขณะที่ผมที่ไม่ได้ลงวิชาเดียวกับพวกมัน ก็นั่งหาทางคุยกับไอ้ฝรั่งต่อไป... จะว่าไป ผมยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่คณะไหน เผื่อวันนี้มันมีรับน้อง ผมจะได้ไปหามันได้
“ไอ้ต่อ!!!” ผมตะโกนเรียกมันก่อนที่มันจะเดินขึ้นตึกวิศวะไป “วันนี้น้องมึงมารับน้องอยู่ป่ะ”
“มา”
“แล้วน้องมึงอยู่คณะอะไรวะ”
“BBA ไง... นี่มึงจะไปหาแอนนี่เลยเหรอวะ?”
“เออดิ่”
“เย้ดดดดด จะเอาจริงแล้วเว้ย” ไอ้แจ๊วยิ้มแฉ่ง
“ต้องอย่างงี้สิมึง!” ไอ้ทรายยิ้มตามพร้อมด้วย
เพี้ยะ! ดังๆให้ผม “สู้ๆเว่ย”
“มึงเลิกตีกบาลกูเห๊อะ สมองกูจะไหลอยู่และ” ผมแขวะไอ้ทรายก่อนจะเดินแยกกับเหล่าสหายของผมไป
จากคณะวิศวะของผมไปคณะบัญชีไม่ได้ไกลอะไรมากครับ เดินไปประมาณสิบนาทีก็ถึงพอดี ผมเดินไปที่ตึก BBA ที่อยู่ใกล้ๆกับตึกใหญ่ของคณะบัญชี ที่นี่ค่อนข้างเงียบมาก คงเพราะนอกจากพวกเด็กปีหนึ่งที่มารับน้องแล้ว ปีอื่นๆคงไม่ค่อยมากัน อีกสิบนาทีน่าจะได้เวลาที่เลิกรับน้องกัน ผมเลยยืนรออยู่ที่ใต้ตึก เพราะเป็นที่ที่พอลงจากลิฟต์หรือบันไดเลื่อนก็ต้องผ่านเสมอ แล้วนั่งรอ ให้ได้เวลาเลิกซะที
.....10 นาทีต่อมา.....
แต่ว่าทำไมถึงยังไม่ลงมากันอีกนะ แปลกจริงๆ มันควรจะได้เวลาลงมาแล้วนี่หว่า นี่นาฬิกาผมก็ตรงเป๊ะนะ ทำไมยังไม่ลงมาอีก
......5 นาทีต่อมา.....
ในที่สุดก็เริ่มได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากบันไดแล้ว ลิฟต์ที่ลงมาถึงชั้นล่างเปิดออก เด็กปีหนึ่งหลายคนเดินแห่กันออกมาจากลิฟต์ รวมถึงบันไดที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ผมพยายามชะเง้อมองหาคนที่ผมต้องการจะเจอมากที่สุดในตอนนี้ แต่ผมก็หาไม่เจอซะที จนในที่สุด บริเวณใต้ตึก BBA ก็กลับมาไร้ผู้คนอีกครั้ง... และผมก็ยังไม่เห็นวี่แววของเด็กฝรั่งหัวฟู ผมบลอนด์ที่ผมอยากเจอเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเดินออกจากตัวตึกไป แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงคุยดังขึ้นอีกรอบ ถึงผมจะฟังไม่ออก แต่สำเนียงและเสียงนั่น ผมรู้ทันทีว่าเป็นใคร ผมรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ตึก พอดีกับที่คนที่ผมอยากเจอเดินมาเจอกันพอดี จนหน้าเราทั้งคู่เกือบชนกัน
“เฮ้ แอนนี่” ผมเริ่มทักทาย แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง มองผมด้วยสายตาเย็นชา ไอ้น้องต้นที่ยืนอยู่ข้างก็ทำสีหน้าบุญไม่รับเมื่อเห็นผมเช่นกัน ส่วนเด็กพั้งค์อีกคนหนึ่งนี่ผมไม่รู้ว่าใครแต่ –
- aaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaa!!!!!- โอ้ เพลงเฮวี่เมทัลดังมาจากไหนเนี่ยะ
“เอ่ออออ Can I talk to you?” ผมหันกลับมาถามแอนนี่ (เสียงเพลงเมทัลหายไปแล้วแหะ)
“No” มันตอบเสียงเรียบ
“Why?”
“Because I still have a thought inside me” ...มีความคิดบางอย่างอยู่งั้นเหรอ??
“ความคิดอะไร?”
