B.N.3สีดำ
พี่หมอกชอบสีดำ
สีดำทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น ดูมีมิติ น่าค้นหา
พื้นไม้สีดำ ไฟสีส้มทิ้งระยะ เหมือนกับเดินไปตามทางที่ไม่สิ้นสุด แต่ก็ดึงดูด
เอ๊ะ? แผ่นนั้นผมไว้ไหนกันนะ ผมว่าแบบที่แล้วน่าจะดีกว่า
รื้อกระดาษกองโต เส้นดินสอขีดจนยุ่งไปหมด แสงไฟตกลงเฉพาะบนโต๊ะตัวนี้ ปัดแผ่นที่ไม่ใช่ลงกับพื้น แต่ก็ยังหาไม่เจอ
“ตี๋ ทำอะไรอยู่?”
“อ้าวพี่เชน ผมลองร่างแบบดูอยู่หน่ะ”
“…ดึกแล้วนะ”
“อืม แต่ยังอยากทำงานอยู่ ผมเลยไม่อยากกลับ”
“เดี๋ยวรอ..เดี๋ยวไปส่งให้”
“ไม่เป็นไรพี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเสร็จเมื่อไหร่”
“…รอได้”
เอาอีกแล้ว บรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว
มีกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายกับปิ๊ก ผมหวังว่ามันจะเป็นแค่การคิดไปเอง
“ไม่เป็นไรพี่ อย่ารอเลย อีกนาน..”
“…แต่กูรอได้เสมอนะ เดี๋ยวนั่งตรงนี้ ทำงานอย่างอื่นรอไปก่อนก็ได้”
“งั้นก็ไม่ขัดศรัทธา”
“เอากาแฟไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ”
พี่เชนไม่พูดอะไรต่อเมื่อเห็นผมก้มหน้าลงทำงาน ทั้งแผนกมืดและเงียบ มีเพียงแสงไฟที่ถูกเปิดเพิ่มเหนือโต๊ะทำงานพี่เชน เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเดินออกไปชงกาแฟ แต่คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะกลับเข้ามาอีก
อยากได้อารมณ์ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าออกมา
แท็บเล็ทสีดำสนิท ถ้าไปอยู่ในห้องสีดำ มันจะเด่นหรือเปล่า?
ไฟ เล่นไฟได้ แต่ถ้าเป็นไม้สีน้ำตาลจะเด่นกว่า จะลดภาพลักษณ์ความหรูหราหรือเปล่านะ? นั่นเป็นเรื่องที่ต้องลองคิดดูอีกที
เพราะยังไม่เปิดตัวสินค้า เลยไม่รู้จะหาแบบจากไหนมาดู เห็นว่าแม้แต่พี่โต้งยังมีโอกาสเห็นแค่ในที่ประชุม เป็นความลับทางการค้าที่ไม่อยากให้หลุดออกไปก่อนจะเปิดตัว
หยิบกล้องที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา เปิดดูภาพ เป็นภาพสถานที่ ได้ยินมาจากพี่คนอื่นๆก็พูดคล้ายๆกัน ว่ามีที่กว้าง กว้างเสียจนบางครั้งก็น่าปวดหัวว่าสมควรจะเติมแต่งอะไรลงไป แต่คิดว่า ต่อจากแท็บเล็ทตัวนี้ อาจมีแก็ดเจ็ทอื่นๆเพิ่มเข้ามาอีก หรืออาจจะรวมไปถึงสินค้าตัวใหม่ๆ จึงต้องทำเพื่อล่วงหน้า ให้พร้อมเสมอ
จะมีการเช็คงานอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เพื่อตกลงร่วมกันถึงแบบอีกครั้ง
ผมไม่ได้คิดทำสีดำเพื่อเอาใจใคร แต่เพราะเป็นสีที่ผมคิดว่ามันมีเสน่ห์ และสื่อถึงอะไรหลายๆอย่างในความมืดนั่น
ระหว่างห้องที่สว่างจ้า กับห้องที่มืดสนิท แค่นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วว่า ห้องไหนจะทำให้เรามีจินตนาการได้มากกว่ากัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรื่องเล่าผีให้สาวๆได้กลัวกันขนาดนี้หรอก
