(ต่อ)
!!.. ผมเล่นเครื่องนั่นเครื่องนี่ไปได้พักใหญ่ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย เลยออกมาพัก เข้าห้องน้ำ และล้างหน้าล้างตาสักหน่อยพอให้สดชื่น ขากลับก็เห็นไอ้พี่คิยืนกอดอกตัวล่ำบึ้กคล้ายกำลังรอใครอยู่ตรงทางเดิน
“พี่รอเราอยู่” พอเห็นผมออกมามันก็เดินเข้ามาหา พูดด้วยท่าทางเป็นมิตร “..มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยน่ะ”
“..........” ผมยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่เงียบและประเมินอีกฝ่ายพร้อมทั้งสถานการณ์โดยรวมอยู่
“ข้างล่างมีคอฟฟี่ช็อปอยู่...” ไอ้นั่นชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลังมันซึ่งเป็นทางออก
ผมเสียเวลาคิดนิดหน่อย ก่อนพยักพเยิดไปทางที่มันชี้ “..นำไปดิ”
ผมเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับมันอยู่เหมือนกัน..
“..........” ผมสั่งเอสเพรสโซเย็นมานั่งดูดจนแทบไม่มีอะไรเหลือ หมุนหลอดเล่นก็แล้ว เขี่ยน้ำแข็งเล่นก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าไอ้พี่คิตัวล่ำ อดีตกัปตันอเมริกา เอ้ย กัปตันทีมรักบี้ของโรงเรียนเก่ามันจะยอมเปิดปากพูดอะไรสักคำ เห็นเอาแต่นั่งมองนั่นมองนี่(บางทีก็มองมาทางผม)พลางจิบชาเขียวใส่นมอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนหรือเร่งรีบอะไร ..จนผมเริ่มจะหงุดหงิด
“ไหนว่ามีเรื่องอะไรจะพูด?” ในที่สุดผมก็อดรนทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน
ไอ้บ้านั่นหันกลับมามองผมที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม มันทำหน้าเหมือนจะหัวเราะออกมา แต่พอเห็นหน้าหงิกๆ ของผมมันก็เปลี่ยนเป็นกระแอมไอคล้ายพยายามกลั้นขำแทน ..ยิ่งดูก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ฮึ่ม!
“พี่นึกว่าเราจะไม่ยอมพูดซะแล้ว” ไอ้นั่นว่ายิ้มๆ
อ๋อ.. นี่มันกำลังรอให้ผมพูดก่อนอยู่งั้นเหรอ? ว่างมากหรือไง? ไม่มีอะไรทำเหรอวะ? ให้ตายเหอะ ทำไมผมต้องมาเสียเวลากับไอ้บ้านี่ด้วย?
“มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดชัดเจน
หมอนั่นเลิกคิ้วมองหน้าผมนิ่งๆ แป๊บนึง ก่อนว่า “เรา..นิสัยเด็กกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”
“ห๊ะ?!” ผมหลุดปากออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ชอบหน้าคนคนนึง..ก็เลยพาลไม่ชอบคนรู้จักของเค้าไปด้วย” ไอ้เอี้ยนั่นเว้นวรรคเพื่อยกชาเขียวขึ้นมาจิบ ก่อนพูดต่อด้วยท่าทางสบายๆ “เนี่ย...เด็กมั้ยล่ะ?”
“..........” หลังจากเสียเวลาประมวลผลไปเล็กน้อยผมก็พอจะเข้าใจว่ามันกำลังพูดถึงอะไร
“แถมยังทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิดอีก”
“มันจะมากไปแล้วนะ!” ผมข่มเสียงต่ำพูดรอดไรฟันอย่างพยายามข่มอารมณ์โกรธ ..ไอ้เอี้ยนี่มันเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาว่าผมฉอดๆ แบบนี้? รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือก็เปล่า แถมยังเป็นคนรู้จักกับไอ้ระยำไท่หลันอีก แล้วมันยังมีหน้ามา... ฮึ่ย! ทำไมผมต้องมาเสียเวลานั่งคุยกับมันด้วยวะเนี่ย? ชักโมโหแล้วนะ!
“ถามจริงๆ เหอะ” ไอ้เอี้ยนั่นไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับสายตาอาฆาตจ้องจะกินเลือดกินเนื้อจากผม มันยังคงพูดต่อด้วยท่าทางชิลล์ๆ “เคยคิดบ้างมั้ย..ถ้าเกิดคืนนั้นพี่กระโดดเข้าไปผลักไท่หลันหลบไม่ทัน...มันจะเกิดอะไรขึ้น?”
