- เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีที่แล้ว -
กิ้ง กิ้ง กิ้ง กิ้ง
เสียงสัญญาณปิดประตูของรถไฟฟ้าดังเตือน ก่อนจะเลื่อนปิดลง ผู้คนมากมายแออัดเบียดเสียดอยู่ในช่วง
เวลาที่ใครๆก็อยากจะกลับไปถึงจุดหมายก่อนพลบค่ำ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนเมืองไปซะแล้ว
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
อ่า จะหกโมงเย็นอยู่แล้ว เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมง นึกแล้วก็โมโหพี่แอ้ดหัวหน้าฝ่ายไม่หาย ดันเสือกมา
เรียกประชุมเอาตอนสี่โมงเย็น แถมเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์แบบนี้ คนที่โดนเรียกเข้าไปก็หน้าหงิกแทบทุกคน
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เป็นลูกน้อง ลูกจ้างเค้านี่หว่า
เสียงรอสายดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่นานกว่าที่ผมจะกระเสือกกระสนควักออกมาได้ เพราะคนเบียดมากมาย
“อือ .. จะถึงแล้ว ” ผมบอกเมื่อรถมาหยุดที่สถานีสะพานควาย
“ไม่ได้นัดเจอที่สะพานควายนะเว้ย บอกว่าถึงแล้วเนี่ย” เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นมา แหม ทำเป็นหูดีเชียวนะมึง
“บอกว่า จะถึง ยังไม่ได้บอกว่าถึงแล้ว ” ผมแย้ง
“เออ เออ.. มาเร็วๆแล้วกัน หิว”
“ก็เข้าไปในร้านก่อนก็ได้ ”
“ยังไม่รู้จะกินอะไรเลยหว่ะ ”
“อ้าว .. ”
“ไม่ต้องอ้งต้องอ้าวอ่ะ รีบมาแล้วกัน หิว” พูดเสร็จก็ตัดสายไปเลย ไม่ได้เจอกันนาน ดูท่าทางมันอารมณ์ร้อน
ขึ้นเว้ย ผมยิ้มในใจก่อนจะกดโทรไปหาอีกสาย รอซักพักก็มีคนรับ
“สวัสดีคะ”
“พูดเพราะเชีย .. ” ผมแซวเล่น
“.. เออ แม่ อาทิตย์นี้ ปริ้นไม่กลับบ้านนะ นัดเพื่อนไว้”
“อะไร ไม่กลับมาหลายอาทิตย์แล้วนะ ยายเค้าก็บ่นกับชั้นอยู่นั่นหล่ะ” แม่ต่อว่า แล้วก็อ้างไปถึง
บุพการีตนเอง
“.. พวกนี้เป็นยังไงกันนะ พอได้งานการทำ ก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้านกันเลยนะ เจ้าโอ้ตอีกคน”
แม่ยังบ่นต่อ
“เอาน่า ขานั้นเค้างานเยอะ ก็น่าจะรู้อยู่ .. เอาไว้กลับอาทิตย์หน้าแน่ ” ผมรับคำก่อนจะเบน
มือถือออกห่างหูนิดหน่อย เพื่อจะได้ไม่ฟังคำบ่นต่ออีกสองสามนาที (เลวม่ะ)
“ปริ้น .. เจ้าปริ้น ฟังอยู่รึเปล่า”
“ฟังๆ” ผมได้ยินแว่วๆเลยรีบตอบ จังหวะที่รถตีโค้งโค้งตรงเสารีย์ชัย ทำเอาตัวเสียหลัก
ไปกระแทกคนข้างๆ
“ขะ ขอโทษครับ” ผมบอก ก่อนจะก้มหน้างุดๆ โทรสับต่อ
“แม่ๆ แค่นี้ก่อนนะ คุยไม่สะดวกเลย”
“แล้วทำไมไม่โทรมาตอนว่างๆนะ ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ แม่คิดถึง”
“ค๊าบ ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ไปชนด้วยอีกครั้ง
