]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 189670 ครั้ง)

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป
 :a12: :a12: :a12:

รออยู่นะครับ อย่าลืมมาต่อนะครับ

 :a12: :a12: :a12:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


ไม่ลืมครับ แล้วก้อขอโทษโด้ยจริงๆ  o7 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้มาแน่ครับ แต่ถ้าไม่แน่ก้อมะรืน และถ้ายังไม่ชัวร์อีกก้อมะเรื่องง (ฮา)








ninaprake

  • บุคคลทั่วไป

PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
แค่ไม่ลืมก็ดีแล้วคับ

เพราะยังไงก็รอ  :m1:

niph

  • บุคคลทั่วไป
ก็คิดว่าตามเรื่องทันนะ
แต่ทำไมตอนสุดท้ายนี่มันงง ๆ จัง ออกแนวดัดแปลงพันธุกรรมไงมะรู้

สงสัยอีกอย่าง ทำไมพี่วินต้องตามสืบทุกคนด้วย เหมือนจริง ๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นเลย

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :m32:
เข้ามารอๆ

คิดถึงเมฆกับซันจะแย่แล้ว
เป็นกำลังใจให้น้า :L2: :L2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก้าวที่สิบสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมสังเกตเห็นว่าอาการของพ่อเอกเองกำลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าพอใจ บาดแผลและรอยฟกช้ำต่างๆก็กำลังค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าหลายครั้งที่ผมกลับเห็นท่านนั่งเหม่อลอย ถอนหายใจ และแลดูเงียบลงไปกว่าทุกครั้ง มีหลายมื้อที่พ่อเอกทานอาหารเหลือเยอะกว่าที่เคยมาก และมันก็ทำให้ทั้งผมและไคล์รู้สึกไม่สบายใจเอาเลยจริงๆ แต่ถ้าถามผมตรงๆแล้วล่ะก็ ผมเองก็พอจะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อเอกทั้งหมดนี้มันเกิดมาจากสาเหตุอะไร.......... หรือใคร แต่ทว่าผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้พ่อเอกรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

“พ่อกินข้าวเหลืออีกแล้วนะครับ พ่อดูผอมลงไปนะ พยายามกินให้มากกว่านี้หน่อยสิครับ เดี๋ยวร่างกายก็ไม่แข็งแรงหรอก” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราสามคนนั่งกินมื้อเย็นกันเสร็จ

“พ่ออิ่มแล้ว”

“แต่ว่า........”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่ออิ่มแล้วจริงๆ”

ผมถอนหายใจเบาๆ “ครับ....... ผมขอโทษนะครับพ่อ”

“เรื่องอะไร” พ่อเอกถาม และผมก็เห็นไคล์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัดอยู่ข้างๆ

“เรื่องที่ผมเป็นต้นเหตุทั้งหมดนี่ไงครับ ผมรู้ว่าพ่อไม่สบายใจ แต่ผมสัญญาครับว่าผมจะไม่ทำให้พ่อเป็นห่วง และทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

“ไคล์”

“ครับ” ไคล์ตอบรับ

“พาลุงขึ้นห้องหน่อยซิ ลุงอยากพักผ่อนสักหน่อย อ้อ แล้วก็ถือแก้วน้ำขึ้นไปให้ลุงด้วยนะ”

“ได้ครับ”

ผมทำท่าจะท้วง แต่ไคล์ก็เอามือมาวางบนตักของผมเอาไว้ก่อน และพอผมหันไปมองเขา เขาก็ส่ายหัวน้อยๆเป็นเชิงห้ามเอาไว้ ไคล์ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปช่วยพยุงพ่อเอกให้ยืนขึ้น จากนั้นก็ถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือ หลังจากที่พ่อยืนขึ้นแล้วท่านก็นิ่งอยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่ง

“เมฆ......... พ่อน่ะ รักเมฆมากนะ รักไคล์ด้วย และแน่นอนว่าซันก็ด้วยเหมือนกัน แต่พ่อต้องยืนยันให้เมฆแน่ใจว่า พ่อจะมีความสุขมากกว่ากับการตัดสินใจและการที่ทุกคนได้เดินไปตามเส้นทางของตัวเองอย่างมีความสุข ในช่วงเวลาสองสามเดือนมานี้มีอะไรหลายอย่างเหลือเกินเกิดขึ้นในบ้านของเรา แต่ไม่ว่าเมฆจะไปที่ไหนกับใคร ทำอะไร หรือซันจะไปนอนอยู่ที่ไหน ทุกๆคนก็คือ ‘ลูกชาย’ ของพ่อ และเป็นลูกที่พ่อภูมิใจ ทว่าบางสิ่งบางอย่างที่ลูกๆทุกคนสูญเสียมันไป สิ่งนั้นแหละที่ทำให้พ่อเสียใจและเสียดายมากกว่าเรื่องไหนๆเสียอีก” ขณะที่พ่อพูด ผมก็สังเกตเห็นมือข้างที่จับพนักพิงเก้าอี้อยู่ของพ่อสั่นเทาเล็กน้อย

“พ่อครับ......”

“พ่อขอไปนอนก่อนนะ เก็บล้างให้เรียบร้อยด้วยล่ะ แล้วก็พักผ่อนซะด้วย ไม่ต้องมัวห่วงพ่อมมากนักหรอก พรุ่งนี้ต้องออกไปข้างนอกกับวินเค้าไม่ใช่เหรอ”

ผมพยักหน้ารับ “ครับ”

“ดูแลตัวเองล่ะ ระวังสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดีๆ”

“ผมเข้าใจครับ” ผมมั่นใจว่าพี่วินเองก็คงบอกอะไรพ่อไปแล้วบ้างเหมือนกัน แต่บางครั้งผมก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีนักว่าทำไมพ่อถึงต้องเป็นห่วงผมมากขนาดนั้นด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวลมากถึงขนาดนั้นสักหน่อย “ผมรักพ่อนะครับ”

พ่อเอกพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะกินข้าวไปโดยมีไคล์เดินตามไปติดๆ หลังจากที่ทั้งสองคนเดินหายไปตรงบันไดแล้ว ผมก็จัดการเก็บโต๊ะกินข้าวให้เรียบร้อย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา ไคล์ก็เดินกลับมาช่วยผมเก็บล้างในห้องครัว

“พี่ขอโทษนะไคล์” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังล้างจานอยู่โดยมีไคล์ยืนพิงเคาน์เตอร์รออยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

“แต่พี่ไม่เข้าใจ........ พี่ไม่เข้าใจเลยเลย พี่ไม่เข้าใจว่าพี่ควรจะทำยังไงพ่อถึงจะรู้สึกดีขึ้น พี่ควรจะทำยังไงไม่ให้ไคล์ต้องรู้สึกแบบนี้ และพี่จะต้องทำยังไง เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องมาเศร้าใจและเป็นกังวลเพราะมีพี่เป็นต้นเหตุแบบนี้” ผมพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากอ่างล้างจาน พยายามซ่อนสีหน้าเพื่อไม่ให้ไคล์เห็นถึงความอ่อนแอที่พักนี้รู้สึกว่าผมจะเป็นบ่อยเหลือเกินแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้ใครต้องทุกข์ใจจริงๆ ในตอนนี้แม้แต่อีฟหรือพวกไอ้กอล์ฟก็มีส่งเมสเสจหรือโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอยู่เป็นระยะๆด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนทุกคนจะได้รับผลกระทบจากเรื่องครั้งนี้กันไปอย่างถ้วนหน้า และผมก็รู้สึกไม่ชอบมันเลยจริงๆ

“ศิลาอยากจะรู้จริงๆมั๊ยว่าผม พ่อของศิลา และทุกๆคนต้องการอะไร” ไคล์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

ผมล้างมือและปิดก๊อกน้ำ จากนั้นก็หันมาสบตากับเขา “อะไรครับ”

“ต้องการให้ศิลามีความสุขไง”

“แต่พี่ก็ไม่ได้กำลังมีความทุกข์นี่”

“แน่ใจนะ ว่าที่พูดออกมาน่ะจริง” ไคล์ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายของผม “ศิลาจะโกหกใครก็ได้นะ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ และผมจะบอกตรงๆเลย ศิลาโกหกตัวเองไม่ได้ แถมยังโกหกคนอื่นไม่ได้เลยอีกด้วย เพราะศิลาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาซะเลย และคนที่อยู่ข้างในนี้จริงๆน่ะ คือคนที่มีรอยยิ้มที่งดงามที่สุด และมีความสุขพร้อมที่จะแบ่งปันให้คนอื่นตลอดเวลาต่างหาก” ไคล์เลื่อนมือจากหน้าอกของผมมาจับมือซ้ายของผมไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา “และเขาคนนั้นก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ข้างในนี้ของผมตลอดมาเลยด้วย ทุกคน โดยเฉพาะลุงเอก กำลังรอรอยยิ้มของศิลาอยู่นะ นั่นล่ะ คือสิ่งที่ศิลาทิ้งและทอดทิ้งมันไป และทุกคนก็กำลังรอคอยและพยายามช่วยเหลือให้ศิลาตามหามันกลับคืนมาอยู่ เพียงแต่ศิลาไม่เคยรู้ตัวเลยเท่านั้นเอง”

ผมชักมือกลับและหมุนตัวหันข้างให้แก่ไคล์ สองมือเท้าอยู่บนเคาน์เตอร์ ก้มหน้า และพูดออกมาอย่างยากลำบากเพื่อพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองต้องสั่นเครือ “แล้วพี่จะทำยังไงได้ และจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ในเมื่อความสุขของพี่มันไม่อยู่กับพี่อีกแล้ว มันเดินออกจากชีวิตพี่ไปแล้ว.........”

ไคล์จับไหล่ของผมและดึงให้ผมหันหน้ากลับไปหาเขา จากนั้นเขาก็ก้มลงมาหอมแก้มผมเบา “นี่คือสิ่งที่พีทฝากผมมาให้ศิลาเมื่อศิลาพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา และเค้ายังฝากผมมาบอกอะไรบางอย่างอีกด้วย แต่ก่อนอื่นผมสองคนมีเรื่องอยากจะถามศิลาสักหน่อย เราไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะ”

ผมพยักหน้าและเดินตามไคล์ออกไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเราสองคนนั่งลงบนโซฟาแล้ว ไคล์ก็จ้องหน้าผมและถามคำถามที่เค้ารอคอยออกมาทันที “ศิลายังรักซันอยู่มั๊ย”

ผมสะอึกเล็กน้อยกับคำถามง่ายๆแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงจะต้องคิดมากด้วย “มันยังมีความหมายอะไรอยู่อีกรึไง”

“มีสิ มีมากด้วย ตอบผมมาตามตรง และคิดดีๆด้วยนะ หลังจากที่เจอเรื่องทั้งหมดนี้มาแล้ว และไม่ต้องคิดถึงว่าซันคิดยังไงด้วยนะ เอาแค่ความรู้สึกของศิลาคนเดียว ตอนนี้ศิลายังคงรักซันอยู่มั๊ย”

ผมมองตาของไคล์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา และความจริงนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบ “ถึงมันจะพูดยังไงหรือทำอะไรลงไป แต่ว่า........ ถ้าพี่ไม่ได้รักมันล่ะก็ อะไรๆมันก็คงไม่ยากขนาดนี้หรอก” น้ำตาของผมเริ่มไหลมาปริ่มอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง

ไคล์จับหน้าของผมให้มองไปยังเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะโน้มเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ “นี่แหละ ที่ผมกับพีทอยากจะรู้ เอาล่ะ” เขาคว้ามือขอผมไปจับเอาไว้ “หอมแก้มเมื่อกี๊เป็นสิ่งที่พีทฝากมา ส่วนจูบเมื่อกี๊เป็นของผมเอง และนี่คือสิ่งที่เราสองคนอยากจะบอกศิลาให้รู้เอาไว้นะ”เขายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้าๆ “‘พรหมลิขิต ก็คือเส้นทางที่คนสองคนขีดและเดินไปด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราต้องตัดสินใจจะลงมือทำเองไม่ใช่รอให้มันเกิดขึ้น’ ศิลายังจำคำพูดประโยคนี้ได้อยู่มั๊ย มันคือสิ่งที่ศิลาเคยพูดกับพวกเราเมื่อตอนที่เราอยู่ที่แกรนด์แคนยอนไง เป็นคืนที่ผมสองคนไม่มีวันลืม คืนที่เราสี่คนนั่งกอดกัน คุยกัน หัวเราะและร้องไห้ด้วยกัน และเป็นคืนที่ทั้งพีทและผมต่างก็รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้รู้จักพี่ชายที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รักที่สุดนโลกอย่างสองคนนี้”

