ตอนที่ 6แพทถ่วงเวลาจนถึงวันจันทร์ ถึงได้เดินเข้าไปหาประกายที่ห้องทำงานในบริษัท เจตนาหลีกเลี่ยง
การพบกับพัฒนะให้มากที่สุด
ประกายที่กำลังอ่านเอกสารที่เลขานุการนำมาให้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเอวบางท่าทางสุภาพเรียบร้อย แล้วโบกมือให้เลขาฯ ออกไปจากห้อง
“ว่าไง”
“ผมเพิ่งไปกินอาหารค่ำแล้วก็ดื่มเบียร์กับเขาเมื่อวันศุกร์”
“แล้ว...” ประกายชะโงกหน้ามองท่าทางลุ้นคำตอบเต็มที่
“ในห้องพักส่วนตัวชั้นที่ 2 ผมเห็นแต่ตู้หนังสือสามก๊ก เขาเก็บสะสมไว้จนเต็มตู้ ส่วนบนโต๊ะทำงานมีคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ กับหนังสืออีก 3 เล่มประเภทประวัติบุคคล แต่ไม่มีหนังสือเก่า”
ประกายเหยียดปาก “มันเอาไว้ที่ไหนของมันนะ”
“ผมคิดว่าหนังสือที่คุณต้องการอาจอยู่ในห้องนอน”
“แล้วแกเข้าไปในห้องนอนเขาหรือยัง”
แพทคอแข็งไม่ตอบคำถาม
ท่าทีดูหยิ่ง และไม่พอใจคำถามนี้ ทำให้ประกายตีความไปอีกทาง “ก็แหม โกหกว่าจะเข้าห้องน้ำ หรือ แกล้งทำอะไรหกใส่เสื้อก็ได้”
“มีห้องน้ำที่ชั้น 2 ทำของหกใส่ เขาก็ขึ้นไปหยิบเสื้อมาให้เปลี่ยนได้”
ประกายรู้สึกขัดใจ ลุกจากเก้าอี้พนักสูง “ทำไมมันยุ่งยากชักช้านักนะ กะอีแค่หนังสือสักเล่มเนี่ย”
แพทยืนนิ่ง เมื่อประกายเข้ามาใกล้ “แกรู้ใช่มั้ยว่าชั้นต้องการหนังสือนั่นมาก แกถึงได้ถ่วงเวลา”
“ผมไม่ได้ถ่วงเวลา แต่เพราะผมไปที่ร้านได้ก็แค่วันศุกร์ ไปถึงอีกไม่นานก็ได้เวลาสอน สอนเสร็จเขาก็ปิดร้าน ขนาดในร้านเค้าผมยังแทบไม่ได้เดินดูอะไรเลย”
“โง่!” ประกายตะคอกใส่หน้า “แล้ววันเสาร์อาทิตย์แกทำอะไร ไม่รู้จักเสนอหน้าไปหาเขาหรือไง คนผิดเพศอย่างแก จะต้องไปยึกยักลีลาอะไร กะอีแค่ทำตัวหน้าด้านวิ่งเข้าหาผู้ชายอย่างที่คนแบบแกชอบทำกันนักน่ะ อย่ามาตอแหลนะว่าแกทำไม่เป็น!” ประกายตะโกนใส่หน้าแพท คาดว่าเสียงด่าคงดังออกไปถึงข้างนอก แต่คนถูกด่าว่ายังคงยืนนิ่ง
ประตูห้องทำงานเปิดออกอย่างแรง พัฒนะก้าวเข้ามา แต่แพทไม่ได้หันไปมอง
เพียงแค่คนนี้ก้าวเข้ามาในห้อง ความรู้สึกขยะแขยงก็เกิดขึ้น
ประกายที่เป็นคนชัดเจนว่าเธอโลภมาก จนน่ารังเกียจ ก็ยังไม่ได้ทำให้รู้สึกขยะแขยงแบบนี้
ยิ่งเมื่อพัฒนะก้าวเข้ามายืนข้าง ยิ่งอยากวิ่งหนีไปให้ไกล
ยิ่งแสดงท่าทีปกป้อง ยิ่งรังเกียจ
“ประกาย เสียงดังออกไปถึงข้างนอก จะดุด่ากันยังไง ก็ให้มันไว้หน้ากันบ้าง แพทเป็นน้องผมนะ”
ประกายโกรธจนตัวสั่น “คุณพี่เข้าข้างมันหรือคะ นี่คุณตำหนิประกายต่อหน้ามันหรือคะ”
“ผมทำงานช้าเอง” แพทพูดขึ้นแล้วขอตัว แต่พัฒนะบอกให้ไปรอที่ห้องทำงาน
“ไปรอพี่ที่ห้องก่อน”
“แต่ผม...”
