]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 190047 ครั้ง)

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป
 :oni2: :oni2: :oni2:

ขอบคุณที่มาต่อนะครับ รอตอนต่อไปอยู่
ลุ้นมากมายครับ

 :a12: :a12: :a12:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมพี่วินไม่เจื๋อนไอ้พี่จ๊อบให้รู้แล้วรู้รอดไปล่ะ เก็บมันเอาไว้ทำไมอ่ะ o12

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ว่าแต่ซันหายไปไหนแล้วอ่ะ ไม่ได้ข่าวคราวนานแล้ว

จะจบแล้วเหรอ ไม่อยากให้จบเลย

มีภาคต่ออีกหรือเปล่าคะ

+ 1 ให้คนแต่งค่ะ

PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
เมฆไม่อยากรู้แต่คนอ่านอยากรู้ใจจะขาดแย้ว..... :serius2:

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
เขียนได้ตื่นเต้นมากค่ะ
ลุ้นตอนต่อไปอยู่นะคะน้องต้น o13

niph

  • บุคคลทั่วไป
มันเปลี่ยนแนวไปตอนไหนหว่า ตอนแรกมันก็หวานอยู่นี่นา
ดูเหมือนมันชักจะซับซ้อนเข้าทุกที

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบสามสู่ปลายทางสุดท้าย


“พี่พลาดเองที่ไม่รู้ตัวว่ามันแอบตามพวกเราอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว พี่เองก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันเองก็รู้แล้วว่าพี่คือใครและมาเกี่ยวข้องกับเมฆได้ยังไง แต่พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะใช้วิธีนี้พาตัวเมฆมา นี่ก็เลยทำให้พี่คิดได้ว่า ถ้าเมฆกับพี่ไม่ได้แยกจากกันเมื่อตอนบ่ายล่ะก็ มันก็คงใช้ลูกน้องมันมาดึงความสนใจพี่ออกไปจากเมฆ และวางยาในอาหารแล้วค่อยลากเมฆขึ้นห้อง หรือไม่ก็พาไปที่อื่นอีกทีแน่ แต่นี่พอมันเห็นว่าเมฆแยกกลับบ้านไป มันก็เลยใช้วิธีไปดึงเมฆมาตรงๆเลย พยายามจะล่อให้พี่คิดว่ามันพาเมฆไปที่อื่นแต่จริงๆแล้วก็พากลับมาที่เดิมเพื่อที่จะทำให้พี่ขาดการติดต่อจากเมฆ วิธีการต่างกัน แต่ผลลัพธ์แทบจะไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือมันก็คงจะใช้โอกาสจากสิ่งที่มันได้กลับมาแบล็คเมล์เมฆหรือคนอื่นๆอีกต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะเบื่อแน่ๆ” พี่วินเริ่มอธิบายหลังจากที่พี่วินขับรถพาเราสองคนออกมาจากโรงแรมแห่งนั้นแล้ว “โชคดีนะที่เมฆทำอย่างที่พี่เคยบอกเอาไว้ และคอยบอกให้พี่รู้สถานการณ์ของเมฆอยู่ตลอดเวลา”

ผมยังคงไม่สามารถคิดอะไรให้เป็นปกติได้ดีนัก นี่ถ้าหากว่าพี่วินมาช้ากว่านี้ไปอีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงห้าหรือสิบนาทีเลย

“พี่วินมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ นี่ถ้าพี่มาช้ากว่านี้อีกแค่นิดเดียวล่ะก็ ผมคง.........”

“ก็อย่างที่บอก ว่าหลังจากที่พี่ได้โทรศัพท์จากเมฆพี่ก็รีบขับรถไปหาเมฆเลยโดยพี่ทิ้งให้กรณ์รอดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ เพราะพวกมันไม่มีใครรู้จักกรณ์ ตอนแรกพี่ก็เกือบจะไปหาเมฆไม่ทันเหมือนกัน แต่พอกรณ์บอกว่ามันเห็นรถของไอ้จ๊อบจอดอยู่ที่นี่และมีลูกน้องของมันคอยคุมอยู่ด้วย พี่ก็เลยมั่นใจว่าถึงยังไงมันก็ต้องพาเมฆกลับมาที่เดิมนี่แน่นอน มันคงกะทำให้พี่เขว แต่ต้องขอบใจเมฆที่เมฆมีสติมากพอและช่วยพี่ได้มาก”

“หมายความว่าพี่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอครับ”

“ทั้งใช่และก็ไม่ใช่ เพราะว่าพี่ต้องเห็นกับตาตัวเองด้วยว่าเมฆนั่งรถมากับพวกมันจริง ไม่ใช่ถูกพาไปเปลี่ยนรถเป็นคันอื่นอีก ซึ่งตอนนั้นพี่ก็หาพวกมันเจอได้ทันเวลา และหลังจากนั้น พอเมฆมาถึงที่นี่และถูกพาขึ้นไปข้างบนแล้ว ไอ้สองคนที่หิ้วเมฆขึ้นไปก็เข้าไปรอในห้องทางซ้าย ส่วนอีกสองคนคอยคุมอยู่ห้องฝั่งขวา โดยพวกมันเปิดประตูห้องอ้าเอาไว้เพื่อคอยดูว่าไม่ให้มีใครเดินผ่านไปแถวนั้นได้ ซึ่งจริงๆแล้ววันนี้ทุกห้องทางฝั่งนั้นทั้งฝั่งน่ะ ไม่มีใครแขกมาพักอยู่หรอก ไอ้จ๊อบมันล็อกเอาไว้หมด ซึ่งก็ดี เพราะทำให้พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องแขกคนอื่นๆด้วย”

“แล้วหลังจากนั้น.......”

พี่วินเหลือบมามองผมเล็กน้อย “ตั้งแต่แรกพี่ก็ฟังเสียงเมฆอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเสียงของไอ้จ๊อบมันดูเข้ามาใกล้เมฆมากขึ้นจนพี่คิดว่ามันอาจจะเสี่ยงเกินไป พี่ก็เลยวางโทรศัพท์ แล้วก็ขึ้นไปจัดการไอ้สองคนแรกก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปอีกห้อง ก็ง่ายๆแค่นั้นเอง เสียเวลานิดหน่อยเพื่อที่จะให้รู้แน่ว่าใครในสี่คนนั้นที่เป็นคนพาเมฆมา แต่พี่ว่านอกจากนั้นแล้ว เมฆคงไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดหรอกมั๊ง”

ผมนั่งฟังสิ่งที่พี่วินพูดและปล่อยให้มันซึมซับเข้าไปในหัวอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คงจริงครับ”

“อ้อ และถ้าจะถามถึงไอ้กรณ์ พี่สั่งให้มันดูแลอีกสองคนที่ลานจอดรถ เพื่อที่จะคอยเปิดทางให้พี่พาเมฆออกมาได้สะดวกๆแบบนี้ไง และตอนนี้มันก็คงกำลังจัดการเรื่องที่เหลือให้พี่อยู่เหมือนเคยนั่นแหละ”

“แล้วพี่ได้ฆ่า.........” ผมอ้าปากจะถาม แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามจะดีกว่า “แล้วพี่กับพี่กรณ์บาดเจ็บรึเปล่าครับ”

“ไม่เลย” พี่วินตอบสั้นๆ

ผมเหม่อมองออกไปนอกรถ นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วก็รู้สึกใจหาย ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลยว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง “มันบอกผมว่าไอ้แบ๊งค์ร่วมมือกับมันด้วย”

“แล้วเมฆคิดว่ายังไง”

ผมส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมยังไม่รู้เลยว่านี่มันจบลงแล้วจริงๆน่ะเหรอ นี่มันจบลงจริงๆแล้วใช่มั๊ย”

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเมฆอยากให้คำว่า ‘จบ’ นั้นมันเป็นยังไง แต่ถ้าเมฆถามพี่ว่าไอ้จ๊อบมันจะไม่มาวุ่นวายกับเมฆและครอบครัวของเมฆอีกแล้วรึเปล่า พี่ก็บอกได้เลยว่ามันจะไม่โผล่มาให้เมฆเห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”

“ทำไมพี่วินถึงมั่นใจนัก คือ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่นะครับ แต่ผม........ แต่ผมกลัวจริงๆ”

“เชื่อพี่เถอะครับ พี่จัดการทุกอย่างแล้ว ก็ได้ ถ้าเมฆไม่สบายใจพี่จะบอกเมฆให้ก็ได้ว่า นอกจากวีดีโอม้วนนี้ที่จะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวมันเองแล้วน่ะ พี่เองก็กว้างขวางอยู่พอตัวเหมือนกัน และพ่อของมัน........ พี่ก็ไปคุยกับมันมาแล้วด้วย แน่นอนว่าด้วยเรื่องของธุรกิจ ไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นก็ได้ เพียงแต่ไม่ว่าใครน่ะ ต่างก็มีจุดอ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ขอแค่เราหาให้เจอและจับจุดนั้นให้อยู่หมัด มันก็เท่านั้นเอง”

“จุดอ่อนงั้นเหรอครับ”

“พี่จะบอกเมฆสั้นๆก็แล้วกันว่า ตัวไอ้จ๊อบตามลำพังน่ะไม่มีปัญญาทำอะไรได้มากมายหรอก มันต้องพึ่งพ่อของมันด้วย แต่ว่าพ่อของมันเป็นนักการเมือง......... ที่กำลังอยากจะไปในที่สูงกว่านี้ และมันคงไม่ยอมถูกกระชากลงมาคลุกดินสูญสิ้นทุกอย่างไปเพราะเรื่องเหี้ยๆของลูกของมันหรอก จริงมั๊ยล่ะ”

“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับวิธีการ....... อย่างนั้นสินะครับ”

“ไม่ใช่” พี่วินส่ายหัว “ความถูกต้องต่างหาก ที่สำคัญที่สุด และความถูกต้องของพี่ก็คือครอบครัวของเมฆ นอกเหนือจากนั้นจะเป็นยังไง พี่ไม่สน”

“จะว่าไป พี่จ๊อบมันถามผมว่าคนของมันอยู่ที่ไหนด้วย”

“ก็คงงั้นล่ะ คนที่มันถามถึงก็คืนลูกน้องคนสนิทของมันและเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องต่างๆแทนมันด้วย ก็ไอ้เหี้ยนี่น่ะมันมีปัญญาทำอะไรเองเป็นซะที่ไหน อย่างมากก็ทำได้แค่ชี้นิ้วสั่งอยากได้อะไรก็แค่เอ่ยปาก โดยมีไอ้บอล คนที่มันถามถึงนี่แหละ เป็นคนคอยจัดการทุกอย่าง รวมทั้งเป็นคนที่เริ่มสะกดรอยตามเมฆกับซันตั้งแต่ช่วงแรกๆ และเป็นคนที่ส่งลูกน้องของมันสองคนนั้นตามเมฆเมื่อคืนนั้นด้วย”

“แปลว่าตอนนี้ไอ้คนที่ชื่อบอลนั่นยังอยู่กับพี่วิน........”

“ใช่ พี่รับดูแลมันเอาไว้อยู่เพื่อไม่ให้มันมาวุ่นวาย และเพื่อที่จะได้รู้แผนการเหี้ยๆของไอ้จ๊อบมันด้วย”

“พี่วิน..... ทำอะไรเค้าไปมั่งรึเปล่า”

พี่วินหันมามองผมแว่บหนึ่ง “พี่ว่าเมฆคงไม่น่าถามอะไรในสิ่งที่เมฆเองก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอกนะ”

“ครับ ก็คงอย่างนั้น” ผมเห็นด้วยและนึกดีใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รู้คำตอบ “ขอโทษทีครับพี่”

“พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่สนใจอะไรนอกเหนือจากความถูกต้องของพี่ และพี่เองก็ไม่คิดจะให้ใครมาสอนพี่ด้วยว่าความถูกต้องคืออะไร พี่ไม่คิดจะสนใจในความคิดของคนอื่นตราบเท่าที่พี่ทำในสิ่งที่พี่เชื่อ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดหรือวุ่นวายกับพี่ในเรื่องนั้นได้ แม้แต่พ่อของเมฆเอง”

“เรื่องนั้นผมรู้ครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ “จริงๆพอมานึกๆดูนี่มันก็แปลกนะครับ ผมรู้สึกเหมือนผมแทบจะไม่ค่อยรู้จักพี่วินเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ารู้จักพี่และนิสัยพี่ดีมากด้วยยังไงไม่รู้สิ แถมพ่อเองก็แทบไม่เคยบอกอะไรผมเลยด้วย”

พี่วินเงียบไปอีกครู่หนึ่ง “ตกลงเมฆรู้แล้วรึยังว่าอะไรคือคำว่าจบของเมฆ”

ผมพยักหน้า “ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้ว”

“ถ้างั้นเมฆก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องกังวลแล้วนี่ ถ้าตัดเรื่องของไอ้จ๊อบออกไป เมฆก็มีเส้นทางที่เมฆเลือกเอาไว้ในใจอยู่แล้ว ใช่มั๊ย”

“ครับ ผมคิดว่าคงอย่างนั้น”

“ถ้างั้นพี่ว่าก็รีบๆได้แล้วล่ะ เพราะว่าพ่อกับแม่ของซันจะมาถึที่นี่พรุ่งนี้แล้ว”

“หาา พี่รู้ได้ยังไงครับ ตกลงพวกท่านคอนเฟิร์มแล้วเหรอ”

“ก็พ่อของเมฆโทรมาบอกพี่น่ะสิ”

“แล้วทำไมพ่อไม่บอกผม”

“ก็แล้ววันนี้เมฆพกโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่รึไงล่ะ”

เออ มันก็จริงแฮะ “ว่าแต่ว่าพวกพ่อเล็กจะมากันแค่สองคนเท่านั้นเหรอครับ”

“ใช่ พีไม่ได้มาด้วย”

“แต่ถ้าผมไปพรุ่งนี้ ผมก็จะไม่ได้อยู่ไหว้พ่อกับแม่เล็กก่อนน่ะสิครับ”

“แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้มั๊ง”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ผมคิดว่าผมอยากรู้ความจริงก่อนครับ ถึงตอนนี้เราจะรู้ตัวการของปัญหาเหี้ยๆนี่แล้ว แต่ว่าพอนึกๆดูผมก็ยังมีอะไรที่เข้าใจอยู่อีกหลายอย่างเหมือนกัน พี่วินรู้ความจริงทั้งหมดแล้วใช่มั๊ยครับ เพราะงั้นตอนนี้ผมก็คิดว่าผมพร้อมที่จะฟังแล้วล่ะ”

“เมฆแน่ใจนะ ว่าเมฆพร้อมที่จะฟังจริงๆ ไม่ได้อยากจัดการธุระตัวเองให้เสร็จก่อน เพราะพี่บอกไปแล้วว่าพี่จัดการทั้งหมดให้เองได้ และเมฆก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันเลยด้วย”

“ครับ ผมมั่นใจ”