คำพูดของไคล์ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เราทั้งสี่คน ท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และผืนดินได้เจอกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากที่เสียเวลาไปหลายปีกับการคลาดกันและตามหากัน

“คืนนั้น ศิลากับซันเป็นคนพูดและสอนพวกเราเองว่า การที่จะรักใครสักคน มันคือการรักและเชื่อในตัวของตัวเอง การที่ศิลาเลือกที่จะรักซันและบินไปหาซันที่อังกฤษนั้น ไม่ใช่เพราะซัน แต่เป็นเพราะศิลาเลือกที่จะรักตัวเองและทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ศิลาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง เลือกที่จะเดินไปในเส้นทางที่ตัวเองมีความสุขที่สุด จำได้มั๊ย” ไคล์กุมมือของผมไว้แน่น “นอกจากนี้พีทยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝากผมมาบอกศิลาเป็นพิเศษอีกด้วย เขาฝากมาบอกว่า ‘บางทีกระจกมันก็ไม่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ครบถ้วนหรอก ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นก็คือคนที่เรารักและสามารถเชื่อใจได้ และในตอนนี้ผมกับไคล์ก็อยากจะเป็นกระจกบานนั้นให้พี่นะครับ’” ไคล์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน และนั่นก็ยิ่งทำให้น้ำตาของผมมันไหออกมามากขึ้นไปอีก “เข้มแข็งไว้นะ ศิลา เราสองคนยังคงยืนเคียงข้างทั้งคู่เสมอ ผืนดินและสายน้ำ ยังคงแหงนหน้ารอคอยวันที่จะเห็นท้องฟ้าและก้อนเมฆที่สวยงามกลับมาลอยเคียงคู่กันอย่างที่เคยเป็นอีกครั้งนะ”

“ไคล์..... พี..........”

ไคล์ดึงตัวผมเข้าไปกอดและสิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอนี้มันไหลออกมาอาบแก้ม พร้อมกับสัญญากับตัวเองเบาๆภายในใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ........ ครั้งสุดท้ายที่ผมจะเสียน้ำตาให้กับความเศร้าในเรื่องนี้

“เชื่อผมสองคนนะว่า พระอาทิตย์เองก็รักและคิดถึงก้อนเมฆ คิดถึงท้องฟ้าสีครามที่จะสวยงามได้ที่สุดก็ต่อเมื่อมีก้อนเมฆที่อ่อนโยนและงดงามลอยอยู่เคียงคู่เท่านั้นเหมือนกัน” ไคล์พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษพลางกอดผมไว้อย่างแนบแน่น “และตอนนี้ผมมีอะไรที่สำคัญมากๆอยากจะบอกศิลาเป็นอย่างสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้น...........” เขาดันตัวผมออกช้าๆและมองเข้าไปในดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของผม “จงเชื่อใจผมสองคนนะครับ และผมเชื่อว่าศิลาจะต้องตามหาความสุขของตัวเองกลับมาได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าศิลาทำได้”

ผมยิ้มเบาๆและพยักหน้าออกมา นั่นก็คือคำพูดที่ผมเคยพูดกับพีเมื่อคืนนั้นด้วยอีกเหมือนกัน ให้ตายสิ ผมรักเด็กสองคนนี้มากจริงๆ จากนั้นไคล์ที่เห็นรอยยิ้มของผม ก็เผยรอยยิ้มของตัวเองออกมาอีกครั้งด้วยเหมือนกัน พร้อมกับบอกอะไรบางอย่างออกมาให้ผมฟัง และนั่นก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในใจผมมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วินาทีที่ไคล์พูดจบทันที

วันรุ่งขึ้นพี่วินก็มารับผมที่บ้านอย่างที่นัดกันไว้ และผมเองก็พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมซะอีกที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้มันจบๆลงไปในวันนี้ เพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะมามัวเสียไปอีกต่อไปแล้ว

“สีหน้าดูดีขึ้นนิดหน่อยนี่” พี่วินทัก

“ครับ ผมพร้อมแล้ว และจะไม่ลังเลอีกแล้วด้วย เพราะหลังจากนี้ผมมีธุระที่จะต้องทำต่ออีกเหมือนกัน”

พี่วินมองหน้าผมแล้วพยักหน้า “ดีแล้ว และเมื่อคืนได้ทำอย่างที่พี่บอกรึยัง”

“ครับ ผมนัดไอ้พี่จ๊อบเอาไว้แล้ว” ผมขยับซีทเบลท์ให้เข้าที่ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับพี่วิน “ไปกันเถอะครับ นำผมไปเลย”

นับจากวันที่ผมกับซันยื่นคำขาดกัน หรือนับแต่ที่พ่อเข้าโรงพยาบาล พี่จ๊อบเองก็คอยติดต่อผมอยู่เรื่อยๆตลอดมา โดยที่ผมก็คออยบอกปัดการนัดพบไปตลอดมาด้วยเช่นกัน โดยอ้างเหตุผลว่าผมจะรอจนกว่าพ่อหายดีและตัวผมพร้อม จนกระทั่งเมื่อคืนผมได้โทรไปยืนยันกับพี่จ๊อบอีกครั้งว่าผมพร้อมแล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้บอกไปเท่านั้นเองว่า ผมพร้อมแล้วที่จะคุยเรื่องนี้ให้มันเด็ดขาดไปสักที ซึ่งตัวพี่จ๊อบก็คงจะหลงคิดไปเองว่าผมพร้อมที่จะตกงปลงใจกับเขาแล้วเป็นแน่

พี่วินขับรถพาผมออกจากหมู่บ้านไปสู่ถนนใหญ่ และผมก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะพาผมไปไหน แต่ผมก็ไม่สงสัยและไม่คิดจะถามด้วยเหมือนกัน เพราะผมเรียนรู้มามากเกินพอแล้วว่าคำถามเหล่านั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย

“หลังจากคุยกับแบ๊งค์แล้ว คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันชัดเจนขึ้นบ้างมั๊ย” ในที่สุดพี่วินก็ถามขึ้นขณะที่รถของเราจอดตายสนิทอยู่ที่แยกไฟแดง

“ชัดมากด้วยครับ แต่ว่าถึงยังไงมันก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ผมรู้สึกว่ามันยังคงไม่ค่อยลงล็อคยังไงไม่รู้เหมือนกันบอกไม่ถูก”

“เมื่อวานพี่ไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้เรายังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงตอนเย็น ระหว่างตอนที่พี่ขับรถอยู่นี่ เมฆเล่าให้พี่ฟังทีซิว่าแบ๊งค์มันเล่าอะไรออกมาบ้าง ขอทั้งหมดนะ พี่อยากรู้ว่ามันบอกความจริงทั้งหมดออกมาแน่รึเปล่า อ้อ แล้วก็บอกพี่ด้วยว่าเมฆมีอะไรอยู่ในใจอยู่แล้วบ้าง”

ผมนั่งครุ่นคิดและประมวลถึงข้อมูลที่ผมเพิ่งรู้มาเมื่อวานเล็กน้อย “เริ่มจากสิ่งที่ผมรู้ก่อนนะครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวการทั้งหมดมันต้องเป็นพี่จ๊อบแน่ เพราะอะไรๆมันเหมาะเจาะเกินไป ผมเคยสงสัยว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่สามสี่ครั้ง ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่มันก็เหมาะเจาะพอดีกับเรื่องตุ๊กตาหมีที่ผมกับไอ้ซันได้รับมา บวกกับท่าทีแปลกๆของไอ้ซันที่อยากจะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองถึงขนาดต้องพึ่งไอ้เอ็น ซึ่งก็คงเพราะไม่อยากจะให้ผมต้องไม่สบายใจล่ะมั๊ง กับการที่บางทีพี่จ๊อบมันก็รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมได้หลายครั้งอย่างน่าประหลาด ซึ่งนั่นก็น่าจะแปลว่าเขาต้องติดต่อกับใครบางคนที่รู้จักผมอยู่แน่ ซึ่งผมก็สงสัยไอ้แบ๊งค์มาตั้งแต่ตอนงานวันเกิดผมแล้ว”

พี่วินพยักหน้า “แล้วยังไงต่อ”

“จนกระทั่งเมื่อวาน........” ผมนึกย้อนไปถึงสีหน้าและน้ำเสียงของไอ้แบ๊งค์เมื่อวานแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องที่ผมได้ยินออกจากปากของมันนั้น จะเป็นความจริงทั้งหมดแน่รึเปล่า แต่ในตอนนี้ผมก็พร้อมแล้วที่จะเสี่ยง “ไอ้แบ๊งค์ พ่วงด้วยไอ้เอ็น บอกผมว่าพี่จ๊อบเป็นคนที่ขู่ให้ไอ้แบ๊งค์มันร่วมมือด้วยนับตั้งแต่วันที่เรากลับมาจากทะเลกันแล้ว โดยถ้ามันไม่ให้ความร่วมมือ มันจะใช้เส้นสายของพ่อมันกดดันครอบครัวของไอ้เอ็น ทำให้มันไม่มีทางเลือก เพราะเท่านี้พ่อมันก็โดนปลดออกจากตำแหน่งที่เคยเป็นอยู่ไปเรียบร้อยแล้วด้วย นั่นคือการส่งสัญญาณเตือนว่ามันสามารถทำได้อย่างที่ปากพูดจริง และนั่นก็ทำให้ไอ้แบ๊งค์ต้องจิตตกไปเลยเหมือนกัน............ พี่วินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึเปล่าครับ”

“อืมมม” พี่วินพยักหน้า “หลังจากที่พี่เข้าไปสนใจเรื่องของไอ้แบ๊งค์นี่นะ แล้วไง มันว่ายังไงต่อ”

“มันบอกผมว่ามันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายน่ะครับ ทุกอย่างมันก็แค่ทำไปตามที่พี่จ๊อบบอกให้ทำ โดยเฉพาะเรื่องคืนนั้น.......... แล้วพี่วินว่าผมเชื่อสิ่งที่มันเล่ามาได้รึเปล่า”

“แล้วใจของเมฆเชื่อไปรึยังล่ะ”

“ผม.......” ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย “ผมคิดว่าผมเชื่อนะ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”

“แล้วเรื่องรูปถ่าย.........”

