** ในที่สุดก็ต้องแบ่งตอนนี้ออกเป็นสองตอนจนได้

อนึ่ง อันที่จริงตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่จะลงในรวมเล่มฉบับพิเศษซึ่งเป็นเล่มปิดท้ายของนิยายเรื่องยาว My neighbor is a spy. คนข้างห้องผมเป็นสายลับ
แต่เผอิญว่าเนื้อหามันมีบางส่วนเกี่ยวข้องกับหงคงฉ่วย เลยจับมาพาดหัวไว้ด้วยกันซะเลย (เผื่อว่าใครอยากรู้เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เผิงเผิงถูกทั้งนกยูงกับจิ้งจอกหลอกต้มซะจนเปื่อย)
อันที่จริงต้องบอกว่ามีเนื้อหาของYes!Master.มาพ่วงด้วย เพราะตอนนี้จะมีการกล่าวถึงอีตามิลเลอร์ด้วยเช่นกัน
สรุปแล้วนี่มันเป็นการยำรวมมิตร3เรื่องซ้อนเลยสินะ...!!

อนึ่ง ตอนแรกเขียนความสัมพันธ์ระหว่างหงคงฉ่วยกับเถียนซานเยอะกว่านี้ แต่เพิ่งมาเห็นว่า ไทม์ไลน์มันผิดไปไกล สุดท้ายลบทิ้ง ก็ดีไปอีกอย่าง สโคปเนื้อหาได้เข้ากับหัวเรื่องมากขึ้น (ก่อนที่มันจะกลายเป็นประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างหงคงฉ่วย เถียนซาน เว่ยจินหยินแทน... อืม... ทำไมคู่นี้ต้องไปเข้าสามเส้าอยู่เลยเลยนะ!!)
เขียนตอนนี้แล้ว(แม้ยังไม่จบ) ก็คิดขึ้นมาว่า อยากจะเขียนตอนพิเศษระหว่างหงคงฉ่วยกับเถียนซานลงในเรื่องนกยูงแดงด้วย (ทุกคนกรีดร้อง ม่ายย ฉันจะอ่านลู่อี้เผิง) แหม... ก็มันอยากจะเขียนนี่นา.... /โดนโบก

ยังไงก็ขอขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า

------------------------------------------------------
My neighbor is a spy ตอนพิเศษ การไถ่บาปของสุนัขจิ้งจอก1
“คุณท่านครับ ท่านใหญ่มาถึงแล้วครับ”
เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน มองลูกน้องที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนจะพยักหน้า “อืม บอกเขาว่าเดี๋ยวฉันลงไปก็แล้วกัน”
“ครับ” ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้า แล้วเดินออกไป คนเป็นเจ้านายเอนตัวลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเฮือก
สองวันที่แล้วเว่ยฟู่ฉินโทรมาหาเขา บอกว่ามีธุระอยากจะคุยด้วย ขอให้เขาหาเวลาว่างให้สักวันหนึ่ง พอสอบถามว่าเป็นธุระอะไร ทางนั้นก็ไม่ยอมอธิบายรายละเอียด บอกแต่ว่าเป็นธุระที่สำคัญกับเขามาก สุดท้ายเว่ยจินหยินก็ตอบตกลง เว่ยฟู่ฉินจึงนัดจะมาหาเขาที่ตักในวันนี้
“พี่ชายใหญ่ สวัสดีครับ” เว่ยจินหยินเอ่ย พลางดันแว่นตากรอบทองให้เข้าที่ ขณะเดินเข้ามายังห้องรับรองภายในตัวตึกต้าเหยิน ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ยที่เขาเป็บผู้บริหารสูงสุดอยู่ เว่ยฟู่ฉินนั่งอยู่บนโซฟา เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่พอสมควร สวมชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ สีน้ำเงินเข้ม พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็ยิ้มบางๆ ให้ “สวัสดี ธุรกิจตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็ปกติครับ” เว่ยจินหยินตอบ และนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม “พี่มีธุระอะไรหรือ?”
เว่ยฟู่ฉินมองหน้าน้องชายพักหนึ่ง แล้วจึงพูดออกมา “ไปโรงพยาบาลกับพี่หน่อยสิ”
คิ้วของเว่ยจินหยินเลิกขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรตอบ ฝ่ายนั้นก็พูดต่อ “ไปเยี่ยมน้องห้ากัน”
“!?!”
