เรื่องสั้น เพียงเธอ จบ ‘ขอบคุณนายที่เดินเข้ามาในชีวิตฉัน ขอบคุณนายที่ทำให้ฉันรู้จักความสุข
ขอบคุณนายที่ทำให้ฉันมีหัวใจ ขอบคุณนะ...มิว...’
ผมชื่อแอล อิทธินาท...เป็นเด็กเหลือขอ เด็กมีปัญหาหรืออะไรก็ตามที่พวกผู้ใหญ่พอใจใช้มันตัดสินวัยรุ่นสักคนที่ยกพวกตีกัน แข่งรถ หรือทำตัวเลวๆ ผมเคยคิดมาตลอด18ปีว่าชีวิตผมมันเหลวแหลกจะเป็นจะตายยังไงก็คงไม่มีใครมาแคร์หรือมาสนใจ แม้แต่พ่อแม่ที่ทำหน้าที่ผู้ปกครองตัวอย่างโดยการเลี้ยงลูกด้วยเงิน
ตั้งแต่เล็กจนโตผมคิดเสมอว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องแคร์หรือสนใจใครทั้ง !
แต่แล้ววันหนึ่งเขา...ก็ก้าวเข้ามาในชีวิตผม ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างผมโดยไม่สนใจว่าเราแตกต่างกันมากขนาดไหน
เขาไม่แคร์เรื่องผมเป็นคนเลว เขาไม่แคร์ที่ผมดื่มเหล้าสูบบุหรี่ เขาไม่แคร์ที่ผมมีเรื่องแทบทุกวัน เขาไม่แคร์ที่ผมจะแข่งรถเสี่ยงตาย เขาไม่แคร์ว่าชีวิตผมมันเหลวแหลกขนาดไหน เขาไม่แคร์ภาพรวมแย่ๆของผม...
และสิ่งที่เขาบอกว่าแคร์มันมีเพียงอย่างเดียว คือผม !
ใช่...มิวบอกว่า เขาจะไม่แคร์และสนใจอะไรทั้งนั้นนอกเสียจากการได้อยู่ข้างๆผมตลอดไป...
ซึ่งตัวผมเองก็เหมือนกัน นอกจากเขาแล้วผมไม่เคยคิดที่จะสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะเขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ผมต้องสนใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสำคัญสำหรับผมมากไปกว่า...มิว พีรวิชน์ รัตนาวาณิชย์
.
“มิว! แกเป็นผู้ชายนะเมื่อไรจะเลิกเล่นไอ้ตุ๊กตาปัญญาอ่อนนี่ซ่ะที!”
“ต..แต่...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว รู้ตัวไว้ด้วยว่าแกคือทายาทเพียงคนเดียวของฉัน อย่าได้ทำให้ฉันเสียชื่อเด็ดขาด!”
“.....”
“จิตร! เธอมาเอาไอ้ตุ๊กตาบ้าๆในห้องของคุณชายไปทิ้งให้หมด! และมิวพรุ่งนี้ฉันจะให้แกย้ายโรงเรียน เตรียมตัวให้พร้อม!”
“ทำไมผมต....”
“เพราะฉันสั่ง!”
ปัง! เสียงปิดประตูที่ทำเอาคนทั้งบ้านสะดุ้งขึ้น โดยที่ร่างของนายใหญ่ตระกูลรัตนาวาณิชย์ ได้ย่างกายออกจากห้องผู้เป็นบุตรชายไป
“ค...คุณชายค่ะคือพ...พี่ขออนุญาตนะคะ”เสียงสั่นๆของสาวใช้นามจิตรที่ถูกคำสั่งของเจ้านายใหญ่ให้มานำของชิ้นสำคัญของนายน้อยของบ้านไปทิ้งเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนที่หล่อนจะค่อยๆดึงตุ๊กตาหมีที่อยู่ข้างกายพีรวิชน์มาเป็นสิบปีออกจากอ้อมกอดเด็กหนุ่ม และเดินออกไปพร้อมกับตุ๊กตาในมืออีกสี่ตัว...
“ฮึก...ฮื่อๆ”เสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างสุดกั้นเมื่อเจ้าตัวได้จมอยู่กับโลกของตัวเอง โลกที่ไม่เคยมีใครได้ก้าวเข้ามา
พ่อครับ...พ่อจะรู้ไหมว่าตุ๊กตาตัวนั้นพ่อซื้อให้เป็นของวันเกิดชิ้นแรกและชิ้นเดียวของผมตอน5ขวบ
พ่อครับ...พ่อจะรู้ไหมว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ผมมีในชีวิต เพราะลูกชายพ่อคนนี้ไม่เคยมีเพื่อน
พ่อครับ...พ่อจะรู้ไหมว่ากรอบที่พ่อสร้างขึ้นมาให้ผมมันมีมากจนเกินไปแล้ว
พ่อครับ...ถ้าวันหนึ่งผมอยากจะก้าวออกไปพ่อจะยังเห็นผมเป็นลูกอยู่ไหม ?
.
ครืด...เสียงเปิดประตูห้องเรียนที่ทำเอาเหล่านักเรียนทุกคนที่พูดคุยกันถึงเรื่องราวในช่วงปิดเทอมที่ผ่านพ้นถึงกลับต้องชะงักลงราวกับมีใครไปปิดสวิตซ์
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีดำสนิทแต่งตัวผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้ามองผ่านสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมาที่ตนราวกับนักเรียนคนอื่นในห้องไม่มีตัวตนและเดินตรงไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างหลังสุดที่โต๊ะข้างกายว่างเปล่ามาตลอด6ปีที่เรียนอยู่ที่นี่
หญิงสาวมากมายทั้งในห้องที่กำลังเงียบกริบและนอกห้องเรียนชั้นม.ปลายปีสาม ต่างพากันมุ่งความสนใจของพวกเธอไปที่ชายหนุ่มร่างสูงอย่างสนอกสนใจ แต่เพียงแค่ผู้ชายที่พวกเธอแอบมองอยู่นั้นหันหน้ามามองผ่านๆก็ต้องรีบหันหน้าหนีกันอย่างหวาดกลัว...
กลัวว่าการกระทำของตัวเองจะไปทำให้คนอย่างแอล อิทธินาท อมรพันธุ์สกุล ไม่พอใจ
เพราะไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักแอล ผู้ชายอันตรายที่ไม่เคยแคร์อะไรสักอย่าง เขามีลูกน้องนับร้อยทั้งในและนอกโรงเรียน ขึ้นบัญชีดำฝ่ายปกครองและของสถานพินิจ เด็กเกเรที่ทำตัวมีปัญหาจนไม่มีใครอยากจะยุ่ง แต่เพราะหน้าตาที่ดีเข้าขั้นนายแบบของเจ้าตัวที่หญิงสาวมากมายพากันหลงใหลและฐานะทางการเงินที่หลายๆคนคาดเดาได้ว่ามาจากการกระทำผิดกฎหมายของชายหนุ่มที่ครอบครัวเขามีเงินให้เจ้าตัวใช้เล่นไปตลอดชีวิต
เพียงเท่านี้แหละที่ทำให้ อิทธินาท เป็นเด็กเลวที่ยังพอมีระดับอยู่บ้าง...
“นักเรียนวันนี้ครูมีเด็กใหม่จะมาแนะนำให้รู้จัก เชิญจ๊ะ...”
“สวัสดี ผม มิว พีรวิชน์ รัตนาวาณิชย์...”
เพียงแค่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในห้องเรียนก็ทำเอาทุกสายตาไม่เว้นแม้แต่เจ้าของเก้าอี้หลังห้องจับจ้องไปอยู่ที่ร่างบางของนักเรียนใหม่ที่อยู่ในเครื่องแบบของนักเรียนชายตามปกติแต่กลับดูดีจนเหลือเชื่อ อีกทั้งน้ำเสียงหวานที่เอ่ยออกมาเรียบๆและใบหน้าที่สวยจนหญิงสาวบางคนถึงกลับต้องอาย
เด็กใหม่คนนี้น่าหลงใหล...
แต่ว่า...ต่อให้เพื่อนใหม่หน้าห้องดูดีมากเพียงใด นักเรียนที่นั่งอยู่ต่างไม่มีใครใจกล้าจะยกมือขึ้นถามเรื่องราวต่างๆเช่นปกติสักคน เพียงแค่เพราะสิ่งที่แฝงอยู่ดวงตาคู่สวยนั้นเหมือน...เหมือนกับสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเด็กหนุ่มตัวสูงหลังห้อง แววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก
“อ...เอ่อ ถ้าไม่มีใครถามอะไร พีรวิชน์เลือกนั่งตามที่ๆว่างได้เลยจ๊ะ”อาจารย์สาวหันไปพูดกับลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างสับสนที่นักเรียนในห้องเธอไม่มีใครถามอะไรออกมาเลย ทั้งๆที่นักเรียนใหม่ดูเหมือนจะเป็นที่สนใจมากแท้ๆ
ขาเรียวก้าวตรงไปอย่างไม่สนใจอะไรมากมายก่อนจะนั่งลงเคียงข้างชายหนุ่มที่เขารู้สึกตั้งแต่เห็นว่าอีกฝ่ายมีแววตาที่ดูแล้วไม่ต่างจากตนเองเท่าไรนัก และเจ้าตัวก็รู้สึกว่าคนๆนี้ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะอยู่หรือตาย ซึ่งมันเหมือนกัน...เหมือนตัวเขาเองในตอนนี้
“อ...เอ่อ...พ พีรวิชน์นั่งตรงนั้นดีแล้วเหรอ”คำถามสั่นๆถูกเอ่ยออกมาอย่างลำบากเพื่อเตือนใจให้ลูกศิษย์ใหม่ของตนเองย้ายที่นั่ง เพราะอาจารย์อย่างเธอไม่อยากให้ใบหน้าสวยๆหรือร่างกายบอบบางนั่นต้องช้ำตั้งแต่วันแรกของการมาเรียนด้วยน้ำมือของ อิทธินาท อมรพันธุ์สกุล...นักเรียนที่เธอสาบานว่าจะไม่ยุ่งด้วยเด็ดขาด!
“ครับ”เสียงหวานตอบกลับสั้นๆ ทามกลางสายตาอันตกตะลึงของคนทั้งห้อง ที่กำลังแอบลุ้นกันอยู่ว่าเด็กหนุ่มคนดังในด้านไม่ดีของโรงเรียนจะทำยังไงกับมนุษย์หน้าสวยข้างๆ
“เฮ้อ...”แอลถอนหายใจเบาๆและหันไปมองใบหน้าของคนข้างกายเล็กน้อยก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะและหันหน้ามาทางเพื่อนใหม่ก่อนจะหลับตาลงโดยไม่สนใจอะไร
ซึ่งก็ไม่ต่างจากร่างบางซ่ะเท่าไรนักที่จ้องมองนัยน์สีดำกลับไปเล็กน้อยก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองหยิบสมุดออกมาวางพร้อมปากกาหนึ่งแท่ง และจ้องไปที่หญิงสาวหน้าห้องเพื่อรอรับรู้บทเรียนแรกในโรงเรียนใหม่แห่งนี้โดยไม่แคร์สายตามากมายที่มองอยู่
.
“นี่...”เสียงหวานที่ดังออกมาแลดูไม่อยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีเท่าไรนัก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะใช้นิ้วเรียวของตนเองสะกิดคนตัวโตที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ เพราะเวลานี้ภายในห้องเรียนกว้างๆนี้มันเหลือเพียงเขาและชายหนุ่มอีกคนเท่านั้น ดังนั้นคนอย่างพีรวิชน์ เลยไม่มีตัวเลือกมากนัก
“อะไร?”เด็กหนุ่มที่ทั้งโรงเรียนให้ความยำเกรงลืมตาขึ้นมองเพื่อนใหม่ข้างกายอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่
จะมีใครสักกี่คนที่กล้าใช้นิ้วจิ้มแอล อิทธินาท ?
“หิว พาไปโรงอาหารหน่อย..”ให้ตายเถอะ บอกทีว่าร่างสูงไม่ได้หูฝาด ที่พูดออกมาน่ะมันดูเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งไม่ใช่เหรอ?
“ฉัน? ทำไม...?”คนที่เพิ่งตื่นนอนเอานิ้วชี้หน้าตัวเอพร้อมตั้งคำถาม
“เพราะนายคือคนเดียวที่ฉันอยากจะสนทนาด้วย ไปกันเถอะ”พูดจบร่างบางที่เริ่มงุนงงในอารมณ์ของตัวเองเล็กน้อยก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการเร่งอีกคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก แต่คงเพราะแววตาและท่าทีของนักเรียนคนอื่นๆที่มีต่อชายหนุ่มคนนี้แหละมั้งที่เรียกร้องความสนใจจากเขาได้
“หึ คิดดีแล้วเหรอที่จะไป...?”
“ฉันชื่อมิว นายล่ะ?”และอีกครั้งที่อิทธินาทถูกกระทำเหมือนไม่ใช่ตัวเอง...?
เอ่อ หมายถึงไม่เคยมีใครกล้าที่จะขัดเวลาร่างสูงเอ่ยปากพูด และยังเอื้อมมือมาดึงแขนเสื้อเพื่อเป็นการบอกซ้ำว่าเขาควรพาเจ้าตัวไปโรงอาหารได้แล้ว
“แอล”เอ่ยจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนเคียงข้างชายหนุ่มหน้าสวยที่กำลังยิ้มอย่างพึ่งพอใจ ก่อนจะเดินคู่กันไปโรงอาหารที่นานทีปีหนคนตัวสูงจะย่างกายไป
ปราศจากเสียงสนทนาใดๆตลอดทั้งทางเดินแต่เพียงเท่านี้มันก็ทำให้ทุกๆสายตาที่เดินผ่านหันมาเพ่งเร่งที่ชายหนุ่มทั้งคู่ได้
“พ...พี่แอล เชิญครับโต๊ะนี้ว่าง”ทันทีที่เดินมาถึงโรงอาหารที่เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนมากมาย ดูยากที่จะมีโต๊ะว่างในความคิดของร่างบาง แต่แล้วกลับมีเด็กหนุ่มที่ลักษณะภายนอกบ่งบอกว่าคงไม่ค่อยจะรักการเรียนเท่าไรนักลุกขึ้นจากโต๊ะขณะกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่พร้อมด้วยเพื่อนร่วมโต๊ะอีกเกือบสิบคน
ดูก็รู้ว่ายังกินกันไม่อิ่มด้วยซ้ำ แต่กลับยกจานและแก้วน้ำขึ้นพร้อมกันอย่างพร้อมเพียง โดยที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากมาย นอกจากดึงมือร่างบางไปนั่งที่โต๊ะคนล่ะฝั่งและพยักหน้าเล็กน้อยให้กับการทำของอีกฝ่าย
“เอ่อ พี่จะกินอะไรครับ เดี๋ยวพวกผมไปซื้อให้”
นายเป็นมาเฟียหรือไงนะ...ทันทีที่เห็นท่าทีอันแสนนอบน้อมของเด็กนักเรียนรุ่นน้องกลุ่มใหญ่นี้ ความคิดของนักเรียนใหม่ก็ยากจะห้ามได้จริงๆ
“ไหนบอกว่าหิวไง จะกินอะไรก็รีบบอกมาสิ...?”เสียงทุ้มนิ่งๆเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกสติของอีกคนที่ดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ ซึ่งถ้าชายหนุ่มเดาไม่ผิดร่างบางคนคิดถึงเรื่องของเขาอยู่แน่ๆ
“สปาเก็ตตี้ซีฟู้ด ข้าวผัดอเมริกัน และก็น้ำเปล่า”เมื่อระลึกได้ว่างานนี้คงไม่ต้องลุกไปซื้อเอง และคิดว่าโรงอาหารหรูๆแบบนี้ก็น่าจะมีอาหารต่างๆที่ตนเองสั่งไป คนอย่างคุณชายตระกูลดังก็คงไม่ต้องมีความเกรงใจอยู่แล้วล่ะมั้ง
“และก็นมจืดขวดใหญ่อีกหนึ่ง”สิ้นสุดคำสั่งจากรุ่นพี่ เด็กหนุ่มผู้รับอาสาถึงกลับมองหน้ากันเองอย่างมีคำถามเล็กน้อยแต่ก็เดินจากไปโดยเก็บง่ำความสงสัยของตนเองเอาไว้
คนที่มากับพี่แอลคือใครนะ..? เขาเป็นใครถึงได้รับอภิสิทธิ์ขนาดนี้..?
แต่ใครล่ะจะถาม...?
.
หนึ่งเดือนผ่านไป
“มิว ครูที่โรงเรียนแกมาบอกฉันว่าแกไปสนิทกับอันธพาลของโรงเรียนเหรอ!”
“ผม...”
“ฉันจะไม่ฟังข้อแก้ตัวของแก แต่จำไว้ด้วยว่าเลือดในตัวแกมันเป็นเลือดของตระกูลรัตนาวาณิชย์! อย่าได้พยายามทำตัวนอกคอกให้ฉันต้องขายขี้หน้าเด็ดขาด!!”
“พ่อ! พ่อเคยคิดจะฟังผมพูดบ้างไหม? พ่อเคยคิดจะสนใจความรู้สึกของผมไหม! พ่อสนแต่เรื่องของตัวเอง เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงตรอมใจตาย!!”
เพี๊ยะ!! ใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงทันที พร้อมด้วยแววตาคู่โตที่คลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส
“เพราะไอ้อันธพาลนั้นแกเลยปีกกล้าขาแข็งแบบนี้ใช้ไหม แกอย่าคิดที่จะทำตัวอวดดีในบ้านของฉันนะ!! ถ้าแกยังไม่อยากให้ฉันเห็นว่าแกเป็นลูกเนรคุณล่ะก็เลิกคบเพื่อนต่ำๆได้แล้ว!!”
พูดจบร่างของผู้เป็นบิดาก็ก้าวเดินออกจากห้องไปเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา ทุกๆครั้งที่คำพูดของลูกชายไม่มีค่าพอที่พ่อคนหนึ่งจะฟัง
.
“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนผิดระเบียบเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นร่างของเพื่อนหน้าสวยที่ตัวติดกันตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเดินทำหน้าอมทุกข์เข้ามานั่งข้างๆ
ไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร รู้แค่เพียงว่าเขาอยากให้ความไม่สบายใจหายไปใบหน้าของร่างบาง...
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากมายนักว่าทำไมตัวเองถึงยอมให้คนสวยคนนี้เข้ามาอยู่ข้างกาย ไปกินข้าวด้วยกันตลอดตอนพัก เลิกเรียนก่อนจะไปสนามแข่งรถเขาก็ต้องทำหน้าที่ไปส่งคุณชายที่คฤหาสน์ก่อน หรือไม่บางครั้งเขาติดธุระไปส่งมิวไม่ได้ เขาก็ต้องกังวลและรอให้อีกฝ่ายโทรมายืนยันว่าตนเองถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว
ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันในสถานะไหน...
“นี่ แอล...ไปอยู่ด้วยได้ไหม?”พีรวิชน์หันไปพูดกับชายหนุ่มข้างกายอย่างจริงจัง
“ต้องกลับไปเก็บของที่บ้านไหม?”คำถามที่ควรจะได้รับคำตอบเมื่อครู่ถูกอีกหนึ่งคำถามย้อนกลับมาอย่างไม่คิดจะถามเหตุผลว่าทำไมคนตัวเล็กถึงพูดออกมาแบบนั้น...
“ซื้อใหม่ได้ไหม? เลี้ยงฉันได้รึเปล่า? นาย...จะให้ฉันอยู่กับนายจริงๆนะ...?”เสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับกำลังอ้อนวอนให้คำตอบของชายหนุ่มเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ตอนนี้ร่างบางเสียศูนย์สุดๆแล้ว แต่เพราะสิ่งนี้เองที่เรียกรอยยิ้มบางๆจากคนตัวสูงได้
รอยยิ้มที่แทบจะทำเอาเหล่านักเรียนที่แอบมองอยู่หยุดหายใจ !
“ฟังดูเหมือนเป็นคำที่เจ้าสาวพูดในพิธีแต่งงานนะ...”
.
เสียงเครื่องยนต์มากมายของเหล่านักบิดและนักขับรถยนต์ที่พากันมาเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับเงินที่พอจะทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงในสนามประลองความเร็วแห่งนี้ แสงสีและเสียงเพลงต่างๆแสดงถึงแหล่งมั่วสุ่มขนาดใหญ่นี้เป็นที่ๆเหล่าวัยรุ่นให้ความสนใจไม่น้อยทีเดียว
ชายหนุ่มนัยน์ตาสีดำยืนนิ่งพิงรถสปอร์ตคู่ใจสีดำสนิทของตนเองพร้อมกับมือข้างซ้ายที่โอบเอวของชายหนุ่มหน้าสวยซึ่งเลื่อนขั้นมาเป็นคนรักที่อยู่ด้วยกันมาเกือบ3เดือน ส่วนมือขวาก็ทำการโยกบุหรี่ที่ถูกสูบจนเกือบหมดมวนลงสู่พื้นถนนและบดขยี้ต่อด้วยรองเท้าหนังราคาแพง
“พี่แอลบัญชีของเดือนนี้ผมทำเสร็จแล้วนะ เรามีกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ50%จากผับxx ส่วนผับอื่นๆในเครือก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนค่าคุ้มครองที่ได้จากย่านxxxก็น่าพอใจ สุดท้ายเงินที่พ่อแม่พี่โอนมาให้เดือนนี้มากว่าเดือนก่อนอีกเท่าตัวครับ”จบการรายงานธุรกิจของนักเรียนม.ปลายอายุ18ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบางๆของเด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ดูแลบัญชีทั้งหมดที่อิทธินาท อมรพันธุ์สกุล เป็นเจ้าของหรือมีหุ้นส่วนอยู่
“อือ งานนายดูเยอะขึ้นนะเก่งฉันหาคนมาช่วยดีไหม”คำถามอันแสนหวังดีของเจ้านายหนุ่มที่กลัวว่าลูกน้องคนสำคัญจะลำบากเกินตัวถูกเอ่ยออกไปก่อนจะรับเอาสมุดบัญชีมาเปิดดูแบบผ่านๆโดยมีคนข้างกายหันหน้ามาดูด้วยอย่างสนอกสนใจ
“ไม่ดีกว่าครับ ถ้าเป็นแบบนั้นรายได้ของผมก็โดนหารน่ะสิ แค่นี้ไม่เกินความสามารถของคนอย่างผมอยู่แล้ว”เก่ง กันตินันท์ เด็กหนุ่มลูกเจ้าของโรงพยาบาลที่หนีออกจากบ้านตอบกลับพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งขณะที่เอื้อมไปรับสมุดบัญชีคืนจากชายหนุ่มอายุมากกว่าตรงหน้า
“เด็กขี้งก...”เสียงหวานที่ไม่มีบทบาทมานานเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะหันหน้าไปมองเด็กอัจฉริยะตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอียงศีรษะพิงไหลของคนรักโดยไม่สนใจอะไรอีก ซึ่งเพียงเท่านี้มันก็ทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงได้แล้ว
“ก็ต้องงกสิครับพี่มิว ผมไม่ได้รวยเหมือนแฟนพี่นี่นา ใครจะเชื่อเด็กอายุ18มีเงินในบัญชีเกือบร้อยล้าน...ผมขอตัวก่อนนะครับ”พูดจบเด็กหนุ่มก็ก้มหัวให้ชายหนุ่มทั้งสองเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินจากไปเพื่อดูแลความเรียบร้อยต่างๆต่อ
“แข่งไหม..?”ร่างบางเอ่ยถามคนรักขณะที่มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
สามเดือน...ที่อยู่ด้วยกันมายังไม่มีสักครั้งที่แอลทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิด ไม่มีเลยจริงๆ ตั้งแต่ออกจากบ้านมาเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับตระกูลรัตนาวาณิชย์อีกเลย นอกเสียจากข่าวธุรกิจที่กำลังไปได้ดีของพ่อและเงินในบัญชีธนาคารของตนเองที่ไม่มีหลงอยู่แม้แต่บาทเดียว
พ่อตัดลูกคนนี้ออกไปจาก รัตนาวาณิชย์ แล้ว...หึ
“วันนี้ไม่...หรือนายอยากจะให้ฉันแข่ง?”ชายหนุ่มก้มหน้าถามคนรักซึ่งกำลังหน้าบึ้งอย่างรู้ทัน เขาตัวรู้ดีว่าทำไมร่างบางถึงถามแบบนี้ออกมา คงเพราะหญิงสาวโดยรอบมากมายที่พากันจ้องมองมาที่ตนเองโดยไม่เกรงหนุ่มหน้าสวยข้างๆ
“ไม่ก็ไม่สิ ขนาดฉันยืนอยู่ด้วยยังมองนายแทบจะทะลุ สงสัยถ้าชนะนายคงโดนรุมทึ่งแน่ เหอะ!”คนสวยที่แสดงความน่ารักออกมาอีกครั้งพูดออกมาเสียงเบาก่อนจะหันไปมองหน้าหญิงสาวรอบกายเพื่อเตือนสติพวกเธอไว้สักนิดว่าตนเองและคนข้างๆอยู่ด้วยกันในสถานะไหน
“หึงรึไง?”คำถามที่ไม่ขาดหวังคำตอบใดๆดังขึ้นเพื่อแกล้งคนตัวเล็กให้แก้มแดงเล่นเฉยๆ แต่แล้วเสียงหวานที่ตอบกลับมาก็ทำเอาชายหนุ่มคิดผิด เพราะมันกลับทำให้เขายิ้มกว้างมากกว่าที่เคย
“เปล่า ฉันหวง!”
.
ผมชื่อมิว พีรวิชน์ รัตนาวาณิชย์ เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลรัตนาวาณิชย์ แม่ผมเสียตั้งแต่ผม10ขวบ ผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มของพ่อสักครั้งในชีวิต ตั้งแต่เด็กจนโตผมทำตามคำสั่งพ่อตลอด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องต่างๆ ผมทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อพอใจ แต่ดูเหมือนกับว่าพ่อไม่เคยคิดจะพอใจในตัวลูกชายคนนี้เลย พ่อของผมไม่สนใจสักนิดเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาหยิบยื่นในผมนั้นผมจะรับมันมาด้วยความเต็มใจหรือไม่
จนบางครั้งผมสงสัย...สงสัยว่าผมมีเขาเป็นพ่อหรือคนบงการชีวิตกันแน่ ?
ต่อมา ผมได้พบกับแอล ผู้ชายที่สะกดผมได้ด้วยแววตาที่เหมือนกับของผม เขาอยู่ข้างๆผมโดยไม่สนใจอะไรเลย เขาไม่เคยถามผมสักคำว่าทำไมผมถึงออกจากบ้าน เขาเคยบอกกับผมว่า นอกจากผมแล้วทำไมเขาต้องสนใจสิ่งอื่นๆด้วย...
ใช่ เพราะคำพูดของเขาจึงทำให้ผมคิด ผมคิดได้ว่านอกจากแอลแล้วทำไมผมต้องสนใจอะไรอีก ผมอาจจะดูเหมือนลูกที่เนรคุณต่อบุพการี ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะ...ไม่ว่ายังไงก็ตามผมขอเลือกอยู่กับคนที่มีรอยยิ้มให้ผม เข้าใจผม
และเขาทำให้ผมยิ้มได้...
________________________________________________
จบค่ะ จบแล้ว จบจริงๆ... L ♥ Mเหตุผลง่ายๆที่แต่งคืออารมณ์ชั่ววูบล้วนๆเลย หึๆ
ถ้ามีข้อผิดพลาดก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ...
อ่อ ชื่อเรื่อง ‘เพียงเธอ’ มันมีเหตุผลนะคะ
1. เพราะตอนแต่งคนเขียนฟังเพลง เพียงเธอ ของวงออกัส อยู่
2. การกระทำของตัวละครทั้งสองตัว คือไม่สนใจคนอื่นนอกจากกันละกันเท่านั้น เพราะงั้นถึงเป็น ‘เพียงเธอ’ ค่ะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกๆคนที่เข้ามานิยายเรื่องนี้ เพราะงั้นก่อนไปคอมเม้นท์กันหน่อยน้า จุ๊ฟๆ
ที่สำคัญ เค้ารักคนอ่านนะ >< !! [ต่อไปกลับไปเจอกันที่ 'นาย...ผู้ชายของผม']