อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๕๓
“พี่ฝิ่น...มิวคบกับพี่ดิวก่อนที่จะคบกับพี่เป้ง”
เอี๊ยดดด!!
หันข้างไปดุไอ้โจ้ด้วยสายตาเพราะมันเสือกเบรกรถกะทันหันทำเอาหัวทิ่ม เข็มขัดนิรภัยก็ยังไม่ได้คาด
“จอดรถทำไม?”
“ครับ ๆ” ไอ้โจ้ผงกหัวรับคำแล้วเหยียบคันเร่งออกรถต่อ เขาจึงหันไปคุยกับคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“มิวรู้จักพี่ดิวดี มิว...เป็นห่วงแก้ว”
“เฮอะ!” ไอ้แก้วน่าห่วงน่ะจริง แต่ว่า ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะห่วงใครเป็นนอกจากตัวเอง และมิวก็แสดงออกให้เห็นตลอดว่าไม่เคยชอบใจกับการที่เขาให้ตามดูและคอยรายงานความประพฤติของไอ้แก้วให้เลย
“คือ...” หญิงสาวก้มหน้าถอนหายใจเบา ๆ “มิวคบกับพี่ดิวตั้งแต่อยู่ ม.๓ ตอนนั้นพี่ดิวเรียน ปวช.ก่อนจะดรอปไป ช่วงที่พี่ดิวดรอป มิวก็...เอ่อ เจอพี่ฝิ่น แต่พี่ฝิ่นไม่เฉียดตามองมิวเลย” หล่อนพล่ามก่อนเงยหน้ามองฝิ่นอย่างเคือง ๆ
ผู้หญิงสำหรับเขาหาที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่จากสถาบันคู่อริ การคบคนโรงเรียนคู่อริสำหรับเขา นอกจากจะกลัวความลับของสายรั่วไหลยังถือเป็นการลดเกียรติของตัวเองด้วย
นี่ถ้าเขาปฏิญาณถึงผู้ชายโรงเรียนคู่อริด้วย คงต้องกลืนน้ำลายตัวเองเป็นกะละมัง
“ยกเว้นตอนนี้” เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคสุดท้ายที่เหน็บแนมมาเลย ในเมื่อหญิงสาวทำประโยชน์ให้เขาได้ แค่แลกกับการให้มิวได้พูดคุย ได้เข้าใกล้เขานิดหน่อย
...แต่มั่นใจได้เลยว่าเขาเปล่าหลอกใช้ใคร เพราะมิวสมัครใจเองต่างหาก
“เพื่อนมิวน่ะ ถ้าใครได้ควงกับเด็กช่างจะเป็นจุดเด่นมาก ยิ่งเป็นคนมีชื่อยิ่งเท่ ยิ่งถ้าได้ควงกับเด็กช่างต่างสถาบันยิ่งเด่นกว่า ไม่มีใครไม่อยากเป็นจุดเด่นหรอก ในเมื่อพี่ฝิ่นไม่สนใจ มิวเลย...เอาพี่เป้งก็ได้ พี่เขาก็กร่างไม่น้อย...”
“พี่ผมได้กลิ่นแปลก ๆ ว่ะ”
“เธอจะบอกอะไร” กลิ่นแปลก ๆ ที่ว่า เขาได้กลิ่นตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่า หลักฐานและพยานมันมีอยู่ก่อนแล้ว
“มิวไม่ใช่คนดี ทุกวันนี้มิวก็ไม่ดี แต่แก้วดีกับมิว” แววตาจดจ้องหน้ามิวอย่างจริงจัง เตรียมตั้งรับสิ่งที่จะได้ยิน “วันที่พี่เป้งตาย มิวเป็นคนบอกพี่ดิวเองว่าพี่เป้งอยู่ไหน แล้วตอนนั้น...มิวคบพี่เป้งพร้อมกับคบพงษ์ แน่นอนมิวอยากให้พงษ์หึงเลยตั้งใจบอกพี่ดิวต่อหน้าพงษ์ ...ผู้ชายต่อยกันแย่งเรา มันน่าภูมิใจจะตาย” มิวแค่นหัวเราะแต่นัยน์ตาเศร้า “ใครรู้เขาก็อิจฉามิวทั้งนั้นแหละ แต่ไม่นึกว่าพงษ์จะเล่นกันจนถึงตาย...”
“เธอมั่นใจว่าเป็นไอ้พงษ์?”