“ถ้างั้นก็ฟังสิ่งที่พี่กำลังจะบอกให้ดีๆ แต่อย่าให้มันสั่นคลอนการตัดสินใจของตัวเองได้ล่ะ”

“ครับ อย่างที่ผมบอกพี่วินไปแล้วไงครับว่า ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าอย่างอื่นจะเป็นยังไง แต่ผมรู้ตัวแล้วว่าผมต้องการอะไรและผมคิดจะทำอะไรต่อ ไม่ว่าสิ่งที่ผ่านมามันจะคืออะไร แต่ว่าพรุ่งนี้ ผมยังคงยืนยันว่าผมจะออกเดินทางตามหาท้องฟ้าของผมกลับมาอีกครั้ง”



BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
รอๆๆ ใกล้จบแล้วววว  :a2:

ให้กำลังใจคนแต่ง o13

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แวะมาดูว่าลงไปถึงไหนแล้ว เอิ๊กกก ลืม อิอิ
ขอบคุณทุกคนมากนะครับ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






nartch

  • บุคคลทั่วไป
:เฮ้อ:
โล่งอกไปที...ดีนะพี่วินมาช่วยทัน...
เมฆกะซันจะเป็นไงต่อไปนะ  :serius2:

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

โล่งใจครับ รอตอนต่อไปนะครับ

 :a12: :a12: :a12:

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เพิ่งเห็นว่ามาต่อแล้ว แบบว่าช้าไปนิสสสสสส :m23:

และแล้วก็รอดปลอดภัยมาจนได้

เป็นกำลังใจให้น้องต้นน้า :กอด1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบสี่สู่ปลายทางสุดท้าย


“ศิลาพูดจริงนะ ไม่ได้กำลังโกหกผมจริงๆใช่มั๊ย” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ หลังจากที่ผมบอกถึงการตัดสินใจของผมให้เขาฟังทางโทรศัพท์ขณะที่พี่วินกำลังขับรถกลับไปส่งผมที่บ้าน

“อื้ม จริงสิ พี่ไม่พูดเล่นอยู่แล้วล่ะ”

“แต่พรุ่งนี้พ่อกับแม่ซันจะมาที่นี่นี่นา แถมแม่ผมก็จะมาด้วยนะ ถ้าแบบนั้นศิลาก็จะไม่ได้อยู่เจอทุกคนก่อนน่ะสิ”

“ก็คงแบบนั้นแหละ แต่ว่าพี่ก็ไม่มีเวลาแล้ว อย่างแรกเลยคือพี่ไม่อยากจะรอนานไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ และที่สำคัญคือ วันลาหยุดมาดูแลพ่อของพี่ก็จะหมดลงแล้วด้วย พอพ่อกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่ พี่เองก็ต้องกลับไปทำงานด้วยเหมือนกัน ดังนั้นพี่คิดว่าพี่คงต้องรีบไปตั้งแต่ตอนนี้เลยซะจะดีกว่า”

“ผมเองก็อยากจะไปด้วย”

“ขอโทษทีนะ ไคล์ พอดีมันกะทันกันไปหน่อยน่ะ”

“ไม่หรอก แบบนี้ดีแล้วล่ะ แต่ว่าผมดีใจจริงๆนะ ผมดีใจจริงๆ”

“ขอบใจมาก ไคล์”

“แล้วเรื่องทางนั้นไม่มีปัญหาแล้วใช่มั๊ย ตอนนี้พ่อของศิลาก็กำลังเป็นห่วงอยู่เหมือนกันนะ และผมเองก็เป็นห่วงมากด้วยเหมือนกัน”

“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยดี บอกพ่อทีนะว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้พี่วินกำลังขับรถไปส่งพี่ที่บ้านแล้ว” ผมหันไปถามพี่วินว่าเขาจะเข้าบ้านไปหาพ่อเอกด้วยรึเปล่า พอพี่วินพยักหน้าตอบกลับมา ผมจึงหันกลับมาพูดกับไคล์ต่อ “เดี๋ยวพี่วินจะเข้าไปหาพ่อด้วยนะ แล้วยังไงเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อที่บ้านก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่พี่บอกไคล์ เดี๋ยวพี่ขอเป็นคนบอกพ่อเองก็แล้วกันนะครับ”

“ได้ครับ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

ผมวางสายและนึกอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าคนเราจะทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่คิดว่าจะทำ กับคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนของเรา........ กาลเวลานี่มันเปลี่ยนแปลงคนไปได้จริงๆ”

“เมฆอาจจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”

“พี่วินพูดเหมือนจะบอกให้ผมหัดมองโลกในแง่ร้ายกว่านี้ คอยระแวงคนอื่นให้มากกว่านี้งั้นเหรอครับ”

“ก็คงแบบนั้นนั่นแหละ หรือถ้าเมฆอยากจะได้ยินอะไรที่มันฟังดูดีขึ้นมาหน่อยล่ะก็ พี่ก็แค่จะบอกให้เมฆระวังความเชื่อใจของเมฆ ว่ามันอยู่กับคนที่คู่ควรจะได้รับมันจริงรึเปล่าก็เท่านั้นเอง” พี่วินหันมามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป “ที่จริงพี่เองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งสอนอะไรเมฆได้หรอกนะ”

“ได้สิครับ ก็พี่วินเป็นพี่ผมนี่นา”

“อย่างแรกเลยคือพี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเมฆนะ หรือจะว่ากันตรงๆ เราก็เป็นคนอื่นที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ” พิ่วินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และอย่างที่สอง พี่ไม่คิดว่าทัศนคติของพี่จะเหมาะกับนิสัยเมฆสักเท่าไหร่หรอก” จริงๆแล้วในข้อนี้ผมก็รู้สึกเห็นด้วยนิดๆอยู่ในใจเหมือนกัน พี่วินเองก็รู้ว่าเขาพูดถูก เราสองคนนั่งเงียบๆกันอยู่อึดใจ ก่อนที่พี่วินจะเปลี่ยนเรื่อง “เมฆไม่สับสนนะ”

ผมใช้เวลานึกตรองคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่แล้วครับ........ สำหรับเรื่องของซันนะ”

“แต่ถ้าสำหรับเรื่องอื่นที่เหลือ........”

“ก็นิดหน่อยครับ แต่ผมจะขอเป็นคนจัดการความสับสนและสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจที่เหลือทั้งหมดเองหลังจากที่ผมกลับมา” ผมตอบ

พี่วินเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนจะกำลังใช้ความคิดก่อนที่จะพยักหน้าออกมาเบาๆ

หลังจากที่เราสองคนกลับมาถึงบ้าน พี่วินกับพ่อก็เดินหายเข้าไปคุยกันตามลำพังในห้องทำงานของพ่อ ส่วนผมก็นั่งคุยกับไคล์อยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ไคล์พยายามที่จะถามถึงรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดโดยอ้างว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะรู้เรื่องทั้งหมดได้แล้ว เพราะถ้าในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเรียบร้อยดีแล้ว ผมก็ไม่ควรและไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังเขาอีกต่อไป แต่ว่าผมก็ยังไม่พร้อมและยังไม่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นอะไรที่ผมไม่คิดว่าผมจะอยากเล่าให้ใครฟังเลยจริงๆ ดังนั้นผมจึงปฏิเสธ และเปลี่ยนหัวข้อคุยไปยังเรื่องที่เราคุยกันค้างเอาใว้เมื่อตอนผมอยู่บนรถแทน

เรื่องที่ผมจะบินไปตามไอ้ซันที่อังกฤษกลับมา

“พรุ่งนี้ไฟลท์ของพวกแม่จะมาถึงที่นี่ประมาณเที่ยงคืนครึ่งน่ะครับ เพราะงั้นจะว่าไปจริงๆแล้วก็คือพวกเค้าจะมาถึงกันตอนเช้าของอีกสองวันข้างหน้ามากกว่า” ไคล์บอก “และเท่าที่ผมคุย เห็นว่าพวกนั้นจะมาอยู่ที่นี่ราวๆสามวันก่อนจะบินกลับ ศิลาคิดว่าศิลาจะได้เจอทุกคนมั๊ย”

“พี่คิดว่าไม่นะ เพราะพี่วินบอกพี่ว่าไฟลท์พี่จะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ตอนบ่ายสาม ซึ่งตั๋วน่ะจองเอาไว้แล้ว เพราะงั้นก็คงจะไม่ได้เจอกันที่นี่แน่ๆ แถมพี่เองก็ไม่รู้ว่าพี่จะอยู่ที่นั่นอีกนานขนาดไหนด้วย”

“พีทบอกผมว่าซันเองก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟังเลย เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง บางทีก็ออกไปข้างนอกแต่เช้ากว่าจะกลับก็มืด....... หรือบางทีก็ไม่กลับมาด้วยซ้ำ ทุกคนที่นั่นก็เลยเป็นห่วงเขามาก ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ พ่อกับแม่ซันก็เลยอยากจะเจอศิลาด้วยเหมือนกันนี่แหละ”

ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้าใส่ผมอีกครั้ง นอกจากนั้น ความจริงที่ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้ซันกำลังทำตัวน่าเป็นห่วงแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย “จริงๆพี่เองก็รู้ว่าพี่ควรจะอยู่พบพวกท่านก่อน ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพี่เอง แต่พอนึกๆดูพี่ก็คงไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าในตอนนี้พี่จะกล้าสู่หน้าพวกแม่เล็กได้รึเปล่า”

ไคล์ส่ายหน้าแล้วจับมือของผมไปกุมเอาไว้ “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ทุกคนไม่ได้โทษหรือโกรธศิลา แต่เป็นห่วงทั้งสองคนมากต่างหาก เรื่องมันก็เท่านั้นอง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ......... พี่บอกตามตรงนะว่าพี่กลัว ไอ้ซันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย มันไม่เคยทอดทิ้งพี่ไปไหนไกลและนานขนาดนี้ ไม่แม้แต่ตั้งแต่สมัยที่เราเรียนอยู่ด้วยกัน และที่สำคัญตอนนี้ที่พี่คิดว่าพี่รู้เหตุผลทั้งหมดที่มันตัดสินใจทำแบบนี้ลงไปแล้ว พี่ก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ามันจะยอมกลับมาหาพี่แน่รึเปล่า”

“กลับมาสิครับ ยังไงซันก็ต้องกลับมาแน่” ไคล์ยิ้ม “ไม่มีวันไหนหรอก ที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะไม่ลอยอยู่เคียงคู่กัน ไม่มีทาง........”

ผมยิ้มตอบเป็นการขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ไคล์มีให้ผมตลอดมา นั่นสินะ ไม่มีวันไหนหรอก ที่ก้อนเมฆจะไม่ลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้า และถึงจะมีบ้างที่วันใดท้องฟ้าจะหม่นหมองหรือไร้เมฆลอยอยู่เคียงข้าง แต่ไม่มีทางที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะทอดทิ้งกันไปหรือไม่มีกันและกัน.......... ไม่มีทาง

ครู่ใหญ่ๆหลังจากนั้น พี่วินกับพ่อเอกก็เดินออกมาจากห้องทำงาน ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่ว่าสีหน้าของพ่อเอกกลับดูเคร่งเครียดกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก เพราะตอนแรกผมนึกว่าพอพ่อรู้ความจริงว่าตอนนี้ทุกอย่างมันจบลงแล้ว พ่อน่าจะรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ทว่าสายตาที่พ่อกำลังมองผมอยู่นั้นมันกลับสะท้อนความห่วงใยและความกังวลเอาไว้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

“พี่วินจะกลับแล้วเหรอครับ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนมั๊ย”

“ไม่ล่ะ พี่ต้องรีบกลับไปจัดการธุระต่อน่ะ”

ผมลุกขึ้นและเดินตามไปส่งพี่วินจนถึงที่รถ “ขอบคุณมากนะครับพี่วิน ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงแย่แน่ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับพี่แล้วพี่ถือว่ามันเป็นหน้าที่นะ แล้วก็เป็นเรื่องสนุกด้วย”

“แล้วเอาไว้หลังจากนี้ผมขอชวนพี่ไปกินข้าวด้วยกันอีกนะครับ คราวนี้ขอผมเป็นฝ่ายเลี้ยงพี่เอง เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องในตอนนี้ แต่เป็นสำหรับทั้งหมดเท่าที่ผ่านมาตั้งแต่ผมยังเด็กเลยด้วย ถึงข้าวมื้อเดียวมันจะทดแทนให้ไม่ได้ แต่ผมก็คงมีปัญญาทำให้ได้เท่านี้แหละครับ ผมไม่รู้จะบอกขอบคุณพี่ยังไงดีจริงๆ”

พี่วินยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าคราวนี้มันดูต่างออกไปจากรอยยิ้มที่ผมเคยเห็นผ่านๆมาอย่างบอกไม่ถูก “ไม่ต้องหรอก แค่พี่รู้ว่าเมฆสบายดีพี่ก็พอใจแล้ว และถึงยังไงก่อนหน้านี้เราก็แทบจะไม่ค่อยได้เจอกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา”

“มันก็ใช่ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าพี่วินเป็นคนอื่นเลยจริงๆนะ และยิ่งเพราะงั้นนี่แหละ ผมถึงยิ่งรู้สึกขอบคุณพี่วินมากขึ้นไปอีกที่ช่วยดูแลผมมาตลอดขนาดนั้น”

“ถ้าเป็นแบบนั้น.........” พี่วินยิ้มอีกครั้งและเปิดประตูรถออก จากนั้นก็นั่งลงข้างหลังพวงมาลัย “ก็แปลว่านั่นคือระยะห่างที่ดีที่สุดของเราสองคนแล้วล่ะ”

“พี่วิน”

พี่วินปิดประตูรถ แล้วก็เลื่อนกระจกไฟฟ้าลง “โชคดีนะเมฆ”

เมื่อพูดจบ พี่วินก็เลื่อนกระจกขึ้นและถอยรถออกไป ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองส่งพี่วินที่ขับรถจากไปจนกระทั่งรถเลี้ยวหายลับไปจากสายตา ผมรู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร และรู้ดีว่าหลังจากนี้ไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน ผมก็จะยังคงมีพี่ชายที่รักผมและครอบครัวของผมมากคอยดูแลผมอยู่ตลอดเวลา และผมเองก็เชื่อว่าเขาเองก็รู้ดีว่าเขานั้นมีความหมายสำหรับเราสองคนพ่อลูกมากแค่ไหนด้วยเช่นกัน

ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุย แต่สายสัมพันธ์ที่เรามีให้กันก็ไม่เคยถูกตัดขาดลงไปเพราะระยะทาง

