ตอนที่ 3 มาแล้วครับ ช่วงนี้คนเขียนยุ่งๆกับชีวิตนิดหน่อย อาจจะมาอัพนิยายช้ายังไงต้องขอโทษด้วยนะฮะ ^ ^ “มีนเมินเหี้ยไร กูแปลไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่องเว้ย!!”
“ค้อเมิงแม่งยับค่ายนี่วาร์ แทนเท้ชึทอนแร็พแค็กฮายมันดีแคร์นีน่อย!!! (ก็เมิงแม่งหยาบคายนี่หว่า แทนที่จะต้อนรับแขกให้มันดีกว่านี้หน่อย!!!)”
นั่นแหละครับผมเอง ผมเถียงมันเป็นภาษาไทย ยอมรับครับว่า ถึงจะเรียนกับไอ้ตี๋นี่แค่เดือนเศษ (ซึ่งก็เป็นเดือนเศษที่น่าหงุดหงิดมาก) แต่ก็ออกเสียงภาษาไทยหลายๆคำได้ชัดขึ้นบ้าง... โดยเฉพาะคำที่ใช้ด่ากับมันนี่แหละ
….. โอ้ ดูผมสิครับ หน้าตาตอนด่ากับมันนี่น่ากลัวจริงๆ ธรรมดาผมไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้ซะหน่อย
“ไอ้นี่!!! ออกเสียงยังไม่ถูกยังทำกระแดะพูดไทยอีกนะมึง พูดก็พูดไม่รู้เรื่อง!!”
“เอ๊า!! And when I speak English, you don’t have the gut to understand it at all!!!”
“เอ๊า ไอ้นี่นิ่!! อยู่ดีๆมึงก็พูดอังกฤษ จะเอายังไงวะ!! กูฟังไม่รู้เรื่องเว้ย!!” (พริก) โอ้ ดูผมสิครับ แววตาเปร่งประกาย เกรี้ยวกราด การตะเบ็งเสียงที่เห็นเส้นเลือดที่คอเป็นมัดๆ ราวกับว่าผมอยู่ในสงครามที่กำลังสู้อยู่กับทหารเลวชาวตะวันตก
(แอนนี่) หุบปากเหอะน่าไอ้ตี๋ น่าตาเมิงตอนด่า น่าเกลียดกว่ากูอีก... เห็นมั้ยครับคุณคนอ่าน ขนาดตอนบรรยาย เราสองคนยังอดจะทะเลาะกันไม่ได้ ก็ไอ้เจ้านั่นมันน่ารำคาญนิ่ครับ... ว่าแต่ว่า ตอนนี้มันเป็นตอนของผมไม่ใช่เหรอ คุณคนเขียน ทำไมให้ไอ้นี่โผล่มาด้วยล่ะ Hey!!
Chapter 3: The Lost Key เรื่องของเรื่องที่เราทะเลาะกันใหญ่โตมันไม่ได้มาจากแค่เรื่องภาษาหรอกครับ แต่มันเกิดจากว่า...
(เมื่อสองวันก่อน)
“เอ้อ ตายจริงแอนนี่แม่ลืมไปเลย” แม่ผมสะดุ้งตัวขึ้นระหว่างที่เราทานข้าวกันอยู่
“หือ? อะไรแม่” ผมถามขณะสูดเส้นบะหมี่ต้มยำไม่ใส่พริก (อี๋ๆๆๆๆ ชื่อนี้ไม่อยากจะพูดเลย) ไม่ใส่ขิง ไม่ใส่น้ำพริกเผา และไม่ใส่กะทิ (แหม ผมกินเผ็ดไม่ได้นี่)
“แม่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้มีสัมนาที่ต่างจังหวัด ไปสามวัน”
“เอ๊า ไม่บอกซะมะรืนนี้เลยล่ะแม่”
“ก็มันเพิ่งนึกได้นี่นา”
“แล้วคือยังไงอ่ะ “
“อ่าว แล้วเราอยู่ได้มั้ยล่ะคนเดียว”
“แม่ อย่าลืมสิว่าผมอยู่คนเดียวมาสัปดาห์นึงก่อนแม่จะมาอีกนะ อยู่ได้อยู่แล้วน่า”
“อืมม งั้นก็ดี แม่จะได้อุ่นใจ ถ้ามีอะไรก็โทรมาบอกแม่แล้วกัน”
“รับแซบ!!”
แล้ววันรุ่งขึ้นแม่ก็ออกไปสัมนาแต่เช้า ซึ่งแน่นอนว่านั่นหมายถึงเวลาของ...... อิสรภาพ!!!! เยี่ยมจริงๆ อย่างงี้ผมก็ไปเที่ยวไหนก็ได้ตามสบายโดยไม่ต้องมีแม่มาคอยคุม เยส!! งานนี้แหละ พารากอนจ๋า เซนทรัลเวิร์ดจ๋า สยามจ๋า มาบุญครองจ๋า อยากไปมานานแล้ว วี้วววววว!!!
แล้วเมื่อวาน กับวันนี้ของผมก็หมดไปกับการเดินเล่น ช็อปปิ้ง ตามย่านวัยรุ่นของคนไทย จะว่าไปเด็กสยามนี่ก็หน้าตาดีเยอะนะครับ ดูเป็นดารากันได้แทบจะทุกคนเลย แถมยังตาถึงกันเยอะซะด้วย เพราะผมมักจะเห็นสายตาหวานแหววที่ส่งมาให้ผมเป็นระยะๆ เอิ๊กๆๆๆๆ ช่วยไม่ได้นะ คนมันหน้าตาดีก็อย่างงี้แหละ
(เมื่อวานนี้)
Don’t cry for me Argentina
The truth is I never left you…เอ๊ะ ใครโทรมาตอนนี้วะ กำลังเลือกเสื้อใหม่อยู่เลย
“Hello?”
“ไอ้ฝรั่ง มึงอยู่ไหนวะ” ไอ้... พริก (วะฮ่าๆๆๆๆ) เวรแล้วไง ลืมไปเลยว่าต้องเรียนภาษา
“E – errrrr, today I’m kinda busy ว่ะ Maybe we should skip class today”
“หือ?? เอางั้นเหรอ?”
“Yep. I’m so busy right now” ผมตอบขณะที่ได้ยินเสียงมันร้อง ‘เยส’ เบาๆจากปลายสาย
“เออๆ โอเคๆ ไม่เป็นไรนะเว่ย ตามสบายเมิงเลย พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ยันสัปดาห์หน้า ถ้าไม่ว่างก็ได้นะ กูไม่ซีเรียส” มันพยายามตอบแบบเก็บอาการดีใจครับ ไม่ใช่แค่เมิงคนเดียวว่ะไอ้ตี๋ กูก็ดีใจที่ไม่ต้องไปเจอหน้ามึง
“Okay. I take my time”
หลังจากนั้น ผมก็วางสายไปด้วยความรู้สึก... ดีใจสุดๆไปเล้ยยยย!! วู้วว!! เอาล่ะครับๆๆ ได้เวลาผมช็อปปิ้งต่อแล้ว ขอตัวก่อนนะแจ๊
(วันนี้)
ของพะรุงพะรังไปหมดเลยครับ วันนี้ผมไปเดินแถวประตูน้ำมา ที่ห้างแพลตตินั่ม ซึ่งมีเสื้อผ้าเยอะแยะมากมายให้เลือก ผมล่ะถูกใจไปหมดเลยครับ ถึงแม้เสื้อผ้าจะออกแนวคนละสไตล์กับที่เค้าใส่กันที่อเมริกาก็เถอะ แต่อย่างที่เค้าว่า ‘เข้าเมืองตะหลิว ต้องตะหลิวตาม’ (ใช่เหรอ?) ...นั่นแหละครับ เอาเป็นว่า เราก็ต้องตามเทรนด์ของบ้านนี้เมืองนี้กันหน่อยแหละนะ ผมก็เลยซื้อเสื้อผ้ามา แทบจะเรียกได้ว่า โละของเก่าเลยล่ะ
...แต่ว่า....... เอ๊ะ?? ทำไมผมล้วงกระเป๋าผมแล้วไม่เจอกุญแจห้องซะทีนะ?? อืมมมมม หาทุกซอกของกระเป๋าก็แล้ว กระเป๋ากางเกงก็แล้ว กระเป๋าเสื้อก็แล้ว เปิดดูในกางเกงในเผื่อจะเจอก็แล้ว อะเจ๊ย! จะบ้าเหรอ มันไม่อยู่ในนั้นหรอก!! แต่ยังไง ผมหาที่ไหนที่ไหนก็ไม่มี..... เฮ้ย.....
เง้ออออออออออออออ!!! กรูทำกุญแจห้องหายยยยยยยยยยยยย!!!
ซวยแล้วๆๆๆๆ จะทำยังไงดีล่ะครับเนี่ยะ แม่ก็ไม่อยู่ ไอ้กุญแจอีกอันนึงก็อยู่ที่แม่ผมซะด้วย งานนี้เข้าห้องไม่ได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ยะ....
เฮ้อออออ งานนี้เห็นที คงต้องขออาศัยซักห้องที่เราทำความรู้จักไว้ไปจนถึงวันพรุ่งนี้ซะแล้วล่ะ ....อ๊ะๆ!! คุณผู้อ่านอย่านึกเชียวนะว่าผมจะขอไปอยู่ห้องไอ้ตี๋ penis น่ะ ไม่มีทางหล่ะครับ ผมรำคาญมัน และมันก็รำคาญผม ไม่อยากจะเยื้องย่างเข้าไปในนั้นซะเท่าไหร่หรอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “Excuse me. Is anybody inside??” คำถามนี้เกิดขึ้นจากปากผมไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว ผมเคาะประตูเรียกได้ว่าเกือบจะทุกห้องของชั้นนี้แล้วครับ แต่ทำไมนะทำไม... ทำไมไม่มีใครอยู่ในห้องกันเลยล่ะ ฮือออออ อย่างงี้ก็เท่ากับว่าผมน่าจะเหลืออยู่ตัวเลือกเดียวสินะ ฮือออออออ คุณผู้อ่านครับ มาถึงจุดนี้ เชิญจิ้นกันได้ตามอัธยาศัยเลย เพราะผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว กับการที่ต้องแบกหน้าไปเคาะห้องมันเนี่ยะ
“It’s gonna be alright, Annie…. Just one night” ผมปลอบใจตัวเองเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องมัน แต่ทำไม คำปลอบใจผมมันดูส่อจังวะ
ตึก ตึก...ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามซอกมือ เสียงหัวใจผมดังชัดในหัวมากขึ้นทุกทีทุกที...
ตึก ตึก ตึก ตึก...ผมค่อยขยับเข้าไปใกล้ประตูห้องมันมากขึ้น จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างน่ากลัว...
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก...ผมค่อยๆยกมือขึ้นช้าๆ เพื่อเตรียมเคาะประตู...
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก...“Alright, Annie. Just knock it!” ผมบอกตัวเอง ก่อนจะเริ่มเคาะประตู แต่แล้ว....
แอ๊ดดด“มึงมีไรมึงก็พูดมา กูเห็นมึงยืนทำหน้าเป็นหมาแดกขี้อยู่หน้าห้องกูห้านาทีได้และ” ไอ้ตี๋พูดขึ้นหลังจากเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเอือมสุดๆ
“W – Wait!! How could you know that I’m gonna knock the door??” ผมถามสีหน้าเหวอ
“ห๊ะ?? อะไรนะ” แม่งทำหน้าเอ๋อกวนทีนอีกและ
“The door!! How could you know!! I’m gonna …” ผมเคาะประตูหลังพูดจบ เผื่อไอ้เอ๋อนี่จะรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง
“อ๋ออออ ก็มึงเล่นเดินเคาะทุกห้องในชั้นนี้ แถมพูดซะดัง กูจะไม่รู้ได้ไง” เอ่อะ มันพูดมางี้ ผมอายเลยครับ
“แหน่ะๆๆๆ เป็นไรเมิง อายอ่ะดิ่ หน้าแดงเป็นตูดลิงบาบูนเลย” มันแหย่แล้วหัวเราะกวนประสาท
“Shut up! I’m not that embarrassed”
“เออ เมิงจะพูดอะไรเมื่อกี้ก็ช่างเหอะ ว่าแต่ เมิงมีธุระอะไร”
“......” มันไม่กล้าพูดออกมาอ่ะสิครับงานนี้ จะมาขออยู่กับคนที่ด่ากันทุกวัน มีหวังบอกไป ผมโดนมันด่าเช็ดแน่ๆ
“อ่าว ไม่พูด??” กูไม่รู้จะพูดยังไงโว้ย
“E – Errrrr, Well….. Errrrrr”
“มึงเป็นกะละมังเหรอ น้ำเอ่อ รึไง??” มุขอะไรเมิงวะ แป้กชิบ
“No! I just…. Errrrrr……”
“จั๊สอะไร?”
“เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจก่อนจะยอมบอกด้วยความอาย “คูเพิ่ร์งทำคุณแชฮ้องห้าย (กูเพิ่งทำกุญแจห้องหาย)”
“........???????” สีหน้ามันตอนนี้เป็น Question mark แล้วครับ “พูดเหี้ยไรมึงเนี่ยะ อิงลิช พลีส”
“I lost my key! I can’t enter my room, okay!?” ผมขึ้นเสียงเพราะทั้งอาย ทั้งสุดจะทนกับหูของไอ้พริก
“อ่าฮะ... แล้ว??” ไอ้นี่ ไม่ได้มีน้ำจิตน้ำใจจะช่วยเหลือกูเลยรึไง
“แลว what?! I can’t find a place to stay! My mom is going on a seminar!! She’s not here until tomorrow, okay??”
“เอ่อออออ...” มันทำหน้าเอ๋อ เรียบเรียงสิ่งที่ผมพูด “โซ ยูว้อนทูสะเตย์อินมายรู้ม??”
“That’s correct”
“เหอะๆ ฝันไปเหอะมึง กวนตีนอย่างมึง นอนเฝ้าโจรหน้าห้องกูดีกว่าว่ะ กร๊ากกกกก” ไอ้เลวววววว แม่งจะปิดประตูใส่หน้าผมอีก ดีนะที่ผมยันประตูแล้วพยายามดันตัวเองเข้าไป
“เห้ยๆๆๆ!! อะไรมึง! กูไม่ให้เข้า!”
“ค้อคูชึเค้าอาร์ ซาร์ดดดดดด!!! (ก็กูจะเข้าอ่ะ สาดดดดดดด!!!)” ผมตะเบ็งเสียง ออกแรง และ
ตุ๊บ!!สำเร็จครับ ผมผลักประตูเข้ามาในห้องมันได้ในที่สุด แต่ทว่า....
ขาของผมกับมันพันกันอีกแล้ว ไม่นะๆ นี่ผมจะล้มลงไปจูบกับมันอีกแล้วเหรอ ....ภาพตอนนี้สโลว์โมชั่นมากๆ ตัวของมันล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ส่วนตัวของผมกำลังลอย และจะลงไปหามันแล้ว ใบหน้าของเราใกล้เข้ามา.... ใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา.... และ.....
อั๊ก!! มันเอาเข่ายกขึ้นมากันครับ โอ้โห!! งานนี้เข่ามันกระแทกเต็มๆ แอนนี่น้อยแทบแตกสลายกันเลยทีเดียว
“Shit!!! It hurts!!!” ผมร้องเสียงหลง ขณะลงไปกลิ้งกับพื้น อื้อหือ หน้ามืดมากๆครับตอนนั้น ลมแทบจับ
“วะฮ่ะๆๆๆๆๆ ช่วยไม่ได้ เมิงอยากล้มลงมาหากูเองนะ ไอ้ฝรั่งขี้นก มันเป็นกลไกการป้องการตัวอย่างนึงน่ะ”
“You!!” ผมส่งสายตาอาฆาตไปให้มัน แบ๊คกราวน์ผมตอนนี้ลุกเป็นไฟแล้วฮะ
“เฮ้ยๆๆๆ ใจเย็นๆก่อนสินาย....” มันทำหน้าเหวอ เมื่อผมเริ่มเอาจริงครับ (แบ๊คกราวผมยังคงมีไฟลุกอยู่) มันค่อยๆถอยร่นเข้าไปในห้องขณะที่ผมค่อยๆก้าวอย่างร้ายกาจราวกับสิงโตที่พร้อมจะขยุ้มเหยื่อ “....ย – ยังไงเราก็คุยกันได้น่า เมิงอย่าเพิ่งโมโหดิ่วะ”
“You die!!!” ผมระเบิดออกมาก ก่อนจะกระโจนเข้าเกาะหลังไอ้ตี๋
“ว้ากกกกกกกกกก มึงเป็นตัวอะไร!!! ซอมบี้รึไงวะ เห้ย ปล่อยนะ!!!!!” มันโวยวายร้องลั่น ขณะที่ผมกำลังจะงับหัวมัน มันพยายามวิ่งหนีไปทั้งห้อง จนในที่สุด ผมก็เลิกเมื่อมันยอมให้ผมค้างห้องมันได้
“เอ้า มึงเอาไอ้นี่ไป” ไอ้ตี๋โยนถุงนอนมาให้ผม ผมมองมันสีหน้างงๆ?? จะให้กูนอนในนี้เนี่ยนะ??
“ทำหน้างงอะไรมึง มึงก็นอนในนั้นแหละ ไม่เคยนอนถุงนอนรึไง?”
“Hello?? I’m your guess. I should stay in your bed” ผมตอบแล้วเดินไปที่เตียงของมัน
“เห้ยๆๆๆ มากไปละเมิง” มันรีบกระโจนมาดันตัวผมออกไปจากเตียง “มาอาศัยกูอยู่ยังมาแย่งที่นอนกูอีก ได้ไงวะ”
“Come on, I can’t sleep in this… crap. It’s too old and stinky” แหงล่ะครับ ทั้งเก่าทั้งเหม็นใครจะไปนอนลง “Can’t we just – sleep in bed. I promise I won’t bite you, again”
“เห้อะ!! No way! ใครจะไปเชื่อเมิงวะ เมือ่กี้เล่นเอารากผมกูแทบหลุด ถ้าเมิงไม่นอนในถุงนอนนี่ก็ไปหาพื้นซักที่นอนนู่นไป”
“You’re so cruel” ผมเริ่มตัดพ้อ คนอะไรวะ ใจร้ายชิบ! แขกทั้งคนนะเว่ย
“เออๆๆ เอวเอิวอะไรกูไม่รู้เรื่อง ไปที่อื่นไปกูจะนอนและ” มันพูดแล้วเดินมาปิดไฟห้องนอนมัน ปล่อยให้ผมยืนหัวโด่เด่อยู่ในห้อง ก่อนที่มันจะล้มตัวลงนอนบนเตียงมัน... คิดจะเมินกูใช่มั้ยไอ้ตี๋ ด๊ายยยย กูจะหน้าด้านให้เมิงดูเอง กูไม่ยอมไปนอนบนพื้นหรอก
ผมไม่ลังเล ขึ้นไปนอนข้างๆมันอย่างเงียบๆ แต่เหมือนว่ามันจะรู้ตัวครับ
“เห้ยๆๆ อะไรมึง ขึ้นมาได้ไงวะ!” มันโวยวายแล้วดันผม ซึ่งเริ่มดิ้น ให้ตกเตียง
ผลัก!!“Ouch! That’s hurt!!” ผมโวยวายขณะที่มันไปเปิดไฟ ผมส่งสายตาเดือดดาลไปให้มันทันที
“ไม่ต้องมาทำฤทธิ์เยอะเลยมึง! กูบอกแล้วว่าไม่ให้มึงมานอนบนเตียง!! จะอะไรนักหนาวะ!!”
“But I can’t sleep on the floor!!!”
“เรื่องของมึงสิ!! มาอาศัยกูอยู่แล้วยังมาทำตัวน่ารำคาญอีกนะมึง!!”
“Like I want to stay with someone so mean like you!!”
“มีนเมินเหี้ยไร กูแปลไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่องเว้ย!!”
“ค้อเมิงแม่งยับค่ายนี่วาร์ แทนเท้ชึทอนแร็พแค็กฮายมันดีแคร์นีน่อย!!! (ก็เมิงแม่งหยาบคายนี่หว่า แทนที่จะต้อนรับแขกให้มันดีกว่านี้หน่อย!!!)”
“ไอ้นี่!!! ออกเสียงยังไม่ถูกยังทำกระแดะพูดไทยอีกนะมึง พูดก็พูดไม่รู้เรื่อง!!”
“เอ๊า!! And when I speak English, you don’t have the gut to understand it at all!!!”
“เอ๊า ไอ้นี่นิ่!! อยู่ดีๆมึงก็พูดอังกฤษ จะเอายังไงวะ!! กูฟังไม่รู้เรื่องเว้ย!!”
“โอ๊ยยยย!! เมิงค้อแฮ็ทฟังบาซาร์ English คูฮายรูว์เรืองเซว่ะ!!! (มึงก็หัดฟังภาษาอังกฤษกูให้รู้เรื่องสิวะ!!!)” ผมหมดความอดทนกับความกวนประสาท น่ารำคาญ นิสัยเสียของมันเต็มทนแล้วครับ ให้ตายสิ อย่างหาอะไรมายัดปากมันจริงๆ
“พูดเหี้ยอะไรของเมิ้งงงงง!! กูฟังไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นประโยคละ – อุ๊บ!!” ผมทนไม่ไหวแล้วครับ หยิบหมอนข้างของมันขึ้นมาตีหัวมันนี่แหละ หุบปากซะที เมิง
“เชี่ยนี่ จะเล่นอย่างงี้ใช่มั้ย! ได้ๆ” มันเลือดขึ้นหน้า แล้วคว้าหมอนของมันขึ้นมา ก่อนจะหวดใส่ผมเต็มที่ แต่ผมหลบได้ครับ
“Awwww, you suck at this. It’s my turn!” ผมหวดหมอนข้างใส่มันไปอีกหนึ่งดอก
ก่อนที่มันจะหวดผมกลับอีก แล้วในที่สุด สงครามหมอนก็เริ่มขึ้นครับ ผมกับมันหวดกันเต็มที่หลายๆครั้ง จนในที่สุด ฟูกก็เริ่มฟุ้งกระจายเต็มห้อง ผมเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว อยู่ดีๆทั้งผมทั้งมัน ทั้งๆที่ด่ากันอยู่ แต่ก็หัวเราะไปด้วยอย่างน่าประหลาด เออ ทำไมมันรู้สึกสนุกดีแหะ ไอ้การตีหมอนเนี่ยะ
“Whoa!!” กำลังคิดอะไรเพลินๆครับ อยู่ดีๆผมก็ลื่นล้มอีกแล้ว (วันนี้หลายรอบแล้วนะ!!!) ผมคว้าแขนมันเป็นหลักไว้ แต่มันก็ดันล้มตามผมลงมาด้วย
“เฮ้ย!!”
และคราวนี้เข่าผมก็ยกขึ้นมากั้นไว้ไม่ทันครับ!! ชิบแล้ว!! หน้ามันใกล้เข้ามาอีกแล้ว!! ผมหลับตจาปี๋ ไม่อยากจะนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อแต่ว่า...
......
ผมไม่รู้สึกว่าริมฝีปากมันมาประกบผม ผมจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่า.... ใบหน้าของมันซึ่งแดงก่ำพอๆกับมะเขือเทศ อยู่ห่างจากหน้าผมไม่ถึงเซน มันยันตัวเองไว้ได้ทัน อยู่บนตัวผมในขณะที่ผมเองตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว และอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกเหมือนหูผมอื้อไปหมด ได้ยินแต่เสียงจังหวะหัวใจเต้น... เอ่ออออออ.... อะไรวะเนี่ยะ อยู่ดีๆมารู้สึกอย่างงี้ได้ยังไงวะเห้ย!! ไม่ได้ๆๆๆๆๆ ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยครับ มันรู้สึกโหวงๆ ยังไงบอกไม่ถูก ยิ่งอยู่ต่อหน้ามันตอนนี้ ยิ่งไม่ชอบเลยครับ!!
“W – Well, Urrr” ผมเรียกสติตัวเอง และเหมือนไอ้ตี๋เองก็จะสะดุ้งได้สติขึ้นมา จึงรีบลุกขึ้นจากตัวผม ฟูกในห้องยกคงกระจายไปตามแรงลมของแอร์
“ม – เมิงจะนอนในนี้ก็ได้ ด- ด- เดี๋ยวกูไปนอนข้างนอกเองก็ได้ ไม่เป็นไร” มันพูดตะกุกตะกัก มือไม้ชี้ไปนู่นทีนี่ที
“N – No, it’s okay. I can stay outside” ผมพูด รู้สึกบอกไม่ถูก... เกร็งๆ คงเพราะรู้สึกยี๋ๆ จนไม่รู้จะพูดยังไง ซึ่งมันเองก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันแหละ...
“ไม่เป็นไรหรอก..” มันพูดเร็วๆเสียงอ่อยๆ แต่ไม่มองหน้าผม “กู – ขี้เกียจเถียงกับเมิงแล้ววันนี้”
มันพูดเสร็จแล้วก็เดินอาดๆออกไปทันทีครับ หน้าผมเองยังไม่หายแดง หัวใจยังเต้นเร็วๆอยู่ เฮ้ออออออ อะไรวะเนี่ยะ นี่ผม.... รังเกียจมันจนอาการเป็นขนาดนี้เลยเหรอ...
ผมสั่นหัวหงึกๆเพื่อให้ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วหันไปปัดพวกฟูกที่อยู่บนเตียงออก เรื่องเก็บกวาดไว้ค่อยช่วยมันทำพรุ่งนี้ก็ได้ ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรตอนนี้แล้ว อันที่จริง ผมไม่อยากจะออกจากห้องนอนไอ้ตี๋เพื่อไปเจอมันในตอนนี้ด้วยซ้ำ มัน... ขยะแขยง... ใช่ๆ มันขยะแขยง ยังไงไม่รู้สิ เอาเถอะครับ คืนนี้ผมนอนก่อนดูกว่า ยังไงก็ ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณผู้อ่าน
To be continued