-----------------------------------------------------
นับลำดับพี่น้องในตระกูลเว่ย น้องห้าที่เว่ยฟู่ฉินพูดถึง คงเป็นเว่ยปิงเซียง ชายหนุ่มซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเก้าปีก่อน จนกลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในโรงพยาบาล ผู้อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่ชายคนรองของเขาที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยินนั่นเอง
เว่ยจินหยินอยู่ในรถลีมูซีนตอนยาวของตน ซึ่งปกติแล้ว นอกจากลูกน้องคนสนิท กับพวกผู้บริหารที่มีเหตุจำเป็นให้ต้องมาคุยธุระกันในรถแล้ว เว่ยจินหยินไม่เคยนั่งรถคันนี้ร่วมกับใครอีก โดยเฉพาะบรรดาญาติพี่น้องของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนซึ่งมีสายเลือดร่วมกับเขานั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน
เว่ยฟู่ฉินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พี่ชายวัยห้าสิบกว่าของเขาคนนี้กำลังมองออกไปด้านนอก ในบรรดาคนในตระกูล เว่ยจินหยินให้ความเกรงใจกับพี่ชายคนโตคนนี้มากกว่าใครเพื่อน คงเพราะทั้งคู่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางขัดแย้งในตระกูล และเว่ยฟู่ฉินเคยสั่งสอนอบรมเขาในวัยเด็ก ดังนั้น แม้เว่ยจินหยินอยากจะอ้าปากถามออกไปขนาดไหน ก็ยังต้องเก็บคำพูดเอาไว้อยู่ดี
ทำไมจู่ๆ ฟู่ฉินถึงได้มาชวนเขาไปเยี่ยมปิงเซียงนะ....
ตั้งแต่เว่ยปิงเซียงกลายเป็นเจ้าชายนิทรา เว่ยจินหยินไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมน้องชายคนนี้เลย ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีน้องชายคนนี้อยู่ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นยังไง ซึ่งจะว่าไปแล้ว เว่ยจินหยินไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขาวางแผนจะแต่งตั้งน้องชายคนนี้ให้มาแย่งตำแหน่งกับเขา
แต่ตอนนี้ เว่ยจินหยินได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคิดหวัง ที่เขาเคยแย่งชิงมาไว้ในมือจนหมดแล้ว การที่จู่ๆ ก็ถูกเว่ยฟู่ฉินชวนให้ไปเยี่ยมน้องชายที่เขาวางแผนฆ่าในตอนนั้น เว่ยจินหยินอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ออกจริงๆ
เขาควรจะต้องไปในฐานะอะไร และด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่นะ.....
“น้องรอง” จู่ๆ เว่ยฟู่ฉินที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็เบือนหน้าเข้ามา แล้วเรียกหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย “ครับ?”
“ยังอยากกำจัดน้องห้าอยู่อีกมั้ย?”
คนถูกถามเบิ่งตาสีดำหลังแว่นตากรอบทองขึ้นหน่อยหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “มาถามอะไรตอนนี้ล่ะครับ เขาไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว อีกอย่าง ผมไม่มีเหตุผลจะกำจัดเขาแล้วล่ะ”
เว่ยฟู่ฉินมองหน้าน้องชายอีกพัก แล้วพูดต่อ “งั้นหรือ... อืม... ได้ยินแบบนี้พี่ก็วางใจล่ะ”
คิ้วของเว่ยจินหยินเลิกขึ้นสูงอีกครั้ง แต่เพราะเว่ยฟู่ฉินหันหน้าออกไปมองนอกกระจกอีก เขาจึงไม่กล้าถามอะไรต่อ สองพี่น้องได้แต่นั่งเงียบๆ ในรถลีมูซีน จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล
-----------------------------------------------------
รอบตัวของเว่ยจินหยินยังคงเต็มไปด้วยบอดีการ์ดเช่นเดิม เขาลงจากรถพยาบาล พร้อมด้วยพี่ชาย และบอดีการ์ดจำนวนมากก็เข้ามาห้อมล้อมในทันที เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อโรงพยาบาลอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยรู้เลยว่าน้องชายคนที่ห้า นอนหลับอยู่ในโรงพยาบาลที่อยู่ใต้จมูกของเขานี่เอง หรือไม่บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้
เว่ยฟู่ฉินพาน้องชายคนรองของเขาขึ้นไปบนตึก แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องผู้ป่วย เว่ยจินหยินกลับถูกพามายังห้องพักแพทย์แทน ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถามอะไร เว่ยฟู่ฉินก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง
ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบปีนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง พอเห็นพวกเขาสองคนเปิดประตูเข้าไป ก็รีบลุกขึ้นทันที
“สวัสดีครับ พี่ชายใหญ่... พี่รอง…”
เว่ยจินหยินถึงกับกลืนน้ำลายเฮือก เขาจ้องชายหนุ่มตรงหน้าผ่านแว่นตากรอบทองเขม็ง
ว่าไงนะ...? พี่รอง...? นี่คือ ปิงเซียงรึ?!
