อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๓๘
แก้วเดินออกจากห้องน้ำในชุดนอนสีขาวครีมกางเกงขายาวเสื้อแขนสั้นมานั่งลงขอบเตียงข้างๆกับพงษ์ที่ยังอยู่ในชุดเดิม
“ดีขึ้นรึยัง” มันถามออกมานี่ไม่ได้ดูหน้าเขาเลยใช่ไหม?
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทั้งที่ทุกอย่างมันไปได้สวยแล้ว แต่ทำไมยัง...” เขามองหน้าไอ้ตัวต้นเหตุพลางบ่นหน้าเครียด
“อะไรที่ว่าสวย?”
“ก็... ไม่คุยกับมึงแล้ว” แก้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพลางล้มตัวนอนทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมโปง
“ขอบใจ แต่กูอยากให้มึงอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อกูนั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
“มึงจะบ้ารึไง กูทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” เขาโผล่หน้าออกจากผ้าห่มมาโวยไอ้พงษ์ ที่ชอบพูดอะไรเห็นแก่ตัว เออ เห็นแก่ตัวไอ้แก้วนี่แหละ
นั่นเป็นเรื่องที่เขาโดนมันสบประมาทมาตลอด แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆได้ล่ะ อะไรที่ทำแล้วเป็นการช่วยลดความผิดพงษ์ได้ เขาก็ทำทั้งนั้นแหละ แต่...มันไม่สำเร็จเท่านั้นเอง
“เฮ้อ ก็เลยให้กูหนีแล้วมึงจะจัดการเองน่ะนะ โคตรเท่เลยมึงเนี่ย”
“พงษ์!จะประชดทำไม?”
“เออๆ ไม่พูดแล้วๆ”
“แล้วมึงกลับมาทำไม เพิ่งไปได้เดือนกว่าเองนะ” เขาลุกพรวดนั่ง ตั้งหน้าตั้งตาคุยกับมันอย่างจริงจัง
“...ก็เพราะใครล่ะ?” พงษ์ยิ้มน้อยๆจับศีรษะแก้วขยี้เส้นผมเขาจนยุ่ง แต่สีหน้าเหมือนกับกลุ้มใจอะไรอยู่
“...กู ...เหรอ?” เขาถามมันเสียงขาดๆ อย่างไม่แน่ใจ
แต่...จะมีเหตุผลอะไรนอกจากนี้ได้ ในเมื่อกลับมาแล้วมันไปหาเขาที่บ้านไอ้ฝิ่นเลย มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
“ตัวเล็ก ต่อไปจะเป็นยังไงช่างมันนะ กูเลือกที่จะผิดสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเอง แต่ก็ช่างแม่ง ไม่เห็นต้องสนใจใครเลยในเมื่อไม่มีใครยอมรับในตัวเราสักคน ทำไมกูจะต้องทำเพื่อคนอื่นด้วยวะ”
“พูดเรื่องอะไร?”
“...ก่อนไปกูรับปากพ่อกับแม่ไว้ว่าจะไม่ติดต่อกับมึงจนกว่ากูจะเรียนจบ” ได้ฟังประโยคนี้จากพงษ์แล้วแก้วก็หงอยลงไปทันตา เขาก้มหน้ารับฟังอย่างไม่อยากจะฟัง “แต่กูทำได้ที่ไหนมึงก็รู้”
ก็แหงล่ะ พ่อแม่ไอ้พงษ์คิดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกเขาเสียผู้เสียคนหนิ
“หึ แต่มึงก็ทิ้งกู” ว่าแต่ไอ้พงษ์ตัวเขาเองก็ไม่พ้นประชดมันเหมือนกัน
บอกกันหน่อยก็ได้ ว่าจะทำอะไรยังไง นี่เล่นตัดสินใจไปคนเดียวหมด เขาก็เสียความรู้สึกนิดๆนี่หว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น ...ไอ้ขวัญมันรู้ว่าเรายังติดต่อกันอยู่น่ะสิ เหี้ย กูยังเคืองไม่หายต้องเป็นวันที่มันรับโทรศัพท์มึงแน่เลย เออ แล้วมือถือมึงไปอยู่กับมันได้ไง” พี่ขวัญ ...อ๋อ อ้อ วันที่เขาไปผับกับพี่ขวัญแล้วทำโทรศัพท์มือถือหล่นไว้ในรถพี่นั่นเอง
แต่วันนั้นก็มีอีกเรื่องที่เขาจำไม่เคยลืม
“เรื่องมันยาว” แก้วตอบพลางหรุบสายตาลงต่ำ
“เรื่องไอ้เหี้ย๕xด้วย”
“เอ่อ...มันยาวจริงๆนะพูดไปสามวันเจ็ดวันก็ไม่จบหรอก” แก้วลุกลี้ลุกลนบอก
“...งั้น เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน แล้วจะกลับมานอนฟังนะ”
“อ๊ะ เดี๋ยว...เฮ้ย” จะร้องบอกว่ายังไม่พร้อมเล่าเขาอยากรู้เรื่องของมันก่อนแต่มันดันวิ่งฉิวออกจากห้องไปจนกระทั่งได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูเสียงดังจากห้องข้างๆนั่นแหละ
บางเรื่องที่เราทำ เราไม่ต้องบอกเจ้าตัวก็ได้ถูกไหม? ถ้าคิดว่าเราทำคนเดียวมันจบง่ายกว่า และอีกคนจะรู้สึกด้วยน้อยกว่า จนเกิดเป็นความลับเล็กๆขึ้นมา แต่ไม่เลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เขาทำเพื่อไอ้พงษ์ทางนี้ ไอ้พงษ์เองก็ทำเพื่อเขาอยู่ทางนั้นด้วยเหมือนกัน ถึงจะเคืองกันบ้างแต่เราสองคนก็เข้าใจกันได้ง่ายๆเพราะต่างรู้ดีไม่มีใครอีกแล้วที่อยู่ข้างเราได้นอกจากพวกเราเอง
มลทินของไอ้พงษ์ ความผิดที่เขาไม่อยากให้เพื่อนผิด จะเป็นไรไปถ้าเขาจะรับผิดชอบแทน
แต่แค่ลบล้างความผิดเท่านั้นก็คงไม่มีอะไร ถ้าหากหัวใจที่ไร้น้ำหนักมันไม่เฉไปตามแรงลมที่เพียงกระทบผิวกายเพียงชั่วครู่หากกลับโอนเอนไปได้อย่างง่ายดาย
เพราะต้องการความรัก ต้องการใครสักคนที่อยู่ข้างๆเราได้ มันก็อ่อนไหวไปตามเพียงความใกล้ชิดที่ย้อนกลับไปมองมันก็ไม่เห็นมีอะไรให้เขาได้ชุ่มชื่นหัวใจได้เลย
ทั้งคำพูดเสียดสีว่าร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการกระทำที่คอยจะเล่นงานให้เขาเจ็บตัวได้ทุกเมื่อ
แต่กลับมอบสัมผัสแทนการปลอบโยนเขาอยู่ทุกครั้ง
ฝ่ามือที่เคยกุม อ้อมกอดที่ไว้ปลอบ สัมผัสรักไปทั่วร่างกาย โดยไม่ต้องมีคำหวานเพียงสักคำ
ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ไม่เห็นมีเลย...