“เมื่อกี้โทดทีนะคับ” แบบว่าเสียหลัก ผมหัวเราะกลบเกลื่อนบอกผู้ชายคนข้างๆ เอ .. รู้สึกเหมือน
เคยเห็นหน้าที่ไหนหว่า
“ไม่เป็นไรครับ” พี่เค้าพูดก่อนจะยิ้มเห็นฟันขาว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ทำเอาผมเคลิ้มไปชั่วขณะ
ตามประสาคนบ้ากามที่เห็นผู้ชายน่ารักไม่ได้
“ครับ .. ”
“สถานีต่อไป สยาม ท่านที่จะเปลี่ยน - - - ”
ก่อนที่ประตูจะเปิด ผมผงกหัวทักทายพี่เค้าอีกครั้งก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงมดปลวกที่ต่างหลั่งไหลออก
จากตู้แต่ละฝั่ง
“ถึงแล้ว .. อยู่ไหน”
“หน้าลิโด้”
“เออ ทางลงพอดี ” ผมพูดใส่มือถือ ก่อนจะรีบจ้ำลงบันได รู้สึกขัดใจนิดๆ ที่ต้องเผอิญหลังของเหล่าสาวน้อย
คอนแวนที่เดินอ้อยอิ่งคุยกันเรียงแถวหน้ากระดานไม่สนใจว่าจะปิดทางใครต่อใคร ก่อนที่จะเห็นสาวทำงาน
ร่างใหญ่พุ่งเข้าชนผ่าวงแตกกระจาย ก่อนจะหันหน้ามาบอก
“อุ้ย .. ขอโทษคะ”
ผมแอบสะใจนิดหน่อย รีบเดินตามรอยเจ๊แกไป แล้วก็ไม่ลืมหันมาดูหน้างอๆ ของเหล่าสาวน้อยทั้งหลาย
เดินลงมามองซ้ายมองขวา ก็เห็นหนุ่มตี๋ ใส่เสื้อทำงานสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็คดำ ท่าทางดูดีมีความรู้
“ไง ”
“หิวโคตรๆ ไปกินไรดี”
“อืมมม” ผมหันมองทางโน้นทางนี้ที
“เอ็มเคม่ะ ”
“ไม่เอ้า !! ” ไอ้ซังแหกปากออกมาทันที “.. มาสยามทั้งทีจะมาแดกเอ็มเคอีกแล้ว ”
“งั้นคุณพี่จะกินอะไรล่ะครับ” ซังอ้าปากถาม พร้อมกับบ่นโน่นบ่นนี่ตามนิสัย ผมสังเกตเห็นว่า
มันถอดเอาเหล็กดัดฟันออก เลยรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่
หลังจากที่ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยต้องมาลงกันที่ร้านซามูไรอาหารญี่ปุ่นของโปรดซัง
“งานเป็นไงบ้างอ่ะ” ผมถามพลางคืบเศษปลาแซลม่อนเข้าปาก
“ก็ดี .. เหนื่อย ...มาก มันบอก แล้วปริ้นล่ะ”
“เหมือนกันหว่ะ นี่ก็ว่าจะหางานใหม่อยู่”
“งานไรอ่ะ ที่ไอxxก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“จะเอาอะไรกับภาพลักษณ์ภายนอกฟ่ะ บริษัทมันก็ดี แต่ข้างใน.. ”
“มันก็ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหาหรอกว้า ”
“ก็จริง .. ว่าแต่คิวเป็นไงบ้างวะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แล้วไมวันนี้เห็นบอกว่าจะมาด้วยไม่ใช่เหรอ”
“มันติดสอนเด็ก ”
“อ่อ” ผมนึกถึงความไม่น่าจะเป็นไปได้หลังจากที่ได้รู้มาว่า ไอ้คิวจอมเถื่อนและหวังพึ่งอะไรไม่ได้
ที่พอจบออกมา ก็มารับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนพวกศิลปะให้กะพวกเด็ก ป ตรีเลย
“นึกว่าเลิกกันแล้วซะอีก 55”
“ไอ้นี่ปาก” ซังว่าก่อนจะยกตะเกียบมาโบกหัวผมเบาๆ