“ขอบคุณมากนะครับ พี่วิน” ผมพูดกับตัวเองเบาๆอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ในห้องรับแขกมีพ่อเอกกำลังนั่งรอผมอยู่แล้ว ส่วนไคล์ก็คงจะขึ้นห้องไปแล้วเหมือนเดิม ดังนั้นผมจึงนั่งลงข้างๆพ่อแล้วรอให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เพราะผมไม่รู้ว่าพี่วินได้เล่าเรื่องในวันนี้ออกไปบ้างหรือเปล่า และถ้าเล่า จะเล่ารายละเอียดมากน้อยขนาดไหน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะเป็นฝ่ายรอและคอยตอบคำถามตามที่พ่อต้องการจะดีกว่า

“เมฆรักวินมั๊ย”

นี่เป็นคำถามที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนจริงๆ “ครับ ตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่เค้าก็คอยดูแลผมมาตลอด ถึงผมจะจำเรื่องเมื่อตอนเด็กๆไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่าผมมีพี่วินอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาเลยสักครั้งเดียว”

“ในครั้งนี้วินเป็นธุระให้เรามากจริงๆ ดูท่าเราสองคนจะเป็นหนี้บุญคุณเค้าครั้งใหญ่แล้วนะ”

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของผมคนเดียวมากว่า พ่ออย่าคิดมากสิครับ และอีกอย่างที่สำคัญกว่าคือ ผมไม่คิดว่าพี่วินจะยอมรับความคิดว่าผมหรือเราสองคนเป็นหนี้บุญคุณพี่เขาหรอกนะครับ กลับกัน ผมกลับรู้สึกว่าพี่เค้ารักและเทิดทูนพ่อมากมากกว่าซะอีก”

“อย่างนั้นเหรอ.......” พ่อเอกตอบแบบลอยๆ แต่ทว่าแววตานั้นกลับดูมั่นคงและจริงจัง

“พ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องพี่วินให้ผมฟังเลยนะครับ เพราะงั้นผมก็เลยไม่ค่อยถาม ไม่สิ ถ้าจะว่าตรงๆ พอมานึกๆดู ดูเหมือนผมจะถูกสอนและเรียนรู้มาว่าผมไม่ควรจะถามมากว่าซะด้วยซ้ำ”

“เพราะพ่อคิดว่าวินคงไม่ได้อยากให้เมฆใส่ใจสักเท่าไหร่น่ะสิ ถ้าเค้าอยากพูด พ่อก็คิดว่าเค้าคงพูดเอง”

“ถ้างั้นสงสัยจะไม่มีมีวันนั้นซะล่ะมั๊งครับ” ผมยักไหล่เบาๆ

“และอีกอย่าง เมฆเองก็เห็นและรู้ว่าวินเองก็ไม่ใช่คนที่ควรจะใกล้ชิดมากนัก ทั้งนิสัยและงานที่ทำ........ หรือแม้แต่งานอดิเรก”

ผมอ้าปากจะพูดว่าผมคิดว่าพี่วินเป็นคนดีและดีมากพอที่จะสนิทสนมด้วย แต่พอคิดดูอีกทีผมก็เข้าใจว่าพ่อหมายถึงเรื่องอะไร ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องของคำว่างานและงานอดิเรกมากนักก็ตาม เพราะผมก็ไม่ค่อยรู้จริงๆว่าชีวิตของพี่วินนั้นเป็นอย่างไร แต่ผมก็คิดว่าผมพอจะเดาในส่วนที่เหลือได้ เลยตัดสินใจว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้คงจะดีกว่า เพราะจะว่าไปแล้วถ้าผมไม่โกหกตัวเองล่ะก็ ผมก็รู้ดีเลยทีเดียวว่าประเด็นสำคัญที่พ่อพูดนั้นคืออะไร ทั้งคำว่านิสัย หรือแม้แต่คำว่างานอดิเรก.........

ภาพของนิ้วที่ถูกตัดขาดและถุงมือที่เปื้อนเลือดของพี่วินยังคงวนเวียนอยู่ในตาของผมอยู่เลยด้วยซ้ำ

“แต่ผมรักพี่วินครับ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” ใช่แล้ว ผมรู้ดีว่าถึงพี่วินจะเป็นอย่างไรหรือมีนิสัยแบบไหน แต่สำหรับคนที่พี่วินรักและเลือกแล้ว คนเหล่านั้นก็จะสามารถพึ่งพาและไว้วางใจพี่วินได้ไม้ว่าจะเรื่องใดหรือในเวลาไหนก็ตาม และหนึ่งในคนที่พี่วินรักและเลือกก็คือผมกับพ่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากเพียงพอที่จะมอบความรักและความเชื่อใจของผมกลับไปให้พี่วินด้วยเช่นกัน

“พ่อเองก็เหมือนกัน” พ่อเอกหันมายิ้มให้กับผม “เอาล่ะ เรามาว่าเรื่องของเรากันดีกว่า วินเล่าเรื่องของไอ้สองพ่อลูกนั่นให้พ่อฟังคร่าวๆแล้ว และเค้าก็บอกพ่อแล้วด้วยว่าทุกอย่างมันเรียบร้อยหมดแล้ว และเมฆก็ตัดสินใจได้แล้วด้วยว่าเมฆจะเอายังไงต่อ”

“ใช่ครับ และผมก็เลยไม่เข้าใจนิดหน่อย ผมขอถามพ่ออะไรนิดหน่อยก่อนที่เราจะคุยกันได้มั๊ยล่ะครับ”

“อะไรล่ะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมพ่อถึงยังดูเป็นกังวลแบบนี้ล่ะครับ ในเมื่อพี่วินเองก็บอกพ่อแล้วว่าผมตัดสินใจได้แล้วและยืนยันว่ามันไม่มีอะไรแล้ว แต่ทำไมพ่อถึงยังดูเหมือนยังไม่ค่อยสบายใจ......”

พ่อเอกมีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย “อาจจะเป็นเพราะพ่อมันคนแก่ขี้กังวลล่ะมั๊ง อย่างน้อยๆก็จนกว่าพ่อจะเห็นซันกลับมาล่ะ นั่นก็เป็นอย่างนึง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็น........ เมฆ เรานั่นแหละ”

“ผมเหรอครับ”

“ก็ใช่สิ จนกว่าพ่อจะเห็นว่าลูกของพ่อไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พ่อก็คงยังไม่หายกังวลหรอกนะ”

ผมยิ้ม “ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อเชื่อผมเถอะว่าผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ส่วนเรื่องไอ้ซัน พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ พรุ่งนี้ ผมจะไปตามมันกลับมา และผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องกลับมาเหมือนเดิมครับ ผมให้สัญญา”

“แล้วถ้าซันไม่กลับมาล่ะ” พ่อเอกถามคำถามที่ทำให้ผมต้องชะงัก “เมฆจะยังบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรอยู่มั๊ย เมฆจะยังกลับมาเป็นเมฆคนเดิมได้อยู่แน่รึเปล่า คำว่า ‘ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม’ ของเมฆ จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่ เราคิดเอาไว้แน่แล้วรึเปล่า”

“ผม.........”

“หึๆ เอาเถอะ พ่อก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง พ่อเชื่อว่าเมฆต้องไม่เป็นไรแน่ รวมทั้งซันด้วย วินเล่าเรื่องรวมๆให้พ่อฟังแล้ว รวมทั้งต้นตอของเรื่องวุ่นๆทั้งหมดนี่ด้วย ดังนั้นพ่อคงไม่กังวลอะไรเท่าไหร่หรอก ขอแค่เมฆเชื่อมั่นในตัวเองและสิ่งที่ตั้งใจจะทำ เท่านั้นก็พอแล้ว”

ถ้าพ่อใช้คำว่า “ต้นตอ” ดังนั้นผมจึงรู้แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้พ่อมีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อตอนแรกนั้นคืออะไร “ขอบคุณครับพ่อ ผมเองก็เชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นแน่ๆรับ” ผมยิ้มกว้าง

“ทีนี้ก็เหลือแต่เรื่องของบ้านนั้นแล้วที่พ่อยังกังวลอยู่นิดหน่อยน่ะ”

“บ้านนั้น.........” ผมสงสัยนิดหน่อยว่าพ่อกำลังพูดถึงใคร ใช่คนๆเดียวกับที่ผมคิดอยู่แน่รึเปล่า

“ใช่ ก็ไอ้จ๊อบนั่นแหละ ทั้งพ่อและลูกเลย แถมมันก็รู้แล้วด้วยว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน พ่อไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องกับไอ้พวกนักการเมืองเลยจริงๆ โดยเฉพาะไอ้ตัวพ่อนะ พ่อไม่เคยชอบมันเลยจริงๆ เลวทั้งพ่อทั้งลูก” พ่อพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าสีหน้าที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้มันคือสีหน้าแสดงความโกรธและความไม่พอใจเรื่องของไอ้พี่จ๊อบนี่เอง

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ผมเองก็คิดเหมือนกันครับ แต่พี่วินก็ยืนยันกับผมว่าพี่เค้าจัดการให้แล้ว”

“ถ้างั้นเราก็คงต้องเชื่อใจวินเท่านั้นแล้วล่ะนะ”

“ก็คงงั้นแหละครับ แต่ผมก็เชื่อนะครับว่ามันคงไม่มาวุ่นวายกับผม....... กับเราอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยๆ เท่าที่พี่วินบอกผมมานะ เค้าบอกว่าพ่อไอ้พี่จ๊อบน่ะกำลังวางแผนจะลงการเมืองระดับประเทศให้พรรคไหนสักพรรคไม่รู้ล่ะ และถ้าเรื่องของที่ลูกมันทำนี่แดงออกไปล่ะก็ มันคงดับแน่ เพราะงั้นผมก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเราเองก็น่าจะปลอดภัยกันแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ไอ้พี่จ๊อบมันคงถูกพ่อมันคุมเข้มน่าดู”

“วินนี่ชอบเสี่ยงอันตราย ชอบไปเล่นกับไฟอยู่เรื่อย........” พ่อเอกส่ายหน้า “เตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ”

“แต่ผมเชื่อว่าพี่วินเอาตัวรอดได้นะครับ พ่อเอกก็เชื่อเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ ผมรู้ ถึงพ่อจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พ่อเองก็รู้จักพี่วินมากกว่าผมเสียอีก”

พ่อเอกหันมายิ้มให้กับผม “ก็คงอย่างนั้นล่ะ”



ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :loveu: :loveu:
ดีใจๆๆได้อ่านต่อแล้ว
ขอบคุณน้าน้องต้น :pig4: :pig4:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เย้ยย ทำไมพี่ไม่ยักรู้ล่ะ ว่าซันเดินทางไปอังกฤษ หรือว่าอ่านหกตกหล่นไปตอนไหนหว่า


PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยกะคุณน้ำค้างเรื่องซันอ่ะ

มิน่าล่ะ หายเงียบไปเลย

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
งะ ไม่ได้มาอ่านพักใหญ่ ๆ จะจบแล้วหรอฮับ  :m16:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :oซันไปอังกฤษเหรอ เมื่อไหร่กัน  :serius2:เราตกข่าวเหรอ...
เกิดอะไรขึ้นกับซันรึเปล่าอ่ะ หวังว่าน้องต้นคงไม่ใจร้ายกับคนอ่านหรอกน๊า :serius2:
กลัวใจจริงๆ o12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบห้าสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมปฏิเสธการมาส่งที่สนามบินของพ่อกับไคล์ เพราะไม่อยากจะให้ทั้งคู่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยๆไคล์ก็ต้องไปเรียน และพ่อก็จะได้พักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะกลับไปทำงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และที่สำคัญ ผมเองก็อยากใช้เวลาช่วงเช้าอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรตามลำพังด้วย ทว่าถึงยังไงก็ยังมีคนอยู่อีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะพบก่อนที่ผมจะบินไปตามไอ้ซันกลับมา ดังนั้นที่นี่ แบล็คแคนย่อนสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาสิบโมงเช้า ผมกำลังนั่งดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์รอการมาถึงของคนสำคัญของผมคนนั้นอยู่ คนที่ผมจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังก่อนที่ผมจะไป ไม่เช่นนั้นแล้วผมคงจะต้องโดนต่อว่า หรือแย่ยิ่งกว่านั้น....... คงต้องโดนด่าจนหูชาไปอีกนานแน่

“ทางนี้ อีฟ” ผมโบกมือเรียกอีฟเมื่อผมเห็นมันเดินเข้ามาในร้านแล้ว ผมลุกขึ้นยืนรับมันและบอกให้มันนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของผม

“ยิ้มได้แล้วนี่ เป็นยังไงมั่งวะ” อีฟนั่งลงและหันไปเรียกขอเมนูจากพนักงาน ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง น้ำเสียงของมันดูเหมือนจะกำลังเป็นหวัดอยู่เล็กน้อย “แกสองคนนี่ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามหุนหันทั้งคู่ไม่เปลี่ยนเลยนะ บทจะไปก็ไป บทจะมาก็มา บทจะเลิกก็เลิก”

“ก็นั่นน่ะสินะ เราขอโทษจริงๆที่ทำให้แกต้องเป็นห่วง”

“ไร้สาระน่า เมฆ เราดีใจมากเลยต่างหากที่แกตัดสินใจแบบนี้น่ะ เมื่อคืนตอนที่แกโทรมาหาเรา เราแทบกรี๊ดเลยนะเว้ย เนี่ย อยากจะบอกไอ้กอล์ฟมันใจจะขาด แต่แกก็ดันห้ามเอาไว้ซะก่อน”

“อืม เราอยากให้อะไรๆมันเคลียร์ก่อนน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะยุ่งยากไปอีกซะเปล่าๆ”

“ว่าแต่แกรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าไอ้ซันบินกลับไปที่อังกฤษน่ะ”

“เพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เอง ไคล์เป็นคนบอกน่ะ ตอนนั้นเราเองก็กำลังสับสนและเครียดมาก แต่เพราะคำพูดของไคล์กับพี เราก็เลยคิดได้สักทีว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องการคืออะไร และที่สำคัญ เหตุผลที่ไอ้ซันทำแบบนั้นมันคืออะไร เพราะงั้นเราจะไม่ยอมให้ระหว่างเราสองคนต้องเป็นแบบนี้ไปง่ายๆหรอก.........”