“ไปรอที่ห้อง” พัฒนะออกคำสั่งแล้วหันไปหาประกาย “ผมบอกกับประกายตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ใจเย็น ไอ้นายรักอ่านนั่นมันระวังตัวมาก เสนอเงินไปตั้งมากมายมันยังไม่สนใจ จะจ้างคนอื่นประกายก็ไม่ไว้ใจ” ชายร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามากอดเอวภรรยาไว้หลวมๆ “นะประกาย ใจเย็นๆ”
ประกายยังดูขัดใจ “ก็มันช้า ผ่านไปตั้งหลายอาทิตย์ยังไม่ได้ของสักที”
แพทเดินเข้าไปในห้องทำงานของพัฒนะ ห้องทำงานกว้างขวาง เลขานุการวางแฟ้มเอกสารไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วหันมาส่งยิ้มให้ ก้าวออกไปจากห้อง สักพักพัฒนะก็เข้ามา แพทลุกขึ้น แต่พัฒนะยกมือบอกให้นั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาวเหมือนเดิม
ชายรูปร่างสูงใหญ่เข้ามานั่งเบียดชิด แตะคางสวยมองสำรวจไปทั่วใบหน้า
“ประกายทำร้ายอะไรแพทอีกหรือเปล่า”
แพทส่ายหน้า
“คุณมีธุระอะไร”
“คิดถึง พี่คิดถึงแพท อยากไปหาที่คอนโดฯ แต่ประกายก็เฝ้าตามตลอด”
แพทพยายามซ่อนยิ้มไว้ใต้ใบหน้าที่เคลือบด้วยหน้ากากหลายชั้น
นั่นคือส่วนที่ดีที่สุดของผู้หญิงคนนี้
มือใหญ่สัมผัสตรงๆที่เป้ากางเกง แพทบีบข้อมือพัฒนะไว้แน่น
“คุณพี่ครับ นี่มันที่ทำงาน ใครจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้”
“ก็แพทไม่ไปหาพี่ที่บ้าน” พัฒนะเลื่อนมือลูบไล้
“ไม่มีธุระจะให้ไปหาได้ยังไง ผม ไม่อยากทำให้คุณประกายไม่พอใจ ก้อยเองก็ไม่ชอบผม”
“เรื่องนั้นพี่เข้าใจ นะ แพท ขอพี่ดูดนะ”
“ไม่ครับ เดี๋ยวคุณประกายเข้ามาอีก”
พัฒนะจับที่ต้นแขนของแพทดึงกึ่งลากให้เข้าไปในห้องน้ำ จับเบียดติดฝาผนัง 2 มือเร่งรีบแกะถอดเข็มขัด แกะกระดุมกางเกง เลื่อนซิบลงขณะที่คุกเข่า จับความอ่อนนิ่มไว้ด้วยมือ พร่ำพูดคำลามกแล้วดูดเลีย
แพทกัดปาก หลับตาแน่น ผ่อนคลายความเกลียดชังในใจด้วยภาพของคนที่อยู่ในร้านขายหนังสือ
คอสก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในโรงฝึกตั้งแต่เช้า เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในช่วงเวลาปีสุดท้ายที่ต่างคนต่างเร่งงานส่งอาจารย์ ถ้ามีเรียนก็เข้าเรียน ไม่มีเรียนก็ดิ่งไปที่โรงฝึกทำงานไปเรื่อย
เสื้อช็อปแขนสั้นสีดำ แต่คอสสวมปลอกแขนยาวสีน้ำตาล ที่แขนซ้ายเพียงข้างเดียว
อาจารย์ย้ำเตือนเรื่องการปิด และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนออกไปจากโรงฝึก และอย่านำสิ่งของอะไรออกไปจากโรงฝึกเว้นแต่งานที่จะเอาไปส่ง