“ก็...พี่ดิวไม่ได้รู้สึกอะไรกับมิวแล้วหนิ”
“เธอบอกพี่ทำไม” นิ้วแกร่งกำเข้าหากันแน่นเกร็ง ภาพของคนที่ฆ่าเพื่อนลอยชัดในหัว แต่ภาพของคนที่เป็นห่วงแทบตายเด่นชัดมากกว่า
“พี่ตามติดแก้วทุกวันนี้เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ...พี่ควรจะรู้อะไรบ้าง”
“เหมือนเธอจะรู้ดี”
“ไม่หรอก” หญิงสาวหน้าสลดยกมือไหว้ “พี่ฝิ่นมิวขอโทษ”
“บอกตอนนี้มันไม่ทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นเลยมิว!” เขาเสียงดังใส่แล้วเอี้ยวตัวกลับมานั่งอย่างไม่สนใจจะฟังอีก ตอนหาเบาะแสกลับไม่ให้ความร่วมมือ ผ่านไปเป็นเดือนมาพูดตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา! หรือถ้าอยากตอบแทนที่ช่วยเมื่อกี้ก็ควรเงียบไปเลย
“พี่คง...รักแก้วสินะ ไม่ผิดจากพี่ดิวคาดไว้ทุกอย่างจริง ๆ หึ อย่าว่าแต่พี่เลย มิวเองยังเผลอชอบแก้วบ่อย ๆ ทั้งชอบ ทั้งเกลียด และมิวก็รู้ว่าพี่โกรธพงษ์...แต่แก้วน่ะ ทำได้หมดแหละแค่ให้พงษ์ไม่ผิด พี่เห็นไหม มิวควรจะหมั่นไส้ใช่ไหมล่ะ เหตุผลไม่ต่างจากพี่เท่าไหร่หรอก มิวเองมีส่วนแท้ ๆ ยังไม่เคยช่วยใครเลยทั้งทั้งผัวเก่าผัวใหม่”
“หยุดซ้ำเติมตัวเองเถอะ” เขาก็ไม่อยากย้ำสิ่งที่เคยคิดเหมือนกัน
“เปล่า มิวไม่ได้มีสำนึกขนาดนั้น มิวแค่อยากให้พี่รู้ว่าหัวใจของแก้วที่มีให้พงษ์ ใครก็เอาชนะไม่ได้หรอก ไม่ว่าพี่ดิว หรือแม้แต่พี่” หึ!
“ไอ้พงษ์ก็ส่วนไอ้พงษ์ ไอ้แก้วก็ส่วนไอ้แก้ว ...พี่ก็ยังเหมารวมอยู่ แต่พี่กำลังพยายาม” แม่ง ตอกย้ำตัวเองอีกแล้วกู
“รู้อะไรก็บอกมาเถอะ ไม่ได้ลำเลิกนะ แต่ถือว่าช่วย ๆ กัน” โจ้
“มิวเข้าใจ มิวเองก็อยากช่วย แต่ไม่รู้พี่ดิวพาไปไหนน่ะสิ พี่ดิวน่ะ อันตราย อันตรายสุด ๆ เขาไม่เคยให้ใจใครจริง ๆ เลย แต่แก้วไม่กลัวเลย แววตาของแก้วบอกว่าพร้อมเผชิญได้สบาย มิว...ไม่ชอบแก้ว แต่ก็ไม่อยากให้พี่ดิวทำร้ายแก้ว เหมือนมิวโดน...คนเคยรักกันยังทำกันได้ อะไรที่ไม่เต็มใจ มิวเข้าใจแล้ว...” หญิงสาวพูดคล้ายเยาะเย้ยตัวเองก่อนจะเม้มปากนั่งเงียบนิ่งไปจนถึงป้ายรถเมล์ที่มิวบอกว่าให้แฟนใหม่มารับที่นั่น
ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงกว่าก็ถึงสถานที่ที่ ไอ้พงษ์ไม่แน่ใจแต่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นที่อื่น หึ รู้ใจกันดีจริง ๆ
รีสอร์ตxx นามสกุลไอ้แก้ว
เขาหยิบยาแก้ปวดและยาพาราฯมากินเพราะรู้สึกปวดแผลขึ้นมา และป้องกันไข้ขึ้นหลังจากได้แผลเหมือนทุกทีก่อนส่งขวดน้ำคืนพี่ไม้
ถ้าเดาไม่ผิด ...น่าจะเป็นบ้านไอ้แก้วที่ให้เพื่อนมันซ่อนตัว เพราะตอนไอ้พงษ์มอบตัวกับตำรวจมันโผล่ไปเองจึงไม่มีใครรู้ว่ามันหนีไปอยู่ไหนมา
พอรถจอดไอ้พงษ์ก็ก้มหน้าเดินฝ่าความมืดไม่พูดไม่จากับใคร คนอื่น ๆ หยิบไฟฉายที่ติดมากับรถแทบไม่ทัน แต่ส่วนใหญ่ต้องตั้งท่าปรับสายตาให้เข้ากับความมืดก่อนถึงเดินตามมันไปได้
เขาแปลกใจ ทำไมไม่ไปอีกทางที่ดูจะมีคนอาศัยอยู่มากกว่า นี่ถ้าไม่ติดว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว ที่นี่ก็ป่าช้าดี ๆ นี่เอง
ไอ้พงษ์และพวก ทั้ง๓T ทั้ง๙T เดินนำหน้าลงไปที่คันร่องสวนมะพร้าวก่อน ส่วนอริอย่างเขาต้องรั้งท้ายทั้งที่ใจเดินนำพวกมันไปถึงจุดหมายที่ก็ไม่รู้ว่าที่ไหนแล้ว