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาจ้องตอบมาด้วยดวงตาสีดำสนิท คิ้วเรียว สันจมูกนั้นชวนให้นึกถึงผู้เป็นพ่อซึ่งล่วงลับไปอยู่บ้าง
ปิงเซียง....
น้องชายที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดจากภรรยาคนที่เท่าไหร่ของผู้เป็นพ่อ น้องชายที่เขาวางแผนฆ่า น้องชายที่เขาเชื่อว่ากำลังนอนหลับอย่างไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว หลับมาตลอดเก้าปี…
ปิงเซียง...
ลมหายใจของเว่ยจินหยินติดขัดขึ้นมาทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน?! ทำไมคนที่น่าจะนอนหลับเป็นตายถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หรือว่าฟู่ฉินจงใจจะทดสอบอะไรเขา เว่ยจินหยินหันกลับไปหาพี่ชายใหญ่ และเห็นอีกฝ่ายยืนยิ้มอยู่
“ปิงเซียง... น้องห้าของเราไงล่ะ”
“ผมเองนะพี่...”
เว่ยจินหยินก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ในตอนที่ผู้ชายคนนั้นสืบเท้าเข้ามาหา “พี่คิดว่าผมยังหลับอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
ดวงตาของเว่ยจินหยินเบิ่งกว้างทันที เขามองคนตรงหน้าราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอล่วงหน้านะ” เว่ยฟู่ฉินพูดขึ้นบ้าง ก่อนจะเดินมาแทรกระหว่างคนทั้งสอง “น้องห้าน่ะ ฟื้นนานแล้วล่ะ”
“?!” เว่ยจินหยินหันมองผู้เป็นพี่ชายทันที “ว่าไงนะครับ?!”
“น้องรอง..” เว่ยฟู่ฉินเรียกอีกฝ่าย แล้วจ้องตรงเข้ามา “ไม่ต้องตกใจหรอก พี่เป็นคนปิดข่าวเอาไว้เองล่ะ”
เว่ยจินหยินได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป “พี่ชายใหญ่.....”
“พี่รอง” เว่ยปิงเซียงพูดขึ้นมาอีก “ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะครับ ผมน่ะ แกล้งทำเป็นว่าหลับอยู่มาตลอดทั้งเก้าปีนั่นแหละ เจ้าพวกนั้นไม่รู้หรอกว่าผมฟื้นแล้ว พี่สิ ลำบากแย่เลย ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือของแก๊งตรงข้ามแท้ๆ แต่ทุกคนกลับเชื่อว่าพี่เป็นคนทำหมด มีแต่พี่ชายใหญ่นี่แหละที่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย ฝ่ายนั้นมองกลับมา แล้วยิ้มบางๆ ให้เขา “ก็อย่างนั้นแหละ”
คนได้ฟังเม้มปากเข้าหากัน มองพี่ชายอยู่อีกพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “พี่น่ะ... สมเป็นพี่จริงๆ”
จากนั้นก็ค่อยๆ เบือนหน้ากลับมามองน้องชายซึ่งเขาลืมไปแล้ว น้องชายที่เขาวางแผนฆ่า น้องชายที่เขาเข้าใจว่าหลับอยู่เสมอมา
เก้าปีแล้ว....
“เธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่น่ะ...” เว่ยจินหยินได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปหลังจากนั้น
“อืม... หลายปีแล้วล่ะ” อีกฝ่ายตอบ “พี่ใหญ่เล่าว่าผมอยู่ในห้องไอซียู ตั้งเกือบปีแน่ะ พอผมฟื้น พี่ก็เลยบอกผมว่า ให้ผมแกล้งทำเป็นหลับไปก่อน เพราะกลัวเจ้าพวกนั้นย้อนกลับมาเล่นงานผมอีก ผมเห็นด้วยล่ะ เพราะฟื้นแล้วผมต้องทำกายภาพบำบัดอยู่อีกเกือบปี ถึงจะพอกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้”
“เหรอ...” เว่ยจินหยินพูด แล้วถามต่อ “จากนั้นล่ะ?”
“พี่ใหญ่บอกว่า พวกนั้นคงไม่เลิกเล่นงานเราง่ายๆ แน่ เลยแนะนำให้ผมใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ในโรงพยาบาล ตอนแรกผมก็นึกไม่ออกหรอกว่าจะใช้ชีวิตยังไง แต่พอเห็นขบวนบอดีการ์ดพี่แล้ว ผมก็เริ่มคิดทันทีเลยว่า ผมแกล้งทำเป็นหลับจะปลอดภัยกว่า” เว่ยปิงเซียงเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง “สุดท้ายผมเลยตัดสินใจ เรียนแพทย์ต่อเสียเลย อาศัยเรียนเอาในโรงพยาบาลนี้แหละ ผมเก็บตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายปี เปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ แล้วก็ออกไปข้างนอกบ้าง ที่จริงแล้ว ถ้าไม่นับว่าผมไปหาพวกพี่กับคุณพ่อไม่ได้ ชีวิตผมก็ค่อนข้างจะสะดวกสบายพอสมควรเลยล่ะ”
“อ้อ.....” เว่ยจินหยินครางออกไป ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายที่เขาเคยพยายามจะฆ่าให้ตาย และเชื่อสนิทใจว่าหลับไม่ฟื้นอีกแล้ว จะใช้ชีวิตอยู่ใต้จมูกเขามาได้ถึงเก้าปี
เก้าปีที่ต้องหลบซ่อน จากเงื้อมมือพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง......
เว่ยจินหยินจ้องลงไปในดวงตาสีดำสนิทของผู้เป็นน้องชาย หมอนี่เชื่อจริงๆ หรือ... เชื่อจริงๆ หรือว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นฝีมือของแก๊งตรงข้าม ไม่รู้เลยหรือว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นแผนการของเขาเอง
เชื่อที่พี่ชายคนโตบอกอย่างสนิทใจเลยอย่างนั้นหรือ.....?
“น้องห้า...” เว่ยจินหยินพูดออกไปช้าๆ “ก่อนหน้าที่เธอจะเกิดอุบัติเหตุ เราไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลยนะ ใช่ไหม?”
เว่ยปิงเซียงมองเขา ก่อนจะพยักหน้าตอบ “อืม... อย่าว่าแต่คุยเลย ผมเพิ่งได้เห็นหน้าพี่ชัดๆ ก็วันนี้แหละ ก่อนหน้าที่ผมจะไปเรียน เราแทบจะไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ”
“นั่นสินะ...” อีกฝ่ายพูดตอบ แล้วถอนหายใจออกมา “นอกจากพี่ใหญ่แล้ว มีใครรู้หรือยังว่าเธอฟื้นนานแล้ว?”
เว่ยปิงเซียงสั่นศีรษะ “ไม่มีครับ มีพี่นี่แหละที่รู้เป็นคนที่สอง พี่ใหญ่คุยกับผมว่า บอกพี่แล้ว จะค่อยๆ ทยอยบอกคนอื่นต่อ พี่ว่าพวกเขาจะดีใจมั้ยที่ผมฟื้นน่ะ?”
เว่ยจินหยินนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ”
“อืม... งั้นพี่ล่ะ ดีใจรึเปล่า?”
นัยน์ตาสีดำใต้แว่นตากรอบทองเงยขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้งทันที
ได้เห็นคนที่ตัวเองเคยพยายามฆ่า มายืนพูดอยู่ตรงหน้า คนที่บงการฆ่าอย่างเขา สมควรจะดีใจหรือ.....?
เว่ยจินหยินเงียบไปนาน ท้ายที่สุดก็เค้นคำพูดพร้อมรอยยิ้มออกมาได้ “ดีแล้วล่ะ... ดีแล้วล่ะที่เธอไม่เป็นอะไร.... ดีแล้วล่ะ ดีจริงๆ”
คนเป็นน้องชายยิ้มกว้างออกมา “ผมรู้ พี่ไม่ใช่คนเลวอะไรหรอก พี่แค่พยายามแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว โดยไม่บอกใครเท่านั้นเอง ต่อจากนี้ไป พี่ไม่ต้องแบกรับข้อกล่าวหาว่าฆ่าน้องชายตัวเองอีกแล้วล่ะ”
เว่ยจินหยินมองหน้าน้องชาย แล้วได้แต่สั่นศีรษะ
เขาไม่เคยนึกเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป และพร้อมจะยืดอกรับผลของมันเสมอ เขาไม่เคยต้องการให้ใครมาช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้ ไม่ว่าจะเพราะความเข้าใจผิด ถูกหลอก หวังดี หรืออะไรก็ตาม
เว่ยจินหยินแค่นรอยยิ้มได้ที่มุมปาก ก่อนจะพูดตอบไป “ไม่ต้องหรอก เธอไม่จำเป็นต้องแก้ตัวให้พี่”
“พี่รอง....” เว่ยปิงเซียงเอ่ยเรียกพี่ชาย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นต่อ “จริงสิ ได้ยินว่าเธอเรียนแพทย์ในโรงพยาบาลนี่ เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ผมกำลังจะได้เลื่อนเป็นศัลยแพทย์ล่ะ” คนถูกถามตอบ และพูดต่อ “ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายนะพี่ ผมน่ะตั้งใจจะเรียนแพทย์ต่อ แต่คุณพ่อก็เรียกตัวผมกลับมา จะให้ผมนั่งตำแหน่งบริหาร พอดีเกิดอุบัติเหตุ ผมเลยได้เรียนแพทย์ต่อสมใจเลย เสียดายนะที่คุณพ่อไม่ได้อยู่เห็น”
เว่ยจินหยินชะงักไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างนึกได้ “นั่นสินะ เธอคงไม่ได้ไปงานศพคุณพ่อ”
“อ้อ เปล่าครับ” เว่ยปิงเซียงปฏิเสธทันที “ผมไปมาแล้วล่ะ เพียงแต่ไม่ได้แสดงตัวเท่านั้นเอง”
“..................”
“พี่รอง... พี่ใหญ่” ชายหนุ่มพูดขึ้นอีก “ถ้าพวกพี่ไม่รีบล่ะก็ ผมได้เวลาพักกลางวันพอดี ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ”
-------------------------------------------
เพราะไม่สะดวกจะออกไปทานที่โรงอาหาร และปิงเซียงก็ติดเข้าเวรช่วงบ่าย สุดท้ายสามพี่น้องเลยต้องให้คนสั่งอาหารเที่ยงมาทานกันในห้องพักแพทย์ ซึ่งเปิดให้เป็นพิเศษ เพราะโรงพยาบาลที่เว่ยปิงเซียงอยู่ เว่ยฟู่ฉินมีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง
“พี่รอง” จู่ๆ เว่ยปิงเซียงก็เอ่ยเรียกพี่ชายคนรองของตนระหว่างที่คนทั้งสามกำลังทานอาหารมื้อเทียงกันอยู่ เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย “มีอะไรหรือ?”
“ได้ยินว่าพี่มีธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือเยอะ เคยได้ยินเรื่องแก๊งค้าอวัยวะที่ลักลอบขนถ่ายกันที่ท่าเรือรึเปล่าครับ?”
เว่ยจินหยินหรี่ตามองน้องชาย “ถามทำไมน่ะ?”
เว่ยปิงเซียงเม้มริมฝีปาก มองตอบพี่ชาย “พี่รอง ผมไม่รู้ว่าจะขอร้องพี่มากไปรึเปล่านะ แต่ผมอยากขอให้พี่ช่วยสืบเรื่องนี้ให้หน่อย ผมจะได้เอาข้อมูลไปให้ตำรวจ”
“น้องห้า...” เว่ยจินหยินเรียกน้องชาย “อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย แก๊งพวกนี้น่ะอันตราย เผลอๆ เธอจะถูกฆ่าเอานะ”
“พี่รอง... กระทั่งพี่เอง ก็จะไม่ยอมทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเหรอ พี่คงไม่รู้ว่าปีๆ หนึ่งมีคนบริสุทธิ์มากมายถูกฆ่าตายหรือว่าถูกขโมยอวัยวะไปขาย” เว่ยปิงเซียงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมแค่อยากได้ข้อมูล ถ้าพี่พอจะหาให้ผมได้โดยไม่ลำบาก ช่วยผมหน่อยเถอะนะ”
เว่ยจินหยินมองน้องชายอยู่พัก ก็ถอนหายใจออกมา “น้องห้า เธอรอดตายมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมถึงต้องหาเรื่องใส่ตัวอีก”
“ผมเห็นว่าตัวเองพอจะมีทางช่วยได้” เว่ยปิงเซียงตอบ “แต่ถ้ารบกวนพี่มาก ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ว่าพี่งานยุ่ง”
เว่ยจินหยินสูดหายใจลึก สุดท้ายก็พูดออกมา “น้องห้า... เรื่องนี้พี่จะจัดการให้ก็แล้วกัน เธอไม่ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงหรอก”
“พี่รอง....”
เว่ยจินหยินโบกมือ แล้วพูดตัดบท “ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวไปเข้าเวรไม่ทันนะ”
---------------------------------------------------
“จะจัดการเรื่องแก๊งค้าอวัยวะให้ท่านห้าหรือครับ?!” เถียนซานที่ถูกเรียกตัวเข้ามาพบ หลังเว่ยจินหยินกลับจากโรงพยาบาลเอ่ยขึ้น เขานั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเว่ยจินหยิน ผู้เป็นเจ้านายผงกศีรษะ ก่อนจะมองผ่านแว่นตากรอบทองมายังเขา “อาซาน ดูนายไม่ค่อยตกใจเรื่องปิงเซียงเลยนะ รู้อยู่ก่อนแล้วสิ”
คนถูกถามพยักหน้า “ขออภัยที่ต้องปิดเอาไว้ด้วยนะครับ ผมเป็นคนเสนอแผนนี้ให้ท่านใหญ่เอง”
“อ้อ.....” เว่ยจินหยินครางในลำคอ จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ เถียนซานเองก็นั่งนิ่งไม่พูดอะไร สุดท้ายคนเป็นเจ้านายก็พูดขึ้นก่อน “เอาเถอะ ฉันรู้ว่านายหวังดี ดีแล้วล่ะ ถ้านายไม่ทำแบบนี้ ไม่แน่หรอกนะว่าน้องห้าอาจจะถูกฉันฆ่าตายไปจริงๆ ก็ได้”
“คุณท่าน....” เถียนซานเรียกเจ้านาย เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วสั่นศีรษะ “ฉันไม่ได้รู้สึกว่านายหักหลังหรอก... ที่จริงตอนที่ฟังพี่ใหญ่เล่า ฉันเองก็นึกๆ แล้วล่ะว่าอาจจะมีคนในรู้เห็น เพราะลำพังพี่ใหญ่คนเดียวคงทำอะไรแบบนี้โดยที่ฉันไม่รู้ไม่ได้แน่” หยุดไปพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดต่อ “นี่ อาซาน... นายเป็นคนตกลงกับพี่ใหญ่รึเปล่า ว่าจะบอกเรื่องนี้กับฉันวันนี้น่ะ”
“เปล่าครับ ผมเป็นธุระจัดการให้แค่ช่วงต้นๆ ส่วนระยะหลัง ท่านใหญ่จัดการเองทั้งหมดครับ”
“อืม... อย่างนั้นเหรอ...” เว่ยจินหยินพูดแล้วถอนหายใจเฮือก “คราวหลังถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ฉันอยากให้นายเป็นคนแรกที่บอกฉัน สัญญาได้ไหม?”
“ครับ... ขอโทษด้วยนะครับ” อีกฝ่ายตอบ เว่ยจินหยินมองเข้าไปในดวงตาสีหินน้ำตกคู่นั้น แล้วยิ้ม “อาซาน ฉันน่ะ มีเรื่องอยากจะวานให้นายช่วยอยู่”
“ครับ?”
“น้องห้าอยากจะจัดการกับแก๊งค้าอวัยวะ ฉันว่าจะช่วยเขาหน่อย ลำพังตัวเขาเองไม่มีทางจะจัดการเจ้าพวกนี้ได้หรอก ต่อให้มีข้อมูลไปบอกตำรวจก็เถอะ”
“ครับ... คุณท่านวางแผนยังไงหรือครับ” อีกฝ่ายถาม เว่ยจินหยินหรี่ตาลงหน่อยๆ แล้วพูดตอบ “งานนี้คงต้องขอความร่วมมือจากอาจารย์น้อย”
“!” เถียนซานชะงักไปทันที อีกฝ่ายกล่าวสืบต่อ “นายเองก็รู้ อาจารย์น้อยน่ะ ถึงไม่ได้ออกชื่อถือหุ้นเอง แต่ก็คุมธุรกิจท่าเรือไม่น้อย เจ้าพวกแก๊งค้าอวัยวะน่ะ พักนี้กำลังถูกทางการกวาดล้าง เลยต้องหาท่าเรือส่งของกันให้ควัก โดนไล่บี้หนักขนาดนี้ คงจะหาคนกล้าอาสาให้ใช้ท่าเรือขนถ่ายได้ลำบาก คิดว่ารออีกสักพักอาจจะมาขอใช้ท่าเรือที่ฉันคุมก็ได้ แต่ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าเกิดไปขอพึ่งบารมีอาจารย์น้อยได้ล่ะก็ เรื่องมันจะลำบากขึ้นทันที”
“นั่นสินะครับ โดยนิสัยแล้ว เขาเองก็รับผิดชอบคนในสังกัดตัวเองอย่างเข้มงวดเสียด้วย คุณท่านจะขอความร่วมมือจากเขาเพื่อต้อนให้แก๊งพวกนั้นมาใช้ท่าเรือเราสินะครับ”
“อืม... นายนี่รู้ทันแผนฉันทุกที” เว่ยจินหยินว่า เถียนซานพูดยิ้มๆ “เปล่าหรอกครับ แล้วเรื่องหมายจับล่ะครับ? หรือว่าคุณท่านจะจัดการเรื่องเองทั้งหมด”
“อ้อ เปล่า” เว่ยจินหยินปฏิเสธ “น้องห้าคงอยากเห็นพวกนี้เข้าคุก แต่หวังพึ่งแค่ตำรวจฮ่องกงคงลำบาก เพราะเจ้าพวกนี้ก็มีสายอยู่ในกรมตำรวจเยอะ ฉันว่าจะประสานกับทางสก็อตแลนยาร์ด เพราะยังไงทางนั้นก็อยากจะจับไอ้เจ้าพวกนี้อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะให้คนลองสืบดูก่อน ว่าพวกที่เคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้ มีอยู่ในหมายจับของทางนั้นบ้างไหม จะได้รวบเสียทีเดียว”
“ครับ ผมจะจัดการให้” อีกฝ่ายตอบ แต่คนเป็นเจ้านายกลับโบกมือวูบ “ไม่ต้อง เรื่องสก๊อตแลนยาร์ตกับหมายจับ ฉันจัดการเอง นายน่ะไปจัดการคุยกับอาจารย์น้อยเถอะ”
“!!” เถียนซานเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขาทันที เห็นเว่ยจินหยินยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ไม่ค่อยจะเห็นนายทำหน้าลำบากใจแบบนี้เท่าไหร่เลยนะ ทำไมล่ะ อาจารย์น้อยก็เป็นศิษย์รุ่นพี่ของนายไม่ใช่หรือ? นายไม่ชอบเขาขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“เปล่าหรอกครับ จะให้ผมไปพูดกับเขาเรื่องท่าเรือใช่ไหมครับ?”
เว่ยจินหยินพยักหน้า “อืม บอกเขาว่าฉันจะใช้เขาเป็นตัวล่อ ส่วนรายละเอียด เดี๋ยวฉันจะไปคุยด้วยตัวเองอีกที ฉันรู้ว่าถ้าเป็นนายไปขอร้อง เขาต้องตกลงแน่”
คนถูกสั่งพยักหน้า “ครับ ผมจะไปจัดการให้” จากนั้นก็เดินออกประตูไป เว่ยจินหยินถอนหายใจเฮือก นั่งหมุนปากกาไปมาอยู่อีกพัก ถึงเรียกคนสนิทเข้ามาสั่ง “ต่อสายไปสก็อตแลนยาร์ดให้ฉันหน่อย ขอพูดกับเจ้าหน้าที่มิลเลอร์นะ”
-------------------------------------------
“ว้าว! คุณจินหยิน นั่นเสียงคุณจริงๆ เหรอครับ” เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างร่าเริง ขณะที่เว่ยจินหยินพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ฉันเอง สวัสดีมิลเลอร์ ดีใจนะที่ยังไม่ถูกไล่ออกจากงานน่ะ”
“อืม... เจ็ดปีที่แล้วคุณทำผมไว้แสบ ผมยังจำไม่ลืมเลยล่ะ ที่จริงคุณน่าจะดีใจนะ ที่ผมยังไม่ถูกไล่ออก คุณเลยได้โทรมาหาผมอีก ว่าแต่ มีอะไรให้รับใช้หรือครับ คุณชาย”
“ฉันไม่ใช่คุณชายแล้ว” เว่ยจินหยินตอบกลับไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องอุทานอีก “งั้นเป็นอะไรล่ะครับ คุณนาย?”
“มิลเลอร์!” เว่ยจินหยินเอ็ดทันที “พูดจาระวังปากหน่อยเถอะ ฉันได้นั่งตำแหน่งประธานกลุ่มแล้ว แทนคุณพ่อที่เสียไปเมื่อสองปีก่อน”
“อ้อ.... เสียใจด้วยนะครับ แล้วก็ดีใจด้วย งี้คุณก็ได้เป็นคุณท่านแล้วสิ”
“อืม...” เว่ยจินหยินกรอกเสียงกลับไป พลางคิดว่าเวลาผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้ว เขายังต้องเสียเวลาปวดประสาทในการโทรศัพท์คุยกับไอ้หมอนี่อยู่อีกรึเนี่ย
“มิลเลอร์ นายมีรายชื่อแก๊งค้าอวัยวะข้ามชาติที่มีการขนถ่ายที่ฮ่องกงมั้ย?”
“มีเพียบเป็นกระบุงเลย” อีกฝ่ายตอบ แล้วพูดต่อด้วยความแปลกใจ “นี่คุณไปสืบรู้มาจากไหนเนี่ย ว่าผมกำลังตามไอ้คดีพวกนี้อยู่”
เว่ยจินหยินเลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง ก่อนจะกรอกเสียงกลับไป “อืม คงเป็นโชคของฉันล่ะมั้ง จะให้รายชื่อฉันได้เร็วสุดเมื่อไหร่น่ะ?”
“หา!!” คนปลายสายร้องเสียงหลง “เดี๋ยวสิครับ นี่โทรมาก็จะสั่งๆ เลยหรือไง คุณไม่ใช่เจ้านายผมที่สก็อตแลนยาร์ดนะ”
“อ้อ... งั้นขอสายเจ้านายนายด้วยสิ ฉันกำลังวางแผนจะจัดการกับแก๊งค้าอวัยวะที่นี่ เลยจะสืบดูว่ามีคนที่นายต้องการอยู่บ้างรึเปล่า เอารายชื่อมาก่อนก็แล้วกัน ถ้ามีฉันจะประสานงานไปอีกที”
“นี่คุณไม่ได้หลอกต้มอะไรผมนะ?” เสียงปลายสายถามอย่างไม่แน่ใจ เว่ยจินหยินมุ่นคิ้วหน่อยๆ “งั้นฉันวางแล้วกัน เดี๋ยวจะต่อสายตรงเข้าหาเจ้านายของนายอีกที น่าจะคุยกันรู้เรื่องกว่า”
“เดี๋ยวครับ บอกแล้วครับ บอกแล้ว” อีกฝ่ายละล่ำละลักตอบมาทันที “คุณมีอีเมลมั้ยล่ะ? เดี๋ยวผมส่งรายละเอียดเข้าไปให้ มีหลายหน้าอยู่ล่ะ”
“อืม... ตกลง” เว่ยจินหยินตอบ และบอกอีเมลไป
---------------------------------------------