“รูปของนัทน่ะเหรอครับ” ผมถาม “มันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักหรอก แต่จะว่าไปพอมานึกดูดีๆ มันก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจริงๆนั่นแหละ เพราะงั้นมันก็อาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้”

“งั้นก็ดีแล้ว” พี่วินพูดเงียบๆ “แล้วเรื่องตุ๊กตาหมีล่ะ”

“มันบอกผมว่ามันไม่รู้เรื่องเลย และก็ไม่ใช่คนที่ทำหรือเอาไปส่งให้พวกเราด้วย พี่จ๊อบไม่เคยบอกอะไรมันเรื่องนี้เลย”

“ก็นั่นสินะ” พี่วินพยักหน้า

“มันบอกแค่ว่าบางทีมันก็จะถูกพี่จ๊อบบอกให้โทรหาซัน หรือชวนซันไปนั่นไปนี่ตามเวลาที่พี่จ๊อบมันต้องการเท่านั้น อย่างวันที่มันไปกินข้าวกับไอ้ซันแล้วเจอพี่จ๊อบกับนัทนั่นก็ด้วยเหมือนกัน”

“ก็คงงั้น”

“พี่วินรู้อะไรงั้นเหรอครับ” ผมสงสัย

พี่วินยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว เราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ พี่เดาว่าเมฆคงยังไม่ได้กินอะไรมาใช่มั๊ย”

ผมส่ายหน้า “กินขนมปังมาเมื่อเช้านิดหน่อยน่ะครับ แต่ก็แค่นั้น”

“ดี งั้นเราไปหาอะไรกินฆ่าเวลากันเถอะ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปหาไอ้จ๊อบในที่ๆเมฆนัดมันเอาไว้กัน”

“ครับ” ผมรับคำ และปล่อยให้พี่วินเป็นคนขับรถพาเราสองคนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก ไม่ว่าจะเรื่องของผม เรื่องพี่จ๊อบ เรื่องไอ้ซัน หรือแม้แต่เรื่องของพ่อเอก จนกระทั่งทุกอย่างบนโต๊ะถูกเก็บไปจนหมดเหลือเพียงถ้วยกาแฟของเราสองคนวางอยู่ พี่วินก็เป็นฝ่ายถามขึ้นพร้อมกับยกถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นจิบ

“เมฆรู้จักคนที่ชื่อบอลมั๊ย”

ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการนึก เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้มีเพื่อนชื่อนี้อยู่ในกลุ่มหรือแม้แต่ในที่ทำงาน จนในที่สุดผมก็นึกได้และพยักหน้าออกมา

“ผมรู้จักคนนึง เป็นพี่ที่เคยถ่ายรูปให้พวกผมสี่คนที่คอนโดของพี่แอมป์น่ะครับ พี่วินหมายถึงคนนี้รึเปล่า”

พี่วินพยักหน้าเบาๆ

“แล้วเค้าทำไมครับ”

พี่วินยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็วางถ้วยกาแฟที่ถือเอาไว้ลงบนโต๊ะ “ยังไม่มีอะไรหรอก” และยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรต่อ พี่วินก็ขัดขึ้น “แล้วเรื่องที่บอกว่าเมฆไม่มีเวลาแล้วน่ะ หมายถึงอะไร”

ผมตัดสินใจทิ้งเรื่องที่ผมคาใจเอาไว้ก่อนแล้วเล่าให้พี่วินฟังถึงการตัดสินใจของผม และเมื่อผมพูดจบ พี่วินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากมีรอยยิ้มน้อยๆอย่างพอใจอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

“พี่วินไม่ว่าอะไรใช่มั๊ยครับ”

พี่วินยักไหล่  “พี่จะว่าอะไรได้ล่ะ มันเป็นการตัดสินใจของเมฆคนเดียว พี่ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”

“แต่พี่ไม่คิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผิดใช่มั๊ย”

“พี่เคยบอกแล้วไง ว่าพี่ไม่ค่อยเข้าใจไอ้เรื่องพวกนี้ดีนักหรอก แต่พี่เข้าใจในตัวเมฆ พี่รู้และเห็นในสิ่งที่เมฆต้องการได้จากทั้งแววตาและน้ำเสียงของเมฆเมื่อครู่นี้ และนั่นมันก็เพียงพอแล้วที่พี่จะโอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเมฆน่ะ”

“ขอบคุณครับ พี่ทำให้ผมมั่นใจขึ้นได้อีกเยอะเลย” ผมยิ้มกว้าง รู้สึกตัวเองกำลังสั่นจากภายในเล็กน้อยโดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หวังว่านี่จะเป็นอาการสั่นสู้นะ...........

“เพียงแต่ว่า........” พี่วินเว้นช่วง “พี่คิดว่าเมฆน่าจะตัดสินใจทำได้ตั้งนานแล้วนะ พี่แปลกใจนิดหน่อยนะว่าทำไมเมฆถึงเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้”

“พี่วินหมายความว่า........” ผมอ้าปากจะถาม แต่สุดท้ายก็ได้แต่อ้าปากค้าง “พี่วินรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”

“ตั้งแต่วันแรกที่มันไป”

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย

“ก็มันไม่ใช่ธุระของพี่นี่ มันไม่ใช่สิ่งที่พี่ตัดสินใจไว้แต่แรกแล้วว่าพี่จะทำ แต่ ‘นี่’ ต่างหากคือสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำ ส่วนเรื่องนั้นมันเป็นการตัดสินใจของเมฆเอง และ” พี่วินเน้นคำสุดท้ายเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเถียง “เป็นสิ่งที่เมฆต้องการจากคนที่เมฆเชื่อใจ คนที่เมฆรัก ไม่ใช่เส้นทางที่คนนอกอย่างพี่จะเข้าไปยุ่ง”

ผมขมวดคิ้ว “ผมเองก็รักและเชื่อใจพี่”

พี่วินหัวเราะ “พี่จะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน”

“คุยอะไรกันอยู่ครับ น่าสนุกเชียว”

ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นพี่กรณ์กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะของพวกเรา

“ทำไมมาช้านักล่ะ” พี่วินถาม

“ขอโทษครับพี่ เมื่อเช้าผมก็ไปจัดการธุระมาให้พี่นั่นแหละครับ แต่ว่าเพื่อนพี่มันมีปัญหานิดหน่อย ก็เลยเสียเวลากว่าที่คิดไปนิด แต่นี่ครับ ของที่พี่วานให้ผมไปจัดการ ส่วนเพื่อนใหม่พี่ก็กำลังรอเราสองคนอยู่ที่เดิมนะครับ”

“ดี ขอบใจมาก” พี่วินพยักหน้าแล้วรับซองเอกสารซองหนึ่งมาจากพี่กรณ์ จากนั้นก็หันไปโบกมือให้บริกรมาคิดเงิน “งั้นเราไปกันเถอะ” แต่พอผมขยับตัว พี่วินก็ปรามผมเอาไว้เสียก่อน “เมฆไม่ต้องไป”

“อ้าว ทำไมครับพี่”

“ตอนนี้พี่กับกรณ์มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยน่ะ เมฆไปด้วยไม่ได้” พี่วินมองดูนาฬิกาข้อมือ “มีเวลาอีกประมาณสามชั่วโมง เมฆไปเดินเล่นหรือไปไหนก่อนก็ได้ แล้วหลังจากนี้พี่จะโทรหาเราอีกที เอ้า เอารถพี่ไปใช้” พี่วินยื่นกุญแจรถมาให้แก่ผม

“ผมไม่เข้าใจนะเนี่ย แล้วพี่จะให้ผมไปไหนทำอะไรครับ แล้วนี่พวกพี่จะไปไหนกัน ผมนึกว่าพี่จะอยู่กับผมทั้งวันซะอีก”

“ไม่ต้องห่วง นิสัยพี่ไม่ยอมพลาดเรื่องสนุกๆแน่ๆอยู่แล้ว และตอนนี้พี่ก็มีเรื่องสนุกรออยู่เหมือนกัน” พี่วินยิ้มให้แก่ผม และไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ว่ารอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมต้องขนลุกเหมือนกับเมื่อคืนนั้นเลยทีเดียว พี่วินหันไปยื่นแบ๊งค์พันให้กับบริกรพร้อมบอกว่าไม่ต้องทอน จากนั้นก็พยักหน้าให้กับพี่กรณ์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหารไปเงียบๆโดยไม่หันมามองผมอีกเลย



PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2: อาไรอ่า งงงง รู้สึกตัวเองไม่เหมาะกะนิยายประเภทนี้เลยแหะ :o8:

เดาไม่ออกอ่า... :a6:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ขออีกตอนสิน้องต้น เพราะตอนนี้พี่ยังหาทางออกประตูไม่เจอเลย มันมืดไปหมด :serius2:

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
อ่านตอนนี้แล้ว  เหมือนได้อ่านนิยายประเภทสืบสวนเลย

แต่ก็น่าติดตามมากนะ

 :oni3: :oni3: :oni3:

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
มาขอเปนแฟนนิยายเรื่องนี้ด้วยคนค่ะ

อ่านแล้วติดงอมแงม เป็นกำลังใจให้คนแต่งด่้วยค่ะ

มาต่อเร็วๆน๊า

อ้อ ขอจิ้มก้น ๑ ทีด้วย อิอิ

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :m1:  ถึงจะยังค้างๆคาๆ แต่ก็ดีใจที่มาต่อให้

เมฆจะทำอะไรต่อไปเหรอ ไปตามซันกลับมาป่ะ
ลุ้นให้เมฆกับซันกลับมาคู่กันเร็วๆ
เพราะว่าก้อนเมฆต้องอยู่คู่กับท้องฟ้าสิ จริงมั้ย  :o8:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
โอยมึน .... แต่ก็สนุกนะ

ขอบคุณมากนะคร้าบ รอต้นมาไขให้กระจ่างคับ

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
น้องต้นนนนนนน
มาต่อทีเท้อออออออออ :dont2: :dont2:
จะลงแดงเพราะคิดถึงเมฆกับซันแล้วน๊า o9 o9

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ขอโทษทีครับ มีเน็ตไม่มีคอม มีคอมไม่มีเน็ต บางทีมีทั้งสองแต่ไม่มีไฟล์อยู่กะตัว ไม่ได้แปะซักที  :เตะ1:
ใกล้จบและ(มั๊ง)ครับ ขอโทษอีกครั้ง ขอโทษจริงๆที่ให้คอย TwT


ก้าวที่สิบเอ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


หลังจากที่พี่วินกับพี่กรณ์เดินออกจากร้านไป ผมก็ยังคงนั่งคิดอะไรอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจขับรถกลับบ้านไปหาพ่อเอก ถึงอีกแค่สองสามวันพ่อก็จะสามารถกลับไปทำงานต่อได้แล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกดีเลยที่ต้องทิ้งให้พ่อต้องอยู่ตามลำพัง เนื่องจากสภาพจิตใจของท่านที่ไม่ได้ดีขึ้นตามสภาพร่างกายเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับดูแย่ลงทีละนิดๆด้วยซ้ำ

เวลาสามชั่วโมงที่พี่วินบอกมันไม่ได้มากพอจนเรียกได้ว่าเหลือเฟือ และก็ไม่ได้น้อยจนจะหาอะไรทำฆ่าเวลาได้ง่ายๆด้วยเช่นกัน และถึงแม้การจราจรบนท้องถนนวันนี้จะไม่ได้เลวร้ายมากก็ตาม แต่ผมก็ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีเข้าไปแล้วกว่าจะกลับมาถึงบ้าน ซึ่งยิ่งทำให้ผมมีเวลาอยู่กับพ่อน้อยลงไปอีก แต่ผมก็ยังอยากจะใช้เวลาเท่าที่มีให้คุ่มค่ามากที่สุดอยู่ดี บทเรียนเล็กๆอย่างหนึ่งที่ผมได้รับมาจากเรื่องในคราวนี้ก็คือ จงใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องมาใช้เวลาที่เหลือให้กับการเสียใจจากการจากไปอย่างคาดไม่ถึง

ทันทีที่ผมเดินเข้าบ้าน พ่อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็หันมามองผมด้วยใบหน้าแปลกใจ

“ผมมีเวลานิดหน่อยน่ะครับ เลยอยากกลับมาอยู่บ้านฆ่าเวลากับพ่อดีกว่า”

พ่อเอกพยักหน้าเล็กน้อย แต่แทนที่พ่อจะหันกลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองอ่านค้างอยู่ต่อ ท่านกลับวางหนังสือลงและหันมาคุยกับผมแทน “เมฆก็รู้ว่าอีกสองสามวันพ่อก็กลับไปทำงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงพ่อจนต้องขับรถไปๆมาๆแบบนี้ก็ได้นี่นา”

“ผมรู้ครับ แต่ผมก็อยากกลับมาเอนหลังสบายๆอยู่บ้านมากกว่าไปนั่งอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆอยู่ดีนั่นแหละ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างพ่อเอก หลังจากนั้นเราสองคนก็ตกลงสู่ความเงียบครู่หนึ่ง แต่ว่ามันก็เป็นความเงียบที่น่าสบายใจและให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากเช่นกัน มันให้ความรู้สึกเดิมๆเหมือนเมื่อครั้งที่เรายังมีกันแค่สองคนเมื่อหลายปีก่อนนี้ และพ่อเองก็ดูจะรู้สึกและคิดแบบเดียวกับผมด้วยเหมือนกัน

“เราไม่ได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกันนะ” บางครั้งพ่อเองก็เป็นคนที่เปิดเผยความรู้สึกของตนเองมากไม่ต่างไปจากผมเลย และเราสองคนพ่อลูกก็ดูเหมือนจะมีความคิดความอ่านอะไรหลายๆอย่างคล้ายกันมากด้วยเช่นกัน

