ก้าวที่สิบห้าสู่ปลายทางสุดท้าย
ผมปฏิเสธการมาส่งที่สนามบินของพ่อกับไคล์ เพราะไม่อยากจะให้ทั้งคู่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยๆไคล์ก็ต้องไปเรียน และพ่อก็จะได้พักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะกลับไปทำงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และที่สำคัญ ผมเองก็อยากใช้เวลาช่วงเช้าอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรตามลำพังด้วย ทว่าถึงยังไงก็ยังมีคนอยู่อีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะพบก่อนที่ผมจะบินไปตามไอ้ซันกลับมา ดังนั้นที่นี่ แบล็คแคนย่อนสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาสิบโมงเช้า ผมกำลังนั่งดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์รอการมาถึงของคนสำคัญของผมคนนั้นอยู่ คนที่ผมจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังก่อนที่ผมจะไป ไม่เช่นนั้นแล้วผมคงจะต้องโดนต่อว่า หรือแย่ยิ่งกว่านั้น....... คงต้องโดนด่าจนหูชาไปอีกนานแน่
“ทางนี้ อีฟ” ผมโบกมือเรียกอีฟเมื่อผมเห็นมันเดินเข้ามาในร้านแล้ว ผมลุกขึ้นยืนรับมันและบอกให้มันนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของผม
“ยิ้มได้แล้วนี่ เป็นยังไงมั่งวะ” อีฟนั่งลงและหันไปเรียกขอเมนูจากพนักงาน ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง น้ำเสียงของมันดูเหมือนจะกำลังเป็นหวัดอยู่เล็กน้อย “แกสองคนนี่ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามหุนหันทั้งคู่ไม่เปลี่ยนเลยนะ บทจะไปก็ไป บทจะมาก็มา บทจะเลิกก็เลิก”
“ก็นั่นน่ะสินะ เราขอโทษจริงๆที่ทำให้แกต้องเป็นห่วง”
“ไร้สาระน่า เมฆ เราดีใจมากเลยต่างหากที่แกตัดสินใจแบบนี้น่ะ เมื่อคืนตอนที่แกโทรมาหาเรา เราแทบกรี๊ดเลยนะเว้ย เนี่ย อยากจะบอกไอ้กอล์ฟมันใจจะขาด แต่แกก็ดันห้ามเอาไว้ซะก่อน”
“อืม เราอยากให้อะไรๆมันเคลียร์ก่อนน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะยุ่งยากไปอีกซะเปล่าๆ”
“ว่าแต่แกรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าไอ้ซันบินกลับไปที่อังกฤษน่ะ”
“เพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เอง ไคล์เป็นคนบอกน่ะ ตอนนั้นเราเองก็กำลังสับสนและเครียดมาก แต่เพราะคำพูดของไคล์กับพี เราก็เลยคิดได้สักทีว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องการคืออะไร และที่สำคัญ เหตุผลที่ไอ้ซันทำแบบนั้นมันคืออะไร เพราะงั้นเราจะไม่ยอมให้ระหว่างเราสองคนต้องเป็นแบบนี้ไปง่ายๆหรอก.........”
อีฟหันไปสั่งกาแฟกับพนักงานที่เดินมารับออเดอร์ก่อนจะหันกลับมานิ่วหน้าใส่ผม “เหตุผลของไอ้ซันงั้นเหรอ...... และยังที่แกบอกว่ายุ่งยากเมื่อกี๊อีก นี่มันยังไงกันแน่วะเนี่ย เมฆ”
“ก็นี่แหละ คือสาเหตุที่เราเรียกแกมา ว่าแต่แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร ต้องลางาน แถมยังไม่สบายอยู่ด้วยนี่”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก ก็เพราะไม่สบายนี่สิถึงได้ลางานแล้วมาหาแกได้ ตกลงแกมีอะไรจะบอกเรา”
“เราอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดเท่าที่แกควรจะรู้ในตอนนี้ให้แกฟัง”
“เท่าที่เราควรจะรู้ในตอนนี้........ งั้นเหรอ” อีฟทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
“ใช่ และเรามีเรื่องจะขอร้องแกนิดนึงด้วย ทั้งในระหว่างที่เราไม่อยู่ และหลังจากที่เรากลับมา แต่เราสัญญาว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยยังไง ไม่ว่าไอ้ซันกับเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า พวกแกทุกคนจะต้องได้รู้ความจริง”
“ได้ งั้นก็ว่ามาเลย จะขอร้องอะไรเรา ถ้าเราช่วยได้เราก็จะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
“อันดับแรก เรื่องของนัท....... เราอยากให้แกบอกนัทด้วยว่าเราไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง แต่ก็ยังไม่อยากให้ลงรายละเอียดไปมากกว่านั้น แล้วก็เรื่องไอ้แบ๊งค์..........” ผมเว้นช่วงเล็กน้อย “คอยดูๆมันไว้ด้วยก็แล้วกัน อย่าให้มันขาดการติดต่อไปจนกว่าเราจะกลับมา และถ้าเรากลับมา เราต้องการคุยกับพวกแก นัท และไอ้แบ๊งค์พร้อมหน้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมากันหมดทุกคนหรอกนะเว้ย เอาแค่พวกๆเราเท่านี้หรือเท่าที่มากันได้ก็พอ แกช่วยหาเวลาที่เราทุกคนจะได้เจอกันพร้อมหน้าให้หน่อยได้มั๊ย”
“ได้ๆ เดี๋ยวเราจะนัดพวกมันเอาไว้ให้ก็แล้วกัน แต่แกจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“ไม่รู้สิ คงสองสามวันมั๊ง เราจะพยายามรีบกลับมาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”
“โอเค ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องที่จะเล่าล่ะ มีอะไรบ้าง ถึงเรียกเรามาซะตั้งแต่เช้า”
“มันอาจจะงงๆและน่าตกใจนิดหน่อยนะ แต่ว่านี่ก็เป็นปัญหาตั้งแต่ต้นที่เรากับไอ้ซันเจอมา ตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะ...........”
เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายโมง อีฟที่รับรู้เรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดไปแล้วและกำลังมีสภาพงอมจากพิษไข้ได้ที่ก็ขอตัวกลับก่อน ซึ่งถึงแม้ผมจะยืนยันให้มันกลับไปได้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วก็ตาม เวลาที่เหลืออีกชั่วโมงกว่าๆ ผมก็ใช้มันนั่งคิดถึงเรื่องราวของผมกับไอ้ซันนับตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันจนมาถึงในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลามันจะผ่านมานานมากถึงเพียงนี้แล้ว นับจากเด็กมัธยมปลายหัวเกรียนๆจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่ต้องเดินและยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง และเท่าที่ผ่านมา เราสองคนไม่เคยต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้มาก่อนเลย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เราต้องเจออุปสรรคครั้งใหญ่ที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันรุนแรง ผิดใจกัน และทำให้เราต้องบอกเลิกและเอ่ยคำว่าลาก่อนแก่ให้กันและกันอย่างนี้
และผมก็หวังว่าครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเราแล้วด้วย.........
และถ้าหากบอกว่าผมไม่ได้รู้สึกกังวลเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เพราะไอ้ซันมันเป็นคนมุทะลุและหัวดื้อมาก นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนมีความรับผิดชอบและชอบคิดมากกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมาด้วย ผมรู้ดีว่าถึงแม้ผมจะพกความมั่นใจว่ามันจะยกโทษให้ผม หรือยิ่งไปกว่านั้นคือยกโทษให้ตัวเอง แล้วสุดท้ายเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกครั้งบินไปอังกฤษด้วยมากแค่ไหน แต่ว่าในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงอนาคตของเราสองคนมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยเป็นมาด้วยเช่นกัน ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่มีวันกลับมา กลัวว่าเมื่อมันเลือกเดินจากไปแล้วมันก็จะไม่ยอมหันกลับมามองเส้นทางที่เดินผ่านไปแล้วอีก และที่สำคัญ กลัวว่ามันจะไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่มันทำลงไปในครั้งนี้เลย........
ผมที่ตกไปในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นานต้องสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ผมล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากไคล์
“Believe in yourselves… just like we always do”
ไคล์ใช้คำในรูปพหูพจน์ทั้งคำว่า yourselves และคำว่า we ซึ่งนั่นก็หมายถึงเขาและพีไม่ได้เชื่อในตัวของผมเพียงคนเดียว แต่ว่าเป็นทั้งตัวของผมและไอ้ซันด้วย และนั่นสินะ........ หากจะให้ผมเชื่อในตัวของผมเองเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ได้ แต่ว่าผมจะต้องเชื่อในตัวของผมกับมัน เชื่อในสิ่งที่เรามีให้แก่กันและกันมาตลอดต่างหาก
ใช่แล้ว ถ้าหากผมมัวแต่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคจนลืมนึกถึงความสัมพันธ์ที่เราเคยมีด้วยกันในอดีตแล้วล่ะก็ การเดินทางในครั้งนี้ของผมก็คงจะไม่มีความหมายอะไรเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมตัดสินใจลงไปแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมต้องเชื่อมั่น ผมก็จะเชื่อมั่นกับทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคตก็ตาม
ผมกดปุ่มเลื่อนลงมาส่วนล่างของข้อความแล้วก็เจอเข้ากับ ps หรือ ปล. ที่แปลได้ว่า
“เดินทางดีๆ แล้วไว้เราสี่คนไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ”
ผมยิ้มและพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์มือถือกลับลงไปในกางเกง แล้วลากกระเป๋าเดินไปยังที่ช่องเช็คอินด้วยความรู้สึกที่เชื่อมั่น
ก้อนเมฆกำลังจะออกเดินทางตามหาท้องฟ้าของมันอีกครั้ง..........
.........................................
“พี่ซัน อยู่รึเปล่าครับ พี่กลับมาแล้วใช่มั๊ย” เสียงของพีบวกกับเสียงเคาะประตูทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ แสงแดดจ้าเสียดแทงสายตาที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาบอกผมว่านี่คงจะไม่ใช่เพิ่งหกโมงเช้าแน่นอน แต่เนื่องจากความอ่อนล้าและความอ่อนเพลียที่สะสมกันมานาน ทำให้ผมไม่สามารถแม้แต่จะเปิดเปลือกตาค้างเอาไว้ได้เกินกว่าห้าวินาทีด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงหลับตาลงและปล่อยให้เสียงรัวเคาะประตูกับเสียงเรียกของพีดังต่อไป “พี่ซัน จะเที่ยงแล้วนะครับ ลงไปทานอะไรก่อนเถอะ ผมทำแซนด์วิชเอาไว้ให้แล้วนะ” หลังจากนั้นสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆเดินจากไป........
เมื่อผมลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ต้องตกใจที่เห็นว่ามันเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมค่อยๆลุกขึ้นแต่งตัว เดินไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ สภาพใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตอนนี้มันทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกสมเพชในตัวเอง หนวดเคราที่ผมไม่เคยไว้และคิดจะไว้มานานมากแล้วตอนนี้เริ่มขึ้นจนเขียวครึ้ม ถุงใต้ตาสีดำคล้ำที่บ่งบอกถึงสภาพของคนนอนไม่พอมาหลายคืน ความหมองคล้ำของใบหน้าที่ไม่ได้สัมผัสกับครีมบำรุงมานานจนผมแทบจะจำไม่ได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาสีแดงช้ำที่สะท้อนทั้งความอิดโรยและความเจ็บปวดลึกๆจากข้างในออกมาจนแม้แต่ตัวเองยังทนจ้องตาตัวเองในกระจกไม่ได้
ผมเปิดน้ำและสาดน้ำก๊อกเย็นๆใส่หน้าของตัวเองแรงๆสามครั้งเพื่อให้ตื่นเต็มตาและรู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นก็เดินลงไปที่ชั้นล่าง ในห้องครัว บนโต๊ะทานข้าวตัวเล็ก มีแซนด์วิชของพีและน้ำส้มที่เขารินเอาไว้ให้ผมตั้งแต่เมื่อตอน........ ไม่รู้สิ คงจะเมื่อตอนสายๆเที่ยงๆล่ะมั๊งวางเอาไว้อยู่ พร้อมกับโน๊ตบอกว่าเขาจะกลับมาบ้านกี่โมง และแน่นอน บอกให้ผมเปิดโทรศัพท์มือถือด้วย
ผมนั่งลงและคว้าแซนด์วิชขึ้นมากัดพร้อมกับปรายตาไปอ่านโน๊ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นหลายใบ แทบทุกใบนั้นเป็นลายมือของพีที่เขียนทิ้งเอาไว้ให้ผมก่อนที่จะออกจากบ้านไปเรียน หรือก่อนที่เขาจะเข้านอนแล้วไม่เจอผมกลับบ้านมา ผมมองดูความมากมายของมันแล้วก็ถอนหายใจ.......... ทำไมใครๆถึงต้องมาใส่ใจคนเหี้ยๆอย่างผมกันมากขนาดนี้นักนะ
ผมวางแซนด์วิชที่เหลือลงบนจาน จากนั้นก็เดินไปดึงโน๊ตทุกใบออกจากตู้เย็น แล้วก็ขยำพวกมันรวมกันและโยนทิ้งลงไปในถังขยะ
ผมเดินออกจากห้องครัว กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง และเป็นอีกคราว ที่ผมก็คงจะไม่ได้กลับมาจนกว่าจะวันรุ่งขึ้นหรืออีกสองสามวันข้างหน้า และเมื่อนั้น ผมก็คงจะต้องเห็นข้อความที่ทั้งพ่อ แม่ และพีทิ้งเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงจำนวนมากมายอีกตามเคย
แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าพีคงน่าจะพอเข้าใจผมบ้าง........
ผมคว้ามือถือเครื่องใหม่ที่ผมซื้อมาโดยไม่ได้บอกใครในบ้านมากดเบอร์ที่ผมโทรออกล่าสุด และผมก็ไม่ต้องรอนานเลยกว่าที่คนจากปลายสายนั้นจะกดปุ่มรับสาย
“ไงซัน ผมกะแล้วว่าคุณต้องโทรมาเวลาประมาณนี้”
“ไงคริส ผมกำลังจะออกไปแล้วนะ คุณพร้อมรึยัง”
“แน่นอน ผมพร้อมที่จะได้อยู่กับคุณเสมอนั่นแหละ ว่าแต่คุณเถอะ เตรียมตัวพร้อมที่จะต้องไปขลุกอยู่กับผมอีกรึยัง ครั้งก่อนคุณก็ดูโทรมมากพอดูแล้วนะ หวังว่าผมคงไม่ได้ทำคุณหมดแรงนะ ซัน” คริส หนุ่มวัยปลายสามสิบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ใช่คุณหรอก ที่จะทำผมหมดแรงน่ะ”
“ก็คงงั้นล่ะมั๊ง เอาเถอะ งั้นไปเจอผมที่เดิมเวลาเดิมก็แล้วกัน คืนนี้เราคงจะยาวหน่อย หวังว่าคุณจะพักผ่อนมาพอนะ” เมื่อพูดจบคริสก็วางสายไปทันที
ผมหันไปมองตัวเองที่กระจกเป็นครั้งสุดท้าย พยายามส่งยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ที่สุดให้กับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้เลย
ถ้าสิ่งที่ผมทำอยู่มันคือสิ่งที่ผิด เช่นนั้นแล้วผมก็คงไม่รู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออะไร ในเมื่อจุดหมายปลายทางข้างหน้าที่ผมกำลังมุ่งหน้าต่อไปทั้งๆที่หัวใจและดวงตายังมืดมนนั้นคืออะไรหรือคือที่ไหน ผมก็ยังไม่รู้เลย...........
ผมอยากจะรู้นะ แต่ผมก็ไม่รู้เลยจริงๆ