แต่ห้องพักของอาจารย์ก็อยู่ที่ชั้น 2 ของโรงฝึกนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ไกลถึงไหนเลยสักนิด เอางานขึ้นไปส่งแล้วเดินออกมาจากโรงฝึกเจอก้อย เพื่อนสาวร่วมคณะที่แอบชอบมานานหลายปี หญิงสาวเดินเข้ามาทักทาย
ก้อยรวบผมเกล้ามวยสูง ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางท่าทางไว้ตัว แต่ก็นั่นแหละ บุคลิกแปลกๆแบบนี้ละมั้งที่ทำให้คอสชอบ
“ไงคอส”
“ผมเพิ่งเอางานขึ้นไปส่งอาจารย์ ของก้อยล่ะ”
“เสร็จแล้วเหมือนกัน ไปกินข้าวกันมั้ย”
คอสหยุดเดินหันมามองหน้า แม้แต่เพื่อนในกลุ่มอีกหลายคนก็ยังประหลาดใจ จนก้อยสงสัย
“อะไรของพวกแกน่ะ มองหน้าชั้นอย่างนี้แปลว่าอะไร”
“ก็แปลกใจที่ก้อยชวนกินข้าว” เจี๊ยบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มบอก
“เฮ้ย ชั้นดูหยิ่งขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ไม่ใช่หยิ่งหรอก แต่ช่วงนี้เห็นก้อยเครียดๆ น่ะ” เจี๊ยบพยายามหาคำ “แล้วก้อยก็สนิทกับพวกการตลาดมากกว่าด้วย”
“แหม น้อยใจหรือยะ” ก้อยทำตลก แต่หันมาหาคอส “พักนี้ชั้นมีเรื่องให้คิดเยอะจริงแหละ แต่ตอนนี้ช่างมันไม่สนใจละ พวกเธอกินข้าวที่ไหนกัน”
“ไปร้านเดิมที่ซอยตรงข้ามนี่ละกัน” เจี๊ยบกึ่งตัดสินใจกึ่งถาม
ร้านข้าวเล็กๆ เป็นเพียงห้องแถวสร้างด้วยไม้ โต๊ะเก่าๆ กับเก้าอี้กลม ที่แสนจะคุ้นเคย เนืองแน่นไปด้วยนักศึกษา ไม่ใช่ว่ารสชาติดีเยี่ยม แต่เพราะความเป็นกันเอง
ทุกคนยังคงสวมเสื้อช็อปเหมือนเดิม
ก้อยเดินเข้ามานั่งข้างคอส กระเป๋าสะพายวางอยู่บนตัก ถัดไปถึงเป็นเจี๊ยบ และเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน แต่ละคนสั่งอาหารแล้วจับคู่คุยกันไปเรื่อย
ก้อยหันมาถามคอส “ยังไปขายสร้อยอยู่หรือเปล่า”
“ผมไม่ได้ขายในแผงแล้ว พอดีมีร้านหนังสือเขาจะหาคนช่วย ผมก็เลยย้ายไปขายในร้านเขาน่ะ”
ก้อยทำตาโต “ร้านหนังสือเหรอ”
“ทำไมต้องทำหน้าตาตกใจอย่างนั้นล่ะ ผมไม่เข้ากับร้านหนังสือหรือไง ทำมาจนจะครบเดือนละ” คอสสงสัย ส่วนเพื่อนๆรอบโต๊ะส่งเสียงแซว
“แบบไอ้คอสน่ะต้องไปอยู่สะดวกซื้อ หญิงก็ได้ชายก็รัก”
“สัดเหอะ” คอสด่า แต่หันมาถามก้อยอีกครั้ง “ทำไมเหรอก้อย”
ก้อยโบกมือ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็แค่...เออ ช่างเหอะ คอสไม่เหมาะกับร้านหนังสือจริงน่ะแหละ ว่าแต่สร้อยที่ก้อยให้ล่ะ ไม่เห็นคอสใส่”
คอสฉีกยิ้ม “ผมเก็บไว้น่ะ ไม่กล้าใส่ ไม่อยากให้เป็นรอย”