“ครับ จะว่าไปจริงๆตั้งแต่ผมกลับมาเราก็ไม่เคยได้อยู่กันสองคนเงียบๆแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบที่มีคนอื่นๆอยู่ในบ้านด้วยนะครับ เพียงแต่ว่าพอเราได้มานั่งกันอยู่สองคนแบบนี้แล้วมันก็เหมือนกับสมัยก่อนที่เราสองคนพ่อลูกมักจะนั่งคุยนั่งอ่านหนังสือกันเงียบๆแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่เราอยู่บ้านเลยก็ว่าได้ ผมว่าผมคิดถึงความรู้สึกเก่าๆแบบนั้นเหมือนกันนะ”

“ทั้งๆที่เมฆเองก็มีเพื่อนเยอะ แต่กลับชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่า บอกตามตรงนะว่าสมัยนั้นพ่อเองก็เคยรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน”

“นั่นสิครับ บางทีคงเพราะผมไม่ค่อยชอบความวุ่นวายมั๊ง”

“แต่เมฆมีเพื่อนที่ดีนะ”

ผมพยักหน้า “ข้อนั้นผมเห็นด้วยครับ ไม่ต้องสงสัยเลย ทุกคนโดยเฉพาะพวกไอ้ต่ายหรือไอ้กอล์ฟจะเป็นห่วงผมมาก โดยเฉพาะไอ้ต่ายน่ะนะ บางทีมันก็ทำตัวยิ่งกว่าแม่ผมซะอีก จนบางครั้งก็เกือบจะน่ารำคาญเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม พอมานึกย้อนๆดูผมเองก็ไม่เคยรังเกียจที่พวกมันชอบมาจู้จี้กับผมขนาดนั้นเลยจริงๆ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ก็เพราะทุกคนรักเรามากนั่นแหละ เมฆ พ่อยังจำได้ถึงตอนที่เมฆนอนโรงพยาบาลตอนนั้นได้อยู่เลย”

ผมพยักหน้าเงียบๆ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่โรงพยาบาลหลังจากที่ผมเกิดอุบัติเหตุ มันก็ทำให้ผมอดนึกถึงไอ้ซันขึ้นมาไม่ได้

“แล้วหลังจากเกิดเรื่อง ทุกคนเค้าว่ายังไงกันมั่งล่ะ” พ่อเอกถาม ท่าทางท่านจะสังเกตเห็นว่าผมเริ่มหลุดเข้าไปในความรู้สึกของตัวเองอีกครั้งก็เลยอยากจะช่วยดึงผมกลับมาก็เป็นได้ และมันก็ช่วยผมเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี

“ก็โทรมาเรื่อยๆแหละครับ คนนั้นมั่งคนนี้มั่งสลับกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรตรงๆผมเท่าไหร่หรอก ออกจะเป็นแนวให้รู้ว่าผมมีพวกมันอยู่ และรอจนกว่าผมจะพร้อมแบบนั้นมากกว่า จะว่าไปแม้แต่พี่แอมป์ยังโทรหาผมอยู่เรื่อยๆเลย วันก่อนพี่เค้ายังอยากจะเจอผมและพาไปกินข้าวด้วยกันเลยครับ”

“แม้แต่พี่เค้าก็ยังเป็นห่วงเรามากเลย เห็นมั๊ยล่ะ เมฆรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร”

“ครึ่งนึงผมคิดว่าเป็นเพราะผมเคยช่วยพี่เค้าเอาไว้มากกว่าครับ และอาร์มกับไคล์เองก็เรียนอยู่ที่เดียวกัน เลยไม่น่าแปลกใจที่พี่เขาจะรู้เรื่องผมกับไอ้ซันและแสดงความเป็นห่วงแบบนี้”

“เมฆอย่าคิดเพียงแค่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องพี่เค้าไม่เคยโทรหาเราอีกเลยรึไง พ่อคิดว่าไม่ใช่นะ และที่สำคัญไอ้เรื่องที่ว่าเมฆเคยช่วยพี่เค้าเอาไว้นั่นก็ถูก แต่นับจากตอนนั้นมามันก็นานแล้วและก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่พี่เค้าต้องติดค้างอะไรเราอีกแล้วนี่ เค้าเลือกที่จะหายหน้าไปเลยก็ได้ แต่พี่เค้าและทุกๆคนน่ะ รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เมฆมีให้พวกเค้าอย่างจริงใจ และทุกคนก็ชื่นชอบในส่วนนั้นของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหลายคนหรือแม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังรู้สึกชื่นชมในสิงที่เมฆกับซันมีให้กันแก่กันมาก จนในตอนนี้เมื่อความรักของเราทั้งคู่มันดูถึงจุดที่แย่ลง ไม่ว่าใครที่เคยรู้ว่าลูกสองคนรักกันมากแค่ไหน ก็ย่อมต้องอยากเป็นกำลังใจให้เราทั้งคู่ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดีทั้งนั้นแหละ”

ผมไม่เคยคิดตรงจุดนั้นมาก่อนเลย อย่างดีที่สุดผมก็คิดแค่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนที่ดี ทุกคนรักและห่วงใยไม่ว่าผมหรือไอ้ซันมากเท่านั้น แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าหนึ่งในความปรารถนาดีเหล่านั้นมันจะมาจาก “ตัวความรัก” ที่ผมกับซันมีให้แก่กันด้วย

ความคิดและความรู้สึกใหม่นี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึงมันมากขึ้นไปอีก

“เมฆคิดถึงซันมั๊ย”

“มากกว่าสิ่งไหนๆเลยครับ........” ผมถอนหายใจ “พ่อไม่รู้หรอกว่าทุกคืนที่ผมหลับตานอน และทุกวันที่ผมลืมตาตื่น รอยยิ้มของมันคือภาพภาพสุดท้ายและภาพแรกที่ผมนึกถึง ผมแทบไม่เคยต้องนอนคนเดียวโดยไม่มีมันมาก่อนเลย ตลอดเวลาสามปีในมัธยมปลายเราแทบจะเป็นเหมือนฝาแฝดกันในโรงเรียน จะห่างกันก็แค่ตอนกลับบ้าน และอีกสามปีถัดมาที่อังกฤษ เราสองคนก็ยิ่งแทบไม่เคยแยกห่างออกจากกันนอกจากเวลาเรียนเลย นั่นคือในหนึ่งวันเต็มๆผมใช้เวลาอยู่กับมันเกินกว่าสิบห้าชั่วโมงซะอีก..........”

เราสองคนพ่อลูกนั่งคุยกันอีกเล็กน้อย แต่ส่วนมากแล้วเราจะนั่งอ่านหนังสือกันอยู่เงียบๆมากกว่า จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง พี่วินก็โทรเข้ามาตามผม

“อยู่ที่ไหน”

“อยู่บ้านครับ พี่จะให้ผมเอาไงต่อ”

“ก็ตามที่นัดไว้เหมือนเดิมนั่นแหละ วันนี้จะเป็นวันที่เมฆได้รู้ความจริงและจะได้จัดการไอ้เหี้ยนั่นให้มันจบๆไปสักที”

และตอนนั้นเองที่ผมเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และไม่รู้ทำไมว่ามันถึงเป็นอะไรง่ายๆที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยด้วย “เอ้อ พี่วินครับ ผมขอโทษนะครับ แต่ว่า.......” ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยืนคุยที่หน้าระเบียงบ้าน “ถ้าพี่วินไม่ว่าอะไร ผมไม่อยากจะใส่ใจตรงจุดนั้นแล้วน่ะครับ” ผมคิดว่าพี่วินจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็เปล่า เขายังคงเงียบและรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดต่อเหมือนเคย ดังนั้นผมจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่ผมเพิ่งคิดได้ออกไป “แน่นอนครับว่าผมอยากจะทำเรื่องนี้ให้มันจบๆไปสักที ผมอยากจะรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากรู้ความจริงทั้งหมด อยากรู้ว่ามันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคืออยากจะให้มันเลิกยุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมสักทีได้แล้วเหมือนกัน อืมม แต่จะว่าไปไอ้ที่บอกว่าอยากรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรนี่จริงๆแล้วผมก็คงไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอก แต่ประเด็นก็คือ ผมไม่สนใจที่ ‘จัดการ’ อะไรมันอีกแล้วน่ะครับ ผมพูดจาวกวนรึเปล่าเนี่ย พี่วินพอจะเข้าใจผมมั๊ย”

พี่วินเงียบไปครู่หนึ่ง “เมฆจะบอกว่าเมฆไม่ได้โกรธ ไม่ได้อยากเอาคืนอะไรคนที่ทำแบบนี้กับเมฆเลยงั้นเหรอ คนที่ช่วงชิงความสุขของเมฆไป และคนที่ทำร้ายพ่อของเมฆน่ะนะ”

“ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่โกรธนะครับ แต่ผมไม่อยากแก้แค้นหรือคิดร้ายอะไรเท่าไหร่นักหรอก การแก้แค้นและการเอาคืนคนที่ทำร้ายเรามันก็ทำให้เราไปตกอยู่สถานการณ์และกลายเป็นคนแบบเดียวกับคนเหล่านั้นเท่านั้นเอง ผมไม่อยากจะทำอะไรให้มันวุ่นวายไปกว่านี้แล้วน่ะครับ”

“หมายความว่าเมฆยกโทษให้กับสิ่งที่พวกมันทั้งหมดทำกับเมฆ ซัน และพ่อของเมฆ”

“ไม่ครับ ผมไม่ยกโทษให้ ผมคงยังไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่อยากจะเกลือกกลั้วอะไรกับคนแบบนี้อีกแล้ว ก็คงเท่านั้นมั๊งครับ ในเมื่อตอนนี้ผมรู้สึกแล้วว่า ถ้าเรื่องตรงนี้มันจะจบ ผมก็จะเริ่มเดินต่อไปในชีวิตของผมเองอีกครั้ง มันจะกลับมาเหมือนเดิมรึเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วผมก็อยากจะให้มันเป็นอดีตและทิ้งมันไว้ตรงนั้น มันก็คงเท่านี้แหละครับ”

“จริงๆแล้วพี่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเมฆเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าเมฆบอกว่าเมฆไม่ใช่คนดีขนาดนั้น พี่เองก็คงเป็นคนจำพวกเดียวกับไอ้จ๊อบหรือแย่ยิ่งกว่านั้นซะอีก แต่ถ้าเมฆต้องการแบบนี้พี่ก็เข้าใจ เพราะคำตอบนี้มันก็สมกับเป็นเมฆดีอยู่หรอก เพียงแต่ถ้าพี่จะแปลกใจก็คงเป็นว่าทำไมเมฆถึงเพิ่งมาพูดเอาป่านนี้เท่านั้นเอง”

“ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าจะว่ากันตรงๆ คงเป็นเพราะผมเพิ่งรู้สึกตัวมั๊งครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะพ่อก็ได้มั๊งครับ ที่ทำให้ผมคิดได้”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นอะไรๆมันก็คงง่ายขึ้นและดีขึ้น แต่ถึงยังไงพี่ก็ยังคงไม่ไว้ใจมันอยู่ดี ยิ่งดูจากที่ๆมันนัดเมฆเอาไว้ด้วยแล้ว”

“มันคงไม่มีอะไรหรอกครับพี่” ผมบอกพี่วิน แต่ความจริงแล้วมันคงเหมือนผมบอกตัวเองมากกว่า เพราะจริงแล้วผมเองก็ไม่เคยคิดจะไว้ใจคนๆนั้นเลยอยู่ดี ยิ่งฟังจากน้ำเสียงและบรรยากาศแปลกๆที่ผมรู้สึกได้จากการคุยโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ด้วยแล้ว วันนี้การที่มีพี่วินคอยหนุนหลังอยู่ทั้งวันจึงเป็นความสบายใจที่ผมไม่คิดจะปฏิเสธเลยแม้แต่นิดเดียว

“แต่พี่ไม่ไว้ใจมัน เพราะฉะนั้นเมฆต้องดูแลตัวเองและระวังตัวให้มากๆ เข้าใจมั๊ย ใช่ว่าพี่จะเป็นห่วงเรามากเกินไปพราะคิดว่าเราดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็เป็นโค้งสุดท้ายแล้ว และมันเองก็คงระวังตัวแจเองด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”

ผมรับคำอย่างเข้าใจและวางโทรศัพท์ไป ถึงพี่วินจะไม่ต้องพูดออกมา ผมก็พอรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเริ่มจะกดดันมากขึ้นกับทั้งคู่ เนื่องจากนับตั้งแต่คืนนั้นที่เกิดเรื่อง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่พี่จ๊อบจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกน้องของตัวเองบ้าง ถึงพี่วินจะบอกผมว่าไอ้สองคนนั้นไม่ใช่ลูกน้องโดยตรงของมันและเขาจัดการปิดปากพวกมันไว้ได้สนิทแล้วก็ตามที

หลังจากเตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จ ผมก็บอกลาพ่อเอกและขับรถพี่วินออกจากบ้านเพื่อไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนตามที่ถูกนัดเอาไว้ แต่ทั้งพี่จ๊อบและพี่วินก็ยืนยันกับผมแล้วว่ามันเป็นโรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งตรงเกือบจะใจกลางกรุงเทพที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในความคิดของพี่วิน และไม่มีปัญหาอะไรเลยเด็ดขาด ตามคำยืนยันของพี่จ๊อบ โดยเหตุผลที่ต้องเป็นโรงแรมแห่งนี้ก็เพราะว่าเราจะไปทานอาหารกันในร้านอาหารของที่นั่น ซึ่งรสชาติดี ราคาไม่แพง บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมาะกับการพูดคุยธุระอะไรก็ตามที่เราจะต้องคุย และตามที่พี่วินบอกข้อมูลผมเพิ่มเติมมาเมื่อคืน โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นโรงแรมที่เป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวของพี่จ๊อบที่มันเองก็ดูแลอยู่ด้วยเหมือนกัน

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงเลยจริงๆ

ถ้าพี่วินไม่บอกข้อมูลหลังนั้นมาล่ะก็ ผมก็คงจะไม่รู้จากปากพี่จ๊อบเองแน่ๆ และในวันนี้ถ้าหากผมจะไม่ไป มันก็คงจะเป็นการน่าสงสัย และเรื่องนี้ก็คงจะต้องยืดเยื้อคาราคาซังต่อไปอีกแน่ๆ ซึ่งผมไม่คิดและไม่มีเวลาที่จะมาเสียอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะลองเข้าถ้ำเสือดูสักครั้ง ผมคิดว่าผมมั่นใจในตัวเองพอ และแน่นอน ผมมั่นใจในตัวพี่วินด้วย

แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนี่นะ.........

ผมมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็คำนวณอย่างคร่าวๆว่าจากบ้านของผมไปยังสถานที่นัดพบในช่วงเวลาประมาณนี้ก็ไม่น่าจะใช้เวลาเกินสี่สิบห้านาที ซึ่งก็คงจะไปทันอย่างไม่มีปัญหา และเมื่อคิดแบบนั้นแล้ว กำลังใจที่ว่าอีกแค่ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมง เรื่องตรงนี้มันก็จะจบลงแล้วก็ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นอีกมาเลยทีเดียว

แต่ทว่าขณะที่เพิ่งเลี้ยวรถออกจากหมู่บ้านได้แค่นิดหน่อย ผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างซึ่งจริงๆอาจจะเป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองก็ได้ แต่ว่าเพื่อความมั่นใจ ผมก็ทำอย่างที่พี่วินเคยบอกเอาไว้ทันที นั่นคือผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่พี่วินให้มาพกไว้ออกมากดโทรออกหาเบอร์ของพี่วิน จากนั้นก็สอดมันกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อตัวเองอีกครั้ง

ผมอาจจะกำลังวิตกจริตมากเกินไป แต่ว่ารถมินิแวนสีดำคันนี้ก็ตามหลังผมมาตั้งแต่ขับออกจากหมู่บ้านแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะพยายามแซงผมขึ้นไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดวงดูสักครั้งโดยการลองขับออกนอกเส้นทางเล็กน้อย ผมหักรถเลี้ยวเข้าซอยถัดมาและขับต่อไปอีกสักพักด้วยความเร็วไม่มาก และรถคันนี้ก็ยังคงตามผมมาห่างๆไม่มีท่าทีจะแซงหรือปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียวว่ากำลังตามผมอยู่ ผมจึงมั่นใจแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง และตัดสินใจหยุดรถลง และแน่นอนว่ามันเองก็หยุดรถต่อท้ายผมด้วยเหมือนกัน

ผมเหลือบมองกระจกมองหลังแต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากคนขับรถและคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าแค่สองคนล่ะก็คงจะพอไหว........ ผมสูดลมหายใจลึกๆและตัดสินใจเปิดประตูรถออก และเมื่อผมทำแบบนั้น ทั้งสองคนก็เปิดประตูรถฝั่งตัวเองออกมาด้วยเช่นกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ก็กำลังจะไปตามนัดอยู่แล้วนี่ไง ยังจะเอาอะไรอีก” ผมเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่คราวนี้ดูต่างกับไอ้สองคนนั้นคนละเรื่องเลยทีเดียว ทั้งกล้ามเนื้อ หน้าตา บุคลิก และแผลเป็นที่เห็นได้จากทั้งบนใบหน้าและท่อนแขนใหญ่ๆนั่นบ่งบอกได้เลยว่าทั้งสองคนนี้คงจะผ่านอะไรก็ตามในวงการของพวกมันมาไม่น้อย

“ขึ้นรถ” คนขับรถที่พูดสำเนียงใต้พูดห้วนๆจนเกือบจะเป็นการขู่

“ทำไม” ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาและเริ่มจะสงสัยแล้วว่าผมคงจะตัดสินใจผิดพลาดไปซะแล้ว ซอยๆนี้เป็นซอยเล็กๆที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เคยเข้ามา และมันก็ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรจริงๆ “จู่ๆจะให้มาทิ้งรถไว้กลางซอยเล็กๆเปลี่ยวๆแบบเนี้ยน่ะ อย่างน้อยๆก็ขอเอารถกลับไปเก็บที่บ้านก่อนไม่ได้รึไง อยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึงสิบนาทีนี่เอง”

“ขึ้นรถ” มันพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ดุดันกว่าเดิม

“บอกเหตุผลมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็.......” ผมจำต้องชะงัก เมื่ออีกคนหนึ่งล้วงปืนออกมาจากในเสื้อแจ๊กเก็ตที่สุดแสนจะผิดวิสัยการแต่งตัวของคนในกรุงเทพเหลือเกิน

“จะมาดีๆรึไม่มา” มันยังคงพูดด้วยน้ำเสียงดุดันในขณะที่เพื่อนของมันถือปืนชี้มาที่ผม

“แน่ใจรึว่านายแกต้องการให้เป็นแบบนั้น ปืนเนี่ยนะ” ผมพูด แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหามันดีๆ “ก็ได้ ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าใช้ปืนมาขู่นี่มันห่วยแตกมากเลยว่ะ”

ไอ้คนที่ถือปืนขู่เหวี่ยงหมัดเข้าที่กลางลำตัวของผมอย่างแรงจนผมรู้สึกได้เลยว่าขาของผมลอยสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย จากนั้นผมก็ทรุดตัวลงและพยายามหอบเอาอากาศเข้าไปในปอดอย่าทุลักทุกเลและเจ็บปวด น้ำตาเริ่มไหลมารื้นอยู่ที่ขอบตาเล็กน้อย ผมพยายามจะพูด แต่ทว่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรออกจากปากของตัวเองเลยนอกจากเสียงหอบ

“อย่าปล่อยให้มันว่าง นายบอกมาว่าไอ้นี่มันร้ายไม่เบา” ไอ้คนขับรถกำชับเพื่อนของมัน และผมก็ถูกรวบตัวอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ถูกกึ่งดึงกึ่งลากเข้าไปในรถจนได้

“มึงจะพากูไปไหน” ผมจัดการพูดออกมาจนได้เมื่อความเจ็บเริ่มทุเลาลงไปเล็กน้อย

“หุบปาก” คนขับรถยังคงเป็นคนเดียวที่รับหน้าที่พูดอยู่ จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้เพื่อนของมัน และไอ้คนที่ต่อยท้องผมก็คว้าเชือกมามัดมือของผมเอาไว้ ส่วนไอ้คนขับก็กลับไปประจำที่นั่งหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม

“เฮ้ยๆ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่หนีหรอกน่า บอกมาเถอะว่าพี่จ๊อบมันต้องการอะไร ถึงได้มาลักพาตัวกูตั้งแต่ออกจากบ้านเลยแบบนี้ นี่ยังไม่พ้นปากซยลยด้วซ้ำนะเนี่ย แล้วพวกมึงรู้ได้ยังไงว่ากูกลับมาบ้าน นี่อย่าบอกนะว่าพวกมึงตามกูมาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าแล้วน่ะ” ผมนึกแปลกใจ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้ถามพวกมันเพื่อต้องการคำตอบอยู่ดี

“ปิดปากมันด้วยเลยดีมั๊ยวะ” คนขับรถหันมาถาม ในขณะที่อีกคนกำลังเอาผ้าสีดำผืนยาวมามัดปิดตาผมเอาไว้อยู่ และผมก็สังเกตเห็นตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่ารถคันนี้ฟิล์มมันมืดมากขนาดไหน ดังนั้นเรื่องที่จะหวังให้คนอื่นมาเห็นสภาพของผมแล้วโทรแจ้งตำรวจนั้นก็คงเลิกหวังไปได้เลย หรือต่อให้มีคนเห็น ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าใครมันจะโทรไปบอกตำรวจจริงๆ

“นี่ รถก็คันใหญ่สีดำ ฟิล์มก็ดำ แถมยังผูกตาไว้แบบนี้ มันจะยิ่งไม่ดูเป็นตัวร้ายหนักเข้าไปอีกรึไง” และเนื่องจากผมที่ถูกปิดตาไปแล้วจึงไม่รู้ว่ามันกำลังมา จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตรงที่แก้มซ้าย พร้อมกับเสียงของกระดูกข้อมือที่กระแทกกับโหนกแก้มของผมอย่างแรงดังพลั่ก ใบหน้าของผมถูกเหวี่ยงไปตามแรงหมัดและผมก็รู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือดที่ไหลออกมาภายในช่องปากแล้วด้วย

“เฮ้ย เบามือหน่อย เดี๋ยวมันจะช้ำมาก นายบอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็นอย่ารุนแรงมากนัก” เสียงของคนขับรถพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมกับเอื้อมมือมาคว้าคางของผมให้เงยขึ้นและตบหน้าผมเบาๆ “เดี๋ยวหน้าหล่อๆมีแผลไปก็แย่สิวะ ถ้าจะเล่นก็เล่นตรงตัว จำไว้”

“มึงต่อยกูสองครั้งแล้วนะ” ผมกัดฟันพูด

“หึๆ ไปกันเถอะ” มือที่จับหน้าผมไว้เมื่อกี๊เลื่อนขึ้นไปเป็นตบหัวผมแรงๆหนึ่งทีแทน จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูรถปิดลง ไอ้คนที่ต่อยผมถึงสองครั้งย้ายมานั่งอยู่ข้างๆผม และเสียงถัดมาที่ผมได้ยินก็คือเสียงล้อที่บดถนนและกำลังเคลื่อนที่ไปตามทาง



BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
อุตส่าห์รอมาตั้งนาน แล้วค้างงงงง อีกแล้ว  :serius2:  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






PakBeob

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ค้างอีกแล้ว แต่ก็ยังดีนะที่มาต่อ เค้างอนแล้วนะ

 :a14: :a14: :a14:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เย้มาต่อแล้ว  :oni2: :oni2: :oni2: โหม่ง ๆๆๆ

ปล. ยังไม่ได้อ่านเลย มาโหม่งก่อน  :m4:

PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
จะให้ต่ออีกตอนเลยเหงอ  :m13:



จิ พลีสสสสสสสสสสสสสส..... :dont2:

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตอนแรกดีใจๆๆที่มาต่อแล้ว

แต่พออ่านจบ :o
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงง

แต่ก็ยังดีใจอยู่นะที่มาต่อให้แล้ว

ออฟไลน์ slmzaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อยากรู้ตอนจบจริงๆๆๆๆมาต่อก้อมาต่อแบบละครไทยเลยย     อแล้วก้อหายยยไปเปนเดือนๆๆๆๆเห้อๆๆๆๆดึงเรตติ้งมากไปนะเทอออออ                 แต่ก้อต้องตามนะ

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจัง มาต่อแล้ว

แต่ยิ่งอ่าน ยิ่งอยากรู้เรื่องทั้งหมดมากขึ้นอ่ะ

มาต่อเหอะนะ

คิดถึง ศิลา ฟ้าคราม จะแย่แล้ว

 :a6:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
มะได้ดึงเรตติ้งครับ แต่มันยุ่งจริงๆๆๆ TwT

