-7-
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถามอะไรมากหรอกนะเวย์ แต่เขาเรียกนายว่า ชิงหลง นั่นแสดงว่าเป็นคนในวงการล่ะสิ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องระหว่างแก๊งค์แล้วหนีมากบดานที่อิตาลีเพื่อจัดการอย่างเงียบ ๆ น่ะ แม่น้ำในเวเนเซียไม่ได้เอาไว้ถ่วงศพใครนะ” ทั้งที่พูดถึงความเป็นความตายของคนอื่น แต่สีหน้าโจเซกลับยังคงรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนแม้แต่น้อย ทั้งยังจุดบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์เสียอีก “แบบว่า ตอนนี้แม่น้ำก็เต็มไปด้วยขยะอยู่แล้ว นายคงเข้าใจนะว่าถ้ามีศพคนโดนยิงลอยตุ๊ปป่องไปชนกอนโดราเข้า ฉันจะงานเข้าเอา”
“ฉันรู้แล้ว ขอสักมวนสิ ฉันลืมพกออกมา” ชิงหลงไม่ได้คิดมากกับการสาธยายยืดยาวของญาติตัวเอง เขารับบุหรี่มามวนหนึ่งก่อนจะจุดไฟแล้วโยนไฟแช็คคืนเจ้าของไป
“ถ้านั่นเป็นคนธรรมดาฉันคงไม่อะไรกับนายหรอกนะ แต่เป็นคนในวงการเดียวกัน นายไม่คิดหรือว่าน่าจะบอกอะไรกับฉันสักหน่อย โดยเฉพาะเอาเขาเข้ามาในเขตของฉันแบบนี้ นายเองก็คงไม่ยินดีจริงไหมถ้าฉันเอาคนในวงการเข้าไปกักขังในเขตของนาย” โจเซเก็บบุหรี่และไฟแช็คลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วพ่นควันสีขาวยาวเป็นลำออกมา ที่เขาพูดนั้นแม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ แต่เขาก็ต้องการคำตอบจริง ๆ ไม่ใช่แค่บ่นผ่าน ๆ
“ฉันคงเค้นคำอธิบายจากนาย”
โจเซพยักหน้า “แล้ว?”
“นายรู้ระบบองค์กรในฮ่องกงดีอยู่จริงไหม? ตระกูลเซิน เป็นเจ้าของตำแหน่งจูเชว่”
“หืม? มาเฟียที่นั่นอายุสั้นกันหมดหรือยังไงกัน จูเชว่ถึงได้อายุน้อยขนาดนั้น” เท่าที่เขารู้ มาเฟียของฮ่องกงจะสืบทอดตำแหน่งต่อเมื่อคนเดิมเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ไม่เหมือนทางนี้ที่มอบตำแหน่งต่อได้เมื่อต้องการและในเวลาที่เหมาะสม
“เขาเป็นทายาท”
“อ้อ” โจเซรับคำสั้น ๆ “นายคิดจะเปิดสงครามหรือยังไง?”
“เปล่า”
“แล้วนายคิดจะทำอะไร? ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับพวกมาเฟียจีนที่หนุนหลังจูเชว่อยู่หรอกนะ นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าปัญหาบานปลายฉันจะไม่เข้าข้างนาย” จริงอยู่ว่ามาเฟียบนเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับมอเรสซาเรแฟมิลีแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมาเฟียฮ่องกงก็มีอิทธิพลกับทางตะวันออกของเอเชียมากอยู่และยังมีเส้นสายกับพวกมาเฟียจีนทั้งสิ้น เขาเองก็มีธุรกิจที่เกี่ยวพันกับมาเฟียจีนอยู่ เขาคงไม่สามารถเสี่ยงเอากิจการของแฟมิลีไปจมกับปัญหาส่วนตัวของญาติตัวเองได้
“นายเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชิงหลงหมายถึงคนที่วิ่งหางจุกก้นมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็นใหญ่กว่าตนเอง
แน่นอน โจเซรู้จักญาติคนนี้ของตัวเองดี มีหรือที่ผู้ชายคนนี้จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยง่าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชิงหลงก็จะแก้ไขด้วยตนเองเสมอตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ใช่ เขาจำได้ สมัยที่ชิงหลงมาอยู่ที่นี่ในช่วงสั้น ๆ ของฤดูร้อน เด็ก ๆ ที่นี่มักไม่รู้วิธีปฏิบัติตนกับคนที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่า และพากันกลั่นแกล้งเด็กชาวเอเชียตัวเล็ก ๆ ที่เหมือนจะไร้ทางสู้
ชิงหลงทนโดนกลั่นแกล้งอยู่สักระยะหนึ่ง ก่อนที่วันหนึ่ง เด็กพวกนั้นก็ไม่กล้าแกล้งอีกฝ่ายอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าชิงหลงจัดการเด็กพวกนั้นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เขารู้ว่าเด็กพวกนั้นได้เรียนรู้วิธีการของมาเฟียที่แท้จริงตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างแน่นอน
บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าปรากฏอยู่เบื้องหน้า บริเวณกว้างขวางภายในรั้วสูง ขนาดของตัวบ้านและการออกแบบร่วมสมัย รวมทั้งจำนวนการ์ด สุนัขเฝ้าบ้าน และกล้องวงจรปิดที่ส่ายไปมาบนรั้วไม่เคยหยุดบ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของ
อเล็กซานโดร มอเรสซาเร อดีตดอนมอเรสซาเรผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในเวเนโตเรโจนี
“ดับบุหรี่ได้แล้ว” ชิงหลงว่าแล้วเดินลงจากรถเมื่อรถจอดสนิท
สาวใช้คนหนึ่งเดินออกมารับพวกเขาเข้าไปในบ้าน ชิงหลงมองไปรอบตัว ตอนที่เขามาครั้งที่แล้วคี่มาติดต่อธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงรีบมารีบกลับไปให้ทันแผนการของตนเองที่วางไว้สำหรับเซินหมิงเฟิ่ง ทำให้เขาไม่ได้เข้ามาพบอเล็กซานโดรเลย บางที พอรู้ว่าเขากลับมาอีกครั้ง เจ้าตัวอาจจะกำชับโจเซให้พาเขามาพบให้ได้กระมัง เขาเองก็คงต้องเตรียมตัวถูกตำหนิเรื่องนั้นเอาไว้
“สวัสดีครับปู่” โจเซเอ่ยทักชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่นเล่น ทำให้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่งยิ้มให้
“ว่ายังไงโจเซ เวย์ด้วย ถ้าไม่เรียกหาตัวคงไม่มาหาฉันสินะ?”
“ขอโทษด้วยครับที่คราวก่อนผมไม่ได้มาทักทาย”
อเล็กซานโดรแม้ว่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังสุขภาพแข็งแรงดี เดินเหินคล่องแคล่ว ไม่มีวี่แววของความเสื่อมถอยในช่วงวัยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถเป็นดอนต่อได้อีกหลายปีเสียด้วยซ้ำ กระนั้นกลับยกตำแหน่งให้หลานชายคนโตที่เกิดจากลูกชายคนเดียวของตนเอง ส่วนชิงหลงซึ่งเป็นหลานที่เกิดจากลูกสาวคนเล็กนั้นได้ธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปบริหารโดยไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีโดยตรง นั่นเพราะชิงหลงมีอำนาจของตนเองในฮ่องกงแล้วและไม่สามารถดูแลการงานของทางนี้ได้
“แล้วคราวนี้ไม่ได้พามาเรียมาด้วยหรือ?”
มาเรียคือชื่อแม่ของชิงหลงที่แต่งงานแล้วเดินทางไปอยู่ที่ฮ่องกง
“ขอโทษด้วยครับ”
“เรานี่นะ ไม่ต้องขอโทษด้วยท่าทางแบบนั้นหรอก ฉันเป็นตานะไม่ใช่หัวหน้าแก๊งค์” อเล็กซานโดรพูดเหมือนงอนหลานชายตัวเอง แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนแค่หยอกเล่นเท่านั้น ความจริงเขาเองก็ชินกับลักษณะเป็นแบบแผนของอีกฝ่ายตั้งแต่แล้ว เพราะหลานชายของเขาคนนี้ถอดแบบนิสัยมาจากลูกเขยเขาไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งความเจ้าระเบียบนั่นยิ่งเหมือน “เอ้า เข้ามานั่งข้างในนี่สิ ปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย”
ชิงหลงและโจเซมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนโซฟาด้านตรงข้าม
“ทั้งสองคนทำอย่างกับมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอย่างนั้นแหละ”
บางครั้งอเล็กซานโดรก็เหมือนมีตาทิพย์ สามารถมองผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ในความเป็นจริง มันคตือการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนานในชีวิตวงการใต้ดินของเขา
“ใครจะปิดบังปู่ได้ล่ะครับ” โจเซหัวเราะ
“งั้นใครก็ได้ บอกฉันมาหน่อยสิว่าเวย์มาทำอะไรที่นี่ทั้งที่เพิ่งกลับไปไม่นาน ไม่น่าจะเป็นเรื่องการจัดการธุรกิจไม่เรียบร้อยหรอกนะ จริงไหม?”
โจเซหันไปมองหน้าชิงหลง เป็นเชิงให้เจ้าของเรื่องจัดการเอง
“ผมคงจะยังบอกอะไรไม่ได้มากครับ เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับจูเชว่ที่ฮ่องกง ผมแค่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราว แต่ผมคิดว่าคงจะไม่รบกวนนานเกินไป” คำตอบของชิงหลงไม่ได้ทำให้อเล็กซานโดรพึงพอใจนัก เห็นได้จากรอยยิ้มที่จางลงทันทีที่กล่าวจบ เขาพรูลมหายใจออกมาคล้ายระอาใจเล็ก ๆ กับความชอบเก็บงำของหลานชายที่อยู่ห่างไกลตัว สำหรับชิงหลงที่ไม่ไว้ใจใครแล้ว แม้แต่เขาที่เป็นตาแท้ ๆ ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงติดนิสัยแบบนี้มาจากชิงหลงรุ่นก่อนที่เป็นพ่อเสียได้
แต่เมื่อดูจากสีหน้าโจเซแล้ว อเล็กซานโดรก็เดาได้ว่าคงจะได้รับข้อมูลมากกว่าที่เขารับรู้เมื่อครู่
นิสัยที่มองทุกอย่างเป็นงานเป็นการไปเสียหมดของชิงหลงทำให้เขารู้สึกหนักใจขึ้นมา บางที ที่โจเซได้รับข้อมูลมากกว่าอาจเพราะตอนนี้เจ้าตัวเป็นดอนเจ้าของพื้นที่ที่ชิงหลงต้องการใช้สอย ในขณะที่เขาซึ่งสละตำแหน่งแล้วเจ้าตัวคงไม่อยากให้แทรกแซงเรื่องภายในองค์กร
“เอาล่ะ ฉันจะไม่ซักไซ้ก็แล้วกัน” อเล็กซานโดรต้องยอมแพ้กับความหัวดื้อนั้น “ถ้ามีอะไรก็บอกกับโจเซไว้ ตอนนี้เขาเป็นคนตัดสินทุกอย่างในแฟมิลี”
“ผมทราบแล้วครับ”
“งั้นวันนี้ เราสองคนมากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกัน”
คำขอของอดีตดอนมอเรสซาเร ใครจะกล้าปฏิเสธ
--------------------->
ในร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เด็กสาวกำลังนั่งรอใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ เธอรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกที่คน ๆ นั้นโทรมาหา และยิ่งแปลกใจมากขึ้นที่คน ๆ นั้นขอนัดเธอออกมาพบในสถานที่เช่นนี้ แต่ว่า จุดประสงค์ที่เธอถูกเชิญออกมาอาจจะคาดเดาไม่ยากก็เป็นได้
หลังจากจิบกาแฟปั่นผสมนมไปแก้วหนึ่ง คนที่นัดเธอก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าโต๊ะพร้อมรอยยิ้มตามแบบฉบับซึ่งใครเห็นก็ชวนให้หลงรักและเอ็นดู
“ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า คุณหลาง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เอง” หลางเมี่ยวอินหัวเราะเบา ๆ แล้วผายมือให้หญิงสาวนั่งลง “คุณมินาโมโตะนัดฉันออกมาแบบนี้ น่าแปลกใจจังเลยนะคะ”
“ในวงการนี้หาผู้หญิงยากนี่คะ” ซากุระหัวเราะตอบ “ฉันเลยคิดว่าเราน่าจะสนิทกันไว้สักหน่อย เพราะฉันเองก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก อาจจะต้องขอคำแนะนำจากคุณหลางในบางเรื่อง”
หลางเมี่ยวอินเลิกเรียวคิ้วบางขึ้นสูงคล้ายแปลกใจที่ซากุระเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องนี้
“จะว่าไป พี่หมิงไม่มาด้วยหรือคะ?”
คำถามนั้นทำให้ซากุระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณเซินคงไม่ว่างน่ะค่ะ ฉันเองก็ยังไม่ได้พบเลย แต่ว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา คุณพ่อของคุณเซินคงจะอยากให้เขาเรียนรู้งานภายในให้มากที่สุด เห็นว่ากำลังเรียนรู้การบริหารงานของบริษัทอยู่ คงจะไม่มีเวลาออกมาข้างนอกกับฉันหรอกค่ะ” เมื่อกล่าวไป หญิงสาวก็ทำหน้าแง่งอนเล็ก ๆ เสมือนกำลังรู้สึกว่าถูกลดทอนความสำคัญจากคู่หมั้นไปเพราะงานของอีกฝ่ายจริง ๆ
“คุณมินาโมโตะคงจะเหงาแย่เลย” หลางเมี่ยวอินว่า “ฉันเองก็รู้สึกแย่เหมือนกันตอนที่เจินเจินไปช่วยงานท่านตาแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียว” เธอถอนหายใจออกมา ถึงแม้เธอและพี่ชายจะเป็นฝาแฝดกันและเกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่การปฏิบัติระหว่างพวกเธอสำหรับคนในบ้านกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ในตอนนั้นทั้งที่พ่อและแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาทเพราะคนที่เป็นคนในจริง ๆ คือแม่ซึ่งเป็นผู้หญิงและตาของเธอก็ไม่มีลูกชายคนอื่นอีก เมื่อหลางเมี่ยวเจินเกิดมาเขาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นทายาทตั้งแต่ยังไม่รู้ความ
ชีวิตทายาทของแต่ละฝั่งไม่ได้ต่างกันมากนัก ตั้งแต่วัยเด็กเมื่อเริ่มรู้ความ หลางเมี่ยวเจินจะถูกดึงตัวไปเรียนรู้งานกับเสวี่ยนอู่ซึ่งอายุมากขึ้นทุกวัน เด็กชายตัวน้อยแทบจะไม่มีเวลาได้ละเล่นเหมือนอย่างเด็กทั่วไป และมีเวลาเพียงน้อยนิดที่สองพี่น้องฝาแฝดจะได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ โดยไม่มีผู้ใหญ่มากำหนดว่าอีกกี่นาทีจะต้องไปทำอะไร
หลางเมี่ยวอินในวัยเด็ก แม้จะมีพี่ชายอยู่ตรงหน้าก็เสมือนไม่มี เธอได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่ราวกับเป็นลูกโทน ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เธอได้รับของขวัญอะไร จะมีของขวัญที่เหมือนกันเป็นส่วนของหลางเมี่ยวเจินเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอจดจำได้ว่าเธอยังมีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่ง ทว่า เมื่อพ่อและแม่ของเธอจากไปด้วยอุบัติเหตุ ระยะห่างระหว่างพี่น้องก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีทายาทตัวสำรองในบ้านหลังนี้ และหลางเมี่ยวเจินจะต้องทำหน้าที่เสวียนอู่คนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นโชคดีของเธอที่เสวียนอู่ผู้เป็นตาเข้าใจถึงความว้าเหว่ที่ถูกกีดกัน จึงดึงเธอเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ แม้จะเป็นวิธีเลือกที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกญาติและคนในองค์กรเลิกหาข้ออ้างกีดกันเธอออกจากพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง และทำให้เธอและพี่ชายสามารถกลับมาสนิทสนมกันได้อีกครั้งหนึ่ง
“คุณหลาง เป็นอะไรไปหรือคะ?” ซากุระเห็นหลางเมี่ยวอินเงียบไปจนผิดปกติจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย เพิ่งจะมีประสบการณ์บริหารด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกก็เลยมีเรื่องให้คิดเยอะน่ะค่ะ” หลางเมี่ยวอินแย้มยิ้มกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดอยู่ในใจเมื่อครู่
“ทางคุณเองก็ลำบากเหมือนกันนะคะ ฉันคงรบกวน...”
“ไม่เลย” หลางเมี่ยวอินโบกมือ “ฉันให้คนที่ร้านช่วยดูแลให้แล้ว ผู้ช่วยที่ท่านตาหามาให้ทำงานได้ดีจนฉันวางใจได้แทบทุกเรื่องเลยล่ะ”
“ผู้ช่วยหรือคะ?”
“ค่ะ เป็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าฉัน และฉลาดมากทีเดียว” ดูเหมือนหลางเมี่ยวอินจะพึงพอใจที่ได้ผู้ช่วยอย่างที่ต้องการ เพราะเกิดในบ้านที่ค่อนข้างหัวโบราณทางด้านสถานะทางเพศ หลางเมี่ยวอินจึงค่อนข้างเป็นคนที่หัวแข็งทางด้านความเท่าเทียมทางเพศ และมักคัดเลือกคนใกล้ตัวเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมากกว่าผู้ชาย กระทั่งหัวหน้าการ์ดของเธอยังเป็นผู้หญิงที่สามารถล้มผู้ชายตัวโต ๆ ได้สบาย
“ฉันเองก็อยากจะมีผู้ช่วยเป็นผู้หญิงบ้างเหมือนกัน เวลาอยู่ท่ามกลางผู้ชายแล้วทำให้ฉันรู้สึกติดขัดหลาย ๆ อย่าง” ซากุระแสดงความเห็นสอดคล้องกับค่านิยมของหลางเมี่ยวอิน เธอเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจดีว่าการที่ผู้หญิงต้องทำงานท่ามกลางผู้ชายเป็นเช่นไร
สำหรับกรณีของซากุระ อาจจะเลวร้ายกว่าหลางเมี่ยวอินในหลาย ๆ ด้าน
หลางเมี่ยวอินเป็นหลานแท้ ๆ ของเสวียนอู่ และทางเสวียนอู่ก็ให้ความสำคัญ ดังนั้นแล้วใครเล่าจะกล้าขัดใจ เพียงเธอออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมประเคนในสิ่งที่เธอต้องการ กระทั่งการคัดเลือกบุคลากรเพศหญิงที่เปี่ยมคุณภาพเข้ามาทำงานเคียงข้าง ทว่าซากุระนั้นเป็นลูกนอกกฎหมายของแม่ซึ่งเลือกจะทิ้งเธอไปอยู่กับคนรัก พ่อของเธอก็ไม่ได้ใยดีกับเธอมากนักนอกจากว่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ได้ ซ้ำเธอยังเกิดมาในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูง ทำให้ตลอดชีวิตของเธอต้องอยู่ท่ามกลางผู้ชายที่มองว่าเธอเป็นสิ่งของ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ ซ้ำยังถูกลวนลามทางสายตาและคำพูดบ่อยครั้งจนซากุระรู้วิธีที่จะจัดการกับความตะขิดตะขวงใจเหล่านั้นอย่างแนบเนียนโดยไม่ทำให้ผู้ที่สนทนาด้วยรู้สึกในทางลบมากเกินไป
“ท่าทางคุณมินาโมโตะกับฉันจะมีอะไรเหมือนกันหลาย ๆ อย่างนะคะ” หลางเมี่ยวอินยิ้มกว้าง
ตอนนั้นเองที่ซากุระรู้สึกว่าแผนการตนเองสำเร็จไปขั้นหนึ่ง เธอสามารถคาดเดาหลางเมี่ยวอินได้ถูกต้องและหาวิธีที่จะเข้าหาอย่างสนิทใจได้ในที่สุด เธอคิดถูกจริง ๆ ที่ใช้ความเป็นเพศหญิงของเธอเข้าหาผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิง...ที่ต้องอยู่ท่ามกลางอำนาจและอิทธิพลที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ชาย
-------------------------->
เซินหมิงเฟิ่งถูกทิ้งไว้ในห้องของโรงแรมหรู ซึ่งหากให้พูดตามตรง เขารู้สึกดีกว่าตอนอยู่ในห้องปิดตาที่ฮ่องกงหลายเท่า เพราะแม้ห้องนี้จะมีการ์ดเฝ้าประตูตลอด 24 ชั่วโมง แต่เขาก็มีบริเวณกว้างขวางที่จะใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ และยังมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เขาสามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างอิสระ แม้ว่าประตูระเบียงจะถูกลงกลอนเอาไว้ก็ตามที
คิมหันต์ดูจะได้รับสิทธิพิเศษในการดูแลเขามากกว่าคนอื่น เพราะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมใด ๆ ที่เขาทำอยู่ได้ตามความเหมาะสมหรือได้รับการร้องขอ ในขณะที่การ์ดคนอื่นได้แต่ปฏิเสธคำขอของเขาว่าตนเองไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกพึงพอใจอีกอย่างก็คือเรื่องอาหาร
จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนฮ่องกง แต่ชีวิตเกือบครึ่งของเขาที่ผ่านมานั้นอยู่ที่อังกฤษและกินอาหารแบบตะวันตกมาตลอดจนแทบจะลืมรสชาติอาหารจีนไปแล้ว ดังนั้น การต้องกินอาหารอุดมชีสสไตล์อิตาเลี่ยนจึงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากของเขา ซ้ำยังเป็นอาหารของโรงแรมระดับห้าดาวที่เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสในสมัยที่อยู่กับแม่ เพราะครอบครัวนั้นมีฐานะระดับปานกลาง ให้หรูก็แค่ทำอาหารพิเศษในครอบครัวเท่านั้นเอง
เรียกได้ว่าชีวิตของเขาที่นี่ดูจะสุขสบายกว่าตอนถูกขังที่ฮ่องกง
ทว่า...ถึงเขาจะหลอกตัวเองว่าสุขสบายแค่ไหน การถูกขังก็คือถูกขังอยู่ดี
“คุณว่าชิงหลงจะให้ผมใช้สระน้ำไหม?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามขณะม้วนเส้นพาสต้าด้วยปลายส้อม คาโบนาร่าสไตล์อิตาเลี่ยนให้ความรู้สึกเข้มข้นถึงรสชาติชีสจนต้องจิบไวน์ตาม
“บางทีถ้าท่านชิงหลงอนุญาตคุณเซินอาจจะไม่อยากไปใช้ก็ได้” คิมหันต์เป็นการ์ดคนเดียวที่ร่วมโต๊ะอาหารกับเขาในขณะที่การ์ดคนอื่นจะกินอยู่วงนอก ถึงอย่างนั้นการที่ตระหนักในบางจังหวะว่าคิมหันต์ไม่ใช่คนของจูเชว่อีกแล้วก็ทำให้เขารู้สึกวูบเล็ก ๆ ในอก
“คุณไปเห็นสระน้ำไปแล้วหรือ?” เขาเลิกคิ้วสงสัย
“เปล่าหรอกครับ แต่ว่าท่านชิงหลงคงจะให้การ์ดตามไปเฝ้าข้างสระหลายคน แบบนั้นผมคิดว่าคุณคงจะว่ายน้ำไม่ออก....”
ได้ยินคิมหันต์เล่ามาแบบนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็ถอนใจอย่างระอา ยิ่งพอนึกภาพตัวเขาที่เดินไปยังสระว่ายน้ำพร้อมการ์ดชุดดำตามหลังเป็นขบวนยิ่งกว่าลูกชายคนโปรดของประธานาธิบดีอเมริกา คนทั้งสระคงหันมามองเขาเหมือนตัวประหลาดและเต็มใจหลีกทางให้เพราะนึกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมาจากที่ไหนสักแห่ง ถึงแม้แขกที่เข้าพักโรงแรมนี้จะเป็นพวกคนร่ำคนรวยทั้งหลายก็ใช่ว่าจะชินกับภาพผู้ชายที่มีขบวนการ์ดอารักขา แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดเมื่อนึกถึงภาพแบบนั้น....
และใช่....เขาคงไม่อยากว่ายน้ำแน่...