“ไม่...เป็นไร ใช่ไหม?” พงษ์ถามตะกุกตะกักด้วยท่าทีเป็นห่วงพร้อมกับสีหน้าเหมือนแบกอะไรไว้อยู่ของมัน
“เจ็บน่ะพงษ์ ฮึก มันเจ็บ”
ไม่พร้อมเล่าแต่แน่นอนว่าเขาเล่าให้พงษ์ฟังทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฝิ่น ในเมื่อเขาทำไม่สำเร็จ เขาก็ควรจะบอกพงษ์ให้รู้ถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง แต่กลับได้ของแถมที่ปวดใจสิ้นดี
รักมันเจ็บปวดขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่กูถอยออกมาจากชีวิตมึงแล้วแท้ๆ
ไม่สิ เขาโดนผลักไสมากกว่า ในวันที่เขาไม่มีข้อแม้สำหรับไอ้ฝิ่นอีกต่อไป ก็เหมือนกับคนไร้ประโยชน์คนนึงเท่านั้นเอง ใครจะอยากเก็บไว้ให้รกหูรกตาล่ะ
ทั้งที่เคยคิดไว้แล้วนะว่าต้องมีวันนี้เข้าสักวัน แต่เขา...ก็ยังตั้งรับไม่ทัน
“พงษ์ ...กอดได้ไหม” เขาถามด้วยความไม่กล้า ความอ่อนแอคือสิ่งที่พงษ์ไม่ชอบ แต่เขากำลังเป็น หรือเขาอาจจะอ่อนแอมาโดยตลอดแต่ไม่กล้าแสดงออกมาให้พงษ์เห็นเท่านั้นเอง เขาจึงเอ่ยปากขอ ขอสัมผัสอุ่นๆพอให้ใจเขามีแรงบ้าง
“เก่งแล้ว” และครั้งนี้พงษ์ไม่ปฏิเสธและไม่ต่อว่า กลับเอ่ยปากชมเรื่องล้มเหลวของเขาซะอย่างนั้น
แก้วโผกอดพงษ์อย่างเต็มแรง เหนื่อย ล้าเหลือเกิน พยายามมองข้ามทุกสิ่งแล้วแต่กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย คนขี้ขลาด คนไม่เอาไหน จะทำอะไรได้มากกว่าการทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างล่ะ
“ว่าแต่ ทำไมรีบกลับมา?” เขาถามบ้าง ทั้งที่หายหัวไปตั้งนานแล้วแท้ๆ
แก้วสูดน้ำมูกแล้วทำเป็นสดชื่นพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาสนใจเรื่องของพงษ์
“กูทำมึงเสียใจ...กูรู้ กูกลัวมึงคิดมากเลยรีบบินมาหา”
“พงษ์! มึงนี่นะ เฮ้อ!” กะแค่เขาเครียดไม่ถึงกับตายหรอกน่า แต่ก็นะ พงษ์มันรู้จักเขาดีนี่นา “แล้วพ่อแม่มึง?”
“อยู่โน่นกูมีคนคอยคุมความประพฤติ นี่คงโทรมารายงานแล้วมั้ง” พงษ์ตอบแล้วดันตัวเขาออกจากตัวมัน
ยังไม่หายคิดถึงเลย ยังไม่หายเจ็บด้วย...
กอดของพงษ์มันไม่ทำให้เขามีแรงขึ้นเต็มที่หรอก แต่ก็ดีกว่าไม่มีใครกอดเลย
เวลาหนาว แม้ไม่มีเสื้อแขนยาวแค่ได้เสื้อกล้ามสักตัวก็คงดีกว่าไม่ได้ใส่อะไร ถูกไหม?
เอาเถอะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น...
“แต่มึงดันไม่อยู่บ้าน ยังดีที่ไอ้ขวัญบอกกูได้บ้างแต่กว่าจะง๊างปากได้ตีนกูก็ง๊างรอแล้วเหมือนกัน” เขาพยักหน้าฟัง ถึงว่ามันจึงไปหาเขาที่บ้านไอ้ฝิ่น “มึงไม่ได้คิดมากเรื่องกูใช่ไหม?”
“น้อยไปสิ!” เขาต่อว่ามันแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง “แล้วพี่ดิว” นึกขึ้นได้เลยถามพงษ์ต่อ
“พี่ดิวทำไม? กูไม่ได้คุยกับเขาเลยตั้งแต่ไป”
“เปล่า ไม่ทำไมหรอก” แล้วเอาไอ้พงษ์มาข่มเขาตั้งนาน เฮ้อ พี่ดิวนี่นะ รักของพี่เขาคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่เรียนรู้มัน
แต่ป่านนี้พี่ดิวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ตัวใครตัวมันนะพี่ อย่างที่บอกลำพังเขาเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
“จะสว่างอยู่ละ แล้วจะตื่นกี่โมง” พงษ์ถามพลางดึงผ้าห่มขึ้นให้ดีๆ
“ขอนอนทั้งวันเลยได้ไหม?”
“ได้ ถ้าไม่มีใครมารบกวนเรานะ”
แก้วมองฝ้าเพดานเหม่อๆตาลอยๆ เพดานมีอยู่แค่นี้ แต่แววตาของแก้วอย่างกับมองทะลุฝ้าเข้าไปอีก
เฮ้อ ...ใต้ฝ้าก็คงจะมีแต่ความมืด
“พี่...”
“หืม?”
“นอนด้วยกันไหม?”
“หึ ไปหัดอ้อนมาจากหนะ...” พงษ์ชะงักคำพูดทั้งที่ยังพูดไม่จบคำ
เขาข้องใจว่ามันจะพูดอะไรแต่มันก็เงียบไปเฉยๆ
“แล้วเรื่องนี้จะจบยังไง เราหนีไปทั้งคู่เลยดีไหม?” เขาไม่เหลือแรงแล้ว ไม่อยากทำอะไรแล้ว ใครอยากจะตราหน้าว่าเราทั้งคู่มีส่วนทำให้เพื่อนมันตายก็ช่างมันสิ
“ที่กูไปเพราะกูคิดว่าจบแล้ว แต่ถ้ายังไม่จบกูก็จะเผชิญหน้ากับมันเอง จะสักเท่าไหร่เชียวกะแค่คนตายคนเดียว”
“พี่!”
“ให้เรียกครั้งเดียว” เฮอะ ตัวเองเป็นพี่แต่กลับไม่อยากให้เขาเรียกพี่ แปลกคน “กูรู้ มึงไม่ต้องพูดหรอก” รู้ทุกเรื่องแต่ยังพูดอยู่นั่น
ชีวิตพงษ์เอาตามจริงมีต้นทุนสูงกว่าเด็กช่างคนอื่นๆอยู่แล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกชีวิตใครนี่นา
และคำพูดพวกนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของพงษ์ด้วย
“ถ้าแลกกัน เรื่องคงจบง่ายกว่านี้ใช่ไหม?” เขาพึมพำเบาๆ
“แลกได้ แต่ต้องไม่ใช่มึง และไม่ใช่กู” มันพูดอย่างไม่สนใจอะไรเลย
“จะให้คนอื่นมาตายแทนกูทำไม่ได้หรอก”
“ไม่ ถ้าคนผิดมันคือกูคนเดียว จะต้องไม่มีใครตาย” นี่ขนาดมันรู้ตัวว่าผิดยังพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเนี่ยนะ
“แล้วมันจะยอมเหรอ” พนันกันได้เลยว่าไม่ ไม่มีใครตายน่ะอาจจะใช่ แต่แค่ในวันที่ไม่มีพงษ์นะ
แต่วันนี้ไอ้พงษ์ดันเสนอหน้ามาอยู่ใกล้ๆมัน คิดเหรอว่ามันจะปล่อย
“แก้ว เพื่อนมันทำมึงก่อน แล้วตอนนี้ตัวมันก็กำลังทำร้ายมึงอยู่ มึงคิดว่ากูจะยอมไหม?”
“พงษ์!” เขาต้องลุกพรวดมาอีกทีเพื่อมองหน้าพงษ์อย่างตำหนิ
“แต่ทั้งหมดก็เพราะกูดูแลมึงไม่ดี ถึงจะอย่างนั้นแต่ถ้ากูรู้ กูก็จะเอาคืน”
“มันเป็นใคร ทำอะไรกูนักหนา ทำไมมึงต้องเล่นแรงขนาดนั้นด้วย กูเคยโดนตบฉ็อปมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทำไมมึงต้องฆ่าเขา” เขาโวย
“กูมีเหตุผลของกู” เหตุผลๆที่ไม่บอกอะไรเขาเลย ทั้งที่คนพวกนั้นก็พูดกล่อมเขาทุกวันว่าเขาคือต้นเหตุ
“กูไม่สน ยังไงวันนี้กูต้องรู้ให้ได้”
“อย่าเอาแต่ใจ”
“มึงต่างหากที่เอาแต่ใจ”
“ตัวเล็ก...” พงษ์เรียกเขาเสียงอ่อย คงอ่อนอกอ่อนใจ แต่เขาไม่ยอมหรอก แก้วมองหน้าพงษ์อย่างคาดคั้น “เวลามีคนมาดักเอาฉ็อปมึง มึงทำยังไง”
“ก็ถอดให้เลย อยากได้ก็เอาไป กูซื้อใส่ใหม่ได้”
“นั่นไม่ใช่ให้มึงไม่รักศักดิ์ศรี แต่กูกลัวว่ามึงจะโดนคนอื่นทำร้าย กูถึงได้ให้มึงยอม” รู้แล้ว...
“กูก็ไม่ได้คิดอะไร ศักดิ์ศรีกูไม่ได้อยู่ที่ฉ็อปสถาบัน” แก้วพูดหน้ามุ่ย
“แล้วใครที่เอามีดจี้ฉ็อปมึงจนเอวได้แผล?” พงษ์พูดพลางดึงชายเสื้อเขาขึ้นแต่เขาก็ปัดลงทันทีเหมือนกัน
“...นอกจากโดนมีดเฉี่ยวบ้าง กูก็เคยโดนตบจนเลือกกบปาก” ที่แน่ๆไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
“แล้วอะไรอีก”
“ก็ ปกติไม่ใช่เหรอ กูไม่ได้อะไรอยู่แล้ว มึงยังไม่เห็นว่าอะไรเลย”
“กูทำแล้วกูจะบอกมึงทำไม?” พงษ์พูดหน้าตาเฉย มันขยับตัวพิงหัวเตียง กอดอก นั่งเหยียดขาตรง
“เฮ้ย นี่มึง”
“เออ กูเอาคืนแม่งหมดแหละแต่ไม่ถึงกับตาย” ...เฮ้อ แก้วถอนหายใจ หลังงอห่อไหล่ เวรกรรม
“แล้ว...เพื่อนไอ้ฝิ่น?”
“ก็...ถึงคราวซวย”
“มึงพูดอะไรง่ายๆ ถามจริงเถอะมึงรู้สึกผิดสักนิดไหมพงษ์ มึงรู้ไหมกูหลับไม่เต็มตาสักคืน มันแย่ มึงเข้าใจไหม กูรู้สึกแย่มาก ทั้งยังรู้สึกผิดที่ต้องมารู้มาเห็นความรู้สึกของคนฝั่งนั้น กูโคตรอยากจะตายๆไปซะทุกคนจะได้พอใจแล้วเลิกแล้วต่อกันสักที” เขาต่อว่ามันและตัวเองรัวด้วยความอึดอัดใจ ถ้าหาที่จบกันไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องมีสักทาง เริ่มที่ชีวิตก็เอาเป็นว่าจบที่ชีวิตไปเลยแล้วกัน
“นอนนะ ...แล้วก็นอนห้องใครห้องมัน โตแล้วไม่ใช่เด็กที่ต้องมาโอ๋กันตลอด”
“..............” เขามองพงษ์ที่ลุกออกจากเตียงตาขวางที่ไม่คิดจะพูดอะไรให้เขาเย็นลงเลยกลับตัดปัญหากันดื้อๆอย่างนี้
“...ขอโทษ” มันบอกเขาเสียงละห้อย
“ไม่ต้อง” เขาหันหน้ามองตรงไม่ยอมมองหน้าพงษ์อีก
“กูทำทั้งที่กูรู้ กูขอโทษ แต่กูอยู่ตรงนี้แล้ว มึงไม่ต้องกังวลอะไร ทั้งเรื่องของกู ทั้งเรื่องของมึง จะไม่มีใครทำร้ายเราได้อีก”
เจ้าตัวนั่งลงอีกครั้งจับไหล่เขาทั้งสองข้างให้หันไปมองหน้ามัน แววตาที่แสนเศร้าหากแต่ก็ยังยิ้มให้และขยี้เส้นผมเขาเบาๆก่อนที่มันจะเดินไปปิดไฟและออกจากห้องไป
ทุกคืนต้องมีคนนอนกอดนี่นา แต่วันนี้ต้องนอนคนเดียวทั้งที่จิตใจยังไม่สมประกอบอย่างนี้เนี่ยนะ
ไหวไหมไอ้แก้ว? เฮ้อ...
แก้วลุกนั่งมองไปยังประตูห้องซึ่งถูกปิดสนิท ความมืดมิดกับสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเขาคนเดียว
“อยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยก็ไม่ได้” เขาต่อว่าพงษ์ทั้งที่เจ้าตัวคงไม่ได้ยินด้วยหรอก อยากให้เขาเข้มแข็งแต่พงษ์กลับทิ้งให้เขาเผชิญมันด้วยตัวเอง
แล้วเขาจะผ่านมันไปได้ยังไงให้ใจไม่เจ็บล่ะทีนี้
แก้วก้มหน้าซุกลงกับเข่าที่ชันขึ้นมาด้วยความเหงาใจ ทั้งที่อีกคนก็อยู่ห้องติดกันแค่นี้ แต่มันก็เหงามันก็เคว้ง เพราะขาดอีกคน
...........................
พงษ์แกบอกอะไรคนอ่านได้บ้างเนี่ย! แฮ่ โทษมันจนกว่าจะถึงตอนที่มันแสดงเอง กร๊ากกก
ช้า แว๊กกกก ช้าก็คือช้านะคะ ไม่มีข้อแก้ตัวแต่จะบอกว่าพิมพ์ไม่ไหวจริงๆ (นี่ไม่ได้แก้ตัวเลย?) ฮ่าๆๆ
คนอ่านรู้จัก กรดเกลือไหมคะ? คนเขียนไม่รู้จักอะ
แม่บ้านคนใหม่ยกมาให้ดูถามว่ามันคืออะไร ข้างๆแกลอนเขียนว่า กรดเกลือ แต่เราไม่รู้จักก็เลยเปิดฝาแล้วสูดเข้าเต็มปอด เฮือกกก หงายเงิบเลย
ตกกลางคืนก็เพลียแสนเพลีย น้ำมูกเริ่มไหล แต่ก็คิดว่าคงเปิดพัดลมแรงไป ตอนเช้ามาน้ำมูกไหลทั้งวัน ปวดหัว คันคอ จะอาเจียน ง่วงนอนมาก นั่งรถกลับบ้านก็จะไม่ไหวจะหลับมิหลับแหล่ ปวดหัวจนอยากร้องไห้ (คิดว่าร้องแล้วมันจะหาย?) จนต้องโทรตามน้องให้รีบกลับบ้านมาพาไปหาหมอด่วน (ไม่สบายค่อนเดือนฉันยังไม่พึ่งหมอเลย) คุณหมอก็นะ ให้อ้าปาก เอาเครื่องมือแหย่ปาก แหย่จมูก ถามว่ามีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เป็นภูมิแพ้ไหม ก็ตอบว่าไม่เป็น หมอบอก ครับ เป็นแล้วล่ะ ป๊าดดด หมอพูดคล้ายๆยินดีด้วยคุณเป็นภูมิแพ้แล้ว เย้ เอิ่ม คิดไปโน่น ฮ่าๆๆ
ก็คือ ถ้าไหวซีซั่นก็พิมพ์ได้เรื่อยๆอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ไหวก็พูดกันตรงๆว่าไม่ไหวนะคะ ขอโทษด้วยเลยลงช้าเลย แถมลดเวลตัวเองอีก แง๊ สองตอนเอง ตอนต่อไปขอดูอาการตัวเองก่อนนะคะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงกันนะแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ เค้ากินยาอยู่เดี๋ยวก็หายแล้ว
ปล.เกร็ดทอล์ควันนี้ อย่าริดมกรดเกลือกันนะจ๊ะ (จ๊ากก ใครเขาจะโง่เหมือนแก!!)
กรดเกลือคือส่วนผสมของน้ำยาขัดห้องน้ำ ซึ่งกลิ่นแรงกว่าน้ำยาขัดห้องน้ำ มากกกกกก มันสามารถทำลายเยื่อจมูกจนทำให้คนเขียนได้โรคเพิ่มมาอีกโรคแหนะ เย้! -*-
อ้อ ถ้าเผลอชิมนิดเดียวนี่ตายได้เลยนะ อันตรายมาก
ขอบคุณทุกคนอ่านขอบคุณทุกคอมเม้นท์จ้า ^^ กอดๆจุ๊บๆเน้อออ