ก้าวที่สิบสองสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมถูกปิดตาและมัดมือให้อยู่นิ่งๆและกำลังถูกพาไปที่ไหนสักที่เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แน่นอนว่าความคิดแรกของผมก็คือคิดว่าตัวการทั้งหมดนี่ก็คือพี่จ๊อบ แต่ว่ามันจะต้องทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรในเมื่อผมก็กำลังจะไปหามันเองอยู่แล้ว หรือว่าจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่มัน แต่ว่าผมก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะเป็นใครหรือใครที่จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

ตั้งแต่วินาทีที่รถเริ่มออก ผมก็พยายามจะนึกให้ออกว่าตอนนี้รถกำลังเคลื่อนที่ไปในทางไหน อย่างเช่นในตอนแรกผมรู้เลยว่ามันวกรถกลับไปยังทางเดิม จากนั้นก็เลี้ยวขวาออกจากซอยเล็กๆที่ผมต้องทิ้งรถของพี่วินเอาไว้ จากนั้นสักพักมันก็เลี้ยวซ้ายออกจากซอยบ้านของผมออกสู่ถนนใหญ่ แต่ทันทีที่รถออกสู่ถนนใหญ่ ผมก็เริ่มจับทิศทางไม่ถูกแล้วว่าผมกำลังถูกพาไปที่ไหน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันอาจจะกำลังขับวนเพื่อให้ผมหลงทิศ หรือไม่ก็พยายามขับหนีใครก็ตามที่มันคิดว่าอาจจะตามมันอยู่ก็เป็นได้

นอกจากความรู้สึกด้านทิศทางของผมที่เริ่มจะเสียไปแล้ว ความรู้สึกด้านเวลาของผมก็เริ่มจะหายไปแล้วด้วยเหมือนกัน ผมไม่รู้เลยว่าผมถูกนั่งรถพาไปที่ไหนและเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ทำให้ผมกะไม่ถูกเลยว่าที่ๆผมจะไปนั้นมันอยู่ไกลจากบ้านของผมมากขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอรู้สึกได้แน่ๆก็คือจำนวนครั้งที่รถต้องหยุดเพราะสัญญาณไฟที่มีค่อนข้างบ่อย ทว่านั่นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมเดาได้อยู่ดีว่าผมกำลังจะไปที่ไหนนอกจากค่อนข้างมั่นใจว่าผมน่าจะยังคงอยู่ในกรุงเทพอยู่เท่านั้นเอง

หลังจากเวลาผ่านไปราวๆนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หรือจริงๆแล้วอาจจะแค่สามสิบนาทีก็เป็นได้ ผมก็รู้สึกว่ารถกำลังเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถของที่ไหนสักแห่ง เพราะผมได้ยินเสียงของกระจกไฟฟ้าที่เลื่อนลงในจังหวะที่รถเริ่มชะลอความเร็วลง แถมคนที่นั่งข้างๆยังชักปืนออกมาจ่อสีข้างของผมเป็นเชิงเตือนด้วยว่าห้ามส่งเสียงออกมาเด็ดขาดด้วย ความสงสัย ความตื่นเต้น และความกังวลของผมจึงเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากที่อะดรีนาลีนมันเริ่มจางลงไปในระหว่างเดินทาง

“ลงมา” คนขับรถเปิดประตูตรงฝั่งผมและกระชากผมให้ลงมายืนอยู่นอกรถหลังจากที่รถจอดสนิท

“ถึงแล้วเรอะ เปิดตาได้รึยังล่ะ”

“เดิน” มันตบหัวผมอีกครั้งและผลักไหล่ให้ผมออกเดิน

ผมหันไปมองหน้ามันทั้งๆที่ถูกปิดตาและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมหันไปมองตรงกับที่ๆมันยืนอยู่รึเปล่า “มึงตบหัวกูสองครั้งแล้วนะ”

ผมถูกตบหัวอีกครั้งและคราวนี้ก็ถูกหิ้วปีกให้ออกเดินไปพร้อมๆกับมันด้วยจนผมนึกแปลกใจว่านี่ผมอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะถ้าเป็นในสถานที่สาธารณะทั่วๆไปล่ะก็ การที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกมัดมือไพล่หลัง ปิดตา แถมยังถูกลากถูกจูงโดยผู้ชายตัวใหญ่สองคนเดินไปไหนมาไหนแบบนี้มันก็คงจะต้องสะดุดตาใครบ้างล่ะ

ความหวังเดียวของผมในตอนนี้ก็เหลืออยู่ที่พี่วินเพียงคนเดียวแล้ว ในขณะที่เดินผมยังรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์มือถือของผมนั้นก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมเหมือนเดิมไม่ได้ถูกพวกมันยึดเอาไป และตอนแรกผมก็พยายามบอกใบ้ให้พี่วินรู้สถานการณ์ขอผมเท่าที่จะทำได้แล้วด้วย ถึงแม้ตอนที่อยู่ในรถส่วนมากผมจะนั่งเงียบๆเพราะทั้งเครียดและหลงทั้งทิศและเวลาไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าถ้าเป็นพี่วินล่ะก็ เขาจะต้องรู้แน่ว่าผมถูกพาไปที่ไหน

ผมถูกดึงถูกดันโดยคนตัวใหญ่สองคนไปตามทางและถูกพาเดินขึ้นบันไดขึ้นไปอีกสามชั้น “นี่ ตั้งสามชั้น ทำไมไม่ขึ้นลิฟต์วะ ที่นี่มีลิฟต์ใช่มั๊ยเนี่ย”

“หุบปาก” เสียงของไอ้คนขับรถคำรามเบาๆพร้อมกับดันหลังของผมอย่างแรง ผมถูกพาเดินไปตามทางอีกช่วงหนึ่งและหยุดลง จากนั้นคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ก็เคาะประตูและต่อมาก็เป็นเสียงประตูถูกเปิดออก แปลว่าในห้องก็ต้องมีคนอยู่อย่างน้อยอีกหนึ่งคนด้วยแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วสถานการณ์ในตอนนี้ก็คืออย่างน้อยสามต่อหนึ่ง อีกฝ่ายมีปืน ผมตัวเปล่าแถมยังถูกปิดตามัดมือเอาไว้แบบนี้ ชักจะไม่เข้าท่าขึ้นมาจริงๆแล้วสิ

ผมถูกดันให้เข้าไปในห้องและถูกจับกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ถูกมัดขาทั้งสองข้างเข้ากับขาเก้าอี้ ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ แถมมือสองข้างที่เคยถูกมัดไพล่หลังไว้เฉยๆก็เปลี่ยนเป็นถูกมัดไว้กับพนักพิงเก้าอี้อีกด้วย แย่หนักแบบสุดๆแล้วสิ และถึงแม้ผมเองก็ไม่รู้และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำอะไรอีกแล้ว แต่เมื่อคิดว่าพี่วินอาจจะยังคงกำลังฟังอยู่ก็ทำให้ผมต้องลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง อย่างน้อยๆก็เพื่อให้พี่วินได้รู้ถึงสภาพของผมในตอนนี้ด้วย

“นี่ มัดทั้งมือทั้งขากับเก้าอี้เลยเหรอ กูไม่หนีแล้วน่า จนถึงป่านนี้แล้ว แก้เชือกกับผ้าปิดตาออกได้แล้วล่ะมั๊ง” คราวนี้ไม่มีทั้งการตบหัว ต่อยท้อง ตบหน้า หรือแม้แต่คำพูดตอบกลับ แต่กลับมีเสียงฝีเท้าหนักๆเดินห่างออกไปตามด้วยเสียงปิดประตูห้องลงแทน และทันใดนั้นเองที่ทั้งห้องตกลงสู่ความเงียบจนผมได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน

ผมนั่งเงียบๆอย่างไม่รู้จะทำยังไงและคิดว่าผมอาจจะกำลังอยู่ลำพังคนเดียวเพื่อรอใครหรืออะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นอยู่ก็เป็นได้ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อผมได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเบาๆอยู่ไม่ไกลจากตัวดังขึ้น

“นี่” ผมหันไปทางทิศที่คิดว่าตัวเองได้ยินเสียง “นี่เรากำลังรออะไรกันอยู่แน่ จะบอกได้รึยังว่ามึงต้องการอะไร มัวทำเงียบรออะไรอยู่เล่า มึงจะเอายังไงก็ว่ามา”

เงียบ ยังคงไม่มีเสียงตอบอะไรกลับมาอีก จนผมเกือบจะหลงคิดว่าเมื่อกี๊ผมหูฝาดไปซะแล้ว แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผมต้องไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวแน่ๆ ผมไม่คิดว่าผมหูฝาดไปเองแน่นอน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเสี่ยงเรียกออกไปอีกครั้งดู

“พี่จ๊อบ ผมรู้นะว่าเป็นพี่”

อีกครั้ง ผมได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ จากนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามือเย็นๆสัมผัสเข้าที่แก้มด้านซ้ายของผมจนทำให้ผมต้องสะดุ้งจนเกือบสุดตัว

“เจ็บรึเปล่า” เสียงของพี่จ๊อบดังขึ้นจริงๆ เป็นมันจริงๆด้วย และเมื่อผมรู้แบบนี้แล้ว ครู่หนึ่งที่ผมกลับรู้สึกโล่งอกไปนิดหน่อย แต่ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นจริงๆ เพราะจากนั้นความโกรธก็โหมเข้ามาแทนที่แทบจะในทันที และการที่มันยังคงไม่เปิดผ้าผูกตาของผมออกแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลมากตามขึ้นไปอีกด้วยเช่นกัน ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าผมรู้สึกโล่งใจไปแว่บหนึ่งเมื่อกี๊นี้ได้ยังไง

“ปล่อยผม จะเอายังไงก็ว่ามา แต่อย่ามาทำแบบนี้ แบบนี้ผมแจ้งตำรวจจับพี่ได้ง่ายๆเลยนะ” เมื่อพูดจบ ผมก็นึกทุเรศตัวเองขึ้นมาทันทีที่คิดเอาตำรวจมาขู่คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้

“ทั้งๆที่สั่งแล้วแล้วแท้ๆว่าอย่าลงมือ” พี่จ๊อบเพิกเฉยกับคำพูดของผมและยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พี่ต้องการอะไร”

“เมฆก็รู้ว่าพี่ต้องการอะไร”

“ปล่อยผม!” ผมพยายามดิ้นและบิดข้อมือเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากเชือก

“อย่าพยามยามดิ้นเลยน่า”

“พี่อย่าคิดว่าตัวเองจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไปนะ พี่อย่าคิดนะว่าหลังจากที่พี่ทำแบบนี้แล้วพี่จะลอยนวลไปเฉยๆได้น่ะ”

“ที่พูดแบบนี้นี่แปลว่าเมฆคงวางใจคิดว่าจะมีใครมาช่วยเมฆออกไปได้สินะ แต่น่าเสียดายที่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น และน่าขำที่มันเองก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งให้เมฆได้อย่างที่เมฆคิดเลยด้วย”

ผมขบกรามแน่น พยายามระงับความโกรธและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันก็คงจะเข้าทางอย่างที่พี่จ๊อบต้องการแน่

“คนของพี่อยู่ที่ไหน” พี่จ๊อบถามขึ้น

“พี่พูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”

“คนของพี่........” พี่จ๊อบเดินวนมาทางด้านหลังของผมและก้มลงมาพูดใส่หูของผม ทำเอาผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว “สนิทกับพี่มากซะด้วยสิ........ ตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”

“ผมไม่รู้เรื่อง” ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ก็เคลื่อนไหวได้อย่างจำกัดเหลือเกินเมื่อถูกมัดมือมัดเท้าติดอยู่กับที่เอาไว้แบบนี้ จากนั้นผมก็ต้องรู้สึกขยะแขยงจนแทบอ้วกเมื่อรู้สึกถึงลิ้นเย็นๆของพี่จ๊อบไล่อยู่ที่หลังใบหู “อย่า!” ผมร้องออกมาพร้อมพยายามบิดหน้าหนี

“น่าเสียดายนะ เมฆน่ะเป็นแบบที่พี่ชอบเลยจริงๆ..........” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับลมหายใจแรงๆที่ต้นคอของผม “เสียดายที่เราดันไปคลุกคลีอยู่กับไอ้หมอนั่น”

“ปล่อยผม!”

“อย่าเสียงดังสิครับ แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครได้ยินอยู่ดีล่ะนะ” พี่จ๊อบผละออกไป ก่อนจะเดินวนไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของผม “พี่เปลี่ยนคำถามก็ได้........ ไอ้หมอนั่น ไอ้พี่วินของเมฆ บ้านของมันอยู่ที่ไหน”

“ผม.... ผมไม่รู้”

“พี่ต้องใช้คนหลายคนรถหลายคันมากเลยนะรู้มั๊ย เพื่อที่จะไม่ให้มันรู้ตัวว่ามันกับเมฆโดนตามมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วน่ะ แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่เห็นว่ามันจะแน่เหมือนที่เค้าว่ากันเลยนี่หว่า แต่ถึงงั้นก็เหอะ ถ้าเมฆไม่แยกกับมันเมื่อตอนบ่ายล่ะก็ เมฆก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็ได้........ มั๊ง” พี่จ๊อบลูบแก้มผมเบาๆแต่ผมสะบัดหน้าออก “แต่พี่ก็ต้องยอมรับนะว่าพอพี่รู้ว่ามันมีชื่อเสียงพอตัวแบบนั้น พี่ก็แปลกใจนิดหน่อยเหมือนกัน”

“พี่จะเอายังไงก็ว่ามา พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่”

พี่จ๊อบล้วงมือไปหยิบมือถือของผมออกจากกระเป๋า ซึ่งทำเอาหัวใจของผมต้องกระตุกวูบเมื่อคิดว่ามันอาจจะรู้ แต่สุดท้ายผมก็โล่งใจเมื่อได้ยินเสียงดังตุบของโทรศัพท์ที่ถูกโยนลงไปบนเตียง

“เมฆก็ไม่โง่นะ น่าจะรู้ได้แล้วนี่ว่าที่พี่ทำลงไปทั้งหมดมันเพื่ออะไร” และเมื่อพูดจบ พี่จ๊อบก็ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของผมออกทีะเม็ด “พี่น่ะ ลงทั้งแรงทั้งเงินไปมากโขนา”

“แล้วที่พี่ทำเพราะพี่ต้องการตัวผมจริง หรือเพราะต้องการที่จะเอาชนะเพราะรู้ว่าจริงๆแล้วพี่ไม่มีทางเอื้อมถึงผมได้ตลอดกาลกันแน่”

พี่จ๊อบหยุดมือลงเมื่อถึงกระดุมเม็ดที่สาม “เมฆพูดว่ายังไงนะ........”

“พอได้แล้วพี่ ถึงยังไงพี่ก็ไม่มีวันจะได้ผมไปตลอดกาล ปล่อยผม แล้วเรามาคุยกันดีๆอย่างลูกผู้ชาย”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ก็ได้ ถ้าเมฆอยากจะคุยนักเราก็มาคุยกันก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่ายังไงวันนี้พี่ก็จะต้องได้ในสิ่งที่พี่อยากได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม........ เอาล่ะ เมฆยังจะอยากรู้อะไรอีก”

พอมาถึงช่วงเวลานี้จริงๆ ผมก็กลับเป็นฝ่ายนึกไม่ออกเสียเองว่าผมอยากจะพูดหรืออยากจะรับรู้อะไรอีก ทุกอย่างมันดูราวกับเป็นฝันร้าย เป็นความทรงจำที่ยาวนานมากมาแล้ว จน ณ ตอนนี้มันแทบจะไม่เหลือความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ และผมเองก็พอรู้เรื่องคร่าวๆมาจากไอ้แบ๊งค์ส่วนหนึ่งแล้วด้วย แต่ผมรู้ว่าผมจะต้องพูด ผมจะต้องถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าความช่วยเหลือของผมจะมา

“มันเริ่มมาจากตรงไหน” ผมตัดสินใจย้อนกลับไปจนถึงจุดเริ่มต้นเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นการถ่วงเวลาที่ดีที่สุด และเป็นคำถามที่ดูคลุมเครือที่สุดแล้วด้วย

“ก็ตั้งแต่แรกที่เราเจอกันนั่นแหละครับ และทุกอย่างนับแต่นั้นมาก็เป็นไปตามแผนที่พี่วางเอาไว้ทุกอย่าง ถึงจะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง อย่างเรื่องของไอ้คนที่ชื่อวิน.......... แต่สุดท้ายเมฆก็เลิกกับซันอย่างที่พี่ต้องการ พี่ต้องบอกเราตรงๆเลยนะว่าพี่ไม่เคยคิดจะทำอะไรรุนแรงหรือทำร้ายใครเลยจริงๆ เพียงแต่อะไรๆมันกลับกลายมาเป็นไปในทิศทางนี้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งพี่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ”

“ไม่ได้ต้องการทำร้ายใครงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงต้องแบล็คเมล์นัทกับครอบครัวของไอ้แบ๊งค์แบบนั้นด้วย”

“เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้เรียกว่าการทำร้ายนะครับ พี่จะบอกให้รู้ไว้ ในโลกของธุรกิจและการเมือง โลกของชีวิตจริงนี่น่ะ ‘วิธีการ’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะ การครอบครอง คือสัญลักษณ์ของความมีพลังและอำนาจ และพี่ก็เป็นคนที่เติบโตมากับอำนาจนั้น ดังนั้นในสายตาของเด็กอย่างเมฆอาจจะมองว่ามันเป็นการทำร้าย แต่จริงๆในโลกของผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดและใช้สมองน่ะ เค้าเรียกว่า ‘กลยุทธ์’ จำเอาไว้”

“ไม่ต้องมาทำเป็นสอนผม” ผมขบกรามอย่างโกรธเคือง “แล้วที่ให้คนสะกดรอย ส่งตุ๊กตาหมีเหี้ยๆนั่นมา แถมยังบุกบ้านและทำร้ายพ่อผมกับไคล์อีก นั่นก็คือการใช้สมองทุเรศๆของพี่คิดรึยังไง!”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มทั้งสองข้างของผมแล้วแหงนหน้าผมขึ้น “เมฆคิดตื้นไป และอะไรทำให้เมฆคิดว่าพี่เป็นคนที่บุกเข้าไปในบ้านของเมฆล่ะ”

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันวาใครที่ทำอย่างนั้นและเพราะอะไร เพียงแต่ผมรู้สึกอยากจะโทษทุกอย่าให้เป็นความผิดของมันก็เท่านั้นเอง

“อะไรๆมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะครับ” พี่จ๊อบพูดต่อ

ผมสะบัดหน้าออก “หมายความว่ายังไง”

“ก็อย่างเช่นพี่ไม่ใช่คนๆเดียวที่ต้องการตัวเมฆหรอกนะ คนเราน่ะ ถึงบางทีความต้องการมันอาจจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อจุดประสงค์บางอยย่างหรือผลประโยชน์มันตรงกัน เราก็สามารถทำธุรกิจร่วมกันได้”

“พี่หมายความว่ายังไง”

“เมฆคิดจริงๆเหรอว่าเราน่ะเป็นคนดีเสียเหลือเกิน และไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บปวดหรือไม่เคยไปแย่งใครรึอะไรมาจากคนอื่นเลยน่ะ”

ผมไม่อยากจะเชื่อคำพูดของผู้ชายคนนี้มากนักอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริงล่ะก็ ก็หมายความว่านอกจากตัวพี่จ๊อบแล้ว ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่ร่วมมือกับมันและเป็นคนที่หลอกลวงผมได้อย่างแนบเนียนตลอดมา คนที่ผมเคยแย่งคนสำคัญของมันไป หรืออย่างน้อยๆก็คืนคนที่คิดว่าผมทำแบบนั้น..........

“ไอ้แบ๊งค์........”

“เห็นมั๊ยล่ะ เราเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำร้ายใครสักหน่อย” พี่จ๊อบคว้าคางของผมแล้วแหงนหน้าผมขึ้นอีกครั้งจากนั้นมันก็เขยิบเข้ามาใกล้หน้าของผมจนผมรู้สึกถึงลมหายใจของมันรดอยู่ตรงริมฝีปากทีเดียว “แล้วยังจะกล้าพูดเหมือนว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นซะเหลือเกินอยู่มั๊ยครับ”

“แต่ผมไม่เคยไปแย่งไอ้ซันมาจากมัน นี่มันบ้าแล้ว นี่มันเหี้ยกันไปใหญ่แล้ว!”

“เอาล่ะ เรื่องอื่นน่ะช่างมันเถอะ พี่ว่าเราคุยกันมาพอแล้วนะ เรามาต่อเรื่องของเรากันได้รึยัง”

ผมกัดฟันแน่น และสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือเสื้อของผมที่ถูกกระชากออกอย่างแรง ผมพยายามจะดิ้นหนี แต่ก็ไร้ผล แถมดูเหมือนจะยิ่งทำให้พี่จ๊อบชอบใจมากขึ้นอีกด้วย เสียงลมหายใจแรงๆของมันเป่าอยู่ตรงซอกคอของผม และมือของมันก็ค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาจนถึงหัวเข็มขัดของผมแล้ว

“พี่ได้ยินมาว่าเราเองก็มีดีไม่เบาเลยนี่” พี่จ๊อบงับที่ปลายหูของผมเบาๆและใช้มือขยำเป้ากางเกงของผมไปด้วย ผมรู้สึกตัวเองอยากจะอ้วกและรู้สึกขยะแขยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ “ไม่เอาน่า แข็งให้พี่หน่อยสิครับ”

ผมพยายามจะเบี่ยงหนี แต่ก็ยังคงไร้ผล พี่จ๊อบเริ่มขยับมือขึ้นมาปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงยีนส์เม็ดบนของผมออก ผมเเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ แต่ทว่าก็ไม่มีน้ำตา ผมไม่อยากจะเสียน้ำตาให้ไอ้คนพรรค์นี้แม้แต่หยดเดียว และผมก็ไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็นด้วย

พี่จ๊อบกัดที่ซอกคอของผมอย่างแรงจนผมต้องสะดุ้ง ผมกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกมา จากนั้นมันก็เลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงหัวนมของผม มันใช้ลิ้นวนรอบๆหัวนมซ้ายกับขวาสลับกันไปมา ก่อนจะกัดผมอีกครั้ง ที่หัวนมซ้ายจนคราวนี้ผมต้องร้องและดิ้นออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่มันก็ยังไม่ยอมหยุด พี่จ๊อบยังคงใช้ลิ้นและฟันขบกันหัวนมของผมทั้งสองข้างสลับกับการใช้มือคลึงและขยำที่เป้ากางเกงของผมอย่างพึงพอใจ

“หลังจากนี้ถ้ามันจบลง พี่คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่บ้าง” ผมพูดออกมาเบาๆ

“รู้สิ รู้ว่าพี่ก็จะมีภาพที่เมฆมีความสุขกับพี่เก็บไว้ดูซ้ำอีกหลายๆครั้งไงล่ะ”

“ไอ้สัตว์!” ผมสบถอกมาเมื่อรู้ความจริงว่าภาพของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้กำลังถูกบันทึกเก็บเอาไว้ด้วย

“อย่าพูดอย่างนั้นน่า ตอนนี้เมฆอาจจะลำบากหน่อย แต่พี่รับรองว่าหลังจากตรงนี้แล้วเราจะได้ไปต่อกันบนเตียงสบายๆแน่นอน” เมื่อพูดจบมันก็ใช้ลิ้นไล่ไปที่ใบหูของผมและขบติ่งหูผมเบาๆพร้อมกับใช้มือปลดกระดุมกางเกงยีนส์เม็ดสุดท้ายออกด้วย จนถึงตอนนี้ปราการด่านสุดท้ายด่านเดียวที่ผมเหลืออยู่ก็มีเพียงกางเกงในสีขาวผืนบางตัวเดียวเท่านั้นแล้ว “เตียงเดียวกับที่พี่ได้นัทเป็นครั้งแรกเลยเชียวนะ”