พรุ่งนี้เช้าก็จะมีการประชุมร่วมในแผนกอีกที ถึงแบบแต่ละคน เพราะฉะนั้น คืนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องวางคอนเซปต์ให้เสร็จ
หลับตาลง
ได้ยินเสียงรองเท้า ตึก ตึก ตึก
พอรู้สึกถึงแรงมือเหนือไหล่ก็สะดุ้งตัว พี่เชนเดินมา ทำหน้าเซ็งๆ ชี้ไปที่ประตู บอก “ยามมาไล่แล้ว บอกจะปิดตึก”
“อ้าว ผมยังไม่เสร็จเลย งั้นเดี๋ยวหอบกลับไปทำบ้านแล้วกัน”
พี่เชนพยักหน้า ช่วยผมเก็บของ จัดกระดาษกองสุมใหญ่ แต่ก็หยิบกระดาษแผ่นนึงออกมาจากกองนั้น
“แผ่นนี้ใช้ได้เลยแหะ…”
“กำลังหาอยู่พอดีเลย พี่ว่าไง”
“อืม ถ้าพูดจากมองภายนอก ยังต้องแก้ไอ้เรื่องการวาดรูปหว่ะ”
“เฮ้ย ผมไม่ได้จะให้แนะนำเรื่องนั้นสักหน่อย หมายถึงแบบดิ แบบ”
“กูว่านะ มึงลองทำในโปรแกรมดูไหม มันจะได้ดูง่ายกว่านี้”
“ผมไม่ค่อยถนัดหว่ะพี่”
“แต่มันจะเห็นภาพชัดกว่า งี้มึงก็ลองร่างดูก่อน แล้วพรุ่งนี้ก็ให้พี่โต้งลองดูอีกที ถ้ามันโอ ค่อยมาลองปล้ำกับโปรแกรมดู โอเคป่ะ”
“ต้องลองปล้ำเลยหรอวะ ฮ่าๆๆ”
“…เออ ของแบบนี้มันต้องลอง กูก็ว่าจะลองดู แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองสักที”
“ผมก็เห็นพี่ทำงานซีจีออกบ่อย อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ พี่รับงานฟรีแลนซ์ออกแบบเสื้ออ่ะดิ ที่บ้านผมมีเสื้อพี่ตัวนึง”
“รู้ได้ไงวะเนี่ย?”
“พี่เอ๋บอก”
“….”
“พี่เอ๋พูดแต่เรื่องพี่กับผมเต็มไปหมด โคตรเบื่อเลย ผมรู้หมดว่าโคตรเหง้าวงศาตระกูลพี่เป็นใคร ตอนเด็กๆพี่เป็นยังไง มหาลัยเกรียนแค่ไหน ตอนนี้ผมก็ว่ายังเกรียนเหมือนเดิม”
“ลามปามแล้วไอ้ตี๋”
“ก็ไม่แปลกนี่เนอะ พวกพี่สองคนก็รู้จักกันมาตั้งแต่มหาลัยแล้วนี่”
“……”
“ผมถ้าไม่ได้พี่เอ๋ ก็ไม่กล้าคุยกับพี่หรอก คนอะไรวะ หน้าตาโคตรน่ากลัว ไว้หนวดยังกับโจร แต่เสือกใส่แว่นซะงั้น เลยหน้าเหมือนโจรที่มีความรู้เลย”
“แล้วหล่อไหมหล่ะ??”
ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ เพราะไฟมีเปิดไว้แค่สองดวงเลยรู้สึกเหมือนตาคู่นั้นเป็นประกาย ผมยักไหล่ ไม่ทันได้ตอบอะไรพี่ยามก็ตะโกนเรียก “ออกมาได้แล้วครับคุณ ผมจะล็อกห้องแล้วครับ!” เลยต้องรีบโกยกระดาษทั้งหมดลงกระเป๋า แล้วสะพายเดินออกมา มีพี่เชนเดินตามหลัง ระหว่างทางก็เอาแต่ถาม
“แล้วหล่อไหม?? ตอบมาก่อนดิวะ”
“เลี้ยงข้าวผมป่าวหล่ะ ถ้าเลี้ยงผมจะบอกว่าโคตรหล่อเลย”
“เออ กูเลี้ยง เลี้ยงทั้งเดือนเลย”
“พี่หล่อ…แต่น้อยกว่าผมหน่อยนึง”
“โถ ไม่ค่อยเลยนะไอ้ตี๋ หน้าแบบมึงนี่ไม่มีเค้าของความหล่อเลย”
“อะไร สาวๆติดผมตรึมตอนเรียนมหาลัย หนักใจมากๆ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”
ประตูลิฟต์เปิด เดินเข้าไปข้างไหน มองย้อนกลับไป ทางเดินมีเพียงไฟที่ถูกหรี่ไว้เป็นแสงสลัวๆ เห็นเงาของยามเดินอยู่ไกลๆ
“…หึหึ รู้ไหม เวลาคนเราโกหกน่ะ จะกำมือไม่รู้ตัวนะ”
“ห้ะ?”