ก้อยหลบตา ขณะที่อาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ หัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนไปที่เรื่องอื่น แต่ในตอนที่เดินกลับมาที่มหาวิทยาลัย ผ่านกลุ่มอาคารของคณะออกแบบนิเทศศิลป์ หญิงสาวกวาดตามองไปทั่ว ตั้งแต่เก้าอี้ไม้ ชุดหินอ่อนด้านหน้าตึก สนามหญ้า ไปจนถึงระเบียงบนอาคาร
คอสมองตาม แล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“หามะตูมเหรอ”
ก้อยยักไหล่แล้วเดินผ่านไป
ขณะที่คอสหันกลับไปมองทั่วๆที่ด้านหน้าอาคารอีกครั้ง นึกถึงคำถามที่บาลีเคยถามเกี่ยวกับมะตูม-เป็นหนึ่ง แล้วจะว่าไปก็ไม่เห็นหนุ่มหน้าหวานคนนั้นมานานแล้วเหมือนกัน หรือว่ามันไปฝึกงานอยู่
“ก้อย”
“หือ”
“บางทีมันอาจไปฝึกงาน หรือไม่ก็กำลังเร่งทำงานส่งอาจารย์ก็ได้นะ”
ก้อยหันมาหาคอส มีบางสิ่งบางอย่างในแววตาของก้อยที่ชายหนุ่มอ่านไม่ออก
เหมือนจะเสียใจ แต่ละก็เหมือนไม่ได้เสียใจ มันดูแปลกๆ เหมือนก้อยน่ะแหละ
“มีอะไรเหรอก้อย”
“มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก” ก้อยบอกปัดแล้วหันไปคุยกับเจี๊ยบ
หลายวันถัดมาเดินเข้าร้านหนังสือ เจอกับคุณเจ้าของร้านยืนทำหน้านิ่ง อยู่ที่โต๊ะทำงานหลังเคาน์เตอร์
...หงุดหงิดว่ะแมร่ง...ทีกับคนอื่นยิ้มหวาน พูดเพราะ ทีกับกู..เหอะ...แมร่ง หงุดหงิดว่ะ..
“หายไปไหนตั้งหลายวันห๊ะคอส”
...นั่นไง กูว่าแล้ว ทำไมกูไม่เล่นหวยว้า...
คอสเดินดุ่มไปหลังร้าน เก็บกระเป๋าเป้หลังใส่ล็อกเกอร์ แล้วหยิบผ้ากันเปื้อนมาคล้องคอจับสายคาดเอวจะวนอ้อมด้านหลัง แต่มีมือใหญ่เข้ามาแย่ง คนตัวสูงกว่าก้มลงมาหา อ้อมเชือกไปด้านหลัง แล้ววนกลับมาผูกให้ที่เอวด้านหน้า
“หายไปไหนมา” คนรูปหล่อตัวโตคนนั้นถามซ้ำ
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวเนื้อกระทบจมูก พาอารมณ์ของบาลีวิ่งนำความคิดยิ่งหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกสติตัวเองกลับยิ่้งรับกลิ่นหอมนั้นเข้าสู่ทุกอณู
คอสหันหน้าหนีไปอีกทาง
...กะไอ้แค่ผูกเชือก ทำไมนานนักวะ....
ก็นานจริงๆแหละ มือใหญ่แกล้งผูกให้แล้วแกะออก แล้วก็ผูกใหม่ ดึงออกมันอยู่อย่างนั้น คอสก็ไม่รู้ตัว เพราะหันหน้าไปมองทางอื่น
ทำหน้างอ ปากยื่น ตาขวาง มันน่า...นัก
รู้ตัวอีกทีก็ก้มลงหอมแก้มซะเต็มปอด
คอสกระโดดหนี ยกมือปิดแก้ม หน้าแดงไปถึงหู อีกมือชี้หน้าเจ้าของร้านที่กำลังยิ้มอารมณ์ดี
“อะ อะ อะ อะ”
“อย่ามาทำหน้างอ ไม่พูดไม่จา”
“อะ ไอ้บ้า!”
“เออ ก็แล้วไอ้งอนไม่รู้เรื่องนี่มันอะไร” บาลีเดินไล่จนคอสถอยไปติดกับโต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง
“ไม่รู้โว้ย”
“วะ เฮ้ย ไม่รู้แล้วจะงอนทำไมวะ”
“ที่งอนเพราะไม่รู้ไง ไอ้บ้า!”