ผมย้อนนึกไปถึงวันที่ผมตั้งใจถอยรถเฟอร์รารี่ของเอี้ยฟ้าไปชนไอ้บ้านั่น แต่ไอ้เวรพี่คิคนนี้ดันเสือกกระโดดมาผลักมันหลบไปได้อย่างหวุดหวิดเป็นที่น่าเสียดาย
“ถ้าโชคดีหน่อยก็คงตาย.. แต่ถ้าโชคร้ายก็คงพิการ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นชิงชังเมื่อนึกถึงอดีตที่เคยมีร่วมกันกับผู้ชายคนนั้น “..ซึ่งก็สาสมกับสิ่งเลวระยำที่มันเคยทำเอาไว้”
“พี่ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเรากับไท่หลันเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน.. แต่ถึงขนาดคิดจะเอาชีวิตกันเนี่ย.. มันไม่ทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยเหรอ?”
“ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องเสือกออกความคิดเห็น!” ผมตอกกลับชนิดที่ทำให้หมอนั่นต้องหน้าชา นั่งนิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ..แต่พอสำนึกได้ว่าตัวเองชักจะพาลเกินไป ไร้เหตุผลกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง(ถ้าสิ่งที่มันพูดมาเป็นเรื่องจริง) แถมเขายังอายุมากกว่าผมอีก ผมเลยปรับระดับเสียงและสีหน้าให้อ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“ไอ้เลวนั่นมันสมควรตาย..”
“ไม่มีใครสมควรตายหรอก” ไอ้พี่คิพูดเสียงเรียบ “..แม้แต่คนที่เลวร้ายที่สุด..ก็ต้องมีใครซักคนที่รัก..และปรารถนาที่จะให้เค้ามีชีวิตอยู่”
“..........”
“เราไม่ควรจะไปตัดสินใครแบบนั้น.. มันโหดร้ายเกินไป”
“..........” โหดร้ายงั้นเหรอ?
ใช่สิ มันโหดร้าย... สิ่งที่พวกเราฝาแฝดต้องเจอต่างหากที่มันโหดร้าย! คนที่ไม่ได้เจอกับตัวจะไปเข้าใจอะไร! แค่คำพูดน่ะ จะพูดให้ฟังสวยหรูยังไงก็ย่อมได้อยู่แล้ว! ไม่มีใครเข้าใจหรอก! ไม่มีใครเลย! ทั้งความเจ็บปวดของพวกเรา! ทั้งความหวาดกลัวของพวกเรา! ทั้งฝันร้ายของพวกเรา! ไม่มี! ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจ!!
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา... แม้จะพยายามลบภาพความทรงจำอันเลวร้ายนั่นออกไป แต่ก็ไม่เคยมีสักวินาทีที่จะทำได้สำเร็จ ...ภาพของซินที่พยายามดิ้นรนและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ภาพของซินที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวดและเสียใจ ดวงตาสีน้ำตาลใสที่มองมาอย่างขอร้องวิงวอน..
แต่ผมกลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย!
มันเจ็บปวด..ที่ทำได้เพียงแค่ยืนมองความเจ็บปวดของคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น เฝ้าย้ำกับตัวเองว่าผมทนมองมันต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ผมกลับไม่สามารถละสายตาไปจากความโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นได้
ผมกลัว...กลัวว่าหากผมพลาดไปเพียงเสี้ยววินาที ซินอาจจะหนีผมไปยังที่ที่ผมไม่สามารถตามมันไปได้
ผมยืนมองจนกระทั่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นค่อยๆ จบลง...
“ถ้าเกิดวันนั้น..” เสียงทุ้มที่ดังแทรกขึ้นมาในห้วงแห่งความทรงจำทำให้ผมกลับมามีสติอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง และเลิกคิ้วมองคนตรงข้ามเป็นเชิงถาม หมอนั่นก็เลยพูดต่อ “ถ้าวันนั้นสิ่งที่เราต้องการมันเป็นจริง...ไม่ว่าไท่หลันจะตาย.. หรือพิการ...อย่างที่เราหวัง แล้ว...มันจะเป็นยังไงต่อเหรอ?”
“...........” เป็นยังไงต่องั้นเหรอ..?
นั่นสินะ..