รีบก้มไปมองมือตัวเอง ก็ยังเห็นมือตัวเองแนบข้างลำตัวอยู่เหมือนปกติ “พี่เชนแม่ง ชอบแกล้งผมหว่ะ”
“มึงก็ดันบ้าจี้อีก ตลกดี”
“อยากตลกก็ไปดูเดี่ยวเหอะพี่ ผมไม่ใช้วันแมนโชว์”
“อย่าขี้งอนดิวะ”
“ผมงอนพี่ตรงไหนวะ?” ประตูลิฟต์เปิดออก เดินตามพี่เชนไปที่ลานจอดรถ
บางครั้งผมรู้สึกอึดอัด แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนคิดไปเอง
ผมไม่ได้เป็นคนรู้สึกช้า หรือใสซื่อต่อโลกขนาดที่ไม่รู้ว่าพี่เชนทำดีกับผม มันมากกว่าที่พี่เชนทำดีกับคนอื่น
น้ำเต้าหู้ซื้อมาสองถุง เพื่อผมหนึ่งถุง
ทุกครั้งที่มีงาน พี่เชนจะพยายามดึงผมไปด้วยตลอด ต้องขอบคุณพี่เขาที่ทำให้ผมมีประสบการณ์มากขึ้น แต่บางครั้ง มันก็มากเกินไป บางคน เข้ามาก่อนผม ยังไม่มีโอกาสได้ทำงานมากเท่าผม
ขึ้นมาบนรถ ฝนตกอีกแล้ว ทำไมกันนะ? แต่คิดอีกแง่ ก็จะเอาแน่เอานอนกับฟ้าฝนได้ที่ไหน ทั้งๆที่ก่อนฟ้ามืดท้องฟ้ายังเปิดอยู่แท้ๆ ผมแอบออกไปถ่ายรูปท้องฟ้ามาในเวลามื้อเย็น
“กินข้าวหรือยัง?”
“มีกินแซนด์วิชพี่ตั้มไปชิ้นนึง พี่เขาซื้อผิด พี่เก๋ไม่ยอมกินเลยยกให้ผม”
“งอนกันบ่อยจริงหว่ะคู่นั้น เก๋รำคาญไอ้ตั้มนักทำไมไม่เลิกไปเลยหล่ะวะ”
“พี่เชนขี้อิจฉาหว่ะ ฮ่าๆๆ สร้างความร้าวฉานคืองานของเจ๊หรอ? ฮ่ะฮ่ะ”
“แต่กูก็รับสร้างความสัมพันธ์เหมือนกันนะ ถึงกูจะไม่ใช่วิศวกรโยธา แต่เรื่องทอดสะพานของกูก็ไม่แพ้ใคร”
“ผมก็ไม่ใช่วิศวกรโยธา แต่ผมก็รับทำลายสะพานได้นะพี่”
“รวมถึงคานด้วยไหมล่ะ?”
“อันนี้พี่คงต้องรอคนอื่นมาทำแล้ว ผมไม่ชอบทุบคานทองหว่ะ เสียดายของ”
รถติด จ้องมองที่ปัดน้ำฝนส่ายไปทางซ้าย ส่ายไปทางขวา ในรถเปิดวิทยุ เมื่อกี้ยังเป็นเพลงอยู่ แต่พอจ้องวิทยุสักพักก็กลายเป็นข่าวแทน พี่เชนเลยกดเปิดซีดี เป็นเพลงฝรั่ง ช้าๆ ฟังดูโรแมนติก ผมไม่ค่อยคุ้น เพราะปกติถ้าอยู่บนรถ ไม่เป็นเพลงร็อคหูแตกของพี่หมอก ก็เป็นเพลงจีนของม๊าเสียมากกว่า
เงียบกันอยู่นาน ไม่มีใครพูดอะไร พี่เชนเท้าแขน มองออกไปนอกรถ คนละฝั่งกับผม
ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆเลยหันไปมอง
“…ตี๋รู้จักคุณอัษฏาหรอ?”
“..เป็นรุ่นพี่มหาลัยผม”
“ดูไม่เหมือนจบถาปัตย์เลยนะ”
“พี่เขาจบวิศวะครับ วิศคอม”
“หืม? เรียนมาตรงเป๊ะเลยนี่น่า เขาชอบด้านนี้หรือว่ายังไง?”
พี่หมอก ชอบหรือเปล่านะ?
