B.N.33พี่หมอกหลับไปแล้ว
ไม่ค่อยบ่อยนักที่จะเห็นพี่หมอกหลับก่อนฟ้ามืด วันนี้พี่หมอกดูเหนื่อย จนแค่มองก็รู้สึกไปด้วย ถอดแว่นกันแดดออกตอนรถจอดที่หน้าบ้าน ถอดรองเท้าวางเป็นระเบียบตามนิสัย รองเท้าขัดจนมันแปลบ (แน่นอนว่าไม่ใช่พี่หมอกที่ขัด) จ้องมองลงไปเห็นเงาสะท้อนตัวเองอยู่ในนั้น
ผมเดินตามขึ้นไปชั้นสอง ปลายประตูแง้มไว้ แอร์ที่พี่หมอกเรียกช่างมาติดพ่นความเย็นออกมาจนผมต้องกอดอก เดินไปหยิบรีโมตแอร์ เห็นคนขี้ร้อนตั้งไว้ที่สิบแปดองศา นอนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ห่มผ้าห่ม ผมไม่พูดอะไร นอกจากดึงผ้าห่มที่ถูกนอนทับอยู่ออกมา วางไว้ข้างๆตัวเผื่อพี่หมอกหนาวจะได้ห่มเองได้ ห่มไปตอนนี้ก็คงโดนปัดออก
ไม่นานก็เป็นเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ
ผมนั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง มองหน้าต่างที่มีกระจกอย่างไม่คุ้นตา
…………………………………………
………………………………..
ตื่นขึ้นอีกครั้งตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าผมสั่น หน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น
เดินออกมาข้างนอกห้อง ปิดประตูเข้ากรอบให้เบาที่สุด กำลังจะกดรับโทรศัพท์
“อาตี๋ ใครมาหาน่ะ”
ม๊าตะโกนบอกจากครัว ผมรีบวิ่งลงบันได เสียงเครื่องยนต์ที่ไม่คุ้นเคยดังอยู่ที่นอกรั้ว
เปิดประตูพร้อมกัน ประตูรถ ประตูบ้าน เจ้าของรถก้าวออกมา มือถือหยุดนิ่ง แรงสั่นในมือหายไป ผมหย่อนมันลงกระเป๋ากางเกง
“..พี่แพน?”
“ตี๋ คุณอัษฏาอยู่ไหม?”
“อยู่ครับ เอ่อ..จะให้ผมไปตามไหม?”
“ไม่ต้องๆ ผมมาหาคุณนี่แหละ”
“ผมหรอ?”
พี่แพนพยักหน้า ผมเดินไปใกล้
“เข้ามาในบ้านก่อนสิครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมต้องไปแล้วเหมือนกัน คงแวะนานไม่ได้”
“ตอนนี้ก็ยังเวลางานอยู่หรอครับเนี่ย?”
ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่เห็นจุดกำเนิดแสง เสาไฟข้างทางทำหน้าที่นั้นแทน พี่แพนพยักหน้าคล้ายคนหมดแรง “ตอนนี้ทำงานให้กับคุณธนันตถ์แทนแล้วล่ะ”
“เป็นไงบ้าง ต่างกับพี่- คุณอัษฏาไหมครับ?”
“คนละเรื่องกันเลยล่ะ” พี่แพนดึงแฟ้มกระดาษออกมาจากกระเป๋าสะพาย “ในด้านดีนะ”
อย่างน้อยก็คงใจเย็นกว่า
ทำงานกับพี่หมอกได้ ผมว่าพี่แพนคงเก่งขึ้นเยอะ และก็เพราะพี่แพนด้วย ทำให้พี่หมอกทำงานได้คล่องขนาดนี้
“พี่แพน”
“ครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
“…สำหรับอะไรหรอ”
“ที่อยู่กับพี่- คุณอัษฏามาตลอด”
พี่แพนถอนหายใจ ก้มหน้าไปสักพัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นประสบการณ์การทำงานที่ดีมากๆ ได้เรียนรู้หลายๆอย่าง ทำงานข้ามขีดจำกัดตัวเองไปเยอะ จริงๆก็อยากจะขอบคุณเขาเหมือนกัน”
“ให้ผมไปเรียกให้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ไม่เจอกันน่าจะดีกว่านะ”
ผมพยักหน้า
“อ่ะนี่ ของตี๋”
ซองกระดาษ สำหรับผม ผมรับมา หยิบออกมาอ่าน ไม่เข้าใจ
“ของผมหรอ?”