“You now, thought about punching you in the face and kicking your balls until you scream like a dog being slit its throat.” โอเค ผมแปลไม่ออกครับ รู้เรื่องแค่อยากต่อยหน้ากับเตะไข่ผม แถมพวกเสียงโหดซะด้วย
“That’s metal” ไอ้เด็กพั้งค์พูดแล้วยิ้มมุมปาก
–aaaaaaaaaaaaaaaaaaa!!!! แล้วเพลงแบ็คกราวน์ก็มาอีกและ
“น่า แอนนี่ กูขอเวลาคุยแปบเดียวเอง”
“Fuck off, Prick. Before I do what I just said.”
“พี่พริกอย่าเพิ่งคุยดีกว่าครับ อย่างที่แอนนี่มันบอก ตอนนี้มันยังปรี้ดอยู่” ไอ้ต้นเสริม ซึ่งผมเองก็จะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้าแล้วปล่อยให้ไอ้ฝรั่งกับเพื่อนๆมันเดินไป
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เด็กพั้งค์นั่นหันมาทักผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งแน่นอนว่าเพลงเมทัลดังขึ้นอีกครั้ง (ให้ตายสิ! ใครเปิดเพลงอะไรกรอกหูจากไหนวะ!!!)
“Oh, by the way.” ไอ้ฝรั่งหยุดหันมามองผม “Forget all about the language lesson ‘cause, you know, I don’t give a single fucking fuck”
อื้อหือ ฟักซะเยอะเชียวพ่อคุณ กะเอาซะหลายรอบเลยรึไง เฮ้อออออ
โอเคครับ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่า มันโกรธมากแค่ไหน เพราะนอกจากท่าทีเย็นชาแล้ว มันยังดูร้ายกับผมไปเลยด้วย... ร้ายจนผมเองรู้สึกแปลบๆมาก ใจนึงก็อยากเข้าไปกระชากมันเข้ามาคุยให้รู้เรื่อง แต่อีกใจนึงผมก็เข้าใจครับว่าทำไมมันถึงทำอย่างนี้ มันเป็นเพราะผมเองที่คุมอารมณ์ไม่อยู่...
ผมยอมรับว่าผมเครียดเรื่องจัดกิจกรรมรับน้อง เพราะผมเองก็เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในหลายๆเรื่อง แต่ผมก็ควรจะแยกแยะออกในเรื่องอารมณ์ แล้วที่ไอ้ทรายพูดก็ถูก ผมเป็นฝ่ายหาเรื่องแอนนี่ก่อน แต่ตอนนี้ประเด็นอีกอย่างคือ ผมขอโทษไม่เป็น... คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมไม่เคยขอโทษใครมาก่อน มันไม่ใช่วิถีผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และผมก็ไม่รู้จะทำยังไงด้วย
*********************************************************************************
“กาก” คำพูดจากเพื่อนๆผมซึ่งประสานเสียงพร้อมๆกันเหมือนวงออร์เคสตร้าหลังจากที่ผมเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันให้พวกมันฟังในตอนเย็น ซึ่งตอนนี้ พวกเราก็กำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ที่แม็คโดนัลที่พารากอนครับ
“แทนที่มึงจะพูด ‘ขอโทษ’ เลยเนี่ยะ มันจะเป็นอะไรไปวะ” ไอ้ต่อแยกเขี้ยว
“มันง่ายซะทีไหนล่ะวะ พวกมึงก็รู้ว่ากูเคยพูดคำนี้ซะเมื่อไหร่... ยกเว้นกับพ่อแม่”
“มึงก็นึกว่าน้องเค้าเป็นพ่อแม่ดิ่วะ” ไอ้ทรายแนะนำ
“เป็นคำแนะนำที่สมควรมากครับทราย” ไอ้แจ๊สประชด
“แล้วไม่งั้นจะให้ไอ้พริกมันทำยังไงล่ะ แม่งก็ทำตัวปี๋(หิด)อยู่อย่างงี้อ่ะดิ่”