ผมไม่รู้ ไม่เคยถาม เคยได้ยินครั้งหนึ่งตอนที่เกิดเรื่องของฝนขึ้น ว่าทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ แต่พี่หมอกก็ยังไม่เคยพูดออกมาจริงจังสักที ว่าจริงๆแล้วชอบอะไร
เห็นชอบเล่นเบส เล่นฟุตบอล แต่ก็เรียนเก่ง เลยไม่รู้ว่าถ้าให้เลือกจริงๆ พี่หมอกจะเรียนคณะไหนกัน
“ผมไม่รู้…”
“เออหว่ะ ตี๋จะไปรู้ได้ยังไงกัน ก็คนละคณะกันเลยนี่หน่า คงไม่ค่อยสนิทกันสินะ”
เป็นเรื่องที่พูดไม่ได้
จึงได้แต่ตอบไปว่า “ผมเรียนถาปัตย์นี่น่า” ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับอะไร
รถมาจอดหน้าบ้าน ไอ้เฮียรีบกางร่มออกมารับ หันไปยกมือไหว้ เห็นเฮียขมวดคิ้วมองพี่เชน ประตูปิดไปแล้ว รถกำลังจะขับออกไป ผมกับเฮียเลยถอยหลังออกมา
“ใครวะ?”
“หือ?”
“ไอ้หมอนี่มันใคร”
“พี่ที่ทำงาน พี่เชน”
“เออๆ เข้าบ้านเถอะ ม๊าทำกับข้าวรอไว้ กินกันหมดแล้ว เหลือแต่ของมึง”
เฮียดันหลังผมเข้าไปในบ้าน เห็นมองกลับไปทางด้านหลัง ไม่รู้ว่ามองอะไร ผมไม่ได้หันไปมองตาม เพราะเห็นม๊าเดินออกมาหน้าบ้าน มารอผมแล้ว เลยรีบเดินไปหา
แต่ก็ถูกเฮียดึงตัวไว้ กระซิบเบาๆ ได้ยินเพียงแค่สองคน ปนไปกับเสียงฝนที่ตกลงพื้น
“มึงรู้แล้วหรือยังว่าไอ้หมอกกลับมาแล้ว?”
“เฮียรู้ได้ไง?..”
“กูเห็นคนที่ทำงานคุยกัน มันลงหนังสือซุบซิบพวกไฮโซ”
“ผมรู้แล้ว ผมได้เจอแล้ว”
ไม่ได้พูดอะไรต่อ เฮียเห็นผมเงียบ เลยปล่อยให้ผมเดินต่อไป
ที่ผมไม่ตอบไม่ใช่เพราะอะไร…เพราะผมไม่รู้ต่างหาก ไม่รู้ว่าจะตอบเฮียยังไง…
……………………………..
…………………….
วันนี้มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่สองข้อ ข้อแรก งานของผมได้รับเลือกครับ ไม่เชิงว่าได้รับเลือกขนาดนั้นหรอก แต่ก็เอาไอเดียของผม ไปบวกกับข้อดีของคนอื่นๆ เพราะช็อปเปิดพร้อมกันหลายสาขา ถึงจะทำให้เหมือนกันได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็อยากให้แต่ละที่มีเอกลักษณ์ภายใต้รูปแบบเดียวกัน
พี่โต้งแอบบ่น “มึงก็ไอเดียดีน่ะ เสียอย่างเดียว ทำซีจีไม่ได้เรื่องเลย”
“แล้วผมจะพยายามแล้วกัน”
“เออ ก็ดีแล้ว” พี่โต้งพยักหน้าเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ หลายๆคนเริ่มออกไปจากห้องประชุม เหลือแต่ผม ช่วยพี่โต้งเก็บของ พับโน้ตบุ๊ค ยัดลงกระเป๋าหิ้ว แล้วยื่นให้ “ขอบใจ”
“เออ ตี๋ อย่าพึ่งไป กูมีเรื่องจะถาม”
คนที่ออกจากห้องคนสุดท้ายคือพี่เชน ประตูปิดลงไปแล้ว แต่ผมกับพี่โต้งยังอยู่ในห้อง พึ่งจะทำงานกันมาก็จริง แต่ก็เป็นคนที่ผมเคารพและเอาเป็นแบบอย่าง
พี่โต้งเดินก้าวยาวๆไปกดล็อกประตู หันหน้ามามองทางผม หลังยังพิงประตูอยู่
“มึงรู้จักกับคุณอัษฏาหรอ?”
“…ครับ”
“รู้จักกันแบบไหน? ทำไมถึงรู้จัก?”
“เคยเรียนมอเดียวกันมาก่อน พี่เขาเป็นรุ่นพี่ผม แต่เรียนกันคนละคณะ”
“…..”
“ทำไมวะพี่?”