“ถึงจะเป็นประเทศสารขัณฑ์ แต่บ้านเมืองนี้ยังมีขื่อมีแปรอยู่นะ คงไม่คิดใช่มั้ยว่าฆ่าคนตายซักคนแล้วเราจะหนีพ้นไปได้ตลอดน่ะ? ..แล้วถ้าเกิดเราถูกจับไป..คนข้างหลังจะเป็นยังไงล่ะ? พ่อแม่? ครอบครัว? ฌาน? ..หรือแม้แต่กานต์? ..คนพวกนั้นจะอยู่กันยังไงเหรอ? ..เราเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างมั้ย ฉาย?”
“...........” ไม่.. ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น...
แต่หมอนี่...คนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่หรือคุ้นเคยกันมาก่อน...กลับคิดถึงขนาดนั้น? ..เพราะอะไร?
“นาย..เอ่อ....เกี่ยวข้องยังไงกับหมอนั่น”
“ก็เป็นเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มน่ะ รู้จักกันเพราะชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน กับฌานก็ด้วย.. แต่พอหมอนั่นย้ายกลับไปอยู่กับพ่อที่ไต้หวันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย เพิ่งบังเอิญไปเจอกันอีกครั้งก็ที่งานแต่งงานของรุ่นพี่ที่เคยเป็นนักกีฬาด้วยกัน เมื่อราวๆ สองเดือนก่อนนี่เอง ..ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าหมอนั่นจะกลับมาไทยแค่บางซัมเมอร์เท่านั้น แต่ช่วงนี้เห็นว่าเริ่มเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของพ่อบ้างแล้ว ก็เลยต้องมีการเดินทางไปๆ มาๆ บ่อยขึ้น เพราะต้องติดต่อกับลูกค้าน่ะ” ไอ้พี่คิยกชาเขียวขึ้นจิบเล็กน้อยหลังจากเล่าเสียยืดยาวเกินความจำเป็น “..ช่วงหลังๆ เวลาที่หมอนั่นมา เราก็เลยมีการนัดพบปะสังสรรค์กันบ้างน่ะ”
ที่หายไป.. เพราะย้ายไปอยู่ไต้หวันหรอกเหรอ?
“แล้วตอนนี้หมอนั่น..”
“ฮื่อ กลับไปแล้วล่ะ”
“...........”
“พี่ไม่รู้นะ..ว่าไท่หลันเคยไปทำอะไรให้เรารู้สึกโกรธเกลียดได้ขนาดนี้” พี่คิเริ่มพูดต่อหลังจากหยุดพักจิบชาจนพอใจ “แต่ที่พี่พอจะรู้ก็คือ..หมอนั่นได้รับสิ่งตอบแทนที่สาสมแล้วล่ะ”
“สาสม?”
“พี่รู้ว่าที่ผ่านมา.. หมอนั่นต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองเคยทำลงไป ..ไม่มีวันไหนเลยที่หมอนั่นจะไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเอง” คนพูดวางถ้วยชาลง แล้วมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง “ถ้ามีโอกาสได้ขอโทษ...เค้าก็อยากจะขอโทษ ถ้ามีอะไรให้เค้าทำเพื่อเป็นการไถ่บาป...เค้าก็พร้อมจะทำทุกอย่าง แต่ถ้ากานต์กับฉายจะไม่ให้โอกาส และโกรธเกลียดเค้าต่อไป...เค้าก็เข้าใจ ...เค้าเป็นคนบอกกับพี่อย่างนั้นเอง”
“คิดว่าการสารภาพบาป มันจะช่วงลบล้างความผิดได้จริงๆ งั้นเหรอ? เฮอะ..” ผมพูดอย่างดูแคลน ..คำพูดต่อให้สวยหรูดูดียังไงมันก็เป็นเพียงแค่คำพูด! มันไม่อาจลบรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นแล้วได้หรอก! ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!! และผมก็ไม่ใช่พ่อพระใจดีที่พร้อมจะให้อภัยใครก็ตามที่ทำให้ผมเจ็บหรอก แม้มันผู้นั้นจะเสียใจและสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแล้วก็ตาม!
ผมเป็นเพียงคนธรรมดา มีอัตตาเต็มเปี่ยม ยังไม่สามารถปล่อยวางอย่างผู้บรรลุแล้วได้หรอก..
“ถ้าไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ ...ก็ลืมมันไปซะเถอะ”
“..........” ให้ลืมงั้นเหรอ? แล้วที่ผ่านมาตลอดเจ็ดปีนั่นคืออะไร?
ถ้ามันสามารถลืมได้จริงๆ แล้วทำไมทุกอย่างถึงยังชัดเจนอยู่..?
“ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะมานั่งฝังใจอยู่กับอดีตนะ..” พี่คิพูดพลางเหม่อมองสายฝนที่เริ่มโปรยปรายอยู่ด้านอกของกระจก “แค่พริบตาเดียว..”
“แค่พริบตาเดียว..?”
“คนที่เคยอยู่ข้างเรา..อาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้” พี่คิหันมายิ้มเศร้าๆ ให้ผม ก่อนบอกปิดท้าย
“เรา..ควรจะทุ่มเทความสำคัญให้กับคนที่รัก...ไม่ใช่คนที่เกลียด...หรืออดีตที่ชิงชัง.. ฉาย”
“เพื่อนพี่จะมาถึงกี่โมงเนี่ย?” ผมเอ่ยถามซอลลี่ที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อเซ็งอยู่ข้างๆ กันในอาคารผู้โดยสารฝั่งขาเข้า ณ สนามบิน
วันนี้หลังจากสอบเสร็จ ผมก็ถูกซอลลี่โทรเรียกให้มารับเพื่อนที่สนามบินเป็นเพื่อน เพราะเจ้าตัวยังไม่คุ้นเคยเส้นทางเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าขับมาคนเดียวแล้วจะถึงหรือเปล่า ลำบากลำบนให้ผมต้องไปขอแลกรถกับซินมา(เพราะรถผมมันเล็กเกินไป)และขับพามาจนถึงนี่แหล่ะ
ทั้งที่วันนี้ผมควรจะอยู่ในปาร์ตี้ฉลองสอบเสร็จกับพวกเพื่อนๆ ในเสคแท้ๆ แต่กลับต้องมานั่งแกร่วอยู่แถวนี้ เซ็งเลย..
“น่าจะใกล้แล้วนะ” ซอลลี่ตอบหลังจากพยายามเพ่งมองรายชื่อเที่ยวบินด้านบน
“พี่ว่าเค้ามาจากไหนนะ?” ผมเริ่มสอบถามข้อมูลเพื่อนของพี่หลังจากที่รู้สึกว่าอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ก่อนหน้านี้ที่ซอลลี่บอกผมก็จำได้แค่ว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยว และเพิ่งจะเคยมาเที่ยวไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรก
“ดูไบ”
“เป็นคนดูไบเหรอ?”
“เปล่า.. แค่ไปเที่ยวดูไบ แล้วเลยมาที่นี่ต่อ”
“อ้าว..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ซักถามให้กระจ่าง เสียงประกาศชื่อเที่ยวบินที่เรากำลังรออยู่ก็ดังขัดจังหวะซะก่อน
“ไปเหอะ” ซอลลี่ว่าก่อนจะเดินนำไปทางเกต ผมลุกเดินตามไปอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่
เรารอกันได้ไม่นานคนที่ต้องการก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า...
“นี่ ซันนี่.. น้องชายคนเล็กของผม” หลังจากกอดทักทายกันด้วยความดีใจไปพอหอมปากหอมคอ ซอลลี่หันก็หันมาหาผมแล้วผายมือไปทางเพื่อนของตัวเอง
“ส่วนนี่.. โคเนโร แบร์ลุสโคนี ..เพื่อนพี่”TBC. จากตอนพิเศษก่อนหน้านี้.. ถ้าใครกำลังกังวลหรือสับสนเกี่ยวกับสถานะภาพของ สกาย ว่ามันจะเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนตำแหน่งรึเปล่าล่ะก็.. ผู้แต่งขอบอกตรงนี้เลยนะคะว่าไม่มีการเปลี่ยนบทกลางอากาศอย่างแน่นอนค่ะ สบายใจได้ อิอิ
จำเป็นมั้ยว่าเมะจะต้องแมนกว่าเคะ?
จำเป็นมั้ยว่าเมะจะต้องเก่งกว่าเคะ?
จำเป็นมั้ยว่าเมะจะต้องขี้อายน้อยกว่าเคะ?
และจำเป็นมั้ยที่เมะจะต้องแรดน้อยกว่าเคะ?
ที่ว่ามานั่นมันจำเป็นมั้ย ซอลลี่~ ??
ชัดเนาะ..
ตามนั้นแหล่ะ กร๊ากกกกกก..