“ใช่ เป็นพินัยกรรมฉบับที่สอง”
“วันนั้นไม่เห็นมีเลย”
“ไม่ทันได้บอกล่ะมั้ง”
ในซองมีกระดาษที่เขียนด้วยลายมือมีเพียงข้อความสั้นๆ
‘ฝากหมอกด้วย
ธนินท์ ติวากุล’
[/i]
พินัยกรรม ยกพี่หมอกให้ผม อย่างงั้นน่ะหรอ?
ข้างในยังมีสมุดเล่มเล็กๆ ผมเทซองออกมา เป็นสมุดบัญชี ผมเห็นแล้วก็ส่ายหน้า “อันนี้ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอก”
“หน้าที่ของผมแค่มาส่งเฉยๆ ความเห็นส่วนตัวผม ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นเงินสำรองสำหรับคุณอัษฏา เพราะฉะนั้นอย่าลำบากใจเลย รับไปเถอะ”
ผมอ่านข้อความสั้นๆนั่นซ้ำๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในตัว
ทั้งนึกถึงป๊าผม นึกถึงพ่อพี่หมอก นึกถึงความเสียใจผิดหวังของคนเป็นพ่อ และความรักที่ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย
เพราะอย่างนี้ถึงไม่ได้ให้หุ้นของ T.K.group กับพี่หมอกเลยสินะ
ของขวัญชิ้นเดียวที่ให้คืออิสระ
ผมกำกระดาษแผ่นนั้นแน่น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำมันยับ
“ตี๋”
ผมแทบไม่ได้ยินเสียงนั้นด้วยซ้ำ
ขอโทษนะครับ
ขอบคุณนะครับ
ขอโทษด้วยจริงๆผมจะดูแลลูกชายคุณให้ดี ผมไม่รู้ว่าจะรักพี่หมอกได้เท่าที่คุณรักไหม แต่ผมจะไม่พยายามรักพี่หมอกเท่านั้น เพราะความรักของผมไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร
ผมซ่อนสมุดบัญชีเล่มนั้นไว้ในซอกลึกที่สุดของลิ้นชัก
วันที่จำเป็น แม้จะเป็นตัวเลข แต่คงรู้สึกเหมือนพ่อพี่หมอกมาช่วยไว้จริงๆ
เปิดประตูห้องนอนกลับเข้าไปในห้องนอน รู้ว่าพี่หมอกแค่หลับตาเฉยๆ ผมมุดเข้าไปในผ้าห่ม ก็ถูกดึงเข้าไปกอด
มองจากมุมนี้ ใบหน้าที่เหมือนจะหลับสนิทดี เหมือนจะตาฝาดเห็นคราบน้ำตาอยู่บนนั้น
ผมกระพริบตา มองอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นเพียงแค่แสงไฟจากด้านนอกเท่านั้นเอง…
…………………………………..
……………………………….
ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่หรือครับ ม๊า ถึงจะทำใจเรื่องป๊าได้
ผู้หญิงตรงหน้าผมนิ่งเงียบไป ไม่ใช่นึกคำตอบ ผมว่าคำตอบของเธอคงชัดเจนดีอยู่แล้ว เพียงแต่ความรู้สึกบางอย่างมันมากมายเกินกว่าแค่พยัญชนะ 44 ตัวจะบรรจุไว้ด้วยกัน
ไม่ได้หรอก ตี๋
เรื่องบางอย่างก็คงไม่มีวันทำใจได้
เรื่องบางอย่าง คงไม่มีทางใดจะให้อภัยตัวเองได้
ได้แต่คิดว่าถ้าวันนั้น… ถ้าเราทำแบบนี้… ถ้าไม่เกิดสิ่งนี้ ก็คงจะไม่เกิดสิ่งนั้น
….เรื่องบางอย่าง คงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำใจคืนนั้น ไม่รู้ทำไมผมนึกถึงบทสนทนานึ้ขึ้นมาได้
ทั้งๆที่มันเหมือนบทสนทนาทั่วไปที่คุณจะมีขึ้นมาตอนไหนก็ได้ของชีวิต เป็นการพูดคุยสั้นๆระหว่างรอสิ่งที่ต้มอยู่ในหม้อเดือด ผมจำไม่ได้แล้วว่าเวลานั้นอะไรที่กำลังจมอยู่ภายใต้ฟองน้ำที่ฟูล้นขอบหม้อในตอนนั้น แต่ผมกลับจำแสงที่ลอดผ่านต้นไม้เข้ามาในเวลานั้นได้ จำได้ว่ามีเสียงกระดิ่งเล็กๆของร้านบะหมี่สามล้อที่ขับผ่านหน้าบ้าน จำได้แม้กระทั่งในครัวหลังบ้านวันนั้น มีลมอ่อนๆ พากลิ่นของกระดังงาสงขลาข้างบ้านมาด้วย
จนกระทั่งได้ยินระเหยของน้ำที่ล้นจนเปลวไฟเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มปนฟ้า มันก็จบลง แค่นั้น เหมือนควันเล็กๆที่ทิ้งท้าย หายไปในอากาศ
แล้วผมก็ตื่น
มองไป เห็นพี่หมอกอยู่ที่ปลายเตียง
ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไร แค่มองอยู่อย่างนั้น พี่หมอกก็คงเหมือนกัน เหมือนจะอยู่ตรงนี้ แต่ไม่มีใคร
ผมลังเลอยู่สักพักว่าตอนนี้ผมจะทำอะไรได้บ้าง
ไม่มี
ไม่มีอะไรที่ผมจะทำได้ในตอนนี้
ตอนนี้เป็นส่วนที่พี่หมอกจะต้องทำเอง ต่อให้มีกำลังใจมากเพียงไหน หรือถ้อยคำมากเท่าไหร่ สุดท้าย ก็ต้องมีเวลาเงียบๆ ตกตะกอนความคิดทั้งหมดนั้นเพียงลำพัง
ผมอยู่ตรงนี้นะ…
โดยที่ไม่รู้ตัว ก็พูดคำนั้นออกไปจริงๆ
พี่หมอกไม่ได้หันกลับมา มีเพียงมือนั้นที่ลูบข้อเท้าผมอย่างแผ่วเบา
…………………………………………
……………………………..
พลิกตัว ยื่นมือออกไป นอกจากจะเย็นชืดแล้ว ที่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองเพราะว่ามันว่างเปล่า
ได้ยินเสียงนกร้อง มองออกไป นกสองตัวเกาะอยู่บนสายไฟที่ผาดพ่านหน้าต่าง มองหน้าผม เอียงคอซ้ายขวา ลมพัดจนสายไฟแกว่ง บินออกไปตัวหนึ่ง อีกตัวก็บินตามไป
ลุกขึ้นจากเตียง บิดซ้ายขวาจนได้ยินเสียงกร็อบแกร็บ ล้างหน้า แปรงฟัน ฟังเสียงน้ำในขณะที่หัวยังว่างเปล่า เดินออกมาจากห้องน้ำ มองจากบันไดก็ยังไม่เห็นใคร เงี่ยหูฟังรอเสียงจากครัว ไม่ได้ยิน สงสัยม๊าจะยังไม่ตื่น
เห็นพี่หมอกยืนอยู่ที่นอกบ้าน ผ่านมุ้งลวด ในมือถือกาแฟ มองไปทางห้องครัว กาสีเงินขอบก้นดำยังวางอยู่บนเตา หอม คิดในหัวว่าอยากจะเทออกมาดื่มบ้างซักแก้ว แต่อยากจะไปแย่งคนชงเสียมากกว่า
“อรุณสวัสดิ์ อื้ดดดด” บิดขี้เกียจ ก้าวเท้าออกมาผ่านธรณีประตู เจ้าเด็กข้างบ้านก็โตกันหมดแล้ว แถมเจ๊กับผัวก็รักกันดีจนไม่มีเรื่องให้ทะเลาะกัน จากนาฬิกาธรรมชาติเป็นเสียงทะเลาะกันยามเช้า จึงย้ายไปเป็นอะไรเป็นเพลิดเพลินใจกว่าอย่างเสียงนกร้องแทน
สอดมือเข้าไปเกาพุง กางเกงที่ย้วยอยู่แล้วปล่อยตัวลงอีกนิดหน่อยให้หวาดเสียว ใช้มือซ้ายเกี่ยวขอบขึ้นมา
“ทำไมพี่ตื่นเช้าจัง”
เงี่ยหูฟัง เสียงนกใกล้เหลือเกิน เงยหน้าขึ้นไป บนสายไฟ นกสองตัวบินกลับมาเกาะที่เดิม
เดินเข้าไปเกาะที่หลัง กอดเอวไว้ พิงหัวไว้กับหลังแล้วหลับตา ยังรู้สึกเหมือนง่วงจนจะหลับบนหลังพี่หมอกทั้งๆที่ยืนแบบนี้ได้จริงๆ สองแขนที่ยกหลบมือผม เกาะกุมแขนของผมไว้อีกชั้น ผมอมยิ้มตอนที่พี่หมอกดึงมือผมข้างหนึ่งขึ้นมา กดจูบลงไปเบาๆ รู้สึกดีที่รู้สึกคล้ายหัวใจพี่หมอกจะเต้นเร็วขึ้นอีกหน่อย
บอกหน่อยสิ ว่าในนั้นเป็นยังไงบ้าง
ฟังเสียงที่เต้นอย่างขยันขันแข็ง อยากมีชีวิตรอด เป็นเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความหวัง
“…นอนไม่ค่อยหลับ”
พิธีลอยอังคารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไปด้วย มีแค่สามพี่น้องที่ไปด้วยกัน ขากลับ ท่าทีตึงๆของพี่หมอกก็ลดลงจนสังเกตเห็น ไม่รู้ว่าพูดคุยหรือไปไหนกันมา ผมไม่ได้ถาม พี่หมอกไม่ได้เล่า กลับมาอีกทีก็ตอนค่ำๆ ผมได้ยินเสียงรถ ไฟหน้าส่องเข้าในตัวบ้าน
“ตี๋”
“หื้อ?”
“ตอนที่พ่อมึงเสีย มึงรู้สึกยังไง”
“จำไม่ค่อยได้แหะ ตอนนั้นผมยังเด็กมาก” พยายามนึก ในชั้นลึกสุดของความทรงจำ มีก้อนความคิดอยู่ก้อนหนึ่ง มันไม่ชัดเจน ผมพยายามอธิบาย “…ผมก็คิดถึง แต่ไม่ได้เสียใจ เพราะผมทำดีที่สุดแล้ว”
รู้ตัวอีกทีก็คิดว่าไม่น่าพูดออกไป สีหน้านั้นไม่ได้เปลี่ยน แต่ไม่แน่ใจว่าข้างใน ที่ที่เคยมีน้ำแข็งหนา มันบางลงแค่ไหน และจะทำให้ทิ้งรอยแผลไว้ลึกเพียงใด
บางทีถ้าพี่หมอกไม่อ่อนโยนลงขนาดนี้ ผมอาจจะไม่ห่วงเท่าที่ผมรู้สึกอยู่
ผมคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกราะน้ำแข็งนั่นเปราะ และคิดว่าหลายๆคนก็มีส่วนช่วย ผมนึกถึงเพื่อนพี่หมอก หลายๆคนที่อยู่เคียงข้างพี่หมอกเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน
“….กูไม่คิดมากหรอก ตี๋”
“พี่ผมรู้ได้ยังไงผมคิดอะไรอยู่?”
“มึงกำลังคิดว่ามึงไม่น่าพูดออกมาใช่ไหม?”
“พี่รู้ได้ยังไงอ่ะ?”
“..กูอยู่กับมึงมานานแค่ไหนแล้ว”
“แยกกันอยู่ดูจะนานกว่าอยู่ด้วยกันนะพี่ ฮ่าๆๆ”
“ปีหน้ามึงก็ไม่พูดแบบนี้แล้ว”
“จริงด้วย ตอนนั้นก็อยู่ด้วยกันมากกว่าแล้ว”
เอียงหัวไปข้างหนึ่ง เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของพี่หมอก ในรอยยิ้มนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ เห็นแล้วรู้สึกเหงา แต่รอยยิ้มก็คือรอยยิ้ม แดดตอนเช้าส่องมาพอดีในตอนนั้น เล่นเอาเจิดจ้าไปหมด
คิดว่าเหมือนผ่านมาไม่นาน ก็นานจนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันแรกเป็นเหมือนเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆกันมา เป็นเหมือนเทพนิยายที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“วันนั้นเป็นไงบ้าง”
“วันไหน?”
“วันที่ไปด้วยกันสามคน”
เงียบไปสักพัก ไม่รู้คิดอะไรหรือมองไปที่ไหน พอแล้ว เก็บบางเรื่องไว้เป็นปริศนาบ้างก็ดี
“..ก็ดี”
“พี่เมฆยังดุอยู่ไหม”
“ไม่แล้ว”
“ฝนล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ยังไม่ค่อยดี” มือที่กำมือผมอยู่ แน่นขึ้นนิดหน่อย ผมพูดว่า “แต่เดี๋ยวก็ดี” พี่หมอกก็พูดซ้ำประโยคเดียวกัน
ใช่
ทุกอย่าง เดี๋ยวก็ดี
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา และที่ผ่านมาทั้งหมดจนได้จบลงแล้ว ล้วนดีทั้งนั้น
ได้เข้ามาเป็นบทเรียน ได้สอนให้เรารู้ว่าเราเข้มแข็งและอ่อนแอแค่ไหน ได้เห็นด้านที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนของตนเองและคนอื่นๆที่อยู่รอบตัว ทั้งคอยให้ความช่วยเหลือ คอยเหยียบย่ำในตอนที่อ่อนแอ ผ่านมาทั้งหมดแล้ว
คิดแล้วก็อดพูดไม่ได้ว่า
“สี่ปีที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นตั้งเยอะแยะไปหมด”
ยังจำกลิ่นคอนโดพี่หมอกได้
ค่ำคืนที่พี่นอนคนเดียว ค่ำคืนที่มีผมอยู่ด้วย ภาพของพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุดของร้านโจ๊ก มีเพื่อนร่วมตัวเป็นอาม่าอากง วันที่พี่มารับผม วันที่พี่ช่วยผมทำโมเดล มือของผมที่ยังมีคำว่ารักของพี่อยู่ในนั้น มือถือจอขาวดำ ข้อความของพี่ รูปถ่ายของพวกเราในกล้อง วันที่ต้องร้องไห้ วันที่พวกเราไม่คุยกัน วันที่ผมต้องเสียใจ พี่ก้มตัวลงผูกเชือกรองเท้าให้ผมเดินจากพี่ไป ในร้านเบเกอรี่ที่พี่ชอบจิบช็อคโกแลตร้อนตรงที่นั่งชิดกระจก มองออกไปด้านนอกในค่ำที่ฝนตก พี่ขับจักรยานง่กๆเงิ่นๆที่ริมทะเล นอนฟังเสียงคลื่นอยู่ในเปลใต้ร่มไม้ ชั้นตากผ้าหน้าบ้านที่มีเสื้อผ้าของพี่แขวนอยู่ข้างเสื้อผ้าผม เสื้อผ้าของม๊า รองเท้าหนังมันแปลบข้างไอ้โบ๋คู่ใจผม BMW 740Li ที่อยู่นอกรั้ว กับไอ้เน่ากันเก่าของพวกเรา