บาลีคว้ากอดคนงอนไว้แน่น ...เออ ไอ้หนุ่มคนนี้มันผอมกว่าที่เห็นเยอะเลยนะเนี่ย แล้วยิ่งกลิ่นแบบนี้มันช่าง...ชวนให้ฝังจมูก...
“คอส....”
คอสทั้งถีบทั้งผลัก “อย่ามาทำเสียงสยิวกิ้วแบบนี้นะ เดี๋ยวถ้าแฟนพี่มา ผมจะฟ้อง เอาให้บ้านแตกเลย”
บาลีเบรกอารมณ์ที่กำลังฟุ้งไปกับสัมผัสจากคนที่อยู่ในอ้อมกอดจนหัวทิ่ม
...แฟน....
แขนแข็งแรงยังไม่คลาย แต่ดวงตาสีเข้มกวาดมองไปรอบห้อง ทั้งเงี่ยหูฟังเสียง
ไม่เห็นเป็นหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงแซวของปู่ด้วย หายไปไหนกัน หรือว่าไอ้ผู้กองมั่วมันมา แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงกริ่งประตู
“ปล่อย หายใจไม่ออกแล้ว” ไอ้คนที่ยังหายใจได้ร้องโวยวาย
บาลีแค่คลายแขน แต่ยังไม่ยอมปล่อย
“หายไปไหนมา”
“เรียน เร่งทำงานส่งอาจารย์สิ”
“แล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่าไม่มา”
“ไม่มีเบอร์”
บาลีหรี่ตา คลายอ้อมกอด แต่คว้าข้อมือบาง พลิกกลับกดลงกับโต๊ะ
“เฮ้ยๆๆๆๆ ท่านี้ ล่อแหลมไปแล้ว ไอ้บ้าๆๆๆ”
บาลีแทรกกายเข้าหว่างขาเรียวของคอส ที่ได้แต่ยกถีบอากาศ ความพยายามเบี่ยงตัวหนีจากคนที่กดคร่อมอยู่ไม่เป็นผล
บาลียิ้มขำ “หายไปหลายวันกลับมาโคตรโวยวาย”
“พี่น่ะแหละ เป็นบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยโว้ย!”
บาลีก้มลงจูบปิดปาก บดริมฝีปากแล้วสอดลิ้นเข้าหาอย่างไม่กลัวจะโดนกัดขาด
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
เพราะคิดถึงไอ้หนุ่มคนนี้หรือไง
ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่ามันใช่คิดถึงหรือเปล่า กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักพอไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่า หนุ่มคนนี้....น่ากอด....มากกว่าใคร เวลาอยู่ใกล้แล้วมีความสุขมากกว่าใคร.....
คอสลืมตาโพลง ถึงจะเบี่ยงหน้าหนีก็ยังถูกไล่ตาม ร่างกายโดนตรึงไว้แน่น
บาลีเปลี่ยนใช้มือใหญ่ข้างเดียวกดรวบข้อมือคอสทั้ง 2 ข้างไว้เหนือศีรษะ อีกมือแตะที่เอว เลื่อนขึ้นมาหาอกบาง แทรกเข้าใต้ผ้ากันเปื้อน
นิ้วมือสะดุดสิ่งแปลกปลอมที่ยอดอก
บาลีถอนจูบ คอสจะพลิกตัวหนี แต่โดนผลักให้นอนอยู่กับที่ มือใหญ่ดึงผ้ากันเปื้อนออก แกะกระดุมเสื้อนักศึกษา เลิกเสื้อตัวในขึ้นถึงอก
ลายสักแบบชนเผ่าพริ้วไหวตลอดลำตัวฝั่งซ้าย ไหล่จนถึงข้อมือ ยอดอกบางสีอ่อนคือห่วงเงินที่มือสัมผัสโดนเมื่อครู่
คอสกัดปากแน่น หน้าแดง เมื่อบาลีละสายตาจากลายสักและยอดอก ขึ้นมามองหน้า
“ปะ ปล่อยได้หรือยัง”
“ยัง”
“ก็แล้วจะดูอะไรนักหนาเล่า”
ตอนโดนจูบหน้าไม่แดง แต่ตอนนี้หน้ากลับแดงไปถึงหู ไล่ลามจนมาถึงคอ จินตนาการต่อได้เลยว่า คนนี้จะแดงไปทั้งตัวเวลาที่....
เสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น ทำให้บาลียอมปล่อยแขน แต่ดวงตาสีเข้ม ยังจ้องมองอย่างไม่วางตา
“จดเบอร์โทรไว้ ถ้าจะไม่มาให้โทรมาบอกด้วย”
เมื่อเดินออกมาหน้าร้าน เห็นปู่นั่งทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่เก้าอี้โยกเท้าแขนตัวโปรดข้างเคาน์เตอร์ ส่วนเป็นหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ลูกค้าชะโงกมองหนังสือในมือ ทำท่าเหมือนกำลังแอบอ่านหนังสือ
พอเข้าไปใกล้ ดวงตาคู่หวานหันมาหา ส่งยิ้มกว้าง แล้วมองเลยไปที่คอสที่เดินตามออกมา ยิ้มหวานยิ่งหวานกว่าที่เคยเห็นมา
พอหันไปมองปู่ยิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม
บาลีฉุกใจ
...อย่าบอกนะว่าที่เมื่อกี้เกือบจับหนุ่มคอสกดในห้องด้านหลังนั่นเพราะฝีมือ 2 คนนี้...
บอกให้คอสเฝ้าร้าน แต่ตัวเองเดินกลับขึ้นมาที่ห้องพักชั้นบน
มีแต่เป็นหนึ่งที่ตามมา
บาลีมองร่างโปร่งใสที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า “ดีใจอะไร”
เป็นหนึ่งยังคงยิ้มกริ่ม ใบหน้าหวาน ดวงตาพราว ริมฝีปากบาง ฟันเรียงสวย เหมือนมีผิวเนื้อ เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ “ไม่หวงพี่สักนิดหรือไง”
เป็นหนึ่งส่ายหน้า
บาลีลูบหน้าตัวเอง พ่นลมหายใจ “หลายวันก่อนนอนกับคนอื่น วันนี้ไล่จูบคนอื่น แล้ว......”
ยิ้มหวานของเป็นหนึ่งกลายเป็นยิ้มเศร้า
บาลียังคงพูดคนเดียวต่อไป
“เมื่อกี้ฝีมือเป็นหนึ่งหรือเปล่า”
เป็นหนึ่งส่ายหน้า
“งั้นฝีมือปู่”
เป็นหนึ่งส่ายหน้าอีกครั้ง
บาลีพยักหน้ายอมรับ “เออ พี่หื่นเอง”
แต่เป็นหนึ่งยังส่ายหน้า
“อะไร ผิดหมดทุกข้อเลยเหรอ”
คราวนี้เป็นหนึ่งพยักหน้าล้าง รอยยิ้มสนุกสนาน ที่ทำให้บาลียิ้มตาม นิ้วมือใหญ่สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า
“คนที่พี่อยากกอดมากที่สุดอยู่ตรงนี้ต่างหาก เมื่อกี้พี่คงหน้ามืด แย่จริง”
เป็นหนึ่งส่ายหน้าทันที
“อย่าเพิ่งรีบบอกว่าไม่ใช่สิ”
เป็นหนึ่งย้ำด้วยการส่ายหน้า ทั้งชี้ลงไปที่ร้านข้างล่าง
“ไม่ใช่หรอกน่า เมื่อกี้เพราะพี่มัน....ไม่ดีเองต่างหาก”
แต่เป็นหนึ่งย้ำคำตอบ ทั้งรอยยิ้มกว้าง พยักหน้า และก็ชี้ลงไปที่ชั้นล่างเหมือนเดิม
เวลา 1 เดือนยังมีความหมายสำคัญต่อแพทเช่นกัน
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ท่าทางสำอางค์เดินหลังตรงเข้าไปในห้องทำงานของประกาย
“อีก 2 วันนะแพท” หญิงสาวที่กำลังอ่านรายงานอยู่ที่โต๊ะทำงานกว้าง พูดขึ้นทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“ครับผมทราบ ผมแค่มาบอกว่า นายรักอ่านวางใจผมมากขึ้นแล้ว”
“แล้วไง” ประกายเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สูง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าถือไพ่เหนือกว่า
แพทกดความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจแล้วพูดต่อไป “ผมขอเวลาอีกเดือนเดียว ผมจะเอาหนังสือเล่มนั้นมาให้คุณประกายให้ได้”
“ชั้นพูดประโยคนั้นไปเมื่อเกือบเดือนนึงมาแล้วนะแพท”
“ครับ ผมทราบ แต่นายรักอ่านแทบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ขึ้นไปที่ชั้นหนังสือเก่าเลย”
ประกายตาพอง “ชั้นหนังสือเก่าเหรอ”
“ครับ ที่ชั้นลอยด้านในสุด”
ประกายเม้มปากสนิท ถ้ามันอยู่ตรงนั้นจริงๆ พัฒนะที่เคยไปที่ร้านนั้นมาแล้ว ก็น่าที่จะเคยเห็น
“มันเห็นได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” หญิงสาวย้อนถามแพทเพื่อความแน่ใจ
“ครับ เปิดประตูเข้าไปในร้าน จากที่หน้าเคาน์เตอร์มองไปที่ชั้นลอยก็จะเห็นตู้นี้แล้ว”
ประกายกอดอกแน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภคิดคำนวน
“ก็ได้อีกเดือนนึง”
แต่ในระหว่างนี้ จะต้องจับตาพัฒนะให้ใกล้ชิดกว่าเดิม ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมถึงไม่เคยพูดว่าตู้หนังสือโบราณนั่นมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือเท่านั้นเอง!
======จบตอนที่ 6========
(ความเดิม)
ตอนนี้เรื่องรา่วมันเยอะเกินไปหรือเปล่าครับ กลับมาอ่านย้อนแล้วรู้สึกเหมือนผมจะเล่าเรื่องเร็วเกินไป จนท่าทางจะไม่ถึง 40 ตอนมันเป็นเช่นนั้นเสมอ ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ถ้าผมพาออกนอกเรื่องปุ๊บ จะมีมือกรรไกรหันมาถาม "มันเกี่ยวกันตรงไหน" แล้วก็เคาะลบไปในทันใด
ผมทำตามหน้าที่หรอก
แต่ว่ามาถึงตอนนี้คงไม่ต้องเดากันแล้วเนอะ ว่าใครคู่ีกับบาลี เห็นหลายคนทายถูกมาตั้งแต่แรกแล้ว
สาเหตุที่ทีไม่ได้เขียนแพท เพราะว่าช่วงแรกผมวางแพทไว้ในอารมณ์โทนนี้ตลอด ทีก็เลยสละสิทธิ์ไปก่อน เดี๋ยวไปเขียนช่วงท้าย ผมทำงานนะจริงๆนะเออ การอ่านไปเล่นเกมไปช่างเป็นงานหนักยิ่งนัก เขียนเป็นหนึ่งที่ไม่พูดได้แต่ยิ้มอย่างเดียวอย่างว่าแต่คุณอึดอัดเลย ผมยังอึดอัดรอว่าเมื่อไหร่จะพูดได้สักทีเหมือนกัน จะใส่ให้เป็นชุดพูดสัก 3 หน้าซะเลย
ขอบคุณที่แสดงความเห็น ให้คำแนะนำและติดตามกันมาตลอด เชิญติจะชมได้ตามสบายคนเขียนบาลี หมอก และบรรดาตัวร้ายเขากรุ๊ปบี ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เขาไขว้เขวไปจากเป้าหมายของเขาได้อยู่แล้ว
พบกันอีกครั้งวันจันทร์นะครับ
ไจฟ์ครับทีครับ
(เพิ่มเติมหลังรีผ่านไป 1 หน้า) ขอสาบาน บาลีไม่ได้เจ้า่ชู้ แต่เพราะบรรดานายเอกเหล่านี้ต่างหาก โปรดรอการค่อยๆ เฉลยในตอนต่อๆไป มาคิดอีกที ค่อยๆเฉลยทีละนิดทีละหน่อย น่าจะได้ 40 ตอน ว่าแต่กว่าจะถึงตอนที่ 40 จะเหลือคุณผู้อ่านอีกสักกี่คนหนอ