อีฟหันไปสั่งกาแฟกับพนักงานที่เดินมารับออเดอร์ก่อนจะหันกลับมานิ่วหน้าใส่ผม “เหตุผลของไอ้ซันงั้นเหรอ...... และยังที่แกบอกว่ายุ่งยากเมื่อกี๊อีก นี่มันยังไงกันแน่วะเนี่ย เมฆ”

“ก็นี่แหละ คือสาเหตุที่เราเรียกแกมา ว่าแต่แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร ต้องลางาน แถมยังไม่สบายอยู่ด้วยนี่”

“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก ก็เพราะไม่สบายนี่สิถึงได้ลางานแล้วมาหาแกได้ ตกลงแกมีอะไรจะบอกเรา”

“เราอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดเท่าที่แกควรจะรู้ในตอนนี้ให้แกฟัง”

“เท่าที่เราควรจะรู้ในตอนนี้........ งั้นเหรอ” อีฟทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ

“ใช่ และเรามีเรื่องจะขอร้องแกนิดนึงด้วย ทั้งในระหว่างที่เราไม่อยู่ และหลังจากที่เรากลับมา แต่เราสัญญาว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยยังไง ไม่ว่าไอ้ซันกับเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า พวกแกทุกคนจะต้องได้รู้ความจริง”

“ได้ งั้นก็ว่ามาเลย จะขอร้องอะไรเรา ถ้าเราช่วยได้เราก็จะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

“อันดับแรก เรื่องของนัท....... เราอยากให้แกบอกนัทด้วยว่าเราไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง แต่ก็ยังไม่อยากให้ลงรายละเอียดไปมากกว่านั้น แล้วก็เรื่องไอ้แบ๊งค์..........” ผมเว้นช่วงเล็กน้อย “คอยดูๆมันไว้ด้วยก็แล้วกัน อย่าให้มันขาดการติดต่อไปจนกว่าเราจะกลับมา และถ้าเรากลับมา เราต้องการคุยกับพวกแก นัท และไอ้แบ๊งค์พร้อมหน้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมากันหมดทุกคนหรอกนะเว้ย เอาแค่พวกๆเราเท่านี้หรือเท่าที่มากันได้ก็พอ แกช่วยหาเวลาที่เราทุกคนจะได้เจอกันพร้อมหน้าให้หน่อยได้มั๊ย”

“ได้ๆ เดี๋ยวเราจะนัดพวกมันเอาไว้ให้ก็แล้วกัน แต่แกจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”

“ไม่รู้สิ คงสองสามวันมั๊ง เราจะพยายามรีบกลับมาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”

“โอเค ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องที่จะเล่าล่ะ มีอะไรบ้าง ถึงเรียกเรามาซะตั้งแต่เช้า”

“มันอาจจะงงๆและน่าตกใจนิดหน่อยนะ แต่ว่านี่ก็เป็นปัญหาตั้งแต่ต้นที่เรากับไอ้ซันเจอมา ตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะ...........”

เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายโมง อีฟที่รับรู้เรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดไปแล้วและกำลังมีสภาพงอมจากพิษไข้ได้ที่ก็ขอตัวกลับก่อน ซึ่งถึงแม้ผมจะยืนยันให้มันกลับไปได้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วก็ตาม เวลาที่เหลืออีกชั่วโมงกว่าๆ ผมก็ใช้มันนั่งคิดถึงเรื่องราวของผมกับไอ้ซันนับตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันจนมาถึงในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลามันจะผ่านมานานมากถึงเพียงนี้แล้ว นับจากเด็กมัธยมปลายหัวเกรียนๆจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่ต้องเดินและยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง  และเท่าที่ผ่านมา เราสองคนไม่เคยต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้มาก่อนเลย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เราต้องเจออุปสรรคครั้งใหญ่ที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันรุนแรง ผิดใจกัน และทำให้เราต้องบอกเลิกและเอ่ยคำว่าลาก่อนแก่ให้กันและกันอย่างนี้

และผมก็หวังว่าครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเราแล้วด้วย.........

และถ้าหากบอกว่าผมไม่ได้รู้สึกกังวลเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เพราะไอ้ซันมันเป็นคนมุทะลุและหัวดื้อมาก นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนมีความรับผิดชอบและชอบคิดมากกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมาด้วย ผมรู้ดีว่าถึงแม้ผมจะพกความมั่นใจว่ามันจะยกโทษให้ผม หรือยิ่งไปกว่านั้นคือยกโทษให้ตัวเอง แล้วสุดท้ายเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกครั้งบินไปอังกฤษด้วยมากแค่ไหน แต่ว่าในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงอนาคตของเราสองคนมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยเป็นมาด้วยเช่นกัน ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่มีวันกลับมา กลัวว่าเมื่อมันเลือกเดินจากไปแล้วมันก็จะไม่ยอมหันกลับมามองเส้นทางที่เดินผ่านไปแล้วอีก และที่สำคัญ กลัวว่ามันจะไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่มันทำลงไปในครั้งนี้เลย........

ผมที่ตกไปในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นานต้องสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ผมล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากไคล์

“Believe in yourselves… just like we always do”

ไคล์ใช้คำในรูปพหูพจน์ทั้งคำว่า yourselves และคำว่า we ซึ่งนั่นก็หมายถึงเขาและพีไม่ได้เชื่อในตัวของผมเพียงคนเดียว แต่ว่าเป็นทั้งตัวของผมและไอ้ซันด้วย และนั่นสินะ........ หากจะให้ผมเชื่อในตัวของผมเองเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ได้ แต่ว่าผมจะต้องเชื่อในตัวของผมกับมัน เชื่อในสิ่งที่เรามีให้แก่กันและกันมาตลอดต่างหาก

ใช่แล้ว ถ้าหากผมมัวแต่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคจนลืมนึกถึงความสัมพันธ์ที่เราเคยมีด้วยกันในอดีตแล้วล่ะก็ การเดินทางในครั้งนี้ของผมก็คงจะไม่มีความหมายอะไรเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมตัดสินใจลงไปแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมต้องเชื่อมั่น ผมก็จะเชื่อมั่นกับทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคตก็ตาม

ผมกดปุ่มเลื่อนลงมาส่วนล่างของข้อความแล้วก็เจอเข้ากับ ps หรือ ปล. ที่แปลได้ว่า

“เดินทางดีๆ แล้วไว้เราสี่คนไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ”

ผมยิ้มและพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์มือถือกลับลงไปในกางเกง แล้วลากกระเป๋าเดินไปยังที่ช่องเช็คอินด้วยความรู้สึกที่เชื่อมั่น

ก้อนเมฆกำลังจะออกเดินทางตามหาท้องฟ้าของมันอีกครั้ง..........


.........................................


“พี่ซัน อยู่รึเปล่าครับ พี่กลับมาแล้วใช่มั๊ย” เสียงของพีบวกกับเสียงเคาะประตูทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ แสงแดดจ้าเสียดแทงสายตาที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาบอกผมว่านี่คงจะไม่ใช่เพิ่งหกโมงเช้าแน่นอน แต่เนื่องจากความอ่อนล้าและความอ่อนเพลียที่สะสมกันมานาน ทำให้ผมไม่สามารถแม้แต่จะเปิดเปลือกตาค้างเอาไว้ได้เกินกว่าห้าวินาทีด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงหลับตาลงและปล่อยให้เสียงรัวเคาะประตูกับเสียงเรียกของพีดังต่อไป “พี่ซัน จะเที่ยงแล้วนะครับ ลงไปทานอะไรก่อนเถอะ ผมทำแซนด์วิชเอาไว้ให้แล้วนะ” หลังจากนั้นสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆเดินจากไป........

เมื่อผมลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ต้องตกใจที่เห็นว่ามันเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมค่อยๆลุกขึ้นแต่งตัว เดินไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ สภาพใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตอนนี้มันทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกสมเพชในตัวเอง หนวดเคราที่ผมไม่เคยไว้และคิดจะไว้มานานมากแล้วตอนนี้เริ่มขึ้นจนเขียวครึ้ม ถุงใต้ตาสีดำคล้ำที่บ่งบอกถึงสภาพของคนนอนไม่พอมาหลายคืน ความหมองคล้ำของใบหน้าที่ไม่ได้สัมผัสกับครีมบำรุงมานานจนผมแทบจะจำไม่ได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาสีแดงช้ำที่สะท้อนทั้งความอิดโรยและความเจ็บปวดลึกๆจากข้างในออกมาจนแม้แต่ตัวเองยังทนจ้องตาตัวเองในกระจกไม่ได้

ผมเปิดน้ำและสาดน้ำก๊อกเย็นๆใส่หน้าของตัวเองแรงๆสามครั้งเพื่อให้ตื่นเต็มตาและรู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นก็เดินลงไปที่ชั้นล่าง ในห้องครัว บนโต๊ะทานข้าวตัวเล็ก มีแซนด์วิชของพีและน้ำส้มที่เขารินเอาไว้ให้ผมตั้งแต่เมื่อตอน........ ไม่รู้สิ คงจะเมื่อตอนสายๆเที่ยงๆล่ะมั๊งวางเอาไว้อยู่ พร้อมกับโน๊ตบอกว่าเขาจะกลับมาบ้านกี่โมง และแน่นอน บอกให้ผมเปิดโทรศัพท์มือถือด้วย

ผมนั่งลงและคว้าแซนด์วิชขึ้นมากัดพร้อมกับปรายตาไปอ่านโน๊ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นหลายใบ แทบทุกใบนั้นเป็นลายมือของพีที่เขียนทิ้งเอาไว้ให้ผมก่อนที่จะออกจากบ้านไปเรียน หรือก่อนที่เขาจะเข้านอนแล้วไม่เจอผมกลับบ้านมา ผมมองดูความมากมายของมันแล้วก็ถอนหายใจ.......... ทำไมใครๆถึงต้องมาใส่ใจคนเหี้ยๆอย่างผมกันมากขนาดนี้นักนะ

ผมวางแซนด์วิชที่เหลือลงบนจาน จากนั้นก็เดินไปดึงโน๊ตทุกใบออกจากตู้เย็น แล้วก็ขยำพวกมันรวมกันและโยนทิ้งลงไปในถังขยะ

ผมเดินออกจากห้องครัว กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง และเป็นอีกคราว ที่ผมก็คงจะไม่ได้กลับมาจนกว่าจะวันรุ่งขึ้นหรืออีกสองสามวันข้างหน้า และเมื่อนั้น ผมก็คงจะต้องเห็นข้อความที่ทั้งพ่อ แม่ และพีทิ้งเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงจำนวนมากมายอีกตามเคย

แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าพีคงน่าจะพอเข้าใจผมบ้าง........

ผมคว้ามือถือเครื่องใหม่ที่ผมซื้อมาโดยไม่ได้บอกใครในบ้านมากดเบอร์ที่ผมโทรออกล่าสุด และผมก็ไม่ต้องรอนานเลยกว่าที่คนจากปลายสายนั้นจะกดปุ่มรับสาย

“ไงซัน ผมกะแล้วว่าคุณต้องโทรมาเวลาประมาณนี้”

“ไงคริส ผมกำลังจะออกไปแล้วนะ คุณพร้อมรึยัง”

“แน่นอน ผมพร้อมที่จะได้อยู่กับคุณเสมอนั่นแหละ ว่าแต่คุณเถอะ เตรียมตัวพร้อมที่จะต้องไปขลุกอยู่กับผมอีกรึยัง ครั้งก่อนคุณก็ดูโทรมมากพอดูแล้วนะ หวังว่าผมคงไม่ได้ทำคุณหมดแรงนะ ซัน” คริส หนุ่มวัยปลายสามสิบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ไม่ใช่คุณหรอก ที่จะทำผมหมดแรงน่ะ”

“ก็คงงั้นล่ะมั๊ง เอาเถอะ งั้นไปเจอผมที่เดิมเวลาเดิมก็แล้วกัน คืนนี้เราคงจะยาวหน่อย หวังว่าคุณจะพักผ่อนมาพอนะ” เมื่อพูดจบคริสก็วางสายไปทันที

ผมหันไปมองตัวเองที่กระจกเป็นครั้งสุดท้าย พยายามส่งยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ที่สุดให้กับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้เลย

ถ้าสิ่งที่ผมทำอยู่มันคือสิ่งที่ผิด เช่นนั้นแล้วผมก็คงไม่รู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออะไร ในเมื่อจุดหมายปลายทางข้างหน้าที่ผมกำลังมุ่งหน้าต่อไปทั้งๆที่หัวใจและดวงตายังมืดมนนั้นคืออะไรหรือคือที่ไหน ผมก็ยังไม่รู้เลย...........

ผมอยากจะรู้นะ แต่ผมก็ไม่รู้เลยจริงๆ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
หลังจากนี้ "อาจจะ" นะครับ อาจะโพสรวดเดียวยาวเลยก็ได้
คืออาจจะทยอยลงอีกสักตอนสองตอน ไม่เว้นช่วงมาก และหลังจากนั้นอาจจะโพสพรวดเดียวยาวจนจบเลย
เผื่อสำหรับคนที่ไม่อยากรอ และคนที่อาจจะยุ่งๆ พอมาอ่านจะได้อ่านรวดเดียวไปเลย หรือแบ่งอ่านเอาตามสะดวกน่ะครับ

แต่ตอนนี้ขอเวลาเคลียร์ธุระกับตรวจทานสักนิดนึง เพราะมันค่อนข้างยาวมาก
บางตอนยาวถึงสิบกว่าหน้าเลยก็มี ต้นอาจต้องแบ่งส่วนอีก

 :m23:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :oni2: :oni2:ดีใจจังค่ะที่ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว
ลุ้นตอนจบอยู่นะคะ...
แล้วก็เป็นกำลังใจให้น้องต้นเหมือนเดิมค่ะ :loveu: :loveu: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

ขอบคุณครับที่มาต่อให้อ่าน

ซันมีคนใหม่เหรอครับ  :m15: :m15: :m15:

รอตอนต่อไปครับ

ขอบคุณครับ

 :a12: :a12: :a12: :a12: :a12:


yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
มาลุ้นตอนจบด้วยคนค่ะ

มีปริศนามากมายที่รอคำตอบตั้งแต่


ตอนที่ซันนั่งรถไปบ้านจ๊อบ ได้เจอจ๊อบ แล้วคุยกันเรื่องอะไร ถึงหนีเมฆไปอังกฤษ


เรื่องนี้นอกจากจ๊อบที่อยู่เบื้องหลัง แล้วมีคนอื่นอีกหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น แบงค์ หรือ นัท


พี่แอม กับ อาร์ม เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า


ลุงที่อยู่ข้างห้องซัน มีลูกหน้าตาคล้ายเมฆ มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมฆหรือเปล่า

ฯลฯ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

+1 ให้ด้วยค่ะ



ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ซันจะไปที่ไหน อย่าเพิ่งไป เมฆกำลังไปหาแล้วนะ

แล้วเมฆกับซันจะได้เจอกันมั้ยเนี่ย :m31:

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบหกสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมเดินออกจากเครื่องด้วยความเหนื่อยอ่อน ความคิดที่ว่าจะไปหลับบนเครื่องเอาแรงไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ ทั้งๆที่ผมคิดว่าด้วยความเหนื่อยล้าจากอะไรหลายๆอย่างในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้จะทำให้ผมหลับได้สนิทแท้ๆ แต่เมื่อถึงเวลา ความกังวลและความเพลียสะสมกลับยิ่งเป็นตัวทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนหลับไม่ลงมากขึ้นไปอีก

“พี่เมฆ!” เสียงของพีร้องเรียก เมื่อผมหันไปเจอเขา เขาก็กำลังเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พี! เป็นไงมั่งเรา” ผมอ้าแขนกว้างแล้วเราสองคนก็สวมกอดกันอย่างแนบแน่น

“เหนื่อยมั๊ยครับพี่ เป็นยังไงมั่ง” พีถามผมขณะที่เรากำลังเดินไปที่รถ

“อืมม จริงๆแล้วถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงจะโกหกแหละ แล้ว......... ไอ้ซันเป็นไงมั่ง มันยังไม่รู้ใช่มั๊ยว่าพี่มา”

สีหน้าของพี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “คือ ก็ยังไม่รู้หรอกครับ จะว่าไปก็น่าเสียเดายเหมือนกันนะครับที่ไฟลท์ของพี่กับของพวกคุณลุงมันคลาดกันพอดี ก็เลยไม่ได้เจอกัน”

“นั่นสินะ แต่ว่าแบบนี้มันอาจจะดีกว่าก็ได้ แต่พี่ก็ขอบใจพีมากนะ ดึกป่านนี้แล้วก็ยังอุตส่าห์มารับพี่ แล้วก็ขอบใจพีมากด้วยที่เป็นกำลังใจให้พี่มาตลอด ไคล์มันบอกพี่หมดแล้วล่ะ พี่ต้องขอบใจเราสองคนจริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เมฆ” พียิ้มกว้าง “ผมเองยังรู้สึกแย่ด้วยซ้ำที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นคอยดูแลช่วยเหลือพี่ ผมทำได้อย่างมากก็แค่คุยโทรศัพท์ ซึ่งช่วงหลังๆเราก็แทบไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ แต่ผมเข้าใจว่าพี่ยุ่งและกำลังเครียดครับ ก็เลยได้แต่ฝากไคล์ไปบอกแทน”

“พี่ต้องขอโทษจริงๆที่ช่วงหลังๆพี่ไม่ได้โทรหาพีเลย”

“ไม่ต้องหรอกครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่าผมเข้าใจแล้วก็ดีใจที่พี่รับรู้ว่าผมเป็นห่วงพวกพี่มากขนาดไหน”

“แล้วไอ้ซันล่ะเป็นยังไงบ้าง” ผมถามซ้ำอีกครั้ง

“เรื่องนั้น.........”