“ก็บอกแล้วววว พวกมึงช่วยกูหน่อย แบบ ไปบอกไอ้ฝรั่งก็ได้ว่า กูเสียใจ” ผมเริ่มงอแง
“ตลกแล้วไอ้พริก ทำอย่างงั้นมันจะมีความหมายอะไรวะ” ไอ้แจ๊สหันมาพูดเสียงจริงจัง
“ปีสองแล้วนะมึง ทำตัวให้มันสมกับอายุด้วย ไม่ใช่มาทำตัวเป็นเด็กม.ต้น ผิดมึงก็ยอมรับผิดดิ่” ไอ้ต่อเทศน์
“แมนๆหน่อยมึง แค่เรื่องไปต่อยเค้าก่อนนี่ก็ไม่แมนอยู่และ” ไอ้ทรายเสริมทัพ เอาเข้าไปครับ แต่ละคน แทบจะกินหัวผมอยู่แล้ว
“เฮ้ย ไอ้พริก มึงดูนู่น” ไอ้ต่อเรียกผมให้มองไปทางทิศที่มันมอง บร๊ะจริงๆครับ บังเอิญหรือฟ้าช่วยผม ไอ้ฝรั่งมันมาเดินเล่นพาราก้อนพอดี แถมมาคนเดียวด้วย อย่างงี้เข้าถึงง่ายหน่อย
“ไปเลย ไอ้พริก” เสียงไอ้แจ๊สเชียร์ ซึ่งตอนนี้เอง ผมก็ไม่รอช้าแล้วครับ รีบลุกขึ้นเดินไปหาไอ้ฝรั่งทันที
“Oh shit” มันครางในลำคอทันทีที่เห็นผม
“ซั่บดู้ดดดดด” ผมทักทายอย่างกวนๆ “ฮาวยู่ แหมน”
“.......” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... แป้กแล้วกู แค่เริ่มมาก็เน่าแล้ว
เอ่อๆๆๆ แล้วจะพูดอะไรต่อดีวะ
“เอ่อออ มาคนเดียวหรอวะมึง”
“Nahh” มันตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เอาวะอย่างน้อยก็ยังตอบ
“อ่าว แล้วคนอื่นล่ะ”
“Upstaires” โอเค อยู่ชั้นอื่น
“งั้น... เดี๋ยวกูเดินเป็นเพื่อนให้เอามะ”ผมฝืนยิ้มแฉ่ง
มันหันมายิ้มให้ผมแบบกว้างสุดๆก่อนจะหุบลง “No. Thank you.”
แล้วมันก็เดินหนีผมไปที่บันไดเลื่อน เวรล่ะครับ ผมทำอะไรไม่ถูกและครับ ถึงคราวหันไปหาเพื่อนๆผมที่นั่งหน้าแทบจะติดเป็นหนึ่งเดียวกับกระจกร้านแม็คฯ พวกมันก็ทำท่าทำทางเป็นเชิงให้ผมเดินตามไอ้แอนนี่ไป ผมก็
“เอาล่ะวะ” ผมถอนหายใจแล้วรีบเดินตามมันไป โดยที่ตอนแรกมันก็ไม่ได้สังเกตหรอกว่าผมตามมันมา จนกระทั่งมันขึ้นบันไดเลื่อน
“Urrrrgh. Can you just fuck off and leave me alone, please” มันพูดอย่างหมดความอดทนเมื่อหันมาเห็นผม
“ก็ได้” ผมตอบแล้ววิ่งขึ้นไปที่บันไดขั้นเหนือกว่ามัน “แต่มึงต้องคุยกับกูก่อน”
“No way”
“ถ้างั้นกูก็จะเดินตามมึงไปเรื่อยๆนี่แหละ แต่กูจะพูดไปด้วย”
“Whatever” มันพูดเมื่อมาถึงชั้นบน และพยายามเดินเร็วๆให้พ้นผม แต่มีเหรอผมจะไม่ทัน ในเมื่อผมตัวใหญ่กว่ามันอีก
“ฟังนะ แอนนี่ เรื่องของเรื่องก็คือ กูเครียดเรื่องรับน้อง แล้วพอตอนนั้นมึงโผล่มาพอดี กูก็แค่อยากจะกวนมึงเล็กน้อย แต่พอมึงกวนกูกลับ กูก็ปรี้ดจัดเพราะเรื่องรับน้องอยู่แล้ว กูไม่ได้มีเจตนาจะทำจริงๆ กูก็ตกใจเหมือนกันที่กูทำไปอย่างนั้น เข้าใจกูหน่อยสิวะ”
“How am I supposed to understand?” มันหยุดแล้วหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุดๆ “You embarrassed me first. (คนเขียน: embarrass แปลว่าทำให้อายจ้า คำนี้แอบยากอยู่) And when I embarrassed you, you PUNCH me. Is there anyway I can understand?”
ผมอ้ำอึ้งครับ... ไม่ใช่เพราะผมฟังไม่รู้เรื่องนะ แต่เพราะทุกสิ่งที่มันพูดมามันถูกหมด ใช่ มันจะเข้าใจได้ยังไงในเมื่อผมเป็นฝ่ายทำมันพังหมด
“แอนนี่ มึงน่าจะเข้าใจสิว่ากูรู้สึกยังไง” นั่นคือคำพูดที่ผมตอบเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง
“Say it. Say how you feel.”
“ห๊ะ ค – คือ มึงก็น่าจะรู้น่า”
“Right. I know. I know that when I ate that spicy Tom Yum Kung and I’m angry, you’re not even say sorry to me. When I waited for your unreasonable situation (situation แปลว่า สถานการณ์คร้าบบ) with your mom and dad in the pool for three hours, you don’t even say you’re sorry.” มันเริ่มใส่อารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ “And now, even when you hurt me, don’t you have anything to say?”
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก กูสัญญา” ผมพูดด้วยเสียงจริงจัง “มึงจะไม่เจ็บตัวอีก”
“Is it?” มันยิ้มมุมปากแล้วชี้ไปที่แก้มข้างที่ยังคงบวมของมัน “Touch this.”
“ห๊ะ?”
“Touch this.”
“เอ่ออออ เอาจริงดิ่” ผมถามด้วยสีหน้างุนงง ซึ่งมันก็พยักหน้าหงึกๆ
ผมเอานิ้วค่อยๆเลื่อนเข้าไปจิ้มแก้มมัน จนบุ๋มลงไปเล็กน้อย แล้วมันก็กระโจนพร้อมเอามือไปปิดแก้มมันทันที
“Aww!!! It hurts!!” แล้วมันก็หันมามองผม “Now, you hurt me again and you promised! ”
“เฮ้ย! แต่มึงบอกให้กูไปจิ้มนะ!” งงสิครับ ก็มันบอกให้ผมไปจิ้มแก้มมันเองนี่หว่า
“That’s not excuse. And wrong answer for what you have to say.” มันตอบยิ้มๆแล้วเดินไปทางน้ำพุทางเข้าห้าง
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิมึง เรายังคุยกันไม่ –“
ตู้ม! ซ่า!ยังไม่ทันที่พูดจบประโยค ผมก็สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มกลิ้งลงไปในน้ำพุ ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของผู้คนแถวนั้น ผมเห็นแอนนี่หันมามองผมซักพัก แล้วจึงเดินหายไป แล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างก็เข้ามาช่วยดึงผมขึ้นจากน้ำ
ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมควรทำยังไง คำพูดของไอ้ฝรั่งยังก้องอยู่ในหัวผม
“And now, even when you hurt me, don’t you have anything to say?” ใช่ ผมมันทำตัวงี่เง่ามาตลอด ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักแยกแยะ แถมยังไม่รู้จักขอโทษอีก
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ที่เพื่อนผมบอก ที่แอนนี่โมโห ผมทำมันพังเอง และผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อไป...
หลังจากเช็ดตัวให้แห้งและเล่าให้เพื่อนๆฟังเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ผมกับเพื่อนก็แยกย้ายกลับ โดยที่ผมยังอยู่ในสภาพเปียกปอนอยู่นิดๆ
”แล้วมึงจะเอายังไงล่ะทีนี้” ไอ้แจ๊สถาม ตอนที่พวกเรากำลังจะแยกย้ายกัน
“ท่าทางแอนนี่จะโกรธหนักซะด้วย” ไอ้ทรายพูดสีหน้าจริงจัง
”กูก็จะทำในสิ่งที่กูควรจะทำไปนานแล้วไง” ผมตอบ
”ยังไงวะ” ไอ้ต่อถาม
”ไปขอโทษมัน แต่กูต้องขอให้พวกมึงช่วยด้วยนะ””ไอ้พริก ก็กูบอกแล้วไงว่า -” ไอ้ต่อทำท่าจะเทศน์ แต่ผมเบรคมันไว้ก่อน
”เปล่าๆ เรื่องขอโทษ เดี๋ยวกูเป็นคนบอกแอนนี่เอง แต่พวกมึงต้องช่วยอะไรกูซักหน่อย”เพื่อนๆของผม ทำหน้างงกันหมดครับ ผมจึงบอกพวกมันไปว่า
”พวกมึงฟังเพลงกันบ่อยป่ะวะ”To be continued
ตอนหน้า พริกจะง้อแอนนี่ได้หรือไม่ แล้วพริกจะขอโทษแอนนี่ยังไง แล้วเกี่ยวอะไรกับการฟังเพลง หึหึหึหึหึหึหึ