“แก้ว แก้วโว้ย” ไอ้แสนตะโกนลั่น
“แหกปากไปก็ไม่มีใครตอบหรอก” ไอ้พงษ์ตะโกนตอบ
“อ้าว เหี้ย ถ้ากูไม่ตะโกนจะเจอไหม วังเวงฉิบหาย มืดก็มืด เงียบก็เงียบ”
นอกจากเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ แสงไฟจากมวนบุหรี่กับเสียงพูดคุยกันเบา ๆ แต่กลายเป็นเสียงดังไปโดยปริยายเมื่อบรรยากาศรอบตัวมีแต่ความเงียบ
“ที่นี่เองเหรอ” ภูรักพูดขึ้นมา ฝิ่นเองก็อยากรู้ว่ามันคุยอะไรกันแต่ทำได้แค่เงี่ยหูฟังเพราะเดินห่างเกิน
“พี่ภูพูดเหมือนรู้จักบ้านไอ้แก้วเลย” ไอ้แสน
“มันเคยพูดเปรย ๆ”
“ไม่เห็นมันเคยเปรยให้ผมฟังเลย อะไรวะ” หึ กูด้วยอีกคน ฝิ่นอดเห็นด้วยกับไอ้แสนไม่ได้
เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับไอ้แก้วเลย อาจไม่รู้เพราะปิดหูปิดตาแต่แรก แต่มันก็สามารถเล่าอะไรให้เขาฟังได้นี่หว่า
...แต่มันไม่เล่า
“บางคนไม่พูดกันทุกเรื่องก็ไม่ได้แปลว่าไม่ให้ความสำคัญ... บางเรื่องก็สะดวกกับบางคนเท่านั้น มึงอย่าน้อยใจเลย”
“น้อยใจ? แสนเนี่ยนะน้อยใจ ตลกว่ะพี่ภู มันคบแสนก็ดีถมแล้ว”
“เออ กูก็คิดอย่างนั้น งั้นมึงก็ควรตอบแทนมันมากกว่าบ่นได้แล้ว” ไอ้ภูตัดบท
น้อยใจ?
ไอ้เหี้ย... ฝิ่นทำปากขมุบขมิบขืนเปล่งเสียงออกไปคนรอบตัวต้องข้องใจว่าอยู่ ๆ เขาชมไอ้ภูเลื้อยทำไม
...เออ เขายอมรับว่ากำลังคิดมาก
แต่เขาไม่ได้น้อยใจ แค่อยากรู้ทุกเรื่องของมันเพราะประวัติมันเขาสืบจากไหนไม่ได้เลยนอกจากปากไอ้แก้วกับไอ้พงษ์เท่านั้น แล้วมันคิดไหมว่าเขาจะไปสืบจากไอ้เหี้ยพงษ์? ทั้งที่เคยสั่งไอ้แก้วแล้ว แต่มันยังไม่เคยเล่าเลย
เขาต้องตามหามันให้เจอและจะต้องรับรู้ทุกเรื่องราวในชีวิตมันให้ได้ จะต้องรู้มากกว่าใครด้วย!
“พี่ฝิ่นคิดยังไงเรื่องที่มิวมันพูด” ไอ้โจ้กระซิบขัดสิ่งที่เขากำลังปฏิญาณเลยต้องถอนหายใจแล้วมาคุยกับมัน
“ไม่ได้คิดอะไร มันคงรู้สึกผิดที่พาไอ้เป้เข้าไปในโรงแรมนั่น” พูดไปตามที่เจ้าตัวสารภาพ มิวอาจรู้สึกผิดเลยตอบแทนเขาด้วยการเห็นอกเห็นใจไอ้แก้ว แค่นั้น
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึง...”
“เรื่องอะไร?” พี่ไม้ดันถามอีกคน
“ไอ้โจ้สงสัยว่าไอ้พงษ์ฆ่าไอ้เป้งจริงรึเปล่า” ฝิ่นบอกรุ่นพี่เอง
“ทำไมวะ?” พี่ไม้
“มิวบอกว่าไอ้ดิวเคยเป็นแฟนมัน เป็นไปได้ไหมที่ไอ้ดิวจะมีส่วนมากกว่าแค่ประธานสายที่ควรรับผิดชอบพฤติกรรมคนของมัน” ไอ้โจ้บอกสิ่งที่มันคิด
“กูก็คิดมาแต่แรก”
“อะไรนะ?” ทั้งเขาทั้งไอ้โจ้หยุดชะงักกับคำพูดพี่ไม้ แต่ก็ต้องรีบเร่งฝีเท้าตามพวกข้างหน้าต่อ
“อย่าว่าแต่มีส่วนเลย มันเป็นไปได้ทั้งสองคนนั่นแหละ ที่ไอ้เป้งโดนกูว่าคงเป็นคนที่โกรธแค้นกันมาก แต่กูไม่มั่นใจว่าจะเป็นไอ้ดิวร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะตำรวจมีหลักฐานทุกอย่าง ทั้งลายมือจากมีด ทั้งพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นทั้งสองคนในเหตุการณ์”
“พี่สงสัย แต่ยังไปขอให้ไอ้ดิวช่วย” ไอ้โจ้
“อืม และมันก็ยืนอยู่ฝ่ายเราเหมือนเต็มใจช่วย แต่ไอ้พงษ์ก็มอบตัวและรับสารภาพ” นั่นแหละที่ทำให้เขามั่นใจ
“ที่สำคัญ ไอ้ฝิ่น”
“อะไรวะ?”