เป็นแค่ฉากเล็กๆที่เกิดขึ้น ในเวลาสี่ปี
ทั้งหมดนี้ ผมไม่เคยลืม
แดดเริ่มร้อน ผมหลบหลังพี่หมอกก็ยังไม่มิด เหนือคิ้วขึ้นไปเลยไหล่พี่หมอก ซ่อนอยู่แถวคอ พี่หมอกไม่ค่อยบ้าจี้เท่าไหร่ หมุนให้ตายยังไงก็ไม่สะเทือน
“…4ปีเองหรอ”
“ดูเหมือนนานมากเลยเนอะ”
“นาน..” กระชับมือแน่นขึ้นอีกหน่อย “แต่ก็ยังไม่พอ”
ผมยิ้ม สมองประมวลผลเร็วๆ แล้วยิ้มก็หายไป
เอียงหน้ามานิดหน่อย เห็นว่ากำลังมองมา ใกล้ขนาดนี้ ผมย่อตัวลง ไม่อยากใกล้เกินไป เพราะความตื่นเต้นจะทำให้ผมพูดไม่ถูก ผมขมวดคิ้ว พี่หมอกขมวดคิ้ว ผมคลายคิ้วออก พี่หมอกขมวดคิ้วมากกว่าเดิม ผมยิ้ม นัยน์ตาพี่หมอกดูจะคลายความดุลง ผมเม้มปาก พี่หมอกจ้องมองริมฝีปากผมไม่ว่างสายตา
“อะไร-“
อยากจะพูดคำนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะหรือยัง
แต่ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะตอนไหนล่ะ ตี๋?
“พี่หมอก”
“พูด”
“เอ่อ…”
“เร็ว-“
“…มาอยู่ด้วยกันเถอะนะ” “…….”
ทำไมถึงต้องเงียบ ทำไมถึงต้องหน้าแดงขนาดนั้นด้วย ทำไมต้องทำให้ผมเขินไปอีกคน
“เร็วๆ โอกาสมีครั้งเดียว ผมไม่พูดซ้ำแล้วนะ”
“ล…เลี้ยงกูไหวหรือไง”
พี่หมอกพูดแล้วยังขัด ทำเอาลิ้นผมพันกันเป็นเงื่อนพิรอด
“ส…สบายจะตาย เอาอ..ไอหนึ่งมาด้วยยังชิลๆเลย” นึกถึงเจ้าหมาขี้หวง ไม่รู้อยู่บ้านนั้นเป็นยังไง มีคนเล่นด้วยไหม มันจะคิดถึงพี่หมอกเหมือนตอนที่ผมไม่มีพี่อยู่ข้างๆไหม “วันไหนไม่มีข้าวกินก็กินมันนี่แหละ”
“แบบนั้นจะกล้าพามาได้ยังไง” ชอบมองเวลามุมปากนั้นยกขึ้น มีลักยิ้มจางๆฝังอยู่ข้างแก้ม
“ผมล้อเล่นน่า” ปลายนิ้วถูกพี่หมอกเกลี่ยไปมา เล่นเอารู้สึกสยิว ยกขึ้นมาจูบแบบนั้นอีกแล้ว จะเอาให้ตายตรงนี้เลยใช่ไหม แบบที่ละลายเป็นบ่อน้ำแล้วโดนเหยียบข้ามไปเลยแบบนี้ใช่ไหม เพราะพี่กำลังจะได้แบบนั้นแล้ว
ได้แต่ดิ้นพล่านที่โดนทำมึนใส่ก็โดนดึงให้หลุดออกมาจากตัวสักที ผมเกาะแน่น พี่หมอกแงะมือผมออกอย่างใจเย็น แต่น้ำเสียงพูดว่า “ออกมา” ไม่ได้ดูใจเย็นเท่าไหร่ ผมรีบปล่อยมือออก ไม่ต่อสู้ไม่ขัดขืนเยี่ยงคนมีอารยธรรม
“ตี๋”
“ครับ?”
