(ต่อ)
“เปล่า.. กูคันหลังอ่ะ” ฟ้าประทานพูดเสียงเนิบหน้าตาย ก่อนจะพยายามเอื้อมมือที่มีอยู่แค่ข้างเดียวนั่นไปปัดๆ เกาๆ ที่ด้านหลังของตัวเอง “ไม่รู้มีตัวอะไรไต่ยุกยิกๆ ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว ..ช่วยดูให้หน่อยดิ”
“..........” อย่าให้อธิบายว่าผมรู้สึกยังไงหรือกำลังทำหน้าแบบไหนกับประโยคพวกนั้น ผมอึ้งอยู่!
“โอ๊ะ โอ๊ะ.. ดูหน่อยซันนี่ มันเริ่มกัดกูแล้ว” มันขยับตัวหยุกหยิกอยู่ไม่สุข ก่อนจะหันหลังมาให้ผมจัดการกับตัวอะไรก็ตามที่กำลังก่อกวนมันอยู่
“อ่ะ..ไหน?” ผมเลิกเสื้อเชิ้ตของมันขึ้นทั้งที่ยังอึ้งไม่หาย ตอนแรกก็ไม่เห็นอะไร แต่พอมองไปมองมาก็เห็นว่ามีแมลงปีกแข็งตัวเล็กๆ สีดำๆ ไต่อยู่ในเสื้อ ..ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวอะไร แต่ผมก็จับมันออกแล้วเอาไปใส่ในถังขยะให้แต่โดยดี
“คันอ่ะ เกาให้หน่อย” หลังจากพยายามจะเกาเองแล้ว แต่ไม่สามารถ สุดท้ายหมอนั่นก็หันหลังมาให้ผมอีกรอบ “..ตัวอะไรรู้จักรึเปล่า?”
ผมเกาไปพูดตอบไป “ไม่รู้ดิ.. ไปเอามาจากไหนเหรอ?”
“คงจะติดมาจากสวนมั้ง เมื่อกี๊ไปนั่งเล่นแถวสวนมา” ฟ้าตั้งข้อสันนิษฐาน เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมหลังจากให้ช่วยเกาจนพอใจแล้ว แต่ปากก็ยังบ่นงึมงำ “จะแพ้หรือเปล่าเนี่ย?”
“เคยแพ้เหรอ?” ผมสงสัย ทั้งเรื่องที่ฟ้าแพ้แมลง และเรื่องที่ว่าเรากลับมาคุยกันเป็นปกติแบบนี้ได้ยังไง?
อืม.. ตกลงคำตอบของฟ้ามันคืออะไรกันแน่เนี่ย? แล้วผมอกหักแน่แท้แล้วหรือยัง? ...เอ๊ะ มันยังไง? โอ๊ยยย หล่องง!
“ถ้าเป็นพวกแมลงก็มีบ้าง..” ฟ้าตอบผ่านๆ ก่อนจะขยับมาชิดแล้วเกี่ยวเอวผมไปกอดไว้ “ว่าแต่ที่พูดเมื่อกี๊น่ะ.. พูดแล้วพูดเลยนะ”
“....?....” ผมเลิกคิ้วน้อยๆ ด้วยยังตามอารมณ์และการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของอีกฝ่ายไม่ทัน ขณะที่ความชิดใกล้ส่งผลให้ปลายจมูกของพวกเราแทบจะแตะกันแล้วตอนนี้
“พูดแล้วพูดเลย...รักแล้วก็รักเลยด้วย” ฟ้าพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังดีใจ ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่ตบท้ายหลังงับจมูกผมเบาๆ ไปแล้วหนึ่งที “ถ้ากลับคำคืน...มะรืนตายแน่ๆ”
“ใครจะตาย?” ผมถามพลางยิ้มกว้างดีใจ ..ที่ฟ้าพูดแบบนี้แปลว่าฟ้ายกโทษให้ผมแล้วงั้นเหรอ? ฟ้าไม่โกรธผมแล้วเหรอ? ...จริงๆ เหรอ?!
และคำตอบน่ารักๆ ของหมอนั่นก็เรียกรอยยิ้มของผมให้กว้างมากขึ้นจนมุมปากแทบจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว..