“บอร์ดบริหารเขาเพ่งเล่งมึงอยู่ เล่นไปฉุดแขนลูกค้าคนสำคัญแบบนั้น กูเป็นเจ้านายมึงก็จริง แต่กูก็ห่วงมึงแบบพี่น้องด้วย มึงมันขยันทำงาน เรียนรู้เร็ว ไม่เกี่ยงงาน กูอยากมีลูกน้องแบบมึงไปนานๆ กูเลยไม่สบายใจที่ได้ยินแบบนี้”
“…ขอโทษครับที่ทำให้พี่เป็นห่วง”
“เออ มีอะไรที่มึงจัดการคนเดียวไม่ไหวก็บอกกูแล้วกัน ช่วยได้กูจะช่วย”
“ขอบคุณมากครับพี่”
พี่โต้งตบไหล่ผม กระชับสายสะพายกระเป๋า แล้วเดินออกไป
พิงตัวเข้ากับโต๊ะ อยู่คนเดียวในห้อง อดกังวลไม่ได้
ไม่ว่ายังไงก็อยากทำงานนี้ไปนานๆ เพราะไม่ใช่ว่าโอกาสนี้จะหามาได้ง่ายๆ ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกเรื่อยๆ อยากหาเงินเยอะๆ ให้ม๊าอยู่สบายๆ ไม่อยากให้เฮียต้องลำบาก
ถ้าทางเลือกที่ต้องการกับทางเลือกที่ต้องเลือก เป็นสิ่งเดียวกัน ก็คงจะดีไม่น้อย
มันก็เป็นแค่ความคิด เพราะในชีวิตจริง ทุกคนจำเป็นต้องเลือก เลือกในทางที่เหมาะสมที่สุด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องทำ
เรื่องน่าแปลกใจเรื่องที่สอง ไอ้โจ๋โทรชวนออกไปก๋งกันครับ คราวนี้เห็นบอกพิเศษหน่อยเพราะรวมตัวกันครบแก็งค์ ก่อนหน้านี้ไอ้เคิ่ลติดงานที่สตูฯ ออกมาด้วยไม่ได้ มันได้งานที่นิตยสารแห่งหนึ่ง ที่ติสต์ตรงกับตัวมันด้วย ทุกอย่างเลยลงตัว บางครั้งมันก็ออกแบบหน้าปก ได้วาดภาพประกอบลงหนังสือ ไอ้กล้วยได้งานที่บริษัทโฆษณา ก็เหมาะกับมันดี ส่วนไอ้โจ๋รับช่วงกิจการที่บ้านต่อ เลยกลายเป็นว่ามีแค่ผมคนเดียวที่เรียนจบมาแล้วทำงานตรงสาย นอกนั้น แม้จะยังอยู่ในขอบเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เอาความรู้จากงานที่ทำจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาใช้เท่าไหร่นัก
เรานัดเจอกันที่ผับใกล้ๆมอ เมื่อก่อนก็เคยมากินกันบ่อยๆ ไม่ได้แพงไปหรือถูกไปจนเปิดเพลงคาราบาวให้โยกตาม แต่ก็มีสาวๆเยอะเต็มไปหมด ไอ้กล้วยมองตาเป็นประกาย ไปถึงก็เห็นไอ้เคิ่ลนั่งรออยู่แล้ว ในมือถือไอแพด เหมือนจะทำงานรอพวกผมอยู่
“โหย ขยันงี้บอสรักตายเลยไอ้เคิ่ล”
“นิดหน่อย”
“ไม่เคยปฏิเสธคำชมเลยนะมึง”
มันพยักหน้า เทเบียร์ลงแก้วให้พวกผมคนละแก้ว เก็บไอแพดลงกระเป๋าที่พกมาด้วย “ไอ้กล้วย คิดไงเปลี่ยนทรงว่ะ แปลกๆหว่ะ”
“ไม? ดูดิเกิ๊น? ไม่เป็นไร กูเข้าใจ”
“ถุยถุยถุยถุย”
“อี๋ ไอ้โจ๋ โคตรน่าเกลียด มึงเคยคิดไหมว่าน้ำลายมึงกระเด็นออกมาจริงๆหน่ะ” ไอ้กล้วยรีบเอามือปาดหน้าไอ้โจ๋กลับ
“มือมึงก็โคตรเค็มเลยวะ แหยะ”
“อ้าว มึงแอบเลียมือกูหรอ ดีเลย กูพึ่งเกาตูดมาแหม็บๆเนี่ย ฮ่าๆๆๆ”
พอมาอยู่กับเพื่อน บรรยากาศเก่าๆก็กลับมา ผมนั่งฟังพวกมันเล่าเรื่องที่ทำงาน นินทาเรื่องเจ้านายบ้าง เพื่อนร่วมงานบ้าง เรายังเป็นมือใหม่ในชีวิตการทำงาน ถึงแม้จะกลายเป็นปู่รหัสแล้วก็ตาม
“เออ ไอ้โจ๋ แอบคบกับน้องฟ้าก็ไม่บอก”
“บ้านเอ็งดิไอ้กล้วย ไม่ได้เป็นแฟนกันโว้ย”
“มึงลองเปิดมือถือดูนะ ไอ้พ่อคนปากหนัก แล้วนับเลขให้กูฟังดังๆว่ากี่เมสเสจแล้ว นับเลขเป็นไหม? เดี๋ยวกูนับให้”
“ไม่ต้องเลยไอ้กล้วย ว่าแต่มึงเหอะ ไอ้เมียตุ๊ด”
“เฮ้ย พูดกันแบบนี้ต่อยกันเลยป่าววะ?”