“ว่าแต่คนอื่น แล้วโค้กล่ะ ไปไหน”
“ตามหัวหน้าไปไซด์งานอ่ะ เข้างานใหม่ๆ ออกไปข้างนอกประจำ”
“แล้วมันจะรับปริญญาวันไหนวะ”
“ประมาณสิงหาอ่ะ เด๋วใกล้ๆบอกอีกทีล่ะกัน บอกตอนนี้ก็ลืม ”
“โห ดูถูกเพื่อนสุดริด” มันโบกอีกรอบ “ยังไงก็บอกเพื่อนฝูงหน่อยล่ะกัน แฟนเพื่อนรับปริญญาทั้งที”
“แค่กๆ” ผมถึงกับสำลักน้ำซุป
“ไม่ใช่แฟนเว้ย”
“อะไรวะ อยู่บ้านเดียวกัน ขับรถคันเดียวกันเนี่ยนะ - - เหรอว่ามันขโมยรถมึงมาขับห่ะ แล้วได้ด่ามันมั้ย
ว่ามันหน้าด้าน”
“ไอ้บ้า .. ” ผมหัวเราะ “.. แค่จะบอกว่า มึงไม่อายเหรอที่ชอบเอารถกูไปขับแค่นั้นเอง”
“กูอ่ะ สงส้าร สงสารน้องโค้ก จบช้ากว่าคนอื่นแล้วแฟนยังไม่ยอมให้เป็นแฟนอีก” ไอ้ซังกัดผมแล้วก็
ทำหน้าทำตา
“สงสารนักงั้นยกให้เอามั้ยล่ะ”
“ไม่เอา ไม่อยากโดนฆ่าหมกส้วม” มันบอกพลางนึกหน้าไอ้คิวตอนเป็นฆาตกรเฉาะ
“คิดไปคิดมาก็คิดถึงเพื่อนๆหว่ะ ไม่รู้ต่างคนต่างทำไรกันบ้าง” ผมนั่งเท้าคางรอให้ซังมันกินเสร็จ เพื่อนที่แสนดี
ก็ค่อยๆเล่าทีละคน คนโน้นทำนี่ คนนี้ไม่ได้ทำบ้าง บางคนก็ไปเรียนต่อ แต่ก็มีบางคนม่องไปแล้ว
“วันเกิดโรงเรียนปีนี้ พวกมันบอกให้ลากปริ้นไปให้ได้ด้วย ”
“ถ้าว่างนะ ปีที่แล้วก็ไปเชียงใหม่มา ” ผมบอกสาเหตุที่ปีที่แล้ว ไม่ได้ไป
“เออ แล้วพี่โอ้ตเป็นไงบ้าง” ซังถามขึ้นมา ผมนึกแล้วว่าถ้าพูดเรื่องนี้ มันต้องถามแน่ๆ
“ก็สบายดี แต่ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก”
“ทำไมวะ”
“โอ้ตมันเดินสายขายยาอยู่ต่างจังหวัด แต่เห็นบอกว่า คงจะได้ย้ายมาทำที่กรุงเทพแล้ว แต่ไม่รู้ว่า
เมื่อไหร่ ”
“แต่ถึงเค้าทำงานที่กรุงเทพ ก็คงไม่ได้เจอกันอยู่แล้วใช่ม่ะ”
ผมเหลือบตาไปมองหน้า แต่ไอ้ซังก้มหน้าก้มตาซดราเม็งของมันต่อไป
“รักแรก มันฝังใจอะดิ” มันยังพูดต่อ
“อาไร.. ”
“เปล่าหว่ะ แค่อยากจะบอกเฉยๆ .. ” มันหยุดพูดไปเล็กน้อย
“อะไรที่มัน เป็นของจริง ในตอนนี้ของปริ้นอ่ะซังก็อยากให้รักษาเอาไว้ ของบางอย่างที่มันใกล้เรามากเกินไป
ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญหรอก แต่พอเราเสียมันไปแล้ว กว่าจะรู้ตัว มันก็สายไป..เหรอมันก็มีค่ามากเกินกว่า
ที่เราจะเป็นเจ้าของอีกแล้ว”
ผมทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบภายในชั้น 2 ของร้านซามูไรอยู่พักนึง อดที่จะระอาปนชื่นชมเพื่อน
ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ กี่ปีมาแล้วนะ ที่มันคอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่เสมอ แม้ต่างคนต่างที่เรียน ต่างจบมา
ทำงานกันแล้ว
“เออ ขอบใจ”
ซังยิ้มให้ผมก่อนจะบอกต่อไป
“ซังรู้ ว่าปริ้นคิดยังไง .. แต่ความรู้สึกบางทีก็ต้องแสดงออกมาบ้างนะ เพราะว่าถึงโค้กมันจะรักปริ้น
แค่ไหน มันก็อ่านใจไม่ได้อยู่ดี”
ซังมันเทศนาให้ผมอีกหนึ่งกัณฑ์ก่อนที่จะจ่ายเงินจ่ายทองออกจากร้าน
“ไว้ค่อยนัดกันอีกที”
“คราวหน้าพาแฟนมาให้ได้นะเฟ้ย”
“เออ เมิงก็เหมือนกันอ่ะ” ผมบอกลา แล้วก็เดินเตร็ดเตร่ดูเด็กน้อยแถวนั้นก่อนจะจับรถไฟฟ้ามาลง
ที่หมอชิต ก่อนจะต่อรถเมล์กลับคอนโดห้องเล็กๆแถวเกษตรที่กำลังก้มหน้าก้มตาผ่อนแบบชักหน้า
ไม่ถึงหลังในบางเดือน
เวลาประมาณสี่ทุ่ม ผมยืนไขประตูห้องซักพัก ก่อนจะเปิดเข้าไปพบแต่ความเงียบเหงา เห็นไฟตรงห้องน้ำ
เปิดทิ้งไว้แล้วก็นึกหงุดหงิด แม่ง ไอ้โค้กลืมเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าซิเนี่ย
ผมเดินเข้าไปในห้องนอนไอ้โค้ก ที่ต้องนอนแยกกันเพราะว่า ผมรู้สึกอึดอัดที่ต้องมานอนเตียงเดียวสองคน
เพราะปกติตลอดชีวิตที่เกิดมา การนอนบนเตียงนุ่มๆ อุ่นๆคนเดียว มีความสุขมากกว่า ผมเดินเข้าไปที่ตะกร้า
ผ้าของมัน แล้วก็จัดการแยกเสื้อผ้า มาใส่เครื่องซักผ้าซะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่เสียเวลาเอาออกไปตาก เดินหมุนไป
หมุนมา แล้วก็ไปเปิดตู้เย็น เห็นแต่นมโฟโมสสองสามกล่อง แล้วไอ้ชีสเค้กที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อวานมันล่องหน
ไปไหนวะ
ไอ้โค้กกก มึงนะมึง แย่งของกูไปกินอีกแล้วววว (อารมณ์เสีย)
ผมหยิบนมออกมากล่องหนึ่งก่อนจะกระแทกตู้เย็นกลับเข้าที่ ยกขึ้นมาดูดๆๆๆ แล้วก็ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ
ระบายความกริ้ว พักนึงได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงคนเดินเข้ามา เสียงโยนรองเท้าที่ดูจะไม่ค่อยใส่ใจ
เสียงเปิดตู้เย็น เสียงเปิดก๊อกน้ำล้างหน้า ผมอาบน้ำเสร็จพอดีกับที่เห็นไอ้โค้กพึ่งล้มตัวลงไปนอนเหยียดยาว
บนโซฟา
พอเห็นสายตาผมแค่นั้นล่ะ มันเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทำเป็นเด็กดี
“หวัดดีคับ.. พึ่งอาบน้ำเสร็จเหรอ” พร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆมา
ผมเดินผ่านหน้ามันไปแบบไม่สนใจ ความโกรธผุดขึ้นมาทีละนิด ตอนแรกนึกว่าจะให้อภัยแล้วดิ ดันเสือก
มาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้แล้วอดไม่ได้ทุกที
ไอ้โค้กกระโดดข้ามโซฟาแบบนักยิมนาสติกเข้ามาทันลากตัวผมไปหาก่อนที่จะได้เข้าห้อง
“เฮ่ย ... ปล่อย” ผมบอกมันเสียงแข็ง
“ปริ้นนนอ่า” มาอีกแล้ว เสียงแบบนี้ แต่คราวนี้ไม่ใจอ่อนหรอกเฟ้ย ชีสของกูอุตสาห์ถ่อไปสีลม
สนธิราคาตั้งเกือบร้อยบาท ไปแต่ละทีก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าไป รถกูก็อุตสาห์ให้มึงไปขับ แล้วมาทำงี้
ได้ไง !!
“ปล่อย ถ้าไม่ปล่อย ทุ่มไปจะหาว่า - - ไอ้ !! ”
ไอ้โค้กมันมือทำท่าจะพรากเอาผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่ออกไปจากผม
“จะทำอะไร ไอ้ลามก ปล่อยยยย”
“ถ้าปล่อยต้องยกโทษให้ผมนะ ”
“ไอ้โค้ก ถ้าไม่ปล่อย กูโกรธจริงๆนะ ”
โค้กมันยอมปล่อยมือออกจากผ้า แต่มันไม่ยอมปล่อยออกจากตัวผมซะทีเดียว
“งั้นห้ามโกรธแล้วนะ ดีกันๆ เรื่องแค่นี้เอง ปริ้นอ่ะ ผมหิวนี่นา ... เมื่อคืน ปริ้นก็ไม่ยอมให้ผมกิน
ก็เลยต้องมากินเค้กแทนไง”
ผมรู้สึกว่าลมพัดออกจากหู หันไปมองอย่างโมโห แต่ไอ้โค้กมันหน้าด้านนัก นอกจากไม่สำนึกผิดแล้ว
ยังจะมาทำหน้าแป้นแล้นอีก
“ทำหน้าแบบนี้ยังไม่หายงอนอะดิ งั้นมานี่ ” โค้กมันฉุกกระชากให้ผมเดินตามมันไป ก็พบว่ามีกล่องเค้ก
กล่องเบ่อเริ่ม วางอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“แอ่นแอนแอ้นนน .. เป็นไง”
“อาไร” ผมทำโง่ไม่รู้ไม่ชี้
“เอ้า ก็ของที่กินไปเมื่อเช้าไง เห็นป่าว มากินตอนมืดมันเลยขยายร่างมาใหญ่ขนาดนี้เลย” มันพูดเป็นเด็กๆ
ก่อนจะเปิดกล่องออกมาให้ดู เออ ใหญ่กว่าจริงๆด้วย
“ของม่ะเช้ากะตอนนี้ มันใช่อันเดียวกันซะที่ไหนฟ่ะ ” ผมอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะ แต่ยังแอ๊บโกรธอยู่
“โห .. ” โค้กมันทำหน้าง้ำ หันหลังให้ผม ก่อนจะค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างน้อยใจ (ผมคิดว่านะ)
“ถึงจะไม่ใช่เค้กอันเดียวกัน ... .. แต่มันก็ทำให้ปริ้นมีความสุขไม่ได้มั่งเลยเหรอ ? ”
ผมสะอึกเล็กน้อยในสิ่งที่โค้กพูดขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองคิดเล็กคิดน้อยไปหน่อยแล้ว ก่อนจะเดินอ้อมไปข้างหน้า
แต่ไอ้โค้กก็หันหลังกลับให้ตลอด ผมถอนหายใจเบาๆ ตัวก็โตนะมึง มาทำเป็นงอนไรสาระ แต่ก็พูดออกไป
ไม่ได้เพราะว่า เด๋วมันจะหนักมากกว่าเดิม แถมจะชิ่งเข้าโดนตัวเองอีกตะหาก เลยเปลี่ยนไปหยิบมีดขึ้นมาแทน
(หวังกระซวกเข้าไปที่ลำไส้ใหญ่ของมันแทน .. !! ) หันไปเปิดกล่องชีสเค้ก ลงมือผ่าออกเป็นสองชิ้น แล้วก็ตัก
ใส่จานยื่นให้มันอันนึง
“กินไม่หมดหรอก เยอะขนาดนี้อ่ะ”
ผมเห็นมันแอบอมยิ้มนิดๆ แล้วก็ยอมหันมาพูดด้วยซะที
“ไม่เป็นไรคับ ผมอยากให้ปริ้นเยอะๆ”
“ขอบจายยย .. แล้วก็ช่วยกันกินด้วยดิ คนเดียวมันไม่หมดหรอก” ผมบอก
“งั้นปริ้นป้อนให้ผมนะ” มันบอกผมทำตาเยิ้ม
“เออ เลือกมากจริง” ผมบ่น แล้วก็เอาช้อนตักเข้าปากมันคำโต
“พอใจยัง ”
ไอ้โค้กทำหน้าระรื่น เอาเค้กไว้ในปากเหมือนเด็กๆ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ แล้วมันก็ยกมือขึ้น
ชี้มาทางผม กะจะป้อนคืนให้ว่างั้น ..
“จาทำไรก็ทำ ” ผมส่งช้อนที่ถืออยู่ให้มัน แต่กลับไม่ยอมรับซะงั้น ยืนอมอยู่นั่นล่ะ
“อาไรฟ่ะ - - ”
ไอ้โค้กมันไม่รับช้อน แต่เดินเข้ามามือข้างนึงจับบ่าผมแน่นเลย อีกข้างนึงจับเข้าที่หัว ก้มลงมาที่
ปากผมแล้วก็ ...
“อึก อึก อึก อึก ”
ความรู้สึกที่อ่อนโยน แล้วก็เนิ่นนานมากพอที่จะชิ้นเค้กจะละลายไปข้างในปากของเราทั้งสองคน (เค้กละลายได้
ในปากเหรอ ?) ไอ้โค้กมันค่อยๆถอนปากออกไปด้วยความเสียดาย รวมทั้งตัวคนโดนดูดด้วย
“เค้กที่ผมให้ มันทำให้ที่รักมีความสุขได้บ้างใช่มั้ยครับ ....”
.
.
.
.
.
โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป --------------------------------------------
http://stpstory.exteen.com/Stp said : บทนี้ยังไม่มีฉากตอนเป่าเทียนนะครับ ^^