“ฟ้าไง.. ต้องขาดใจตายแน่เลย”“กูรักมึงนะ ฟ้า..” ผมโอบสองแขนรอบตัวฟ้าแล้วกอดฟ้าเอาไว้แน่นเพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้เพ้อเจ้อไปเองคนเดียว(แต่ก็พยายามระวังไม่ให้กระทบกระเทือนแผลของเขา) ฟ้าเองก็กระชับวงแขนข้างเดียวที่มีกอดตอบผมแน่นขึ้นเช่นกัน ..เราต่างคนต่างฝังหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สูดกลิ่นอายที่ห่างหายไปหลายวันอย่างแสนคิดถึง พูดจาตอบโต้กันด้วยเสียงอู้อี้อันน่าตลกแต่ก็ทำให้รู้สึกดีที่สุดในช่วงเวลานี้ “..ขอบใจที่ไม่เกลียดกู”
“จะเกลียดได้ไง? ..ก็รักไปแล้วนี่นา” คำตอบของฟ้าตอบทำให้หัวใจที่ฟีบมาหลายวันของผมได้ขยายจนพองโตคับอก
“มึงเข้าใจคำว่ารักแล้วเหรอ?” แต่ก็ยังไม่วายถามกลับไป
“ก็ไม่รู้ดิ..” ฟ้าว่า ขณะที่เราผละออกจากกันเพื่อมาจ้องตาบ้าง “แต่กูมั่นใจว่าความรู้สึกของเราคงไม่ต่างกัน”
“งั้นมึงก็คงรักกูจริง” ผมเอาบรรทัดฐานความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายมาเป็นตัวสรุป
“ใช่” แม้จะเป็นน้ำเสียงเฉื่อยๆ ทว่ากลับฟังดูหนักแน่นพอที่จะให้เชื่อถือได้
“แบบหัวปักหัวปำเลยด้วย” ผมพูดกลั้วหัวเราะในตอนท้าย ขณะเราแนบหน้าผากไว้ด้วยกัน
“ใครกันแน่?” ฟ้าประทานเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
จากนั้น.. ริมฝีปากของเราก็ค่อยเคลื่อนเข้าหากันโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดอีก...
“อะแฮ่ม!~” น้ำเสียงลั้ลลาคุ้นหูในช่วงหลายวันมานี้ดังขึ้นขัดจังหวะการทำพิธีกรรมแลกสารเอนไซม์ขั้นสุดยอด(ล้วงกันถึงคอแล้ว)ของผมกับฟ้าจนต้องแยกออกจากกันด้วยความจำใจ(?)
“เคอิจัง..” ฟ้าพึมพำชื่อผู้มาใหม่เบาๆ
“จะสวีทหวานแหววกันยังไงก็ช่วยเกรงใจคนไข้ของหมอบ้างสิครับ บ๊จจัง” ทางนั้นพูดต่อยิ้มๆ แต่คำพูดนั่นก็ทำเอาผมรู้สึกกระดากอายระคนรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่มายืนจูบกันทั้งที่เจ้าของห้องกำลังนอนป่วยหนักอยู่แบบนั้น
“มานะไม่ถือหรอก” ฟ้าบอกหน้าตาเฉย
“แต่หมอถือครับ! หมอไม่ชอบเห็นใครมารักกันแถวนี้ หมออิจฉามากกก!” เจ้าหมอบ้าเริ่มออกอาการเพี้ยนขึ้นมาแล้ว ..จะว่าไปสองสามวันมานี้ผมก็ไม่ได้เห็นท่าทางล้นๆ เกินๆ ของไอ้หมอนี่เลยนะ ช่วงนี้เห็นแต่เดินหัวยุ่งเสื้อยับเข้าห้องนู้นออกห้องนี้อยู่ตลอด
“งั้นก็รีบปลุกมานะขึ้นมาดิ” คู่สนทนาหน้าอึนแนะนำ
“ก็พยายามอยู่นี่งายยย..” หมอทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนจะพาดหัวเอาไว้กับราวกั้นเตียงผู้ป่วยที่ยกขึ้นมาเล็กน้อยด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง “แต่มานะคุงของบ๊จจังก็ช่างใจแข็งกับหมอเหลือเกิน.. เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น”
“บางทีถ้าเคอิจังไปอยู่ให้ไกลหูไกลตา ไม่ต้องเสนอหน้ามาให้เห็นอีก ..มานะก็อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้”
“ใจร้ายอ่ะ บ๊จจัง” หมอต๊องหัวมาค้อนคนพูดด้วยท่าทางงอนๆ