พอเห็นไอ้กล้วยทำหน้าเครียด ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางก็เครียดตามดิวะครับ แม่งฟาดกันมานี่หัวกูเต็มๆเลยนะเว้ย
“ใจเย็นๆดิวะไอ้กล้วย ไอ้โจ๋ มึงมันปากไม่ดีหว่ะ”
“ไอ้เอกแม่งเมียกูต่างหาก วะฮ่าฮ่าฮ่า”
“….”
“อะไร มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง”
“เปล่า ไม่มีอะไร กินต่อเหอะว่ะ”
ผมไม่ได้ออกไปเต้นเหมือนไอ้เคิ่ล หรือไอ้กล้วย นั่งอยู่กับไอ้โจ๋สองคน พิงโซฟา มองดูบรรยากาศรอบๆ คุยกันลำบากเพราะเสียงดัง สุดท้ายเลยออกมาคุยกันข้างนอก
ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากข้างใน แต่ไม่ดังนัก บางทีก็เห็นคนจากข้างในเดินออกมาเหมือนกัน
“ตี๋ สักตัวป่ะ?”
“มึงสูบบุหรี่ด้วยหรอ? กูไม่สูบหว่ะ”
“เออ งั้นกูไม่สูบ แต่ขอคาบไว้แล้วกัน ติดนิสัยหว่ะ”
“เมื่อก่อนมึงไม่สูบนิ”
“เครียดก็สูบ แต่พอสูบบ่อยๆเขาก็ติดเป็นนิสัยไป กูจะเลิกแต่เลิกไม่ได้สักที”
“...อืม”
“เวลาผ่าน หลายๆอย่างก็เปลี่ยนไปหว่ะ”
เปลี่ยนไปจนบางครั้ง..ก็ยากที่จะเข้าใจมีหลายเรื่องที่ตอนนี้ ผมสังเกตว่ามันเปลี่ยนไป บางครั้งผมก็รู้สึกว่าผมโตขึ้น เวลามองย้อนกลับไปในสิ่งที่เคยทำพลาดมา จึงได้แต่รู้สึกเสียใจ บางทีก็คิดว่า ถ้าตอนนั้น ไม่ได้เลือกเส้นทางที่เลือกไป ณ เวลานี้ ทุกอย่างจะเป็นอย่างไร
แต่ก็ได้แค่คิด เวลา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
“…วันก่อนกูเจอพี่หมอก”
“ห้ะ?”
“มันมีงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของห้างเพื่อนแม่กู กูก็ไป เพราะเฮียจัมพ์ไม่อยู่ กูเห็นพี่หมอกที่งานนั่น ใส่สูท ดูโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ดิ พี่แกก็ดูเป็นผู้ใหญ่มานานแล้ว แต่กูว่า พี่เขาดูโตขึ้นไปอีก…ดูเย็นชา”
“อืม…กูก็ได้เจอแล้วครั้งหนึ่ง”
“แล้วเป็นไง?”
โจ๋มันดูตื่นเต้นกับคำที่ผมพูดไป แต่ผมกลับตอบได้แต่เสียงอ่อยๆ
“พี่เขาบอกกับเลขาว่าทักคนผิดหว่ะ”
“…….”
“มีแค่นี้หว่ะ แล้วมึงไปเห็นพี่เขา พี่เขาทักมึงไหม”
“ก็เห็นหันมามองกูแว่บหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร กูยกมือไหว้ เขาก็พยักหน้าตอบ กูไม่กล้าเดินเข้าหาหว่ะ มีคนเดินตามประกบซ้ายขวา แถมยังมีคนเดินเข้ามาคุยด้วยตลอด พวกคุณนายทั้งนั่น ดูท่าพี่แกก็คงจะอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้”
จำได้ว่าเคยไปงานนึงกับพี่หมอก พี่หมอกทำหน้าเบื่อตลอดงาน แต่พอมีคนเข้ามาทักก็ต้องปั้นหน้านิ่งเฉย ตอบกลับไปด้วยคำที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้มาจากความรู้สึกของตัวเอง
“ แม่กูบอกว่าพี่เขาจะกลับมาดูแลกิจการที่ไทย คิดว่าพี่เมฆคงจะอยู่ที่สิงค์โปร์ แม่กูบอกว่าน่าสงสาร อายุแค่นี้กลับต้องดูแลบริษัทที่ใหญ่ขนาดที่บางคนทั้งชีวิตยังสร้างขึ้นมาไม่ได้ คงจะกดดัน แล้วก็เหนื่อยน่าดู”
“อืม…กูยังคิดไม่ออกเลย ว่าถ้ากูเป็นพี่หมอก กูจะรู้สึกยังไง”
จะเหงา ว้าเหว่หรือเปล่า
ผมไม่รู้
“เออ ไอ้โจ๋ มึงยังไม่เมาใช่ไหม?”
“ทำไมวะ?”
“ขับรถพากูไปที่ๆนึงหน่อยดิ”
“ห้ะ?”
“เออน่า”
ไอ้โจ๋ยังทำหน้างง แต่ก็หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า
………………………………
……………………
คีย์การ์ดที่มีอยู่ ยังใช้ได้เหมือนเดิม ผมโล่งใจ คิดว่าจะเปลี่ยนเจ้าของไปแล้วเสียอีก
เปิดประตูออกมา ตอนแรกคิดไว้ว่าคงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด ผ่านมาตั้งสามปี แต่กลับกัน ห้องกลับดูสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาทำความสะอาดอยู่ตลอด ข้าวของไม่ได้อยู่ในกล่อง แต่มีของบางอย่างหายไป
ทุกอย่างยังตั้งอยู่ที่เดิม เหมือนรอเจ้าของกลับมาใช้
รอให้ประตูบานนั้นเปิดออก รอให้คนสองคนที่เป็นเจ้าของห้องนี้กลับมาอีกครั้ง
ไอ้โจ๋ไม่ได้ตามเข้ามา ยืนรออยู่ที่ข้างนอก ทำตัวเหมือนโจรปล้นบ้านที่ต้องมีต้นทางคอยดู ที่ห้องนั่งเล่น ทีวีไม่เคยเปิดมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ยังอยู่ที่ตรงนั้น โซฟา ที่เคยนอนกลิ้ง หลับไปบนนั้นไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง องศาเดิม
ผมชอบกระโดดลงบนโซฟา ทำให้โซฟาเบี้ยวออกจากที่เดิม บางครั้ง พี่หมอกก็จะดันโซฟากลับที่เดิมทั้งๆที่มีผมนอนอยู่บนนั้น
ยังจำได้เดินเข้าไปที่ห้องนอน ไม่มีพี่หมอกอยู่ที่เตียงหรือห้องน้ำ รูปที่ผนัง มีบางรูปหายไป รูปพี่หมอก รูปคู่ยังอยู่ที่เดิม แต่ไม่มีรูปเดี่ยวของผมเหลืออยู่ มีเพียงคลิปหนีบกระดาษที่ยังอยู่กับเชือกเหล่านั้น
แม้แต่กระดาษที่จดแต้มคะแนนตื่นเช้า ก็ยังอยู่ที่หัวเตียง
ทิ้งตัวลงนั่ง ฟูกยุบลงไปหน่อย เอนตัวลงนอน กลิ้งหน้าลงดมกับผ้าห่ม มีแต่กลิ่นน้ำยาซักแห้ง ไม่เหลือกลิ่นอื่นใด
เหมือนสามปีที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่เรื่องเมื่อวาน
โคมไฟที่โต๊ะข้างๆเตียงหายไป กรอบรูปบางอันก็ไม่อยู่
ผมซุกหน้าลงกับหมอนใบเดิม ใบที่ผมใช้นอนประจำ เงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงของนาฬิกาอีกต่อไป ถ่านคงจะหมดไปนานแล้ว
ประตูเปิดออก ผมรีบลุกขึ้นด้วยความเคยชิน
หันไป
ไม่ใช่
ไอ้โจ๋
“กลับกันหรือยัง?”
“..อืม กลับดิ”
“โห…รูปพวกนี้มึงถ่ายเองหรอ?”
“กล้องตัวนี้ไง พี่เต๋าสอนกู”
“…มึงเสียใจไหมตี๋?”
ถอนหายใจ โจ๋นั่งลงข้างๆ ถอดถุงเท้า แล้วขึ้นมานอนเต็มๆตัว หันหน้าไปมอง มันก็มองตอบ
“ถามไรโง่ๆวะ เป็นมึงมึงเสียใจไหม?”
“มาก”
“อืม ก็คำตอบเดียวกัน”
“แล้วมึงทนได้ไงวะ”
“พอคิดว่าพี่หมอกก็คงต้องทนเหมือนกัน กูก็ไม่รู้สึกว่ากูเป็นฝ่ายรอฝ่ายเดียว ตอนนั้น ทั้งกูทั้งพี่หมอก คงยังเด็กเกินไปกว่าจะทำอะไรได้ด้วยตัวของตัวเอง กูไม่กล้าพอที่จะพูดกับพี่เขา พี่หมอกก็รออยู่เงียบๆ รอให้กูพูดอะไรออกไป แต่สุดท้าย กูก็ไม่ได้พูดสักคำ”
“…คราวนี้ มึงคงไม่ลังเลอีกแล้วสินะ ตี๋”
“กูไม่ลังเล แต่ไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสให้กูไหมน่ะสิ”
“ตี๋ มึงเชื่อกูไหม? ว่ามึงมีคำตอบอยู่ในใจไว้แล้ว”
แบบไหนกันนะ..คำตอบที่อยู่ในใจของผม?
“โอกาสหน่ะมันมีอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับที่มึง จะคว้ามันไว้ หรือจะมองมันผ่านไป”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มองหน้าไอ้โจ๋ มันก็พูดต่อ “คืนนี้นอนที่นี้ได้ไหม กูเจอเตียงแล้ว คงขับกลับต่อไม่ไหววะ”
“ไม่รู้เจ้าของห้องจะให้หรือเปล่า”
“ก็มึงไม่ใช่หรอ? เจ้าของห้อง”
“…เอาจริงดิ?”
“เออ ไม่ได้พูดเล่น”
“สักคืนก็ดี”
ผมหลับตาลง ไม่มีใครคิดจะลุกไปอาบน้ำก่อน ตอนนี้ มีแต่ความเหนื่อยเพลียที่ปกคลุมไปหมด ทั้งร่างกาย และความคิด
ฤทธิ์ของเบียร์ ทำให้ผมหลับลึก ไม่เหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา
ในฝัน ฝันเห็นพี่หมอกยืนอยู่ตรงนั้น ใส่ชุดสูท มองด้วยสายตาเย็นชา แต่พอหันหลัง กลับเห็นหลังพี่หมอก ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ไม่ได้เดินหนีไปไหน เหมือนรอให้ผมเดินเข้าไปหา
วิ่ง วิ่งเข้าไปหา แต่ระยะห่างก็ไม่ได้ลดลง
จะต้องทำยังไงกันนะ..ถึงจะลดระยะห่างนี้ได้
ในฝัน พี่หมอกไม่ได้ตอบคำถามของผม และคิดว่า ในชีวิตจริง ก็คงจะไม่ต่างกัน
………………………………….
………………………..
……………….
[B.N.3 : complete]
[13.01.55]
สวีดัดมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน กระป๋ม Cn9095 คนเดิม แต่มาพร้อมเรื่องราวใหม่ๆ แต่เหมือนตั้งแต่ขึ้นมาเป็นแบงค์ ยังไม่ได้ทักทายคนอ่านเลย --- > "สวัสดีคัฟ"

แต่ถึงจะขึ้นภาคใหม่ แต่ก็ยังเนื้อหาต่อเนื่องจากภาคเดิมอยู่ มาม่าอาจจะอืดหน่อยช่วงแรกๆ แต่ต่อๆไปก็น่าจะดีขึ้น
ช่วงนี้ขอเรียกว่า ฤดูน้ำหลากแล้วกัน ทั้งความเห็น ทั้งสายน้ำมาม่า อย่าพึ่งตัดสินทุกอย่างจากที่ตาเห็น

หรือจะพูดตรงๆก็คงต้องบอกว่าเป็นปลายนิ้วคนเขียนสินะ
ข้อมูลก็ยังเก็บได้ไม่มากพอ แต่ก็จะพยายามปรับๆ ให้มันสมจริงขึ้น เพราะคนเขียนไม่เคยอยู่ออฟฟิศหรือทำงานเงินเดือนใดๆทั้งสิ้น เป็นนักเกรียนเฝ้าศึกษาเล่าเรียนไปเรื่อยๆ ดังนั้น หากตรงไหนผิดพลาดจากความเป็นจริงก็ขออภัย