“พี่พอรู้แล้วล่ะ ไคล์บอกพี่ตอนก่อนพี่จะมาแล้วว่ามันทำตัวไม่ค่อยดีนัก” ผมถอนหายใจเบาๆ “แต่พี่ไม่โทษมันหรอกนะ มันคงเป็นความผิดพี่เองที่ทอดทิ้งมันไปแบบนั้น ที่กดดันให้มันต้องเป็นฝ่ายเลือกในสิ่งที่มันไม่อยากจะเลือก กดดันให้มันต้องพูดในสิ่งที่มันอาจจะไม่ได้คิด แต่ว่าหลังจากนั้นพี่น่ะโชคดีที่พี่มีคนให้คุยด้วยหลายคน แต่ไอ้ซันนี่สิที่ไม่มีใครเลย แถมมันยังบินหนีกลับมาที่นี่ทันทีเลยอีกต่างหาก พี่ไม่รู้ว่ามันได้คุยได้ระบายอะไรออกมาให้พีฟังบ้างรึเปล่านะ”

“ไม่เลยครับ ผมพยายามแล้ว พยายามมากเลยด้วยที่จะคุยหรือแค่รับฟังก็ยังดี แต่พี่ซันก็ไม่ยอมบอกอะไรผมเลยนอกจากพูดว่าเขาผิดเอง เขาเสียใจที่ต้องทำให้พี่เจ็บ เขาเสียใจที่ต้องทำแบบนั้น และมันเป็นทางเดียวที่เขาต้องทำ แต่ก็ยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังอยู่ดี และที่สำคัญ..........”

“ที่สำคัญอะไรครับ”

“เรื่องนั้น........ ผมว่าเราเอาไว้ไปคุยกันต่อบนรถเถอะครับ”

เราสองคนเดินไปขึ้นรถจากนั้นพีก็รับหน้าที่คนขับพาพวกเราสองคนกลับบ้าน ผมนั่งเอนหลังรอให้พีเป็นฝ่ายเริ่มเล่าสิ่งที่เขาพูดค้างเอาไว้ขึ้นมาก่อน เพราะดูท่าทางเขาจะค่อนข้างลำบากใจไม่น้อยเลย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลใจมากขึ้นไปอีก

“ผมอยากให้ทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมจริงๆนะครับ” พีพูดขึ้น

“พี่ก็เหมือนกัน........”

“ผมรู้สึกว่าตอนนี้พี่ซันกำลังอ่อนแอมาก มากจนกำลังทำร้ายตัวเอง........ และกำลังทำร้ายคนอื่นด้วย” พีถอนหายใจ “พ่อกับแม่พี่ซันกังวลมากจริงๆนะครับ ผมรู้มาว่าเหตุผลนึงที่พวกท่านกลับไปไทยนอกจากไปเยี่ยมพ่อของพี่เมฆแล้ว ก็ยังเพื่อที่จะไปคุยกับพี่และกับไคล์ด้วย แต่พอพวกท่านรู้ว่าพี่กำลังจะมาที่นี่ พวกท่านก็สบายใจขึ้นไปอีกเปลาะ และฝากผมให้บอกพี่ว่า ช่วยดูแลซันด้วย แล้วก็.........”

“แล้วก็........” ผมหันไปมองหน้าพีเพื่อรอคำตอบ

“แล้วก็ยกโทษให้พี่ซันด้วย ถ้าพี่ซันอาจจะทำร้ายพี่เมฆอีกครั้ง เพราะตอนนี้พี่เค้ากำลังแย่มากจริงๆ พี่พอจะเข้าใจมั๊ยครับ”

“อืม พี่เข้าใจ ถ้าพี่ไม่คิดว่าพี่จะต้องเตรียมตัวมาพร้อมรับกับอารมณ์ของมันหรือสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดีมาแล้วล่ะก็ พี่ก็คงจะไม่มาหรอกครับ ตอนนี้สำหรับพี่แล้วพี่ไม่สนใจหรอกว่าพี่จะเป็นยังไง หรือเราจะเป็นยังไง สิ่งเดียวที่พี่อยากจะทำมากที่สุดเป็นอันดับแรกคือพี่แค่อยากจะมาบอกมันว่าพี่ขอโทษ พี่เข้าใจ และพี่รักมันมากแค่ไหน........ เท่านั้นจริงๆ”

“พี่เป็นคนที่เข้มแข็งมากจริงๆนะครับ รู้ตัวมั๊ย”

“ทำไมใครๆชอบพูดแบบนั้นกันนักนะ พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“เพราะว่าพี่เป็นคนแบบนั้นจริงๆไงล่ะครับ เรื่องมันก็ง่ายๆแค่นี้เอง”

พีขับรถพาผมกลับไปที่บ้านโดยที่เราสองคนไม่ได้คุยเรื่องไอ้ซันกันอีก แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระไต่ถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไปมากกว่า และถึงแม้จะเป็นตอนกลางคืน ผมก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าถนนหนทางบ้านเรือนแถวนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากก่อนที่ผมจะบินกลับไปไทยเลยแม้แต่น้อย แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้จากที่นี่ไปนานขนาดที่จะคิดแบบนั้นได้ด้วยซ้ำ เวลาแค่ไม่กี่เดือนมันจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน

นอกจากความสัมพันธ์..........

เมื่อมาถึงบ้าน บ้านหลังที่ผมเคยใช้พักพิงอยู่กว่าสามปี แต่แทนที่ผมจะรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาถึงบ้านอีกครั้ง ผมกลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวบ้านนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเปิดอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว และแน่นอนว่าไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องนอนเก่าของผมกับไอ้ซันเลยแม้แต่น้อยด้วยเช่นกัน

“ไอ้ซันหลับแล้วเหรอ” ผมถามพี แต่จริงๆแล้วก็เหมือนคำถามที่ผมถามเพื่อหลอกตัวเองมากกว่า

“คือ......” พีมีท่าทางลำบากใจ “พี่เมฆคงต้องนอนห้องผมไปก่อนนะครับ คืนนี้ หรืออย่างน้อยๆก็........ อีกสองสามวันมั๊ง”

ผมหันไปมองหน้าของพีเพื่อรอคำอธิบาย

“พี่ซันไม่อยู่บ้านน่ะครับ ออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายๆแล้วยังไม่กลับมาเลย ห้องพี่สองคนก็ล็อค พี่ซันสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งในห้องเด็ดขาดน่ะครับ แต่จะว่าไปคนอื่นก็ไม่มีใครมีกุญแจห้องนั้นอยู่แล้วด้วยอยู่ดี”

“แต่พี่มี” ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วดึงกุญแจห้องออกมาจากช่องใส่เหรียญ “แต่พี่ไม่เข้าไปหรอก พีไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ทำให้พีเดือดร้อนหรอกครับ และที่สำคัญ ถ้ามันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งกับห้องของมัน พี่ก็จะไม่ยุ่ง” ผมโยนกุญแจห้องเข้าไปในสวน พีมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นผมทำแบบนั้น แต่ผมก็หันกลับมายิ้มให้เขา “ไม่ต้องห่วงครับ พี่ไม่ได้ทำเพื่อประชดหรอก แต่แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”

“พี่เมฆ”

“ไปกันเถอะครับ เข้าบ้านกัน พี่เหนื่อยมากอยากนอนเต็มแก่แล้ว และที่สำคัญพี่เองก็คิดถึงพีมากๆด้วย นานๆได้มานอนคุยกันกับพีตามลำพังแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบเจ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบกับใบหน้ายามหลับของพีที่นอนอยู่ข้างๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาข้อมือมาดูก็เห็นว่ามันเพิ่งจะยังไม่หกโมงเช้าดีเลย แต่คงเป็นเพราะการปรับตัวเรื่องเวลาที่ยังไม่เข้าที และบวกกับนิสัยตื่นเช้าของผมอยู่แล้วที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้

ผมค่อยๆพลิกตัวเพราะไม่อยากปลุกให้พีตื่น จากนั้นก็ลุกเดินออกไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ผมยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆเมื่อนึกย้อนไปถึงวันแรกๆที่ผมกับไคล์เจอกัน ตอนที่ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วเลยเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยครึ่งท่อน และตอนที่ผมเห็นไคล์เพิ่งอาบน้ำเสร็จด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นยังมีความตึงเครียดของคนแปลกหน้าและความรู้สึกเป็นคู่แข่งขวางกั้นอยู่ระหว่างเราสองคนอยู่เลย แต่ในตอนนี้ผมที่เป็นลูกคนเดียวมาตลอดก็กลับได้ไคล์มาเป็นน้องชายคนแรก และเป็นน้องชายลูกครึ่งที่มีหน้าตาดีมากซะด้วย

ผมเดินกลับเข้าไปในห้องมองหน้าพีที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้ายามหลับของพีนี่ยิ่งทำให้เขาดูเป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ถึงแม้เราจะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน แต่ถ้าหากโชคชะตาไม่ทำให้เราได้ไปเจอกันที่อเมริกาตอนนั้นล่ะก็ ผมก็คงจะไม่ได้เขามาเป็นน้องชายอีกคนแบบนี้แน่นอน........ แถมยังเป็นน้องชายเชื้อสายจีนที่หน้าตาดีมากอีกคนนึงด้วยเช่นกัน

ผมยิ้มให้กับใบหน้ายามหลับของพีแล้วก็ตัดสินใจค่อยๆหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเพื่อใช้เปลี่ยน จากนั้นก็เดินออกจากห้องและปิดประตูลงเบาๆ เขาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่าวันนี้เขาไม่มีเรียน ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องไปรบกวนเขาแต่เช้าแบบนี้

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงวอร์มแล้วก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และจุดประสงค์ของผมก็คือที่สวนสาธารณะแห่งนั้นที่เดิมที่ผมเคยไปเล่นบาสและเดินเล่นกับไอ้ซันเป็นประจำ ผมเดินผ่านบ้านเรือนที่คุ้นเคย ลัดเลาะผ่านสนามเด็กเล่นและสนามหญ้ามุ่งตรงไปยังลานกีฬาและสนามบาส

ผมทิ้งตัวลงนั่งและปล่อยกายสัมผัสกับความหนาวเย็นของอากาศในตอนเช้า ถึงจะอยู่ในตัวเมือง แต่เวลาเช้ามืดขนาดนี้ก็ยังพอมีหมอกจางๆให้ได้เห็นอยู่บ้าง ผมนั่งชันเข่ามองทิวทัศน์และสัมผัสบรรยากาศที่ตัวเองก็ไม่เคยได้รู้สึกและสัมผัสถึงมานานแล้ว หากว่ามีอะไรที่ผมจะต้องการมากที่สุดในเวลานี้ล่ะก็ ผมก็คงต้องการเพียงแค่ไอ้ซันมานั่งอยู่ข้างๆผมและคอยกุมมือผมเอาไว้เท่านั้นเอง

ผมยังจำวันแรกที่เราบอกรักกันและวันถัดมาที่เราเดินจูงมือกันเป็นครั้งแรกในสวนสาธารณะแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ความทรงจำเหล่านั้นมันดูยาวนานมากแล้วเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยจางลงไปจากความทรงจำและจิตใจของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกถ้อยคำที่มันเคยพูด ทุกท่วงท่าที่มันเคยแสดงออก และทุกสีหน้าที่ผมเคยเห็น ผมยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่แล้ว บินมาไกลกว่าครึ่งโลกเพื่อมาตามท้องฟ้าของผมกลับคืน แต่ว่าผมแน่ใจแล้วหรือยังว่าผมพร้อมที่จะทำให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นดังเดิม รอยร้าวระหว่างเราที่เกิดขึ้นนั้นมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่หรือเปล่า........ นั่นคือคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบ แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องการมันในตอนนี้ด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้ผมรู้แต่เพียงว่าซันคือความสุขของผม เป็นรอยยิ้มเพียงหนึ่งเดียวสำหรับผม และถ้าผมไม่พร้อมที่จะให้อภัย ผมก็คงไม่มีค่าพอที่จะได้ครอบครองมัน ได้มีมันเป็นความสุขในชีวิตของผมอีกต่อไป

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น ผมก็ตัดสินใจจะกลับบ้านก่อนที่พีจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอผมจนเริ่มเป็นห่วง แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับนั้นผมก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นบาสกับผมสองคน ทั้งคู่ดูแปลกใจมากที่ได้เจอผมอีกครั้ง เราสามคนจึงยืนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะขอตัวเดินจากมา และในขณะที่ผมเดินอยู่ใกล้จะถึงบ้านแล้วนั้น ผมก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งเลี้ยวมาจากหัวมุมถนนแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน ผมนึกแปลกใจว่าใครกันที่จะมาที่บ้านในเวลานี้ ในเมื่อตอนนี้ไม่ควรที่จะมีใครอยู่บ้านเลยนอกจากพีเพียงคนเดียว

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมกลับชะลอฝีเท้าของตัวเองลงจนกระทั่งหยุเดินเพื่อรอดูว่าใครที่จะก้าวออกมาจากรถ เมื่อประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก ผมก็เห็นว่าคนที่ก้าวลงจากรถมาคือผู้ชายผมทองหน้าตาดีคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆสักสามสิบกว่าๆ แต่ก็ยังคงดูแลรักษาทั้งหน้าตาและร่างกายของตัวเองได้ดีมาก เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงคิดได้ว่าอาจจะเป็นแขกที่มาหาพ่อหรือแม่เล็กรึเปล่า ผมจึงตั้งท่าจะก้าวขาออกเดินจากที่ๆตัวเองหยุดอยู่เมื่อครู่ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าลงและรีบหลบให้พ้นจากสายตาของพวกเขาก็คือ คนที่เดินลงมาจากประตูฝั่งคนนั่ง เพราะคนๆนั้นก็คือไอ้ซัน

โชคดีที่จากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ยังค่อนข้างจะอยู่ห่างจากบ้านของเรา และห่างจากที่ๆสองคนนั้นยืนอยู่พอสมควร แต่ถ้าผมไม่ระวังล่ะก็พวกเขาก็คงจะสังเกตเห็นผมได้ไม่ยาก

“ไอ้ซัน.........” ผมพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ คำถามนับร้อยผุดขึ้นมาในหัวของผมมากมาย นอกจากนั้นผมยังรู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่อย่างรวดเร็วกว่าปกติด้วย จริงๆผมก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อผมจะต้องเผชิญหน้ากับมัน ผมก็คงจะอดกังวลและรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ แต่ผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผมจะต้องมาเจอมันในลักษณะนี้ และแน่นอน ไม่คิดด้วยว่าผมจะได้มาเจอมันอยู่กับคนอื่นที่ผมไม่รู้จักและไม่คิดว่ามันจะรู้จักด้วยแบบนี้.........

ทั้งสองคนยืนพูดคุยกันอยู่หน้าบ้านครู่หนึ่ง สีหน้าของไอ้ซันดูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และอีกฝ่ายเองก็ดูมีความสุขไม่แพ้กันด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนสวมกอดกันเป็นการบอกลา และนั่นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกใจหายวาบ ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว รู้สึกสับสน และรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหนและเพราะอะไรทั้งคู่ถึงได้ดูใกล้ชิดกันมากถึงขนาดนี้ ความกังวลแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนกับไอ้ซันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างที่ผมไม่เคยเป็น เพราะอย่างน้อยๆผมก็คิดว่าผมรู้จักเพื่อนของไอ้ซันทุกคนที่นี่ดี ผมจำไม่ได้เลยว่ามันเคยพูดถึงคนอายุมากกว่ามันคนไหนเมื่อสมัยที่เราอยู่ที่นี่กันมาก่อน และเมื่อผมคิดถึงสิ่งที่พีกับไคล์บอกผมเมื่อก่อนหน้านี้ว่าบางทีไอ้ซันก็ออกจากบ้านและกลับดึก หรือบางทีก็ไม่กลับมาจนกว่าจะเช้าแบบนี้แล้ว........ จะว่าผมเป็นบ้าวิตกกังวลไปเองก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ไอ้ซันมันกำลังทำอยู่คือสิ่งที่มันทำเพื่อประชดผมหรือประชดตัวเองแล้วล่ะก็.........

ผมตัดสินใจหันหลังกลับและเดินไปตามทางเท้ากลับไปยังสวนสาธารณะแทนพร้อมด้วยความคิดสับสนที่ก่อตัวขึ้นอยู่จนเต็มหัวไปหมด อย่างน้อยๆในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าตัวผมเองยังไม่มีความกล้า และยังไม่เข้มแข็งมากพอที่จะพบหน้ามันในตอนนี้ได้

ผมเดินไปเดินมาอยู่ในตรงรอบนอกของสวนสาธารณะกว่าหนึ่งชั่วโมงได้ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับบ้านเพราะคิดว่าไอ้ซันคงจะเข้านอนไปแล้ว เพราะไม่ว่ามันจะไปไหนหรือทำอะไรมาก็ตาม ผมคิดว่าถ้ามันกลับมาถึงบ้านเช้าแบบนี้ สิ่งแรกที่มันต้องการก็คงจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยสักงีบก่อนแน่นอน

เมื่อผมเดินกลับไปถึงบ้านผมก็เห็นพีกำลังยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล และเมื่อเขาเห็นผม เขาก็รีบเดินตรงเข้ามาหาผมทันที

“พี่เมฆไปไหนมาครับ”

“พี่ไปเดินเล่นที่สวนมาน่ะ พี่เห็นพีหลับอยู่ก็เลยไม่อยากกวน” ผมตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงปกติ

“แล้วเมื่อกี๊พี่.........”

“อะไรครับ”

พีทำสีหน้าลำบากใจ “เมื่อกี๊พี่ซันกลับมาแล้วนะครับ”

“อ้าวเหรอ” ผมพูดขณะกำลังเดินเข้าไปในตัวบ้าน “แล้วมันเข้านอนไปรึยังล่ะ”

“ยัง” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคน ทำให้ทั้งผมและพีต้องหันหลังกลับไปพร้อมๆกันด้วยความตกใจ ไอ้ซันที่ยืนหอบเบาๆอยู่พร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาไปทั่วทั้งใบหน้ามองตาผมอย่างไม่ยอมละสายตา “มันยังไม่นอนหรอก”

พีหันมามองผมกับซันสลับกันด้วยแววตาแสดงความเป็นห่วงและเป็นหังวล ก่อนที่จะค่อยๆถอยห่างแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

“มึงไปไหนมา” ไอ้ซันถาม และเมื่อผมสังเกตดูดีๆแล้ว ผมก็คงต้องถอนคำพูดที่บอกว่ามันดูมีความสุขดีคืนแทบจะในทันที เพราะสภาพของไอ้ซันในตอนนี้ แม้จะไม่นับเหงื่อที่ไหลออกมาจนทั่วนี่แล้วก็ยังเรียกได้ว่าโทรมลงไปกว่าที่มันเคยเป็นมากพอสมควรทีเดียว “มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมมึงไม่บอกกูก่อน”

“ไปเดินเล่นที่สวนมา” ผมตอบพลางก้มลงถอดรองเท้า นึกสงสัยตัวเองว่าหรือผมจะไม่สามารถทนสบสายตาของมันหรือแม้แต่มองหน้าของมันในตอนนี้ได้

“กูหมายถึงหลังจากที่มึงเห็นกูกลับมาแล้วเมื่อกี๊ มึงหายไปไหนมาอีก”

หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ “ก็อยู่แถวนั้นนั่นแหละ” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน “แล้วมึงจะทำไมกูล่ะ กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกูนี่ และถึงกูจะมาที่นี่เมื่อไหร่ทำไม มันก็เรื่องของกูอีกไม่ใช่หรือไง”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มันฟังดูแรงกว่าที่ผมหมายความ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่ทว่าแววตาของไอ้ซันนั้นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไปจนอยากจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับคืนมาเหลือเกิน

แววตาของมันกำลังร้องไห้ทั้งๆที่ไม่มีน้ำตา

“มึงกำลังเข้าใจผิดแล้วนะเมฆ.........”

“ทำไมกูต้องเข้าใจอะไรผิดด้วยล่ะ กูไม่เห็นเข้าใจเลย” ผมรู้สึกว่าผมอยากจะเดินหนีกลับเข้าไปในบ้าน แต่อะไรบางอย่างกลับกำลังรั้งตัวและขาของผมเอาไว้ให้ยืนอยู่ที่เดิม

ไอ้ซันเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างแรง “กูคิดถึงมึงจริงๆเมฆ กูคิดถึงมึงมาก กูขอโทษ.........”

ผมหลับตาลงและพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ สัมผัสของมัน ความอบอุ่นของมัน กลิ่นของมันนี้คือความจริง เป็นความจริงที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้วเหลือเกิน มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆยกสูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มลังเลว่าผมควรจะกอดมันกลับไปในตอนนี้ดีหรือไม่ แต่ในตอนที่แขนทั้งสองข้างของผมกำลังจะโอบกอดตัวมันอยู่แล้วนั้น ไอ้ซันก็ดึงตัวของผมออกพอดี

“กู...... กูขอโทษ กูไม่ควรจะทำแบบนี้เลย” ไอ้ซันก้มหน้าพูด

ผมได้แต่ยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ไอ้ซันเองก็ดูท่าทางจะรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่าผมซะอีก มันดูแย่จนผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังคิดถึงสิ่งที่มันทำผิดลงไป และมันคงยังไม่ได้ให้อภัยตัวเองด้วยแน่ๆ.......... แล้วผมล่ะ ให้อภัยมันไปแล้วรึยัง

“มึงรู้มั๊ยว่ากูมาที่นี่ทำไม” ผมถามออกไปในที่สุด

ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ผมจำไม่ได้เลยว่าตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา ผมเคยเห็นไอ้ซันมีแววตาที่ดูอ่อนแอมากอย่างในตอนนี้หรือเปล่า

“กู........ ไม่กล้าคิด”

“งั้นเหรอ.........” ผมถอนหายใจเบาๆแล้วเบือนหน้าหนี ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองและให้อภัยมันได้เลย ถ้าผมกับมันยังคงมีสิ่งที่ค้างคาหรือความโกหกปิดบังอะไรเหลืออยู่ระหว่างเรา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจถามมันออกไป “คนเมื่อกี๊คือใครเหรอ กูไม่เห็นคุ้นหน้าเลย”

“คริส........ มึงไม่รู้จักหรอก เพราะกูก็เพิ่งรู้จักเค้าเหมือนกัน”

“แล้วมึงก็ไปค้างคืนกับเค้า กับคนที่มึงเพิ่งรู้จักมาตลอดเวลาที่มึงอยู่ที่นี่น่ะเหรอ” ผมถามออกไปอย่างเจ็บปวด ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันฟังดูเป็นการประชดประชันหรือเสียดสีมากขนาดนี้ แต่ทว่าความคับข้องใจของผมมันก็กำลังทรมานผมอยู่ภายในเช่นกัน “เค้าคือใคร ซัน มึงกับเค้าเป็นอะไรกัน แล้วตลอดเวลานี้มึงไปไหนกันมาถึงได้ไม่กลับบ้านกลับช่องแบบนี้ มึงบอกกูมาเถอะซัน”

“กูขอโทษ แต่กูบอกมึงไม่ได้จริงๆ” ไอ้ซันตอบด้วยสีหน้าปวดร้าว “แต่กูไม่ได้มีอะไรกับเค้าจริงๆ มึงเชื่อกูสิเมฆ”

ผมหลับตาลงและเบือนหน้าหนีมันไปเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมความรู้สึกหันมาสบตากับมันอีกครั้ง “อืมม กูเชื่อมึง ซัน แต่ว่ากูยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับมึงตอนนี้อีกแล้ว” ผมเริ่มพูดด้วยเสียงที่สั่นเทา “ให้ตายสิ ไอ้ซัน กูถ่อมาถึงที่นี่แต่กูกลับต้องมาพูดประโยคนี้กับมึง กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากูจะต้องพูดประโยคนี้ออกไป” น้ำตาของผมมันเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองช้าๆ

“เมฆ อย่าทำแบบนี้ กูขอร้องล่ะ........ เมฆ กูขอร้อง” ไอ้ซันเริ่มหน้าเสียและดูเหมือนมันเองก็กำลังจะร้องไห้แล้วด้วยเหมือนกัน

“กูเชื่อมึง กูอยากจะเชื่อ แต่กูคงไม่สามารถคุยกับมึงได้อีกแล้วถ้ามึงยังมีเรื่องโกหกปิดบังกูอยู่แบบนี้อีก ซัน....... กูรักมึง แต่กูทนไม่ได้จริงๆที่จะต้องทนรับฟังคำโกหกหรือเรื่องหลอกลวงอีก” ผมเริ่มสะอื้นออกมาเบาๆ “แม่งเอ๊ยยย กูไม่อยากจะเห็นหน้ามึงอีกแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้กูทนมองหน้ามึงไม่ได้จริงๆ กูเจ็บ มึงรู้มั๊ย กูอยากคุยกับมึง อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากให้มึงเปิดใจกับกู แต่มึงก็ยังทำแบบเดิม ทั้งๆที่กูอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้ว ทั้งๆที่มึงก็รักกูมากขนาดนั้นแล้ว แต่กูขอโทษซัน กูทนไม่ได้จริงๆ........” เมื่อพูดจบน้ำตาที่ถูกรั้งเอาไว้ก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้ผมอ่อนแอและเสียใจที่สุดที่ต้องเผชิญหน้ากับความอ่อนแอนั้นของตัวเอง “กูขอร้องล่ะ กูขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย มึงบอกกูมาเถอะ อย่าให้เราสองคนต้องเจ็บปวดเพราะการโกหกปิดบังกันอีกเลยนะ ซัน มึงก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเกิดมาจากคำโกหกปิดบังกันทั้งนั้น มึงอย่าทำมันอีกเลยนะ กูขอร้อง.........”

ไอ้ซันหลับตาลงและหยดน้ำตาใสๆก็ร่วงหล่นลงบนแก้มของมัน “กูขอโทษ เมฆ แต่ตอนนี้กูบอกมึงไม่ได้จริงๆ มึงยังไม่ควรที่จะรู้ในตอนนี้”

ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจของตัวเองกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายทั้งร่างดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงไปจนหมด ทั้งๆที่ผมเพิ่งพูดไปว่าผมเชื่อใจมันและอย่างน้อยๆผมก็รู้สึกว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงต้องเจ็บปวดทรมานมากถึงขนาดนี้ด้วย หรือว่าผมจะคาดหวังกับสิ่งต่างๆมากจนเกินไป หรือว่าผมจะคาดหวังอะไรๆจากตัวของมันมากจนเกินไปเอง

“กูเข้าใจแล้ว กูขอโทษนะซัน” เมื่อพูดจบ ผมก็หันหลังเดินเข้าบ้านไปทันที ผมเดินผ่านพีในห้องนั่งเล่นตรงไปยังบันไดโดยไม่ฟังเสียงเรียกของเขา จากนั้นผมก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอนของพี ปิดประตู ล็อกกลอน และทิ้งตัวลงนั่งเอาหลังพิงประตูร้องไห้อย่างสุดแรง

ความเข้มแข็งที่ผมทนฝืนมานานหลายวันมันพังทลายลงไปอย่างเปราะบางราวกับแก้วที่ตกลงมาแตก ความอ่อนแอที่ผมต้องเก็บมันไว้ภายในขณะที่ต้องคอยจัดการเรื่องวุ่นวายต่างๆมันไหลทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตาที่พร่างพรูลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ในตอนนี้วินาทีนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ผมสามารถอ่อนแอและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมากที่สุด ผมปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาพัดพาเอาความเข้มแข็งจอมปลอมที่ใครๆต่างก็พูดว่าผมเป็นหลั่งออกมาจากภายใน หลายวันที่ผ่านมาผมต้องเข้มแข็ง ต้องทนฝืน ทนเก็บอะไรหลายๆอย่างมากมายเหลือเกิน แต่ในตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมไม่ได้อยู่กับพี่วิน กับไคล์ กับพ่อ กับเพื่อนคนไหน หรือแม้แต่กับไอ้พี่จ๊อบแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องทนฝืนเอาไว้อีกต่อไปแล้ว.........

ในหนึ่งนาทีที่ยาวนานนี้ ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งของใครๆอีกต่อไปแล้ว

พีเคาะประตูเรียกผมหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น ผมยังไม่พร้อมแม้แต่จะฟังเสียงเรียกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมบอกขอโทษเขาและบอกเขาว่าผมอยากอยู่คนเดียวตามลำพังสักพัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกได้เลยว่าพีเองก็ไม่ได้ไปไหนไกล ทั้งจากเสียงและเงาที่ลอดผ่านช่องว่างใต้ประตูบอกให้ผมรู้ว่าเขาเองก็ยังคงนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูรอผมอยู่เหมือนกัน

เมื่อน้ำตาเริ่มหยุดไหล ผมก็เริ่มกลับมาใช้สมองของตัวเองคิดแทนหัวใจอีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนและเปิดประตูออกให้พีเดินเข้ามา ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก พีก็โผเข้ามาสวมกอดผมทันที และเมื่อเขาผละออก ผมก็เห็นว่าตาของเขาดูเหมือนจะแดงช้ำเล็กน้อย

“พีร้องไห้เหรอครับ” ผมถามพลางใช้นิวชี้ไล่ที่ใต้ขอบตาของเขาเบาๆ “พีร้องไห้ทำไม พี่ขอโทษนะครับ พี่ผิดเองที่ทำให้พีต้องเป็นห่วง”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นแหละครับ” พีคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ “พี่สบายใจขึ้นรึยังครับ”

“มั๊งครับ.........” ผมถอนหายใจ “พี่ใช้อารมณ์มากไปหน่อยเองแหละครับ พี่ทนเก็บอะไรหลายๆอย่างไว้มากเกินไปหน่อยแล้วก็เท่านั้นเอง เมื่อกี๊พี่ก็เลย........”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ เพราะพี่เมฆต้องเจออะไรมามาก ต้องเข้มแข็งเพื่อใครหลายๆคนมาตลอด ทั้งพ่อ ทั้งไคล์ และทั้งเพื่อตัวเอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่บ้านโดนขโมยขึ้น พ่อกับไคล์ถูกทำร้าย และยังเรื่องงี่เง่าๆของไอ้คนที่ชื่อจ๊อบนั่นอีก”

ผมมองหน้าพีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“ผมก็พอรู้จากที่ไคล์กับลุงเอกเล่านิดหน่อยแหละครับ ไม่ได้รู้รายละเอียดมากมายหรอก แต่ว่าผมเข้าใจพี่ครับ เข้าใจดีเลยด้วย พี่ยังจำได้มั๊ยล่ะว่าผมก็เคยรู้จักคนอยู่คนนึงที่มีนิสัยคล้ายๆพี่ คนที่มีนิสัยที่อยากจะยิ้มและเข้มแข็งเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตัวเองจะกำลังเจ็บปวดมากขนาดไหนก็ตาม........” พีส่งยิ้มเศร้าๆให้กับผม “เพียงแต่ว่าในตอนนี้ผมขอร้องพี่อย่างนึงนะครับ แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พี่พอจะช่วยผมได้มั๊ย”

“อะไรล่ะครับ” ผมถามกลับ นึกกลัวเล็กน้อยว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ซัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ ผมก็ยังคงไม่แน่ใจนักว่าผมจะสามารถทำอะไรให้พีได้หรือเปล่า

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่นะครับ วันนี้เราสองคนออกไปเดินเล่นไปกินข้าวไปเที่ยวกันสองคนนะ และเดี๋ยวคืนนี้เราไปนั่งกินเหล้าด้วยกัน”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบแปดสู่ปลายทางสุดท้าย


“พี พี่ไม่แน่ใจเลยนะว่าพี่อยากจะทำอะไรแบบนี้น่ะ” ผมบอกกับพีหลังจากที่เราสองคนอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เอาเถอะน่าครับพี่เมฆ ผมรับรองเลยว่าพี่จะต้องรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ” พียืนยัน

พีเริ่มต้นโดยการขับรถพาผมออกไปทานข้าวเช้าที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งที่เมืองข้างๆ เขาคอยคุยและคอยเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ผมฟังอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ปกติพีจะเป็นคนค่อนข้างที่พูดน้อยที่สุดในพวกเราสี่คน แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผมกับเค้าก็ค่อนข้างสนิทกันมากอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจผมแบบนี้ก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้มาก

หลังจากข้าวมื้อสายของเรา พีก็ขับรถพาผมไปนอกเมืองซึ่งใช้เวลาอีกราวๆชั่วโมงครึ่งจากร้านอาหารที่เรากินกัน ที่นั่นคือเมืองเล็กๆสงบๆแห่งหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก พีบอกผมว่าที่นี่มีชื่อว่า “นิวเลค” ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งของเขามีบ้านอยู่ที่นี่ เขาก็เลยเคยมาที่นี่อยู่สองสามครั้ง พีขับรถพาผมชมรอบตัวเมืองสักพักหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจนัก ก็แค่เมืองเล็กๆเงียบๆแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง แต่เมื่อพีพาผมไปยังรอบนอกของเมือง ผมถึงได้รู้ว่าเขาพาผมมาที่นี่ทำไม

หลังจากที่ขับรถเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆแห่งหนึ่งมาจนถึงปลายทาง พีก็หยุดรถลง ที่ๆพีพาผมมาเป็นเนินเขาเล็กๆลูกหนึ่งที่ท่าทางจะเป็นสวนสาธารณธกลายๆสำหรับชาวเมืองแห่งนี้ด้วย เราสองคนเดินไต่ตามเนินเขาขึ้นไปราวๆห้านาทีจนไปถึงข้างบนสุด และเมื่อมองลงมาจากด้านบนแล้ว ทางด้านหนึ่งจะเป็นเมืองที่เราขับรถผ่านมาเมื่อครู่ แต่เมื่อมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าที่มาของชื่อเมืองนั้นมาจากที่ไหน เพราะเบื้องหน้าของเราสองคนคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ผิวน้ำสะท้อนกับแสงแดดเป็นแสงระยิบระยับสวยงาม

“โห......” ผมอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นความสวยงามเบื้องหน้า

“เป็นไง สวยมั๊ยครับ โชคดีที่ช่วงนี้แดดไม่แรงเท่าไหร่ และอากาศก็กำลังดีด้วย” พีหันมายิ้มให้ผม

“นั่นสินะ ถ้าขับรถตรงมาจากที่บ้านเลยนี่มันจะใช้เวลาประมาณเท่าไหร่เหรอพี” ผมเหยียดแขนออกและล้มตัวลงนอน

พีค่อยๆนั่งลงแล้วหันมามาพูดกับผม “ก็น่าจะราวๆสองชั่วโมงกว่ามั๊งครับ แต่ตอนที่ผมมาครั้งแรกผมนั่งรถไฟมากับเพื่อนน่ะ”

“ดีนะ สงบดี ตอนกลับไปกรุงเทพนี่พี่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ รู้สึกเหมือนเป็นความฝันเลยนะเนี่ย” ผมหลับตาลงปล่อยกายให้สัมผัสกับลมเบาๆแสงแดดอ่อนๆ และปล่อยใจให้สัมผัสกับความสงบที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“พอเพื่อนผมพาเดินขึ้นมาถึงบนนี้ ผมก็นึกถึงพวกเราสี่คนขึ้นมาทันทีเลยล่ะครับ”

“หืมมม”

พีนั่งชันเข่ามองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า “ผมจำได้ว่า ไคล์เคยบอกผมว่าตอนที่พวกพี่ขับรถไปแกรนด์แคนยอนกัน ที่แฟล็กสต๊าฟฟ์ ที่เคยพูดไว้ว่าถ้าได้อาศัยอยู่ที่เมืองเงียบๆสงบๆแบบนั้นก็คงไม่เลวใช่มั๊ยล่ะครับ ผมก็เลยตั้งใจจะพาพี่มาที่นี่ด้วย”

ผมหันไปหาพีด้วยความรู้สึกทึ่งๆเล็กน้อย “นี่พีจำได้ด้วยเหรอ”

พียิ้มเขินๆแทนคำตอบให้กับผม “ที่จริงผมเองก็คิดแบบเดียวกับพี่แหละครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นรึเปล่า ปีหน้าพอผมเรียนจบ ผมก็ต้องกลับบ้าน กลับกรุงเทพ แต่ก็คงจะไม่ได้อยู่กับไคล์เหมือนเมื่อก่อน ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ๆกันไม่ใช่อยู่ไกลกันข้ามฟ้าแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าพ่อแม่ผมไม่มีใครรู้เรื่องผมกับไคล์เลย และถ้าเกิดพวกท่านสงสัยอะไรขึ้นมาหรือเกิดจับได้ว่าผมชอบผู้ชายล่ะก็ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันครับ........” พีถอนหายใจและทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม “นึกๆแล้วก็เครียดนะครับ เพราะผมไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตเลย อีกไม่ถึงสองปีไคล์ก็เรียนจบแล้ว และก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะกลับมาที่อังกฤษรึเปล่า พ่อแม่เค้าก็อยู่ที่นี่ บ้านเค้าครอบครัวเค้าเพื่อนฝูงสังคม ชีวิตของเค้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่ใช่ ถึงยังไงพอเรียนจบผมก็คงต้องกลับไปดูแลกิจการที่บ้านที่กรุงเทพ อยู่กับพ่อแม่ และถ้าแย่ลงไปอีก ก็คงต้องถูกบังคับให้แต่งงานเข้าสักวัน แต่ที่แน่ๆคือผมคงไม่มีวันได้กลับมาที่อังกฤษอีก อันนี้แน่นอนเลย”

ผมนอนฟังที่พีพูดแล้วก็เข้าใจสิ่งที่เขาคิด ด้วยพื้นฐานที่พีเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดมาก็เป็นความจริงที่พวกเค้าสองคนต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้แล้วจริงๆ “แล้วพีเคยคุยเรื่องนี้กับไคล์รึเปล่า”

“เคยครับ แต่ไคล์ก็บอกแต่ว่าเค้ายังไม่อยากให้ผมเครียดมากไปก่อน เพราะถึงยังไงสิ่งที่เค้ารอคอยมากที่สุดก็คือวันที่ผมได้กลับไปกรุงเทพและเราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง..........” พีหันมามองหน้าผม “เราสี่คนน่ะครับ”

ผมสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าเบื้องหน้า ก้อนเมฆสีข้าวก้อนใหญ่กำลังลอยอย่างอ้อยอิ่งค่อยๆบดบังดวงอาทิตย์อยู่อย่างช้าๆ.......... พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็นึกออกถึงเหตุผลที่พีพาผมมาที่นี่ได้ทันที ข้างบนเบื้องหน้าของผมคือท้องฟ้าและก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่กัน เบื้องล่างนี้คือผืนดินที่เราใช้เอนกาย ส่วนข้างล่างเนินเขาลูกนี้ก็คือผืนน้ำใหญ่ที่สะท้อนสีฟ้าครามจากท้องฟ้าเบื้องบน และหยอกล้อเล่นกับแสงอาทิตย์จนส่องแสงระยิบระยับตา

ผมนอนหลับตานึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา นึกถึงความตั้งใจของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่ผมมีและสูญเสียมันไป นึกถึงใบหน้าที่เจ็บปวดของไอ้ซัน และคำพูดของมันที่บอกผมเมื่อเช้า นึกถึงภาพเก่าๆตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่ห้องเดียวกัน นึกถึงวันที่ผมเกือบจะต้องเสียมันไป ร่างของมันที่ชุ่มไปด้วยเลือด รอยยิ้มของมันในวันที่เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันริมทะเล น้ำตาของมันที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นในวันที่ผมนอนหลับอยู่ในโรงพยาบาล ใบหน้าของมันในวันที่ผมได้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบปี เสียงหัวเราะของพวกเราทุกคนเมื่อปีก่อน ใบหน้ายามโกรธของไอ้ซันที่ผมทำงานให้มันไม่ได้อย่างใจ ภาพที่มันวิ่งเล่นอยู่ในทะเลกับเพื่อนๆของเราเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ สีหน้าแสดงความห่วงใยของมันตอนที่ผมถูกแทง ความอบอุ่นจากมือของมันตอนที่มันจูงมือผม สัมผัสของมันตอนที่เรานอนกอดกัน รสชาติจากริมฝีปากเรียวบางของมันเมื่อเราจูบกัน........ และภาพที่มันจูบกับไอ้แบ๊งค์ก็วนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งจนผมต้องสะดุ้งและลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับพีที่กำลังนั่งมองผมอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไรไปครับพี่เมฆ”

ผมมองไปรอบๆและพยายามนึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และทำไมพีถึงมาอยู่ข้างๆผมได้ จนในที่สุดผมก็นึกออกว่าตอนนี้ที่ผมอยู่ที่อังกฤษแล้ว และตอนนี้พีก็กำลังพาผมมาเที่ยวเพื่อให้ผมสบายใจจากเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมาเมื่อเช้าอยู่

ใช่ เพื่อให้ผมลืมว่าผมเจ็บปวดจากสิ่งที่ผมเจอมาทั้งหมดมากขนาดไหน

“เปล่า พี่ไม่เป็นอะไร.........” ผมตอบพลางชันตัวขึ้นนั่ง “นี่กี่โมงแล้วครับ พี่เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

พีมองผมด้วยสายตาเป็นกังวลเล็กน้อย “ตอนนี้จะบ่ายโมงแล้วครับ ผมกำลังจะปลุกพี่ไปหาอะไรกินกันพอดี”

“งั้นเหรอ......”