“ไปดีกว่า..” ฟ้าพูดแบบนั้นแล้วหันมาคว้าข้อมือผมจูงเดินไปยังทางออก แต่พอถึงประตูก็ชะงัก ก่อนหันกลับไปกำชับคนเป็นหมอด้วยหน้าซื่อๆ “อย่าลักหลับมานะนะ.. เคอิจัง”
“มานะจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกมั้ย ฟ้า?” ผมถามฟ้าขณะที่พวกเราขึ้นมากินลมชมวิวอยู่บนดาดฟ้าตึกของโรงพยาบาล
เมื่อกี๊ที่ฟ้าจูงผมออกมา เขาก็ไม่ได้บอกว่าจะพาผมไปไหน และผมก็ไม่ได้ถาม แค่เดินตามมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาโผล่ที่นี่แหล่ะ
แต่ระหว่างทางนั้นฟ้าประทานก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับมานะให้ผมฟังด้วย(ผมเป็นคนถามก่อนเองล่ะ) ..ฟ้าบอกว่าวันนั้นมานะออกไปตามล่ามือสไนเปอร์อย่างที่เคยประกาศไว้ เขาตามไปจนเกือบจะถึงรังไอ้ของบ้านั่น แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกซ้อนแผน ทางนั้นวางกำลังไว้เยอะกว่าเพื่อรอตลบหลังอยู่แล้ว ดูเหมือนมือ สไนเปอร์พอจะรู้อยู่แล้วว่ามานะต้องมา ฟ้าบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันในสำนักบอดีการ์ดของแบร์ลุสโคนี รู้ทางกันเป็นอย่างดีและเป็นคู่แข่งคนเดียวที่มานะยังไม่เคยเอาชนะได้
มันมีชื่อว่า ‘มัลเลอร์’ เป็นลูกหลานของผู้ติดตามของตระกูลเวนโดลาที่ทำงานมาหลายชั่วคน(จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงยอมรับคำสั่งจากเวนโดลาให้มาเด็ดหัวฟ้า ทั้งที่ตัวเองก็ทำงานให้กับองค์กรของพ่อฟ้า) มัลเลอร์มีพรสวรรค์ในด้านแม่นปืนและการซุ่มยิงสูงมาก มันจึงถูกส่งไปอยู่ในหน่วยปฏิบัติการ(จริงๆ ก็พวกมือปืนนั่นแหล่ะ) และเป็นมือดีที่สุดที่องค์กรของแบร์ลุสโคนีมีอยู่ในขณะนี้
ในขณะที่มานะถูกส่งไปอยู่หน่วยคุ้มกัน(หรือก็คือพวกบอดีการ์ดที่ต้องคอยตามประกบคนสำคัญในตระกูล)ตามความใฝ่ฝันของเจ้าตัว
วันนั้นมานะไปคนเดียว เขาปฏิเสธผู้ช่วยเพราะบอกว่าเอาไปก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วง พอรู้ว่าเพรี่ยงพร้ำมานะก็งัดความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาสู้สุดชีวิต ...ด้วยตัวคนเดียว..หมอนั่นสามารถเก็บลูกสมุนทั้งหมดของมัลเลอร์ได้ และเป็นครั้งแรกที่สามารถเอาชนะมัลเลอร์ได้ ..แต่ตัวเขาก็เจ็บหนักจนต้องกลายมาเป็นเจ้าชายนิทราอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้
ผมถามฟ้าว่ามันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เหรอที่พวกเขามาฆ่ากันกลางเมืองกรุงเทพแบบนี้? แต่ฟ้าบอกว่า ‘ไม่เป็นปัญญาหรอก คนของแบร์ลุสโคนีเอง เราจัดการเก็บกวาดกันเองได้ ตำรวจที่นี่รู้ดีว่าควรทำยังไง พวกนั้นจะไม่เข้ามายุ่งหรอก..ตราบใดที่เราไม่ไปยุ่งกับคนของพวกนั้นก่อน’
“ตอบไม่ได้หรอก..” ฟ้าตอบคำถามด้วยเสียงเนิบช้าเหมือนเคย เขายืนเกาะกำแพงดาดฟ้าด้วยท่าทางซึมๆ สายตาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างที่กำลังครึ้มเมฆครึ้มฝนอยู่ในขณะนี้ “ก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะตื่นขึ้นมาในซักวัน..”
“ฟ้า...” ผมเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลังด้วยนึกอยากจะปลอบใจ ทั้งที่หมอนี่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายและความสูญเสียมามากมาย แต่ผมก็ยังใจร้ายไปซ้ำเติมให้เขาเจ็บช้ำเข้าไปอีก ..ผมมันแย่จริงๆ
“กูไม่เป็นไรหรอก ซันนี่” คนพูดตบเบาๆ บนหลังมือผม ก่อนจะกุมมันเอาไว้ “..ไม่เป็นไรจริงๆ”
“กูขอโทษ..”
“พอแล้วล่ะ..” ฟ้าพูดพลางแกะมือผมออกจากเอวเขา แล้วหันมาเผชิญหน้ากัน “มึงพูดขอโทษมามากเกินพอแล้ว ..ให้กูได้ขอโทษมึงบ้างนะ”
?.. ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าฟ้าจะต้องขอโทษอะไรผม? ..อันที่จริงนี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่เขาพูด ‘ขอโทษ’ กับผม
“กูขอโทษที่ทำให้มึงกับพี่มึงต้องมาซวยด้วยกันแบบนี้.. กูมันตัวซวยจริงๆ นั่นแหล่ะ ..ขอโทษนะ”
“ไม่ ฟ้า.. มึงไม่ได้เป็นแบบนั้น กูขอโทษที่พูดอะไรงี่เง่าออกไป กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงแบบนั้น มึงลืมมันไปซะเถอะนะ กู..กู...”
“ไม่เป็นไร...ไม่ต้องคิดมาก ..กูไม่ได้ซีเรียสเรื่องนั้นหรอก” ฟ้าพูดอย่างใจเย็น “..ชินแล้วล่ะ เมื่อก่อนก็เคยได้ยินบ่อยๆ ..ไม่ว่ากูจะไปอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนบาดเจ็บล้มตายอยู่เสมอ.. จะถูกเรียกว่า ‘ตัวซวย’ มันก็ไม่แปลกหรอก...แต่ดูเหมือนกูจะอึ้งนิดหน่อยตอนที่ได้ยินมันจากปากมึง..”
“กูขอโทษ...” ผมก้มหน้าพูด รู้สึกผิดจากใจจริง
ฟ้าหัวเราะลงคอเบาๆ เขาเอามือมาขยี้หัวผมพลางว่า “รู้อะไรมั้ย ซันนี่? ..กว่ากูจะอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้...กูเจอมาแทบทุกรูปแบบแล้วล่ะ.. แค่นี้ไม่สะเทือนถึงต่อมไร้ท่อของกูหรอก ..มึงไม่ต้องคิดมาก ..นะ?”
“มึงไม่โกรธกูเหรอ?”
“ไม่”
“ซักนิดก็ไม่เหรอ?”
“อยากให้โกรธรึไง?”
คราวนี้ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“งั้นก็เลิกพูดเรื่องนี้กันเหอะ.. กูเบื่อแล้ว” ฟ้าว่า
“แต่มึงหายไป..” ผมยังมีเรื่องสงสัย “สองวันที่กูอยู่ไอซียูกับอีกสองวันที่กูอยู่ห้องพักฟื้น.. มึงไม่เคยโผล่หน้าไปให้กูเห็นเลย ..รู้มั้ยว่ามึงทำกูนอยด์แตกแค่ไหน?”
“กูไปนะ” คนถูกกล่าวหารีบแก้ตัว “แต่ไปทีไรมึงก็หลับทุกที..”
“มึงตั้งใจไปแต่ตอนที่กูหลับ!” ผมเองก็รีบตั้งข้อกล่าวหาใหม่ทันที
“..ก็..ใช่” คราวนี้จำเลยยอมรับสารภาพแต่โดยดี
“ทำไม?”