“มึงไม่ฟังใครเลยช่วงนั้น มึงตัดสินความผิดไปเรียบร้อย” นึกแล้วว่าพี่ไม้ต้องพูดอย่างนี้
“ใครก็เชื่อตามที่เห็นพี่” ไอ้โจ้เสริมฝั่งเขา
“ผมอยากให้เป็นไอ้เหี้ยดิว”
“มันก็แค่ข้อสงสัยของเรา มึงอย่าเพิ่งคิดตามเลย จะยังไง วันนี้มันก็เท่าเดิม” ใช่ เท่าเดิม...เขาเคยเลวใส่ไอ้แก้วยังไง มันก็เลวไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาอยากยกเรื่องนี้ออกจากหัวแล้วโยนไปไกล ๆ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวที่เป็นต้นเหตุให้เขาห่างกับไอ้แก้วจนเกิดเรื่องขึ้นมาอย่างนี้ เป็นห่วง...ห่วงจนไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาอภัยให้พวกมันแล้ว เขาไม่เคยคิดยอมอ่อนข้อให้ใคร ไม่เคยคิดจะให้ใครมาเป็นภาระ แต่อยู่ ๆ ดันเกิดขึ้นกับผู้ชายคนที่เขาไม่เคยอยากจะดีด้วย มันเหี้ยเกินไปแล้ว
“หลงทางรึเปล่ามึง” เสียงไอ้แสนยังแว่วมาเป็นระลอก นอกนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นคนพูดบ้าง
“ถ่านไฟฉายจะหมดแล้วด้วย”
“เหี้ยหมดไวขนาดนี้มึงจะพกมาทำไม”
“บ้านมันอยู่ตรงไหนวะ กูเห็นแต่ต้นมะพร้าว”
แต่ไม่มีการตอบกลับจากไอ้พงษ์
“กูบอกแล้วให้ไปดูบ้านไอ้ดิวที่คลองสิบเอ็ด” ไอ้แสน
“แสน ไฟ พวกมึงเงียบเลย กูงงแล้วเนี่ย...สามสิบสาม” มันพูดเหมือนไม่เต็มใจพูดแล้วบ่นพึมพำต่อ
มันสงบปากไปมากทีเดียวหลังจากไปกับพี่ไม้มา พี่บอกปล่อยให้มันได้คิดทบทวนบางอย่าง ไม่จำเป็นก็อย่าใจร้อนกับมันให้มาก เขาจึงทำตามที่พี่ไม้บอกเพราะตอนนี้ต้องอาศัยมันคนเดียว
“ไฟ? มึงเรียกชื่อกูห้วน ๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
“กูไม่มีอารมณ์มาพูดกับมึง ...สามสิบห้า” แต่พวกมึงยังมีอารมณ์กัดกันนะ
“เอาไว้จบงานนี้มึงได้งัดข้อกับกูแน่”
“เอาเวลาของมึงไปตามตูดไอ้ดีเถอะ”
“เฮ้ยไม่เอาน่า” เหมือนไอ้แชมป์จะเป็นกรรมการหลังจากไอ้พงษ์มันบอกถึงสิ่งที่ไม่พอใจ
เขาให้เวลาไอ้พงษ์คิดแต่เขารำคาญลูกตาที่ต้องจดจ้องว่าพวกมันมองหน้ากันเพื่อหาอะไรจึงเดินไปหาไอ้พงษ์
“บอกที่อยู่ไอ้แก้วมากูจะไปหาเอง แล้วมึงอยากกัดกับใครก็เชิญ” ฝิ่นเอ่ยปาก
แต่มันไม่สน
...โว๊ย! ทำไมต้องมาง้อมันด้วยวะ
“มึงให้กูมาเพื่อให้ไอ้พงษ์มันดูถูกกูเหรอ” พอเข้าไปใกล้จึงเห็นหน้าคนที่เถียงกับไอ้พงษ์ลาง ๆ แต่จำเขาได้ มันคือไอ้คนที่เจอที่บ้านไอ้ดิวเมื่อตอนหัวค่ำ และมันยังไม่ยอม
“ครั้งนี้กูให้พี่แชมป์ กูไม่คุยแล้ว”
“พวกมึง๓Tฟังนะ รุ่นพี่จบไปแล้วก็คือจบไป ไม่ได้สำคัญอะไรกับพวกมึงนักหนาหรอก กูไม่ได้ให้พวกมึงลามปามแต่ถ้าใครให้พวกนั้นสำคัญกว่าประธานคนปัจจุบัน เวลามีเรื่องก็ไปตามรุ่นพี่โน่นแล้วกูจะไม่ยุ่งเลย ต่อไปเอาตามนี้” ไอ้แชมป์สั่งสอนคนของสายมัน
“สามสิบ... เหี้ยเอ้ย!เท่าไหร่แล้ววะแสน”
“สามสิบห้า” ไอ้แสนตอบห้วน ๆ เขาไม่รู้มันนับอะไรไร้สาระตอนนี้
“กูรอไม่ได้แล้วนะ!”
“รอไม่ได้? แล้วมึงทำอะไรได้” มันมองหน้าเขาอย่างที่เขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้แล้วเดินเลยเขาไป
“ทุกคนกำลังทำเต็มที่” พี่ไม้แตะไหล่พูดบอก เขากัดฟันพยักหน้าจำต้องเข้าใจแล้วมาเดินอยู่กลุ่มหน้า ๆ พร้อมกับพวกเทคโนT
“ดอกอะไรวะหอมว่ะ” ไอ้แสน
“ดอกลดาวัลย์” ไอ้พงษ์ตอบ “สามสิบห้า สามสิบหก สามสิบเจ็ด สามสิบแปด สามสิบเก้า สี่สิบ”
หอมแต่รก เครือลดาวัลย์พุ่มหนาเต็มกำแพงยิ่งเพิ่มความมืดทึบ ความวังเวงให้กับที่นี่เข้าไปอีก
“รีบเดินให้พ้น ๆ เถอะกูไม่ชอบดอกไม้” ไอ้ประธาน ๙T
“อืม หอมเย็น ๆ ถึงว่าไอ้แก้วชอบที่นี่มาก” ไอ้ภู
“เอาไปปลูกที่บ้านโซ่ก็ได้นะ”
“ไม่
“ลดาวัลย์ ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยว่ะ” ไอ้แสนยังขี้สงสัยไม่หยุดในขณะที่เขาจะประสาทเสียอยู่แล้ว
“ชื่อแม่ไอ้แก้ว” ไอ้พงษ์เหมือนแค่บอกปัด ๆ แล้วบ่นอะไรของมันต่อ
“เฮ้ย! ผมขอโทษครับผมเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก” ไอ้แสนถึงกับยกมือไหว้ปลก ๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้คือแม่ไอ้แก้วตายไปแล้ว...ฝิ่นมองกำแพงลดาวัลย์ที่สูงเกือบเท่าต้นมะพร้าวและยาวไปสุดสายตาที่พอมองเห็นจากความมืดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องปลูกให้มันรกขนาดนี้
ตัวตนของไอ้แก้วต้องใช้เวลาเพื่อจะเข้าใจจริง ๆ
“สี่สิบเอ็ด สี่สิบสอง สี่สิบสาม สี่สิบสี่ เอาล่ะ กูท่องตั้งแต่ขึ้นรถผิดอีกก็ไม่ใช่กูแล้วล่ะ”
หลังกำแพงลดาวัลย์
บ้านหลังเล็กริมลำธารของไอ้แก้ว ที่ ๆ ไม่มันเคยเอ่ยถึงเมื่ออยู่กับเขา โลกอีกใบของมันที่เขาไม่เคยรู้จัก
คำพูดจากปากไอ้พงษ์ ทั้งจากสถานที่ตั้งก็คาดว่าคงมีความสำคัญกับมันมาก แล้วจะพาไอ้ดิวมาที่นี่เหรอ?
“พี่ฝิ่นมีแสงไฟ” เขามองตามมือไอ้โจ้ที่ชี้บอกในทันทีพร้อมกับขาที่ก้าวเดินอย่างทันใจ
“แก้ว! /ไอ้แก้ว!” ทุกเสียงตะโกนแข่งกันรียกชื่อมันแต่เมื่อวิ่งผ่านประตูหน้าบ้านที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาข้างในก็เห็นเพียงตะเกียงที่ตั้งอยู่กับพื้นไม้ และ...ความเงียบ
ฝิ่นกับพงษ์ก้าวเดินช้า ๆ ด้วยความลังเล ไปที่เตียงนอนซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว มีบางสิ่งเรียกให้พวกเขาเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเพื่อให้แสงไฟจากตะเกียงที่ส่องสว่างอยู่ข้างเตียงนั้นช่วยให้เห็นชัด ๆ ว่ามันคืออะไร
“เลือดกำเดา?” ไอ้ภูที่ตามมาติด ๆ มองหน้าเขาที มองหน้าไอ้พงษ์ทีแล้วหยิบเสื้อนักศึกษาที่ถูกทิ้งอยู่บนเตียงยกขึ้นกาง
แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของไอ้แก้ว
คราบเลือดตามผ้าคลุมที่ยับย่น ไม่ใช่หยดหรือสองหยุดแต่มันเปื้อนป่ายไปทั่วเตียง หากว่ามันคือเลือดกำเดาเจ้าตัวคงไม่สามารถใช้จมูกหายใจได้อีกแล้ว ถ้าว่าเป็นจมูกแตกหักน่าจะใกล้เคียงมากกว่า แต่ใกล้เคียงกว่านั้นคงเป็นร่องรอยของการต่อสู้...
“โอ๊ะ เหี้ย ๆ” ไอ้แสนวิ่งผ่านเตียงไป คาดว่ามันน่าจะไปดูที่ห้องน้ำแต่ดันล้มโครมซะก่อน “เฮ้ย! มีคนอยู่ตรงนี้ แก้ว! มึงรึเปล่าวะ”
เขาหยุดความคิดรีบวิ่งอ้อมเตียงไปอีกฝั่งที่ไอ้แสนกำลังคลานไปหาร่างที่นอนคู้อยู่นั่น แต่ไม่ทันไอ้พงษ์ที่หยิบตะเกียงมาส่องทุกคนถึงกับต้องชะงักหยุดไปตาม ๆ กัน
“ไอ้ดิว/ดิว/พะ พี่ดิว...”
“ไอ้เหี้ย!ไอ้แก้วอยู่ไหน” ฝิ่นก้าวฉับไปหาไอ้คนที่นอนไม่รู้เรื่องด้วยความโกรธ เขาใช้เท้าเขี่ยตัวที่เหลือแต่กางเกงยีนส์สวมใส่ให้มันพลิกกลับมาทางเขาก่อนจะหยุดปลายเท้าที่ใบหน้าของมัน “เดี๋ยว” ฝิ่นเอ่ยปากห้ามไอ้ภูที่ง้างเท้าเตรียมเตะ
ใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวลงมายันไหปลาร้าของไอ้ดิว และเขาเพิ่งเห็นเศษแจกันที่แตกเกลื่อนอยู่รอบตัวมันกับใต้ฝ่าเท้าเขา
“แจกัน...กู” ไอ้พงษ์พูดเสียงเบา “ไปเถอะ” แล้วหันมาชวนเขาก่อนที่มันจะเดินนำหน้าออกไปนอกบ้าน
ต้องยอมรับว่ามันคงรู้อะไรมากกว่าที่เขารู้จริง ๆ
“ภูมึงรอที่นี่” ไอ้พงษ์หันกลับไปบอกคนที่กำลังตามหลัง
“ไม่”
“จัดการไอ้ดิวรอกู”
“กูอยากหาไอ้แก้ว ...แต่...พวกมึงรับปากว่าจะหาไอ้แก้วเจอใช่ไหม?”
“มึงไม่น่าถาม” ไอ้พงษ์ตอบ ไอ้ภูจึงหันมามองหน้าเขา เขาพยักหน้าให้
“งั้นก็ได้”
ทิ้งคน๙Tบางส่วนไว้ในบ้านเพื่อจัดการกับไอ้ดิวให้ฟื้น
ฝิ่นกับพวก๕Xตัดสินใจเดินตามไอ้พงษ์พร้อมพวก๓Tโดยไม่ซักไซ้อะไร
“คุณน้าครับ คุ้มครองน้องรอผมด้วยนะครับ” มันพนมมือพูดกับความมืด “พี่แชมป์ไฟฉายเหลือรึเปล่า” มันถามพี่มัน
“สองอัน”
“อืม ฝิ่น...” เขารอฟังอย่างใจจดใจจ่อเมื่อสีหน้าไอ้พงษ์เริ่มซีดไปตั้งแต่เห็นสภาพบ้านและสภาพไอ้ดิว “กูคิดว่าไอ้แก้วจะฆ่าตัวตาย...ในน้ำ” มันบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง
...
เพราะอะไร?
...
จะอ้าปากถามแต่กลับเค้นเสียงออกมาไม่ไหว...
...
“ตามสิ! เริ่มจากไหน ตรงนี้เลยใช่ไหม?” พี่ไม้ใช้ความมีสติของตัวเองเรียกสติเขา
ใช่ เขาไม่ควรมืดตามท้องฟ้าในขณะนี้
“พี่แชมป์เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะมีสะพานข้ามไปอีกฝั่ง ฝากด้วยนะ” ไอ้แชมป์รับปากแล้วแยกคนออกไป “ตรงนี้น้ำลึกมาก”
“ข้ามไปฝั่งโน้นได้ไหม?” เขาถามเมื่อต้องเริ่มต้นการค้นหา
“ได้ แต่ต้องเดินลงไปอีกกิโลฯ”
“จะลึกสักแค่ไหนเชียว งั้นเริ่มจากตรงนี้” ฝิ่นมองหน้าพงษ์พลางแกะผ้าพันแผลที่หัวออก
“พี่ฝิ่น” ไอ้โจ้ร้องทักฝิ่นเลยโยนผ้าพันแผลไปที่มือมัน
เขาถอดรองเท้าผ้าใบออกลำดับถัดไปก่อนจะเดินลงไปในลำธารเบื้องหน้า
ถึงต้องสู้กับความมืดกูก็ต้องชนะเพื่อหามึงให้เจอ มึงหนีกูไม่พ้นหรอกไอ้แก้ว
“มึงแม่งบ้า” ไอ้พงษ์ด่าเขาแต่มันก็ทิ้งรองเท้าแล้วเดินตามลงมาอีกคน
ผ่านพ้นเที่ยงคืนแสงจากพระจันทร์ยังพอช่วยให้เห็นอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาต้องดำผุดดำโผล่กันก็ต้องทำ หัวที่แตกอยู่จะไม่หายก็ช่างแม่ง
“ฝิ่น ไอ้ฝิ่นอย่าดำน้ำ!” พี่ไม้เดินลุยน้ำจากอีกทางตรงมาหาเขา ฝิ่นจึงรีบเดินหนีอย่างคนหมดแรงไปหาที่ตื้น เขารู้สึกใต้ฝ่าเท้าเริ่มจะเปลี่ยนจากโคนตมเป็นเศษหินบ้างแล้ว
เด็กช่างครึ่งร้อยต้องค่อย ๆ ต้อนพื้นที่ไปเรื่อย ๆ อีกส่วนให้เดินส่องไฟฉายที่แสงสว่างเริ่มเป็นสีแดงเพราะถ่านไฟฉายใกล้หมดเต็มทีตามเลียบฝั่ง ถามไอ้พงษ์ว่ามั่นใจแค่ไหน คำตอบคือมันมั่นใจว่าไอ้แก้วจะทำอย่างนี้แต่ไม่มั่นใจว่าเราจะเจอไอ้แก้วในสภาพไหน ถามเยอะก็ไม่ได้ สีหน้ามันดูไม่ไหวจะตอบอะไรแล้ว ทางเดียวคือต้องทำอย่างนี้ วิธีการตามหามันช่างล่าช้าอย่างที่เขาไม่เคยรอได้ แต่ครั้งนี้ต่างกันที่ไม่ใช่เสียเวลาแม้การแช่น้ำเย็น ๆ จะปาไปชั่วโมงกว่าก็ตาม
“ไอ้แก้ว! แก้ว” เสียงตะโกนก้องไปทั่วผืนป่าผืนน้ำทั้งจากชุดนี้และจากพวกไอ้แชมป์ที่กำลังไล่ตามลงมาเผื่อเจ้าของชื่อจะตอบกลับมาบ้าง
ไม่เคยต้องหวังอะไรเท่านี้มาก่อน แต่ก็จะหวัง ช่วงเวลาที่ผ่านมา...เขาเข้าใจการสูญเสียเป็นอย่างดี
แม้เข้าใจแต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียใครไปอีกเด็ดขาด
“แก้ว!! มึงอยู่ไหน” ทิ้งกูครั้งเดียวมันมากไปนะมึงรู้รึเปล่า
ครั้งนี้เขาไม่ยอมอีกแน่ ออกมาเดี๋ยวนี้ ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย! ถ้ามึงทิ้งกูมึงจะเสียอะไรไปมึงรู้ไหม การรักใครสักคนแล้วได้รักตอบมันเป็นยังไง ...มึงไม่อยากรู้ ไม่อยากได้ ไม่อยากรู้สึกดีแล้วรึไง
มึงต้องอยากรู้สิ!
อย่าหนีอีกเลย อย่าหนีเขาอีกเลย เขาไม่ถือโทษโกรธไอ้พงษ์แล้วก็ได้ เขาจะไม่เก็บไว้อีกแล้ว จะไม่ปิดบังความรู้สึกอีก ถ้าให้รู้ว่ารักแล้วกูไม่ต้องหลับตาตามหามึงอย่างนี้ ถึงต้องเสียหมาก็ยอมหมดเลย
“ไอ้แก้ว! พงษ์ ๆ ทางนี้!”
ฝิ่นกวักน้ำใส่หน้าเพื่อกันคนอื่นจะรู้เห็นความรู้สึกที่ไหลผ่านม่านตาเมื่อครู่แล้วรีบเดินฝ่าธารน้ำไปทางแสงไฟฉายที่ส่องล็อคเป้าหมายไว้ให้ด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
ร่างหนึ่งนอนคว่ำหน้านิ่งที่โขดหินซึ่งติดกับรากของต้นไม้ริมตลิ่งนั่น ไอ้พงษ์ขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโขดหิน ในขณะที่เขายืนแช่น้ำมองร่างที่ยังนิ่งอยู่นั่นอย่างหวั่นใจ
เมื่อตั้งหลักไหวแล้วจึงปีนขึ้นตามไอ้พงษ์
เหลือบมองใบหน้าเครียด ๆ ของไอ้พงษ์นัยน์ตามันก็แดงกล่ำไม่ต่างกันแต่ที่ต่างคือมันกล้าที่จะจับตัวไอ้แก้วพลิกขึ้นให้พิงกับหน้าอกมันที่มันเปลี่ยนท่านั่งใหม่แล้ว ถึงได้เห็นว่าหน้าผากไอ้แก้วมีแผลสด ๆ ...หัวแตก เลือดยังไหลซึมอยู่ กับมุมปากซีดที่ยังเห็นเป็นร่องรอยว่าเคยได้เลือด ฝิ่นจึงยื่นมือไปเช็ดเลือดตรงหน้าผากให้ พร้อมนิ้วชี้สั่น ๆ ของไอ้พงษ์ที่ยื่นมาจ่อจมูกไอ้แก้ว
ฝิ่นมองลุ้นด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ อีกครั้ง
“หึ ยังหายใจ ตัวเล็ก ตัวเล็กได้ยินพี่รึเปล่า” ไอ้พงษ์ยิ้มดีใจกระซิบเรียกเจ้าตัว
ฟู่วว...เขาเองก็โล่งอกรีบจับมือไอ้แก้วมาบีบนวด แต่พี่ไม้ก็กำลังเอาผ้าที่เขาฝากไอ้โจ้ไว้มาเช็ดแผลให้เขาอีกทอด
ถึงตอนนี้ฝิ่นรู้แล้วว่าความขี้ขลาดของเขายังไม่หายไป ไม่ต่างจากตอนที่เฝ้าไอ้เป้งหน้าห้อง ไอ ซี ยู เลย
“พงษ์...”
“อยู่นี่ กูอยู่นี่” มันกอดไอ้แก้วจากด้านหลังไว้แน่น
“เหนื่อย...” เสียงเบาเปล่งออกมาทั้งตายังหลับอยู่
“อยากเล่นน้ำทำไมไม่บอก ไอ้ฝิ่นเป็นห่วงน้องมากรู้รึเปล่า” เขามองหน้าไอ้พงษ์ที่น้ำตามันกำลังไหลอย่างไม่อายใคร
ไม่มีอะไรตอบกลับมา ...มันคง...เหนื่อยมาก
แต่อยู่ ๆ ไอ้แก้วกลับบีบที่มือเขาแทน
แค่นี้ แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบใจ ...ขอบใจที่ไม่ทิ้งกูไปจริง ๆ
“ฝิ่น...”
“หืม” เขารีบกลืนก้อนแข็ง ๆ ในลำคอแล้วขานรับทันควันก่อนที่ไอ้แก้วจะลืมตาขึ้นมาสบสายตากันพอดี ไอ้พงษ์เห็นจึงได้ปล่อยแขนมันออกจากรอบอกไอ้แก้ว
“แผลมึง...” หึ ไอ้ฝิ่นยิ้มทั้งน้ำตาที่บังคับให้ซ่อนอยู่ในที่ ๆ มันควรอยู่ไม่พ้น
ขายหน้าก็ช่างสิ เขาดีใจ!
คนเพิ่งฟื้นขยับตัวนั่งโดยไม่ต้องอาศัยเพื่อน มันมองแผลเขาอย่างกับเจ็บปวดซะมากมาย แล้วหน้าผากตัวเองล่ะ ไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง
“เจ็บมากไหม?” เขาถาม ยื่นมือไปแตะมุมปากคนตรงหน้าก่อนจะเลยขึ้นไปที่แผลตรงหน้าผากอย่างไม่สนใจสิ่งเหนียวเหนอะบนหัวตัวเองที่พี่ไม้เช็ดยังไงมันก็ไม่แห้ง
“เจ็บ...ที่สุดในโลกเลย”
เขายิ้ม ยิ้มที่ไม่ได้สาแก่ใจกับความเจ็บปวดของคน ๆ นี้
ไอ้แก้วมองหน้าเขาซื่อก่อนที่เขาจะดึงตัวมันเข้ามากอดแล้วจับแขนเรียวเล็กของเจ้าตัวมาพักไว้รอบเอวเขา
ถึงเวลาที่เขาจะได้ทำตามที่เคยบอกตัวเองสักที
..........................................
โอ๊ย ความเลี่ยนบังเกิด ว่าจะอัพตั้งนานแล้วก็ต่อไม่สมบูรณ์สักที คนเขียนทำงานทั้งกลางวันกลางคืนเลยทั้งสัปดาห์ด้วย ฮึก ฮึกY^Y
คนอ่านคงมีเรื่องคาใจกับหลาย ๆ อย่าง ไม่เคยคิดเหมือนกันค่ะว่าเราจะมีปมเยอะขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ
//นางหนีไปปิดบัญชีต่อละ
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคนทุกคอมเม้นท์นะคะ กอด ๆ ^^จุ๊บเจ้าา