“ลืมตา”
“ไม่เอาอ่ะ”
“เร็ว”
“พี่หมอกจะทำอะไรผม”
“…..”
นุ่ม
ที่ปาก นุ่ม
อุ่นด้วย
ไอแดดตอนเช้าหายไปช่วงหนึ่ง หลังเปลือกตาผมกลายเป็นสีเทา สักพักก็กลายเป็นสีส้ม แล้วก็เป็นสีเทาอีกครั้งพร้อมสัมผัสที่ปาก
“จะทำแบบนี้ ลืมตา เร็ว”
“ลืมตาแล้วจะหยุดไหม”
ได้ยินเสียงลมหายใจผ่านจมูกเร็วๆ นั่นคือวิธีหัวเราะของพี่หมอกนะครับเพื่อใครจะยังไม่รู้ “มึงก็รู้คำตอบ”
พวกเรากอดกันด้วยริมฝีปาก เป็นความรู้สึกที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ และคงไม่มีใครจะได้รับจากผม ตัวรับสัมผัสใช้พื้นที่แค่น้อยนิด แต่ส่งผลออกมาทั้งร่างกาย ทำให้อุ่นไปถึงข้างใน
“บอกว่าเลี้ยงกูได้…แล้ว”
“แล้ว?”
“เงินน่ะ..มีไหมวะ?”ยิ้มให้กัน ภาพของพวกเราที่เจอกันวันแรก ผมที่กำลังอยู่ในวิกฤต มองคุณหนูลูกชายตระกูลดังยืนข้างรถราคาแพง ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ที่จุดนี้ได้
“ไม่มีหรอก แต่ผมมีอย่างอื่นนะ”
“อะไร?”
คำตอบที่ไม่ได้ใช้คำพูด ยื่นตัวเข้าไปใกล้อีกหน่อย
พวกเราจูบกันจนได้ยินเสียง ปัง! จักรยานแม่บ้านของป้านิด แม่ค้าเจ้าของแผงปลาชนเข้ากับเสาไฟ ป้าหันมายิ้มแล้วตะโกนบอก “ป้าไม่รู้ ป้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นจ้า” เล่นเอาผมหัวเราะเสียงดังทั้งๆที่เขินแทบตาย
หันไปมองพี่หมอกที่ก็หลุดยิ้มออกมาเหมือนกัน
ถึงตอนนี้จะยังมีบาดแผล และไม่รู้ว่าในอนาคตสิ่งที่รอพวกเราอยู่คืออะไร
นี่ก็คือรอยยิ้มที่อยากจะรักษาไว้ รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ จนแม้แต่แสงแดดก็เอื้อมมือลูบอย่างอบอุ่น
ในเช้าของวันธรรมดา เท่านี้ก็พิเศษจนไม่รู้จะพูดขอบคุณยังไง
……………………………………..
………………………………
[complete]
[6.10.59]