“กูกลัวว่ามึงจะไม่อยากเห็นหน้ากู..” ฟ้าพูดเบาๆ “วันนั้นมึงดูโกรธกูมาก.. กูเลยคิดว่าอย่าโผล่หน้าไปทำให้มึงอารมณ์เสียอีกจะดีกว่า ..เอาไว้รอให้มึงลืมๆ เรื่องนี้ไปก่อน ...กูค่อยกลับไปแบบเนียนๆ”
“...........” จริงๆ นะ.. ผมคิดว่าถ้ามันไม่พูดไอ้ประโยคสุดท้ายนั่นออกมา มันจะดูเป็นพระเอกขึ้นมาทันทีเลยล่ะ เชื่อผมสิ!
เสือกมาตกมาตายเอาตรงประโยคท้ายๆ นี่เอง ..กรรมของเวร
“ไม่เห็นมีใครบอกกูเลยว่ามึงมา” ผมยังไม่เลิกสงสัย
“กูบอกทุกคนไว้ว่าถ้ามึงไม่ถามก็ไม่ต้องพูด ..เผื่อมึงจะไม่อยากได้ยินชื่อของกูด้วย”
เออนะ แล้วผมก็ดันเสือกไม่ถามจริงๆ อีก... ให้ดิ้นตาย
“เอาเหอะ.. ยังไงตอนนี้กูก็ได้เจอมึงแล้ว” ผมถอนหายใจก่อนจะยกแขนขึ้นโอบตัวอีกฝ่ายไว้อีกรอบ ซุกหน้าไว้ที่ซอกคอของเขา พูดเสียงอู้อี้ “..อย่าหายไปไหนอีกนะ ..อย่าปล่อยให้กูต้องเดินคนเดียวโดยที่ไม่มีใครคอยเดินตามสิ ..ไอ้ลูกเป็ด...ของซันนี่”
“อือ..” ฟ้าตอบรับพลางกระชับอ้อมแขนและฝังจมูกลงกับซอกคอของผมเช่นกัน “..จะไม่ไปไหนอีกแล้ว.. ถึงไล่ก็จะไม่ไป...จะคอยเดินตามไม่ห่างตูดเลยล่ะ ...แม่เป็ดของเอี้ยฟ้า”
“เอี้ยฟ้าเหรอ?” ผมหัวเราะกับคำที่มันใช้ขานเรียกตัวเอง
“ก็มึงชอบเรียกกูแบบนั้นอ่ะ” ฟ้าทำหน้าง้ำลงเล็กน้อย คราวนี้เลยโดนผมงับจมูกเอาบ้าง
“ก็มึงมันเอี้ยจริงๆ นี่หว่า ..รึว่าจะเถียง?” ผมยิ้มจนตาหยีใส่
“ไม่เถียง” เอี้ยฟ้าของผมก็กลับมาตีมึนเหมือนเดิมอีกครั้ง
ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างคนต่างหลุดหัวเราะออกมา..
“แหม.. ซึ้งจังเลยนะ~” ภาษาไทยสำเนียงประหลาดๆ ที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เราทั้งคู่รีบหันไปมองหาต้นตอทั้งที่ยังไม่ได้แยกออกจากกันด้วยซ้ำ
ตรงนั้น... บนหลังคาบันได้ดาดฟ้ามีผู้ชายหน้าตาละม้ายคล้ายเอี้ยฟ้า สวมใส่เสื้อผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังนั่งเท้าแขนห้อยขาแกว่งไปมาอยู่อย่างสบายอารมณ์ ..!!
“โคเนโร?!”TBC. ก็นะ.. ถ้าจะมานั่งนอยด์นั่งน้อยใจก็คงจะไม่ใช่ ‘ไอ้เอี้ยฟ้า’ ของน้องซันนี่แล้วล่ะ
เอี้ยฟ้าตัวจริงมันต้องแบบเน้! มันต้อง
‘หน้ามึน สไตล์’ !! (ไม่ใช่ กังนัม สไตล์ นะฮัฟ ฮ่ะๆๆ)
ตะวันจะร้ายยังไงก็ร้ายมาเถอะ ร้ายมาเลย.. ภูมิคุ้มกันระดับฟ้าประทานแล้ว ทุ่มเข้ามาได้เลยสุดตัว! วะฮะฮ่า
---------------------------------------
**อ้างจากตอนที่แล้ว**
ขอพูดถึงพื้นฐานจิตใจของซันนี่น้อยจั๊กหน่อยนะ
ซันนี่เป็นลูกคนเล็ก..
แล้วตามประสาลูกคนเล็ก(ส่วนหนึ่ง)ก็มักถูกโอ๋ ถูกตามใจจากพ่อแม่พี่ๆ ก็เลยมักจะเอาแต่ใจจนเคยตัว เมื่อเคยได้..ก็ต้องได้ (คำว่าไม่ได้ไม่มีอยู่ในพจนานุกรม ฮา) ชาชินกับการได้รับความรักความใส่ใจ แล้วหากวันหนึ่งต้องถูกแบ่งความสำคัญไป จึงทำใจรับไม่ค่อยได้
โดยเฉพาะการเกิดเป็นน้องคนเล็กของซิน ซันนี่ก็เคยบอก(ในตอนแรก)แล้วว่าซินนั้นคอยสปอยเธอมาตลอด จึงไม่น่าแปลกใจหากซันนี่น้อยจะได้ใจและเอาแต่ใจสุดพลังขนาดนั้น
ครอบครัวไม่สมบูรณ์..
ในตอนที่เกิดเรื่องนั้นพ่อแม่ของซันนี่น้อยเพิ่งจะแยกทางกันได้ไม่กี่ปี แล้วบางทีพ่อก็ต้องออกไปทำงานข้างนอกนานๆ ไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว ..เอ้อ ที่พูดนี่ไม่ได้จะบอกว่าเธอทำตัวมีปัญหาเพราะขาดความอบอุ่นหรอกนะ แต่จะบอกว่าเพราะเหตุผลนี้มันเลยทำให้เธอยึดติดกับพี่ชายซึ่งอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะพี่ชายคือคนที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุด เข้าใจเธอที่สุด เธอก็เลยฝังใจว่าชีวิตเธอมีแค่พี่ชายและพี่ชายก็ต้องรักเธอที่สุดด้วย เพราะพี่ชายเป็นของเธอ!! หน้าไหนก็จะมาแย่งพี่ชายไปไม่ด๊ายยยยยย
โดยเฉพาะพี่ชายที่แสนดีอย่างซิน ใครจะยอมยกให้คนอื่นกัน?!!(ฮา..)
พวกเขาเป็นฝาแฝด..
อืม ตามนั้น.. เอ๊ะ? ยังต้องให้พูดอะไร? ก็ฝาแฝดไง แค่นี้ไม่จบเรอะ?
เออ โอเคๆ ..ก็อย่างที่หลายคนเคยบอกว่าฝาแฝดจะมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าพี่น้องทั่วไปไงล่ะ ซันนี่กับซินก็คงเป็นแบบนั้นล่ะ
พวกเขายังเป็นเด็ก..
เรื่องมันเกิดราว 7 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าทุกคนในเหตุการณ์ยังเด็กอยู่มาก(รวมทั้งเก๊าด้วย ฮี่ฮี่
) วุฒิภาวะ การยั้งคิดและอะไรหลายๆ ก็เลยลดต่ำสัมพันธ์กับอายุและความสูง(?)ไปด้วย
ผ่านไป 7 ปี ตอนนี้ซันนี่น้อยก็คงไม่น้อยแล้ว(?) และความหึงหวงยึดติดกับพี่ชายก็ลดลงเยอะแล้ว นิสัยดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็คงยังดีไม่พอ(..ไม่งั้นคงไม่เผลอทำร้ายร้ายจิตใจเอี้ยฟ้า)
เอ้อ.. สำหรับการกระทำของไท่หลัน ตัวผลักดันก็อยู่ที่ความเข้าใจผิดคิดว่าถูกคนที่รักและไว้ใจหักหลัง(ไท่ขอให้ซินสัญญาว่าจะไม่เล่าเรื่องสารภาพรักให้ใครฟังใช่มั้ยล่ะ?) สำหรับบางคนการโดนหักหลังก็อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ สามารถให้อภัยได้ แต่สำหรับบางคนมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มากกกกก ..ก็นานาจิตตังจ้ะ
ที่พูดมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ได้จะเข้าข้างหรือขอความเห็นใจให้ใคร แต่เพื่อจะชี้ถึงแรงขับดันของการกระทำของแต่ละตัวละครเท่านั้น ส่วนใครจะถูก ใครจะผิด ใครจะทำเกินกว่าเหตุ ใครไม่น่าให้อภัย หรือใครน่าสงสารที่สุด อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่านจ้ะ