“พี่เมฆ....... ถ้าพี่มีอะไรอยากจะพูดล่ะก็ ผมอยู่ข้างๆพี่เสมอนะ ผมรักพี่นะครับ”

ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี “ครับ พี่รู้แล้วพี่ก็รู้สึกขอบใจมากจริงๆ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

พีพยักหน้ายอมรับเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้กับผม “ไปกันเถอะครับ ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้วด้วย”

ผมจับมือของพีแล้วก็ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

“นั่นสินะ” ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วก็เห็นว่าก้อนเมฆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำและเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ พระอาทิตย์ที่เพิ่งจะสาดแสงก็ถูกก้อนเมฆก้อนใหญ่บดบังเสียจนมิด ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าครามใสก็กลับกลายเป็นมืดครึ้มแลดูน่าหม่นหมอง

พีออกเดินนำหน้าผมไปเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะเรียกชื่อของเขา พีหยุดเดินและหันมามองหน้าผมเป็นเชิงคำถาม

“พี่มีอะไรอยากเล่าให้ฟังครับ พีจะฟังหน่อยได้มั๊ย”

พีสิ่งยิ้มให้ผมพร้อมกับพยักหน้าออกมา

“งั้นเราไปคุยกันในรถเถอะครับ ในตอนนี้พี่ไม่รู้สึกอยากเจอกับฝนสักเท่าไหร่หรอก........” ผมออกเดินไปพร้อมๆกับพีจนไปถึงที่รถ และเมื่อปิดประตูรถลง ฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มตกลงมาพอดี พีทำท่าจะสต๊าร์ทรถ แต่ผมก็ห้ามเขาเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวพี พี่ยังไม่อยากไป เรามาคุยกันก่อนเถอะ”

พีพยักหน้า จากนั้นก็หันมาสบตากับผม “พี่เมฆ ถึงผมจะบอกว่าถ้าพี่มีอะไรอยากพูดก็ขอให้บอกผมได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องพูดในสิ่งหรือในเวลาที่พี่ไม่อยากจะพูดหรอกนะครับ”

“ไม่ พี่อยากจะเล่าให้พีฟังจริงๆ.........” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เราเจอกันมานับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกับพี่จ๊อบให้พีฟัง โดยรวมแล้วมันก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเล่าให้ต่ายฟังนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะมีรายละเอียดมากกว่าจนเรียกได้ว่าผมเล่าให้เขาฟังเกือบจะทั้งหมดเลยทีเดียว และที่สำคัญผมไม่ลืมที่จะเล่าให้พีฟังถึงสิ่งที่ผมรู้มาสำหรับตัวไอ้ซันด้วย “ก็อย่างที่พี่พูดแหละครับ พี่คิดว่าพี่รู้แล้วว่าเหตุผลที่ไอ้ซันทำแบบนั้นลงไปคืออะไร ตอนนี้พี่เข้าใจมันแล้ว พี่ไม่เสียใจสำหรับเรื่องนั้นอีกแล้ว แต่ว่าเมื่อเช้าพี่ก็ยังทำตัวแบบนั้นลงไป พี่ไม่เข้าใจตัวเองเลย”

พีที่นั่งฟังมาตลอดด้วยสีหน้าและอารมณ์ที่แทบไม่ต่างกับต่ายเท่าไหร่ในที่สุดก็พูดออกมา “แต่พี่เมฆไม่ได้พูดว่าพี่เข้าใจในเรื่องที่พี่ซันไปจูบกับคนที่ชื่อแบ๊งค์........”

ผมพยักหน้าเบาๆ “ใช่ สำหรับเรื่องนั้นพี่ไม่เห็นเหตุผลว่าจะมีสาเหตุไหนมาให้มันทำแบบนั้น เพราะอย่างน้อยๆพี่ก็เห็นตอนที่มันเกิดขึ้นด้วยตาของตัวเอง และที่สำคัญพี่คิดว่านอกเหนือจากสาเหตุที่พี่เล่าไปเมื่อกี๊ พี่คิดว่าไอ้ซันเองก็คงรู้สึกผิดและรับผิดชอบด้วยการทำแบบนี้ด้วย”

พีมีสีหน้าขุ่นข้องใจ “แต่พี่ก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ซันเลยใช่มั๊ยครับ”

“ก็อย่างที่พีรู้และเห็นเมื่อเช้านั่นแหละ”

“ผมว่าผมเข้าใจนะว่าพี่คิดยังไง พี่ทั้งสองคนเลย แต่ว่าผมอยากให้พี่คุยกันมากกว่านี้นะครับ ผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพี่เมฆที่ว่ารับเรื่องการโกหกปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้วไม่ได้ก็จริง และยังเข้าใจด้วยว่าพี่มาที่นี่ด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ว่าผมเองก็อยากให้พี่ใจเย็นมากกว่านี้อีกหน่อยนะครับ มันน่าเสียดายที่ทั้งๆพี่ก็รู้และเข้าใจพี่ซันดีพอ และควรจะเป็นคนที่เข้าใจพี่เค้ามากที่สุดด้วย กลับต้องมาแพ้ใจและความรู้สึกของตัวเองง่ายๆแบบเมื่อเช้านี้”

“พี่เข้าใจ....... แต่เมื่อเช้าพี่ทนไม่ไหวจริงๆ และแม้แต่ในตอนนี้พี่เองก็ไม่คิดว่าพี่จะพร้อมรับฟังหรือทนอะไรอีกอยู่ดีนั่นล่ะ เพราะถึงสุดท้ายยังไงที่สุดแล้ว พี่เองก็กลัวความรู้สึกของมันในตอนที่มันจูบไอ้แบ๊งค์ลงไปจริงๆ พี่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก พี่คิดว่าพี่เข้มแข็งพอที่จะให้อภัยมันได้ แต่เมื่อเช้าพี่รู้แล้วว่าพี่ไม่”

“แล้วพี่ซันล่ะครับ ผมเห็นมาตลอดว่าพี่ซันเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่าพี่เท่าไหร่เลย ในเมื่อพี่เองยังให้อภัยพี่เค้าไปไม่ได้ ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าพี่ซันจะให้อภัยตัวเอง”

“นั่นแหละคือสิ่งที่พี่คิดอยู่ และพี่ก็เลยกลัวว่ามันจะทำอะไรลงไปเพราะเพื่อที่จะประชดตัวเอง....... เหมือนกับที่มันเคยเป็นเมื่อตอนมอปลาย”

“แต่ผมคิดว่าสิ่งที่พี่ซันกลัวและเครียดมากกว่าเรื่องคำตอบที่ว่าพี่เขาให้อภัยตัวเองรึยัง ก็คือพี่เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าพี่นั่นแหละจะให้อภัยพี่เค้ารึยังนะครับ”

ก็จริงที่ผมเคยคิดแบบที่พีคิดอยู่เหมือนกัน แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ผมกลับลืมนึกถึงมันไปแล้ว นึกถึงความรู้สึกง่ายๆที่ไอ้ซันอาจจะเป็น

“ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันนะครับ บอกตามตรงว่าพี่สองคนเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนมาก โดยเฉพาะพี่ พี่เมฆ พี่น่ะชอบคิดถึงความรู้สึกคนอื่นมากกว่าของตัวเอง ส่วนพี่ซันก็ชอบคิดถึงแต่เรื่องของพี่มากกว่าความสุขของตัวเอง จนบางทีคนสองคนมัวแต่มองข้ามหัวไหล่ตัวเองกันไปมาจนละเลยคำถามง่ายที่ว่า ‘เรายังรักเค้าอยู่รึเปล่า’ ไป”

“พี่ไม่ได้ลืม พี่ไม่เคยลืมเลยว่าพี่รักมัน และพี่ก็คิดมาตลอดเหมือนกันว่ามันรักพี่ ถึงแม้ตอนแรกที่เกือบจะหลงเชื่อคำพูดของมันไปจริงๆแล้วก็ตาม แต่ว่าพี่รักมัน เพราะงั้นพี่ถึงมาที่นี่ยังไงล่ะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมพี่ถึงไม่ลองรับฟังพี่ซันดูก่อนล่ะครับ”

“พี่พยามแล้ว พี พี่พยายามแล้วจริงๆ พี่พร้อมจะรับฟังมันทุกอย่าง แต่ทำไมเมื่อเช้าพอพี่ถามคำถามมัน มันถึงตอบพี่ไม่ได้ ทำไมมันถึงยังไม่ยอมพูดความจริงกับพี่ในเมื่อเราเพิ่งผ่านอะไรกันมาขนาดนี้ มันเองก็น่าที่จะรู้ได้แล้วสิว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ พี่ต้องการความจริงไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้ามันไม่มีอะไรจริงก็แค่บอกๆมาซะก็จบ ทำไมต้องทำให้พี่จะเป็นบ้าอยู่แบบนี้ด้วย”

“แต่พี่เองก็คิดว่าคนๆนั้นไม่ได้มีอะไรกับพี่ซัน ใช่มั๊ยครับ”

ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อาจจะนะครับ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใจพี่อยากจะเชื่อ แต่พี่ก็กลัว พีต้องเข้าใจนะว่าพี่สับสนมาก และพี่คิดว่าไม่ว่าใครก็คงจะเป็นล่ะมั๊งครับ เมื่อเห็นอะไรที่น่าเข้าใจผิดแบบนั้นเข้าน่ะ โดยเฉพาะ อย่างที่พี่บอก ว่าถ้าเกิดไอ้ซันมันทำอะไรลงไปเพื่อประชดตัวเองล่ะ........ พี่ไม่กล้าคิดหรอกครับ พี่ไม่กล้าคิดจริงๆ”

“ผมว่าพี่เมฆเชื่อพี่ซัน เชื่อใจพี่ซันก็ถูกแล้วล่ะครับ ตอนนี้พี่ทำได้แค่เชื่อในตัวของคนที่พี่ก็รู้ว่าเค้ารักพี่และจะไม่ทำให้พี่เจ็บปวดอีกก็เท่านั้น และอีกอย่าง ถ้าพี่เองก็คิดว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ถ้าพี่แค่เชื่อในตัวเอง คำพูดของพี่ซันก็อาจจะไม่สำคัญมากขนาดนั้นก็ได้ จริงมั๊ยล่ะครับ”

“ก็คงจะจริงมั๊งครับ พี่ก็ไม่รู้สิ.........” ผมถอนหายใจเบาๆ “พี่เหนื่อยมากน่ะ พี พี่ยอมรับว่าพี่เหนื่อยจริงๆ ทั้งใจและกาย อย่างน้อยๆอย่างแรกเลยคือพี่วาดฝันเอาไว้ว่าพี่จะได้มาเจอมัน เราได้คุยกัน กอดกัน อาจจะร้องไห้ แล้วสุดท้ายก็คืนดีกัน ทุกอย่างมันควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่มาเจอมันไม่อยู่บ้าน ไปนอนกับใครไม่รู้ แถมยังไม่ยอมบอกความจริงกับพี่อีกทั้งๆที่พี่เรียกร้องและเจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว พี่ก็เลย......... ไม่รู้สิ พี พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เป็นเหี้ยอะไรแบบนี้น่ะ”

พีมองผมอย่างเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้าออกมา “ผมรู้ว่าพี่อาจจะยังไม่พร้อมในตอนนี้ แต่ผมเชื่อครับว่าอีกไม่นาน พี่จะต้องรับฟังและเข้าใจสิ่งที่พี่ซันทำลงไปแน่”

พีขับรถพาเราไปกินข้าวเที่ยงในร้านพิซซ่าเล็กๆในเมืองก่อนที่มุ่งหน้ากลับบ้าน ผมบอกเขาว่าผมจะช่วยผลัดมาเป็นคนขับรถให้ แต่พีก็ยืนยันว่าเขาจะเป็นคนขับเอง และเมื่อมาถึงเมืองของเรา พีก็พาผมแวะเข้าห้างสรรพสินค้าซื้อของใช้และของฝากกลับไปฝากเพื่อนๆของผมอีกนิดหน่อย พีพยายามมากจริงๆที่จะช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมและคอยทำให้ผมไม่ต้องคิดมาก แต่ว่าหลังจากที่เราได้คุยกันแล้ว ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถเป็นเพื่อนเที่ยวที่ดีเลยจริงๆ และในตอนเย็นกว่าเราจะกลับถึงบ้านผมก็รู้สึกเหนื่อยจนหมดแรงแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ค่อยจะได้นอนเลยก็เป็นได้

“เดี๋ยวเราพักสักพักแล้วหาอะไรกินง่ายๆกันดีมั๊ยครับ จากนั้นสักราวๆสองทุ่มครึ่งเราค่อยออกจากบ้านกันนะ” พีบอกผมหลังจากที่เรานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกแล้ว

“เอาจริงๆเหรอพี พี่ไม่ค่อยรู้สึกอยากไปไหนเลยจริงๆนะ”

สีหน้าของพีดูผิดหวังลงเล็กน้อย “ขอโทษนะครับพี่เมฆ พี่คงจะเหนื่อย แต่ว่าผมก็แค่อยากจะพาพี่ออกไปเที่ยวไปสนุกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วก็อยากจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เหนื่อยยิ่งกว่าเดิมนะครับ”

“อย่าคิดมากน่า” ผมโอบไหล่เขาเข้ามากอด “วันนี้พี่สนุกจริงๆ ต้องขอบคุณพีมากๆเลยนะครับ”

พียิ้มให้กับผม ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับมาเป็นประกายอีกครั้ง “งั้นคืนนี้พี่ออกไปกับผมนะครับ”

ผมยิ้ม “ก็ได้ครับ พี่รู้ว่าพีหวังดี ขอบคุณมากนะครับ ทั้งสำหรับวันนี้ทั้งวัน และสำหรับที่คอยเป็นกำลังใจให้พี่และเป็นน้องชายที่แสนดีของพี่เสมอมา” ผมก้มลงจุ๊บลงบนริมฝีปากของพีเบาๆ และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พีต้องเขินแก้มแดงไปจนถึงใบหู

“งั้นพี่เมฆไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมขอเคลียร์ขอดูรายงานอีกสักพักก็จะขอนอนสักงีบเหมือนกัน”

“อืม ก็ดีเหมือนกันครับ งั้นพี่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้สักราวๆทุ่มครึ่งนะ ดีมั๊ย”

“ก็ดีครับ งั้นพี่ขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปได้สามก้าว ก่อนจะหันกลับมาหาพีอีกครั้ง “แล้วพีจะขึ้นไปนอนกับพี่มั๊ย”

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ พี่เมฆไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมนอนบนโซฟานี่แหละ ผมไม่อยากไปกวนตอนพี่กำลังหลับด้วย”

“ไม่เอาน่า งานเสร็จเมื่อไหร่ก็ขึ้นไปนอนกับพี่นะ เมื่อคืนพี่ก็แทบไม่ได้กอดเราเลยนี่นา” พีก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความอาย ให้ตายสิ เด็กคนนี้นี่ท่าทางจะแก้นิสัยขี้อายไม่ได้จริงๆ แต่ว่ามันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาจริงๆนั่นแหละนะ “นะครับ ถือซะว่าขอพี่กอดเป็นกำลังใจหน่อยก็แล้วกันนะ”

“ก็ได้ครับ ถ้างั้นขอเวลาผมแป๊บนึงแล้วเดี๋ยวผมตามขึ้นไปนะครับ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องของพี ผมถอดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ออกเหลือเพียงบ๊อกเซอร์เตัวเดียว แล้วก็ทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียง และอีกเพียงแค่ไม่กี่นาทีถัดมา ทุกสิ่งรอบข้างผมก็เริ่มตกสู่ความเงียบงันและความมืดมิด...........

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2008 00:51:49 โดย ExecutioneR »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด