ก้าวที่สิบสู่ปลายทางสุดท้าย
ผมสังเกตเห็นว่าอาการของพ่อเอกเองกำลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าพอใจ บาดแผลและรอยฟกช้ำต่างๆก็กำลังค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าหลายครั้งที่ผมกลับเห็นท่านนั่งเหม่อลอย ถอนหายใจ และแลดูเงียบลงไปกว่าทุกครั้ง มีหลายมื้อที่พ่อเอกทานอาหารเหลือเยอะกว่าที่เคยมาก และมันก็ทำให้ทั้งผมและไคล์รู้สึกไม่สบายใจเอาเลยจริงๆ แต่ถ้าถามผมตรงๆแล้วล่ะก็ ผมเองก็พอจะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อเอกทั้งหมดนี้มันเกิดมาจากสาเหตุอะไร.......... หรือใคร แต่ทว่าผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้พ่อเอกรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
“พ่อกินข้าวเหลืออีกแล้วนะครับ พ่อดูผอมลงไปนะ พยายามกินให้มากกว่านี้หน่อยสิครับ เดี๋ยวร่างกายก็ไม่แข็งแรงหรอก” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราสามคนนั่งกินมื้อเย็นกันเสร็จ
“พ่ออิ่มแล้ว”
“แต่ว่า........”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่ออิ่มแล้วจริงๆ”
ผมถอนหายใจเบาๆ “ครับ....... ผมขอโทษนะครับพ่อ”
“เรื่องอะไร” พ่อเอกถาม และผมก็เห็นไคล์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัดอยู่ข้างๆ
“เรื่องที่ผมเป็นต้นเหตุทั้งหมดนี่ไงครับ ผมรู้ว่าพ่อไม่สบายใจ แต่ผมสัญญาครับว่าผมจะไม่ทำให้พ่อเป็นห่วง และทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“ไคล์”
“ครับ” ไคล์ตอบรับ
“พาลุงขึ้นห้องหน่อยซิ ลุงอยากพักผ่อนสักหน่อย อ้อ แล้วก็ถือแก้วน้ำขึ้นไปให้ลุงด้วยนะ”
“ได้ครับ”
ผมทำท่าจะท้วง แต่ไคล์ก็เอามือมาวางบนตักของผมเอาไว้ก่อน และพอผมหันไปมองเขา เขาก็ส่ายหัวน้อยๆเป็นเชิงห้ามเอาไว้ ไคล์ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปช่วยพยุงพ่อเอกให้ยืนขึ้น จากนั้นก็ถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือ หลังจากที่พ่อยืนขึ้นแล้วท่านก็นิ่งอยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่ง
“เมฆ......... พ่อน่ะ รักเมฆมากนะ รักไคล์ด้วย และแน่นอนว่าซันก็ด้วยเหมือนกัน แต่พ่อต้องยืนยันให้เมฆแน่ใจว่า พ่อจะมีความสุขมากกว่ากับการตัดสินใจและการที่ทุกคนได้เดินไปตามเส้นทางของตัวเองอย่างมีความสุข ในช่วงเวลาสองสามเดือนมานี้มีอะไรหลายอย่างเหลือเกินเกิดขึ้นในบ้านของเรา แต่ไม่ว่าเมฆจะไปที่ไหนกับใคร ทำอะไร หรือซันจะไปนอนอยู่ที่ไหน ทุกๆคนก็คือ ‘ลูกชาย’ ของพ่อ และเป็นลูกที่พ่อภูมิใจ ทว่าบางสิ่งบางอย่างที่ลูกๆทุกคนสูญเสียมันไป สิ่งนั้นแหละที่ทำให้พ่อเสียใจและเสียดายมากกว่าเรื่องไหนๆเสียอีก” ขณะที่พ่อพูด ผมก็สังเกตเห็นมือข้างที่จับพนักพิงเก้าอี้อยู่ของพ่อสั่นเทาเล็กน้อย
“พ่อครับ......”
“พ่อขอไปนอนก่อนนะ เก็บล้างให้เรียบร้อยด้วยล่ะ แล้วก็พักผ่อนซะด้วย ไม่ต้องมัวห่วงพ่อมมากนักหรอก พรุ่งนี้ต้องออกไปข้างนอกกับวินเค้าไม่ใช่เหรอ”
ผมพยักหน้ารับ “ครับ”
“ดูแลตัวเองล่ะ ระวังสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดีๆ”
“ผมเข้าใจครับ” ผมมั่นใจว่าพี่วินเองก็คงบอกอะไรพ่อไปแล้วบ้างเหมือนกัน แต่บางครั้งผมก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีนักว่าทำไมพ่อถึงต้องเป็นห่วงผมมากขนาดนั้นด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวลมากถึงขนาดนั้นสักหน่อย “ผมรักพ่อนะครับ”
พ่อเอกพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะกินข้าวไปโดยมีไคล์เดินตามไปติดๆ หลังจากที่ทั้งสองคนเดินหายไปตรงบันไดแล้ว ผมก็จัดการเก็บโต๊ะกินข้าวให้เรียบร้อย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา ไคล์ก็เดินกลับมาช่วยผมเก็บล้างในห้องครัว
“พี่ขอโทษนะไคล์” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังล้างจานอยู่โดยมีไคล์ยืนพิงเคาน์เตอร์รออยู่ข้างๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
“แต่พี่ไม่เข้าใจ........ พี่ไม่เข้าใจเลยเลย พี่ไม่เข้าใจว่าพี่ควรจะทำยังไงพ่อถึงจะรู้สึกดีขึ้น พี่ควรจะทำยังไงไม่ให้ไคล์ต้องรู้สึกแบบนี้ และพี่จะต้องทำยังไง เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องมาเศร้าใจและเป็นกังวลเพราะมีพี่เป็นต้นเหตุแบบนี้” ผมพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากอ่างล้างจาน พยายามซ่อนสีหน้าเพื่อไม่ให้ไคล์เห็นถึงความอ่อนแอที่พักนี้รู้สึกว่าผมจะเป็นบ่อยเหลือเกินแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้ใครต้องทุกข์ใจจริงๆ ในตอนนี้แม้แต่อีฟหรือพวกไอ้กอล์ฟก็มีส่งเมสเสจหรือโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอยู่เป็นระยะๆด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนทุกคนจะได้รับผลกระทบจากเรื่องครั้งนี้กันไปอย่างถ้วนหน้า และผมก็รู้สึกไม่ชอบมันเลยจริงๆ
“ศิลาอยากจะรู้จริงๆมั๊ยว่าผม พ่อของศิลา และทุกๆคนต้องการอะไร” ไคล์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
ผมล้างมือและปิดก๊อกน้ำ จากนั้นก็หันมาสบตากับเขา “อะไรครับ”
“ต้องการให้ศิลามีความสุขไง”
“แต่พี่ก็ไม่ได้กำลังมีความทุกข์นี่”
“แน่ใจนะ ว่าที่พูดออกมาน่ะจริง” ไคล์ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายของผม “ศิลาจะโกหกใครก็ได้นะ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ และผมจะบอกตรงๆเลย ศิลาโกหกตัวเองไม่ได้ แถมยังโกหกคนอื่นไม่ได้เลยอีกด้วย เพราะศิลาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาซะเลย และคนที่อยู่ข้างในนี้จริงๆน่ะ คือคนที่มีรอยยิ้มที่งดงามที่สุด และมีความสุขพร้อมที่จะแบ่งปันให้คนอื่นตลอดเวลาต่างหาก” ไคล์เลื่อนมือจากหน้าอกของผมมาจับมือซ้ายของผมไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา “และเขาคนนั้นก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ข้างในนี้ของผมตลอดมาเลยด้วย ทุกคน โดยเฉพาะลุงเอก กำลังรอรอยยิ้มของศิลาอยู่นะ นั่นล่ะ คือสิ่งที่ศิลาทิ้งและทอดทิ้งมันไป และทุกคนก็กำลังรอคอยและพยายามช่วยเหลือให้ศิลาตามหามันกลับคืนมาอยู่ เพียงแต่ศิลาไม่เคยรู้ตัวเลยเท่านั้นเอง”
ผมชักมือกลับและหมุนตัวหันข้างให้แก่ไคล์ สองมือเท้าอยู่บนเคาน์เตอร์ ก้มหน้า และพูดออกมาอย่างยากลำบากเพื่อพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองต้องสั่นเครือ “แล้วพี่จะทำยังไงได้ และจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ในเมื่อความสุขของพี่มันไม่อยู่กับพี่อีกแล้ว มันเดินออกจากชีวิตพี่ไปแล้ว.........”
ไคล์จับไหล่ของผมและดึงให้ผมหันหน้ากลับไปหาเขา จากนั้นเขาก็ก้มลงมาหอมแก้มผมเบา “นี่คือสิ่งที่พีทฝากผมมาให้ศิลาเมื่อศิลาพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา และเค้ายังฝากผมมาบอกอะไรบางอย่างอีกด้วย แต่ก่อนอื่นผมสองคนมีเรื่องอยากจะถามศิลาสักหน่อย เราไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะ”
ผมพยักหน้าและเดินตามไคล์ออกไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเราสองคนนั่งลงบนโซฟาแล้ว ไคล์ก็จ้องหน้าผมและถามคำถามที่เค้ารอคอยออกมาทันที “ศิลายังรักซันอยู่มั๊ย”
ผมสะอึกเล็กน้อยกับคำถามง่ายๆแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงจะต้องคิดมากด้วย “มันยังมีความหมายอะไรอยู่อีกรึไง”
“มีสิ มีมากด้วย ตอบผมมาตามตรง และคิดดีๆด้วยนะ หลังจากที่เจอเรื่องทั้งหมดนี้มาแล้ว และไม่ต้องคิดถึงว่าซันคิดยังไงด้วยนะ เอาแค่ความรู้สึกของศิลาคนเดียว ตอนนี้ศิลายังคงรักซันอยู่มั๊ย”
ผมมองตาของไคล์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา และความจริงนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบ “ถึงมันจะพูดยังไงหรือทำอะไรลงไป แต่ว่า........ ถ้าพี่ไม่ได้รักมันล่ะก็ อะไรๆมันก็คงไม่ยากขนาดนี้หรอก” น้ำตาของผมเริ่มไหลมาปริ่มอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง
ไคล์จับหน้าของผมให้มองไปยังเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะโน้มเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ “นี่แหละ ที่ผมกับพีทอยากจะรู้ เอาล่ะ” เขาคว้ามือขอผมไปจับเอาไว้ “หอมแก้มเมื่อกี๊เป็นสิ่งที่พีทฝากมา ส่วนจูบเมื่อกี๊เป็นของผมเอง และนี่คือสิ่งที่เราสองคนอยากจะบอกศิลาให้รู้เอาไว้นะ”เขายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้าๆ “‘พรหมลิขิต ก็คือเส้นทางที่คนสองคนขีดและเดินไปด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราต้องตัดสินใจจะลงมือทำเองไม่ใช่รอให้มันเกิดขึ้น’ ศิลายังจำคำพูดประโยคนี้ได้อยู่มั๊ย มันคือสิ่งที่ศิลาเคยพูดกับพวกเราเมื่อตอนที่เราอยู่ที่แกรนด์แคนยอนไง เป็นคืนที่ผมสองคนไม่มีวันลืม คืนที่เราสี่คนนั่งกอดกัน คุยกัน หัวเราะและร้องไห้ด้วยกัน และเป็นคืนที่ทั้งพีทและผมต่างก็รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้รู้จักพี่ชายที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รักที่สุดนโลกอย่างสองคนนี้”
คำพูดของไคล์ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เราทั้งสี่คน ท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และผืนดินได้เจอกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากที่เสียเวลาไปหลายปีกับการคลาดกันและตามหากัน
“คืนนั้น ศิลากับซันเป็นคนพูดและสอนพวกเราเองว่า การที่จะรักใครสักคน มันคือการรักและเชื่อในตัวของตัวเอง การที่ศิลาเลือกที่จะรักซันและบินไปหาซันที่อังกฤษนั้น ไม่ใช่เพราะซัน แต่เป็นเพราะศิลาเลือกที่จะรักตัวเองและทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ศิลาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง เลือกที่จะเดินไปในเส้นทางที่ตัวเองมีความสุขที่สุด จำได้มั๊ย” ไคล์กุมมือของผมไว้แน่น “นอกจากนี้พีทยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝากผมมาบอกศิลาเป็นพิเศษอีกด้วย เขาฝากมาบอกว่า ‘บางทีกระจกมันก็ไม่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ครบถ้วนหรอก ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นก็คือคนที่เรารักและสามารถเชื่อใจได้ และในตอนนี้ผมกับไคล์ก็อยากจะเป็นกระจกบานนั้นให้พี่นะครับ’” ไคล์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน และนั่นก็ยิ่งทำให้น้ำตาของผมมันไหออกมามากขึ้นไปอีก “เข้มแข็งไว้นะ ศิลา เราสองคนยังคงยืนเคียงข้างทั้งคู่เสมอ ผืนดินและสายน้ำ ยังคงแหงนหน้ารอคอยวันที่จะเห็นท้องฟ้าและก้อนเมฆที่สวยงามกลับมาลอยเคียงคู่กันอย่างที่เคยเป็นอีกครั้งนะ”
“ไคล์..... พี..........”
ไคล์ดึงตัวผมเข้าไปกอดและสิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอนี้มันไหลออกมาอาบแก้ม พร้อมกับสัญญากับตัวเองเบาๆภายในใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ........ ครั้งสุดท้ายที่ผมจะเสียน้ำตาให้กับความเศร้าในเรื่องนี้
“เชื่อผมสองคนนะว่า พระอาทิตย์เองก็รักและคิดถึงก้อนเมฆ คิดถึงท้องฟ้าสีครามที่จะสวยงามได้ที่สุดก็ต่อเมื่อมีก้อนเมฆที่อ่อนโยนและงดงามลอยอยู่เคียงคู่เท่านั้นเหมือนกัน” ไคล์พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษพลางกอดผมไว้อย่างแนบแน่น “และตอนนี้ผมมีอะไรที่สำคัญมากๆอยากจะบอกศิลาเป็นอย่างสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้น...........” เขาดันตัวผมออกช้าๆและมองเข้าไปในดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของผม “จงเชื่อใจผมสองคนนะครับ และผมเชื่อว่าศิลาจะต้องตามหาความสุขของตัวเองกลับมาได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าศิลาทำได้”
ผมยิ้มเบาๆและพยักหน้าออกมา นั่นก็คือคำพูดที่ผมเคยพูดกับพีเมื่อคืนนั้นด้วยอีกเหมือนกัน ให้ตายสิ ผมรักเด็กสองคนนี้มากจริงๆ จากนั้นไคล์ที่เห็นรอยยิ้มของผม ก็เผยรอยยิ้มของตัวเองออกมาอีกครั้งด้วยเหมือนกัน พร้อมกับบอกอะไรบางอย่างออกมาให้ผมฟัง และนั่นก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในใจผมมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วินาทีที่ไคล์พูดจบทันที
วันรุ่งขึ้นพี่วินก็มารับผมที่บ้านอย่างที่นัดกันไว้ และผมเองก็พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมซะอีกที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้มันจบๆลงไปในวันนี้ เพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะมามัวเสียไปอีกต่อไปแล้ว
“สีหน้าดูดีขึ้นนิดหน่อยนี่” พี่วินทัก
“ครับ ผมพร้อมแล้ว และจะไม่ลังเลอีกแล้วด้วย เพราะหลังจากนี้ผมมีธุระที่จะต้องทำต่ออีกเหมือนกัน”
พี่วินมองหน้าผมแล้วพยักหน้า “ดีแล้ว และเมื่อคืนได้ทำอย่างที่พี่บอกรึยัง”
“ครับ ผมนัดไอ้พี่จ๊อบเอาไว้แล้ว” ผมขยับซีทเบลท์ให้เข้าที่ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับพี่วิน “ไปกันเถอะครับ นำผมไปเลย”
นับจากวันที่ผมกับซันยื่นคำขาดกัน หรือนับแต่ที่พ่อเข้าโรงพยาบาล พี่จ๊อบเองก็คอยติดต่อผมอยู่เรื่อยๆตลอดมา โดยที่ผมก็คออยบอกปัดการนัดพบไปตลอดมาด้วยเช่นกัน โดยอ้างเหตุผลว่าผมจะรอจนกว่าพ่อหายดีและตัวผมพร้อม จนกระทั่งเมื่อคืนผมได้โทรไปยืนยันกับพี่จ๊อบอีกครั้งว่าผมพร้อมแล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้บอกไปเท่านั้นเองว่า ผมพร้อมแล้วที่จะคุยเรื่องนี้ให้มันเด็ดขาดไปสักที ซึ่งตัวพี่จ๊อบก็คงจะหลงคิดไปเองว่าผมพร้อมที่จะตกงปลงใจกับเขาแล้วเป็นแน่
พี่วินขับรถพาผมออกจากหมู่บ้านไปสู่ถนนใหญ่ และผมก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะพาผมไปไหน แต่ผมก็ไม่สงสัยและไม่คิดจะถามด้วยเหมือนกัน เพราะผมเรียนรู้มามากเกินพอแล้วว่าคำถามเหล่านั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย
“หลังจากคุยกับแบ๊งค์แล้ว คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันชัดเจนขึ้นบ้างมั๊ย” ในที่สุดพี่วินก็ถามขึ้นขณะที่รถของเราจอดตายสนิทอยู่ที่แยกไฟแดง
“ชัดมากด้วยครับ แต่ว่าถึงยังไงมันก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ผมรู้สึกว่ามันยังคงไม่ค่อยลงล็อคยังไงไม่รู้เหมือนกันบอกไม่ถูก”
“เมื่อวานพี่ไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้เรายังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงตอนเย็น ระหว่างตอนที่พี่ขับรถอยู่นี่ เมฆเล่าให้พี่ฟังทีซิว่าแบ๊งค์มันเล่าอะไรออกมาบ้าง ขอทั้งหมดนะ พี่อยากรู้ว่ามันบอกความจริงทั้งหมดออกมาแน่รึเปล่า อ้อ แล้วก็บอกพี่ด้วยว่าเมฆมีอะไรอยู่ในใจอยู่แล้วบ้าง”
ผมนั่งครุ่นคิดและประมวลถึงข้อมูลที่ผมเพิ่งรู้มาเมื่อวานเล็กน้อย “เริ่มจากสิ่งที่ผมรู้ก่อนนะครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวการทั้งหมดมันต้องเป็นพี่จ๊อบแน่ เพราะอะไรๆมันเหมาะเจาะเกินไป ผมเคยสงสัยว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่สามสี่ครั้ง ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่มันก็เหมาะเจาะพอดีกับเรื่องตุ๊กตาหมีที่ผมกับไอ้ซันได้รับมา บวกกับท่าทีแปลกๆของไอ้ซันที่อยากจะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองถึงขนาดต้องพึ่งไอ้เอ็น ซึ่งก็คงเพราะไม่อยากจะให้ผมต้องไม่สบายใจล่ะมั๊ง กับการที่บางทีพี่จ๊อบมันก็รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมได้หลายครั้งอย่างน่าประหลาด ซึ่งนั่นก็น่าจะแปลว่าเขาต้องติดต่อกับใครบางคนที่รู้จักผมอยู่แน่ ซึ่งผมก็สงสัยไอ้แบ๊งค์มาตั้งแต่ตอนงานวันเกิดผมแล้ว”
พี่วินพยักหน้า “แล้วยังไงต่อ”
“จนกระทั่งเมื่อวาน........” ผมนึกย้อนไปถึงสีหน้าและน้ำเสียงของไอ้แบ๊งค์เมื่อวานแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องที่ผมได้ยินออกจากปากของมันนั้น จะเป็นความจริงทั้งหมดแน่รึเปล่า แต่ในตอนนี้ผมก็พร้อมแล้วที่จะเสี่ยง “ไอ้แบ๊งค์ พ่วงด้วยไอ้เอ็น บอกผมว่าพี่จ๊อบเป็นคนที่ขู่ให้ไอ้แบ๊งค์มันร่วมมือด้วยนับตั้งแต่วันที่เรากลับมาจากทะเลกันแล้ว โดยถ้ามันไม่ให้ความร่วมมือ มันจะใช้เส้นสายของพ่อมันกดดันครอบครัวของไอ้เอ็น ทำให้มันไม่มีทางเลือก เพราะเท่านี้พ่อมันก็โดนปลดออกจากตำแหน่งที่เคยเป็นอยู่ไปเรียบร้อยแล้วด้วย นั่นคือการส่งสัญญาณเตือนว่ามันสามารถทำได้อย่างที่ปากพูดจริง และนั่นก็ทำให้ไอ้แบ๊งค์ต้องจิตตกไปเลยเหมือนกัน............ พี่วินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึเปล่าครับ”
“อืมมม” พี่วินพยักหน้า “หลังจากที่พี่เข้าไปสนใจเรื่องของไอ้แบ๊งค์นี่นะ แล้วไง มันว่ายังไงต่อ”
“มันบอกผมว่ามันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายน่ะครับ ทุกอย่างมันก็แค่ทำไปตามที่พี่จ๊อบบอกให้ทำ โดยเฉพาะเรื่องคืนนั้น.......... แล้วพี่วินว่าผมเชื่อสิ่งที่มันเล่ามาได้รึเปล่า”
“แล้วใจของเมฆเชื่อไปรึยังล่ะ”
“ผม.......” ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย “ผมคิดว่าผมเชื่อนะ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”
“แล้วเรื่องรูปถ่าย.........”
“รูปของนัทน่ะเหรอครับ” ผมถาม “มันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักหรอก แต่จะว่าไปพอมานึกดูดีๆ มันก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจริงๆนั่นแหละ เพราะงั้นมันก็อาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้”
“งั้นก็ดีแล้ว” พี่วินพูดเงียบๆ “แล้วเรื่องตุ๊กตาหมีล่ะ”
“มันบอกผมว่ามันไม่รู้เรื่องเลย และก็ไม่ใช่คนที่ทำหรือเอาไปส่งให้พวกเราด้วย พี่จ๊อบไม่เคยบอกอะไรมันเรื่องนี้เลย”
“ก็นั่นสินะ” พี่วินพยักหน้า
“มันบอกแค่ว่าบางทีมันก็จะถูกพี่จ๊อบบอกให้โทรหาซัน หรือชวนซันไปนั่นไปนี่ตามเวลาที่พี่จ๊อบมันต้องการเท่านั้น อย่างวันที่มันไปกินข้าวกับไอ้ซันแล้วเจอพี่จ๊อบกับนัทนั่นก็ด้วยเหมือนกัน”
“ก็คงงั้น”
“พี่วินรู้อะไรงั้นเหรอครับ” ผมสงสัย
พี่วินยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว เราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ พี่เดาว่าเมฆคงยังไม่ได้กินอะไรมาใช่มั๊ย”
ผมส่ายหน้า “กินขนมปังมาเมื่อเช้านิดหน่อยน่ะครับ แต่ก็แค่นั้น”
“ดี งั้นเราไปหาอะไรกินฆ่าเวลากันเถอะ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปหาไอ้จ๊อบในที่ๆเมฆนัดมันเอาไว้กัน”
“ครับ” ผมรับคำ และปล่อยให้พี่วินเป็นคนขับรถพาเราสองคนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก ไม่ว่าจะเรื่องของผม เรื่องพี่จ๊อบ เรื่องไอ้ซัน หรือแม้แต่เรื่องของพ่อเอก จนกระทั่งทุกอย่างบนโต๊ะถูกเก็บไปจนหมดเหลือเพียงถ้วยกาแฟของเราสองคนวางอยู่ พี่วินก็เป็นฝ่ายถามขึ้นพร้อมกับยกถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นจิบ
“เมฆรู้จักคนที่ชื่อบอลมั๊ย”
ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการนึก เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้มีเพื่อนชื่อนี้อยู่ในกลุ่มหรือแม้แต่ในที่ทำงาน จนในที่สุดผมก็นึกได้และพยักหน้าออกมา
“ผมรู้จักคนนึง เป็นพี่ที่เคยถ่ายรูปให้พวกผมสี่คนที่คอนโดของพี่แอมป์น่ะครับ พี่วินหมายถึงคนนี้รึเปล่า”
พี่วินพยักหน้าเบาๆ
“แล้วเค้าทำไมครับ”
พี่วินยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็วางถ้วยกาแฟที่ถือเอาไว้ลงบนโต๊ะ “ยังไม่มีอะไรหรอก” และยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรต่อ พี่วินก็ขัดขึ้น “แล้วเรื่องที่บอกว่าเมฆไม่มีเวลาแล้วน่ะ หมายถึงอะไร”
ผมตัดสินใจทิ้งเรื่องที่ผมคาใจเอาไว้ก่อนแล้วเล่าให้พี่วินฟังถึงการตัดสินใจของผม และเมื่อผมพูดจบ พี่วินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากมีรอยยิ้มน้อยๆอย่างพอใจอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
“พี่วินไม่ว่าอะไรใช่มั๊ยครับ”
พี่วินยักไหล่ “พี่จะว่าอะไรได้ล่ะ มันเป็นการตัดสินใจของเมฆคนเดียว พี่ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”
“แต่พี่ไม่คิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผิดใช่มั๊ย”
“พี่เคยบอกแล้วไง ว่าพี่ไม่ค่อยเข้าใจไอ้เรื่องพวกนี้ดีนักหรอก แต่พี่เข้าใจในตัวเมฆ พี่รู้และเห็นในสิ่งที่เมฆต้องการได้จากทั้งแววตาและน้ำเสียงของเมฆเมื่อครู่นี้ และนั่นมันก็เพียงพอแล้วที่พี่จะโอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเมฆน่ะ”
“ขอบคุณครับ พี่ทำให้ผมมั่นใจขึ้นได้อีกเยอะเลย” ผมยิ้มกว้าง รู้สึกตัวเองกำลังสั่นจากภายในเล็กน้อยโดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หวังว่านี่จะเป็นอาการสั่นสู้นะ...........
“เพียงแต่ว่า........” พี่วินเว้นช่วง “พี่คิดว่าเมฆน่าจะตัดสินใจทำได้ตั้งนานแล้วนะ พี่แปลกใจนิดหน่อยนะว่าทำไมเมฆถึงเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้”
“พี่วินหมายความว่า........” ผมอ้าปากจะถาม แต่สุดท้ายก็ได้แต่อ้าปากค้าง “พี่วินรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”
“ตั้งแต่วันแรกที่มันไป”
“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ก็มันไม่ใช่ธุระของพี่นี่ มันไม่ใช่สิ่งที่พี่ตัดสินใจไว้แต่แรกแล้วว่าพี่จะทำ แต่ ‘นี่’ ต่างหากคือสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำ ส่วนเรื่องนั้นมันเป็นการตัดสินใจของเมฆเอง และ” พี่วินเน้นคำสุดท้ายเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเถียง “เป็นสิ่งที่เมฆต้องการจากคนที่เมฆเชื่อใจ คนที่เมฆรัก ไม่ใช่เส้นทางที่คนนอกอย่างพี่จะเข้าไปยุ่ง”
ผมขมวดคิ้ว “ผมเองก็รักและเชื่อใจพี่”
พี่วินหัวเราะ “พี่จะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน”
“คุยอะไรกันอยู่ครับ น่าสนุกเชียว”
ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นพี่กรณ์กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะของพวกเรา
“ทำไมมาช้านักล่ะ” พี่วินถาม
“ขอโทษครับพี่ เมื่อเช้าผมก็ไปจัดการธุระมาให้พี่นั่นแหละครับ แต่ว่าเพื่อนพี่มันมีปัญหานิดหน่อย ก็เลยเสียเวลากว่าที่คิดไปนิด แต่นี่ครับ ของที่พี่วานให้ผมไปจัดการ ส่วนเพื่อนใหม่พี่ก็กำลังรอเราสองคนอยู่ที่เดิมนะครับ”
“ดี ขอบใจมาก” พี่วินพยักหน้าแล้วรับซองเอกสารซองหนึ่งมาจากพี่กรณ์ จากนั้นก็หันไปโบกมือให้บริกรมาคิดเงิน “งั้นเราไปกันเถอะ” แต่พอผมขยับตัว พี่วินก็ปรามผมเอาไว้เสียก่อน “เมฆไม่ต้องไป”
“อ้าว ทำไมครับพี่”
“ตอนนี้พี่กับกรณ์มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยน่ะ เมฆไปด้วยไม่ได้” พี่วินมองดูนาฬิกาข้อมือ “มีเวลาอีกประมาณสามชั่วโมง เมฆไปเดินเล่นหรือไปไหนก่อนก็ได้ แล้วหลังจากนี้พี่จะโทรหาเราอีกที เอ้า เอารถพี่ไปใช้” พี่วินยื่นกุญแจรถมาให้แก่ผม
“ผมไม่เข้าใจนะเนี่ย แล้วพี่จะให้ผมไปไหนทำอะไรครับ แล้วนี่พวกพี่จะไปไหนกัน ผมนึกว่าพี่จะอยู่กับผมทั้งวันซะอีก”
“ไม่ต้องห่วง นิสัยพี่ไม่ยอมพลาดเรื่องสนุกๆแน่ๆอยู่แล้ว และตอนนี้พี่ก็มีเรื่องสนุกรออยู่เหมือนกัน” พี่วินยิ้มให้แก่ผม และไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ว่ารอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมต้องขนลุกเหมือนกับเมื่อคืนนั้นเลยทีเดียว พี่วินหันไปยื่นแบ๊งค์พันให้กับบริกรพร้อมบอกว่าไม่ต้องทอน จากนั้นก็พยักหน้าให้กับพี่กรณ์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหารไปเงียบๆโดยไม่หันมามองผมอีกเลย