พี่จ๊อบค่อยๆใช้นิ้วล้วงเข้าไปในขอบกางเกงในแล้วควานหาสิ่งที่มันต้องการ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงขอบกางเกงในลงและใช้มืออีกข้างล้วงลงไปลูบคลำหาน้องชายของผม ผมพยายามบิดหนีไม่ให้มันดึงกางเกงในผมออกและควักน้องชายผมออกมาข้างนอกได้ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเหมือนจะทำให้มันพอใจและจงใจแกล้งผมมากขึ้นไปอีก มันใช้นิ้วชี้ควานหาจนเจอส่วนหัวของน้องชายของผมและใช้นิ้วนั้นบี้และคลึงตรงส่วนนั้นแรงๆ จนผมต้องคอยบิดเอวหนีอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ผมกำลังดิ้นรนอย่างไร้ความหมายและเกือบจะถอดใจอยู่แล้วนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้พอดี

“อะไรวะ!” พี่จ๊อบสบถอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะผละจากตัวผมแล้วลุกออกไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและพยายามจะบิดข้อมือหนีเพื่อให้เชือกหลุดอีกครั้ง แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม

“มีอะไร ก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าห้ามมากวนกู” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับเปิดประตู

“ขอโทษที แต่หมดเวลาสนุกของมึงแล้วว่ะ”

“พี่วิน!” ผมร้องขึ้นมาอย่างดีใจที่ได้ยินเสียงของพี่วินดังขึ้น ถึงแม้ว่าตาของผมจะยังคงถูกปิดอยู่ แต่ผมก็เอี้ยวตัวอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะหันไปหาเขา

“เดินเข้าไป” พี่วินพูด และหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดลง “แย่หน่อยนะ ที่กูไม่ได้โง่เหมือนที่มึงคิด”

พี่วินเดินมาถึงตรงเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ จากนั้นเชือกที่มัดมือของผมอยู่ก็หลุดออกไป

“ไปปิดกล้อง อย่ามาลูกไม้ล่ะ” พี่วินออกคำสั่ง และผมก็ใช้มือที่เป็นอิสระแล้วดึงผ้าที่ผูกตาอยู่ออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มลงติดกระดุมและเข็มขัดกางเกงใหม่ให้เรียบร้อย ผมเหลือบขึ้นมองไปทางขวามือก็เห็นพี่จ๊อบกำลังเดินไปยังโต๊ะหัวเตียงและที่นั่นก็มีกล้องวีดีโอวางตั้งอยู่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นว่าผมกำลังนั่งอยู่กลางห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยว่านี่ต้องเป็นโรงแรมของมันเองด้วยแน่นอน

ผมใส่กางเกงกลับมาเสร็จเหมือนเดิมแล้วก็ก้มลงแกะเชือกที่ข้อเท้าออก จากนั้นก็ยืนขึ้น พี่วินก้าวเข้ามาในห้อง และผมก็เห็นสิ่งที่ทำให้พี่จ๊อบต้องยอมทำตามที่พี่วินบอกอย่างง่ายดาย ปืนคู่ใจของพี่วินที่ติดที่เก็บเสียงเอาไว้แล้วชี้จ่อไปที่ตัวของพี่จ๊อบตลอดเวลาไม่ว่ามันจะเดินไปทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นพี่วินก็ยังคงระมัดระวังไม่ให้ปืนของตัวเองติดเข้าไปในมุมกล้องด้วยอย่างดี แต่ถ้าจะว่าไปจริงๆ ดูเหมือนพี่วินจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกถ่ายติดเอาไว้เลยด้วยซ้ำ

“เด็กๆของกูอยู่ที่ไหน แล้วมึงมาที่นี่ได้ยังไง” พี่จ๊อบยกมือขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ปิดเครื่องเล่นวีดีโอลงแล้ว และเห็นพี่วินเดินตรงเข้าไปใกล้มันมากขึ้น

“ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่ได้โง่เหมือนที่มึงคิด หรือไม่มึงเองก็คงโง่กว่าที่กูคิดมากล่ะมั๊ง” พี่วินเดินไปหยิบมือถือของผมจากบนเตียงมาส่งให้ผม ผมสังเกตเห็นพี่วินสวมถุงมือด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวนั่นก็คือคราบเลือดสดๆที่ติดอยู่บนถุงมือทั้งสองข้าง “ปลอดภัยนะเมฆ”

“ครับ พี่มาทันเวลาพอดี ที่นี่ที่ไหนครับพี่ ใช่โรงแรมที่มันนัดผมไว้ตอนแรกรึเปล่า จะว่าไปนี่กี่โมงแล้วเนี่ย” เนื่องจากผมถูกปิดตาพาขับรถวนอยู่นานขนาดไหนก็ไม่รู้ แถมพอได้ลืมตาขึ้นมาก็เห็นม่านในโรงแรมถูกปิดอยู่จนหมด ผมจึงขาดสัมผัสด่านเวลาไปอย่างสิ้นเชิง

“ใช่ ที่นี่ก็คือที่นั่นน่ะแหละ ตอนแรกพี่ก็คิดว่ามันจะพาเมฆไปที่อื่นอยู่เหมือนกัน มันคงตั้งใจจะซ้อนแผนพี่มั๊ง หรือไม่มันก็โง่จริงๆอย่างที่พี่คิดนั่นแหละ” พี่วินยิ้มเหยียดๆให้พี่จ๊อบ จากนั้นก็พูดต่อโดยไม่ได้ละสายตาออกไปจากใบหน้าที่บูดเบี้ยวเพราะความโกรธของพี่จ๊อบเลยแม้แต่นิดเดียว “ส่วนตอนนี้ก็จะสองทุ่มแล้ว แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เอาล่ะ ถอดเสื้อผ้าออกซะ”

“ว่าไงนะ”

“มึงได้ยินที่กูบอกแล้วนี่ แต่วางใจได้ กูไม่ได้โรคจิตแบบมึงหรอก ถอดเสื้อกับกางเกงออกซะเดี๋ยวนี้ กูไม่ใช่คนใจเย็นนักหรอกนะ”

“กูไม่กลัวมึงหรอกนะเว้ย ที่โรงแรมนี้มีเด็กของกูอยู่เต็มไปหมด เดี๋ยวพวกมันก็ต้องมาช่วยกู แล้วพวกมึงก็หนีไปไหนไม่รอดอยู่ดี!”

“เด็กของมึงน่ะเหรอ” พี่วินยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “มึงหมายถึงสองคนที่รออยู่ที่รถ และห้องข้างๆอีกห้องละสองคนใช่มั๊ย”

ดวงตาของพี่จ๊อบ เบิกโพลงขึ้นด้วยความแปลกใจระคนตกใจทันที แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งผมและพี่จ๊อบต้องตกใจยิ่งกว่านั่นก็คือ ห่อกระดาษทิชชู่สีขาวที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่พี่วินหยิบออกมาจาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนมันลงบนพื้น จนสิ่งที่ถูกห่ออยู่ภายในหลุดออกมากลิ้งอยู่บนพื้นห้อง

มันคือนิ้วสองนิ้วสองขนาดและสองสีผิวที่ถูกตัดออกอย่างเรียบร้อย

ผมรู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ในขณะที่พี่จ๊อบมีสีหน้าซีดเผือด

“นี่คือนิ้วของคนที่มึงใช้ให้มันไปพาตัวน้องกูมาไง แย่หน่อยที่กูไม่รู้ว่ามันใช้มือข้างไหนทำร้ายน้องกู กูก็เลยตัดสินใจตัดนิ้วชี้ข้างขวามาทั้งคู่แทน” พี่วินส่งยิ้มเย็นๆให้พี่จ๊อบ “อย่าแน่ใจไปนักว่าข่าวสารเกี่ยวกับกูและแผนการของกูที่มึงได้มาจากไอ้เด็กอ่อนหัดของมึงนั่นมันจะเป็นจริงไปซะทุกอย่าง แต่แน่นอนว่าในบางเรื่องมันก็ต้องมีความจริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ ทีหลังก็อย่าประมาทคนที่มึงไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเค้ามากจนเกินไป....... ทีหลังอย่าได้คิดประมาทกูมากจนเกินไป” พี่วินพูดเสริมด้วยเสียงทุ้มต่ำและสีหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทีนี้ก็ถอดซะ”

“มะ.... ไม่ มึง..... มึงจะทำอะไรกู” พี่จ๊อบถอยหนีออกไปหนึ่งก้าว แต่ทันใดนั้นเองที่พี่วินยิงปืนของตัวเองออกมาหนึ่งนัดลงบนพื้นห้อง เฉียดเท้าซ้ายของพี่จ๊อบไปเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตร ทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วของพี่จ๊อบยิ่งดูเหมือนมันใกล้จะเป็นลมมากขึ้นไปอีก

“อย่าให้กูต้องเปลืองกระสุนนักเลยนะ ความจริงก็คือกูไม่เคยขู่ และนัดเมื่อกี๊ก็ไม่ใช่การยิงพลาดด้วย เอาล่ะ ถอด”

“คอยดูนะมึง พ่อกูจะไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่ มึงจะต้องโดนคืนอีกเป็นสิบเท่า คอยดู!” พี่จ๊อบพูดไปพลางค่อยๆถอดเสื้อและกางเกงออกไปพลาง จนในที่สุดก็เหลือเพียงกางเกงในแบบบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวติดตัวอยู่

“ดี แค่นี้แหละ กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงไม่มีอาวุธอะไรติดตัวอยู่จริงๆก็เท่านั้น” พี่วินหันมาหาผม “เมฆ เอาเชือกไปมัดมันเอาไว้”

ผมจัดการทำตามที่พี่วินบอกโดยมีพี่จ๊อบคอยมองผมสลับกับพี่วินอย่างโกรธแค้น

“จริงๆแล้วกูน่าจะยิงมึงเล่นสักสามสี่นัด หรือไม่ก็หักแขนหักขามึงทิ้งซักข้างสองข้างให้มันสาสมกับสิ่งที่มึงทำลงไปมากกว่า แต่ในเมื่อน้องชายกูบอกเอาไว้ว่าเค้าไม่อยากจะเอาเรื่องอะไรมึงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นกูก็จะปล่อยมึงไป แต่ว่า.......” พี่วินเอื้อมมือไปหยิบกล้องวีดีโอมาถือเอาไว้ในมือ “ถ้ามึงคิดจะทำอะไรเหี้ยๆอีกล่ะก็ หลักฐานทั้งหมดมันอยู่ที่นี่แล้ว และแน่นอน สิ่งที่มึงพูดทั้งหมดเมื่อกี๊ก็ถูกอัดเอาไว้แล้วด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นกูขอเตือนว่าอย่าพยายามคิดจะทำอะไรโง่ๆอีกจะดีกว่า”

“มึงอย่าคิดว่ามันจะจบลงง่ายๆนะ มึงทั้งสองคนเลย!” พี่จ๊อบตวาด

พี่วินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาพี่จ๊อบ จากนั้นเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างใส่หูของพี่จ๊อบ แว่บแรกพี่จ๊อบมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีถัดมาพอดีกับที่พี่วินพูดจนจบ สีหน้าของพี่จ๊อบก็เปลี่ยนกลายเป็นซีดเผือด ถ้าหากว่าผมตาไม่ฝาดไปล่ะก็ ผมคิดว่าพี่จ๊อบถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยเพราะความกลัวเลยด้วยด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ” พี่วินเดินเข้ามาหาผม จากนั้นก็จับไหล่ของผมให้เดินคู่กับเขาออกจากห้องไป

ผมหันกลับไปมองพี่จ๊อบที่นั่งอยู่บนพื้นห้องในสภาพเปลือยเปล่าแถมยังถูกมัดเอาไว้อีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้พี่จ๊อบไม่ได้มองมาที่เราสองคนเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าสายตาที่หวาดหวั่นนั้นกลับจ้องมองลงบนพื้นห้องตรงตำแหน่งที่นิ้วทั้งสองข้างวางด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

“ใจเย็นลงรึยัง เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินดีกว่า ถึงเวลาที่เมฆควรจะรู้ความจริงทั้งหมดได้แล้ว และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่จากปากของไอ้ลิ้นงูนั่น” พี่วินพูดขณะเราเดินอยู่ที่โถงทางเดินของโรงแรม

“เมื่อกี๊....... พี่วินบอกอะไรมันไปครับ” ผมถามขณะที่เรายืนรอลิฟต์

พี่วินหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อยในเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก “เมฆไม่อยากรู้หรอก”


ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
กำลังตื่นเต้น รอค่ะรอๆๆ มาเร็วๆนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด