ติ้ก … ติ้ก … ติ้ก ….
เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือยี่ห้อ saiko (?) ดังเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกับผมนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว
แสงแดดในตอนสายของเดือนพฤษภาคมปีนี้ดูจะแรงกว่าปีก่อน มีเพียงสายลมเอื่อยเฉือยพัดมาเป็นระลอก
พอดับความอบอ้าว ผมนอนหลับตารอคอยเวลาไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงผู้คนบางกลุ่มคุยกัน หยอกล้อกัน
สนุกสนาน
ผมยันตัวขึ้นนั่ง เหยียดแขนท้าวกับพื้นหินอ่อนที่ลงนอนเมื่อครู่ ปล่อยขาห้อยต่องแต่งลงจากฐานเจดีย์สีเทา
สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า เส้นขอบฟ้ามีให้เห็นอยู่ริบๆ สายลมเย็นพัดเข้าปะทะหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น
ขึ้นมานิดหน่อย ที่เห็นระยิบระยับอยู่ข้างหน้าไกล คงเป็นทะเลชะอำบ้านผม
ข้างบนนี้ …ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม
แปลกดีแฮะ คนเราพอแก่ตัว มักจะชอบนึกถึงเรื่องในตอนเด็กแบบนี้ทุกคนเหรอเปล่าวะ ผมนึกถึงสมัยที่
ตัวเองยังเที่ยววิ่งเล่นสนุกสนานอยู่ในโรงเรียนที่อยู่ติดเชิงเขาเบื้องล่างได้ถนัดชัดเจน ยิ่งพอเหลือบไปเห็น
ตึกหลังเก่า ผมเคยแอบโดดเรียนหลบไปนอนที่ม้านั่งหลังตึก เห็นอาคาร 2 ที่ตั้งของห้องพยาบาลที่ทำให้
มีโอกาสรับรู้ถึงความสัมพันธ์ลับๆของเพื่อน 2 คน เห็นสนามบาสฯ แล้วก็หอประชุมที่ใครคนนึงเคยร้อง
เพลงให้ผมฟัง
กี่ปีมาแล้วนะ … ผมแทบจะลืมบรรยากาศเก่าๆไปหมดแล้วดิ แย่จัง
เสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นมา ผมขยับตัวควักมือถือขึ้นมากดรับสาย
“มาถึงแล้วนะ อยู่ไหนเหรอ …”
“อยู่ข้างบน อือ… กำลังจะลงไป” ผมตอบ
“บนเจดีย์แดงเหรอ” อึ้ก เกือบเดาถูกนะมึง
“อืม มานั่งเล่นๆ เด๋วจะลงไปแล้ว” ผมพูดเสร็จก็ตัดสายไป ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงมาให้ถูกท่า
เพราะไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกลงไปถึงตายได้ ผมเลือกที่จะเดินลงทางลัดแทนที่จะลงทางปกติ
จริงๆแล้วทางนี้เมื่อสมัยยังอยู่ ม.ปลาย เต็มไปด้วยหินขรุขระ กองระเกะระกะไปหมด แทบจะไม่มี
ใครใช้เดินลงไปข้างล่าง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าจะทำใหม่แล้ว แต่คนที่มาเที่ยวก็ไม่อยากใช้เป็นทาง
เดินลงอยู่ดี เพราะมันเปลี่ยวเอามากๆ
ต้นลั่นทมที่ปลูกไว้ทั่วเขาวังส่งกลิ่นหอมอบอวลไปตลอดแนวทางเดินที่จะลงไปยังวัดเล็กๆข้างล่าง
เดินไม่ถึง 5 นาที ก็ทะลุออกมาถึงลานวัด เห็นคนกลุ่มนึงกำลังง่วนจัดเตรียมของถวายพระ
บางคนก็กำลังโยงสายสิญจน์ไปรอบๆสถูปสีขาว ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนหินอย่างยากลำบาก
ผมเดินตรงเข้าไปสะกิดผู้ชายใส่ชุดทำงานที่ยืนหันหลังให้อยู่
“นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว คุณพี่” ญาติต่างสายเลือดสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันมายิ้มใส่ด้วยความดีใจ
(หรือเปล่า)
“จะไม่ให้มาได้ไง เดี๋ยวคนแถวนี้ก็ว่าอีก”
“ใครจะกล้าว่าคุณพี่ล่ะคับ”
โอ้ตหยุดเถียงได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่นั่นล่ะ สายตาของมันที่มองมาก็คงจะอ่านใจผมได้ทะลุ
ปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย คิดได้ดังนั้นผมก็เลยต้องหลบตามันพอเป็นพิธี
“ดูเหนื่อยๆนะ” มาแล้วคับกับคำถามที่แฝงด้วยนัยยะ
“อือ .. สอนเด็กมันก็หนักงี้ล่ะ”
“อะไร พึ่งสอนได้ปีเดียว บ่นล่ะ ”
“อยากจะลาออกอยู่แล้วเนี่ย เบื่อชิบเป๋ง” ผมบ่นเสียงเนือยๆ
หลังจากจบปี 4 โชคดีที่มีบริษัทบางที่เห็นคุณค่าอันล้ำลึกที่แฝงอยู่ภายในตัวผม เลยได้มีโอกาสไปเป็น
เจ้าหน้าที่ตำแหน่ง Support User ของบริษัทข้ามชาติอันโด่งดัง (แต่ได้ข่าวว่าที่ต่างประเทศโละพนักงาน
เป็นว่าเล่น) แถวๆอารีย์ได้เกือบๆปี ก่อนจะมีคนเห็นแววดึงตัวไปช่วยงาน ณ สถานศึกษาแห่งนึงย่านเกือบฝั่งธนฯ
- อาไรนะครับ จะให้ผมสอนเหรอ !?!?!? - ผมนึกตะโกนด่าอยู่ในใจต่อหน้าภารดา หรืออาจารย์ใหญ่ หรือ
ผู้อำนวยการโรงเรียนก็สุดแล้วแต่จะเรียก
“จะให้ผมไปสอนเหรอครับ” อันนี้ผมพูดของจริงพร้อมเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ลองดู …” ท่านพูดสองคำสั้นๆ แต่ก็นับว่าเปลี่ยนชีวิตเด็กจบใหม่อย่างผมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปสอนใครเค้า
เลยชาตินี้ แค่พูดให้คนอื่นฟังยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย นับประสาอะไรกับ ….
“แล้วเด็กซนมั้ย” โอ้ตถาม
คำถามที่มันถามเหมือนกับรู้สึกโดนตบหน้าอย่างแรง
“ซนเหรอ … ไม่อ่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ
“- - แต่โคตรเกรียนเลยหว่ะ”
“555 ลืมไปว่าสอนเด็ก ม.ปลายนี่นา” ไอ้โอ้ตหัวเราะ พร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่ม
“แล้วมีเด็กน่ารักๆ แนะนำโอ้ตซักคนสองคนมั้ยอ่ะ”
“หึหึหึ” ผมเค้นหัวเราะ
“แล้วโอ้ตเป็นไงบ้างล่ะ หายไปตั้งนาน”
โอ้ตถอนหายใจ เบี่ยงสายตาไปมองผู้หญิงคนนึงที่กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระอย่างขะมักเขม้น
“ก็ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่หรอก” มันทำหน้าหนักใจ
“ย้ายมาศิริราชแล้วยังต้องเดินสายอีกเหรอ?”
“ก็ต้องคอยบริการพวกท่านๆ เหมือนเดิมล่ะ ”
“แล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แนะนำซักคนสองคนมั้ยล่ะ ” ผมแหย่กลับ
“ทำไม ? …. เหงาเป็นกะเค้าด้วยเหรอ” โอ้ตพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาผมจุกเล็กๆ สายตาที่มองมา
ยังคงจับจ้องที่ใบหน้าผมอยู่
“อะไร มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก” ผมหลบตาพลางเอามือเกาหัว ที่ตอนนี้ตัดผมสั้น
ในระดับที่ไม่เป็นตัวอย่างเลวๆให้กับเด็ก
“ห่วงดิ … ก็น้องทั้งคน ” โอ้ตเดินมาข้างๆแล้วก็เอามือมาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ
“จะปีหนึ่งแล้วซิ…”
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ยืนเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ทำนั่นทำนี่อยู่เบื้องหน้า
“คิดถึงมั้ย ..? ”
“โอ้ต … ปริ้น … ขึ้นมาได้แล้ว ”
ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เสียงใครคนนึงตะโกนเรียกให้ผมสองคนเดินเข้าไปร่วมพิธี
โอ้ตเดินไปหยิบธูปแล้วก็ส่งมาให้จุดไฟ ผมสะบัดก้านธูปให้เปลวไฟมอด ก่อนจะยกมือขึ้นพนมช้าๆ
อธิฐานในใจ
หางตาของผมรู้สึกว่าโอ้ตหันมามองก่อนจะถามคำถามใหม่
“คิดถึง…โค้กอยู่ใช่มั้ย ? ”
สายลมเย็นพัดเอากลิ่นธูปหอมโชยเข้าปะทะ ผมก้มลงปักธูปเข้าที่กระถางหน้าสถูปสีขาว
ก่อนจะหันไปตอบไอ้โอ้ต
“เปล่า .. ” ผมว่าแล้วก็ค่อยๆเดินลงไปรอที่ลานวัดเหมือนเดิม เห็นโอ้ตคุยนั่นคุยนี่กับคนข้างบน
อยู่พักใหญ่ จะว่าไปแล้ว หลังจากเจอกันที่เชียงใหม่วันรับปริญญา มันก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไป
เท่าไหร่ ยิ่งหลังจากที่มันเข้าทำงานที่บริษัทยา ก็ต้องวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ แทบไม่มีเวลาจะได้กลับบ้าน
ที่ชะอำเลย ผมซะอีกที่ต้องกลับมาหาแม่กับยายแทบทุกเสาร์อาทิตย์ จะว่าไปก็แปลก ทำไมมันต้อง
คอยไปเทคแคร์คนนั้นคนนี้เค้าอยู่ตลอดเวลาเลยวะ ไม่เข้าใจพวกคนทำอาชีพนี้ซะจริงๆ
แต่นึกๆไปก็คงเหมาะกับคนอย่างไอ้โอ้ตแล้วมั้ง หึหึ
ผมคิดไปยิ้มไปอยู่คนเดียว
“เฮ้อ … ”
ผมเอนตัวไปพิงกับราวกำแพงเย็นเฉียบ เหม่อลอยไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กลิ่นธูปหอมคละเคล้าไปกับ
กลิ่นหอมจากดอกลั่นทมดูจะปะดักปะเดื่อยังไงชอบกล ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
ปุยเมฆที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฟ้าครามที่ดูแล้วก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม แสงแดดที่ยังคง
ส่องสว่างคงเดิม
… แล้วตอนนี้ ผมยังจะเป็นคนเดิมอยู่ได้มั้ยนะ …
- - อีกนานแค่ไหน ..รักนี้ก็ยังอยู่
อยู่เป็นรักแท้ เพื่อเธอเท่านั้น
ด้วยใจที่พร้อม ให้เธอ จากคนอย่างฉัน
กับวันเวลาที่ยาวนาน คงจะพอให้รอเธอ … และคงจะทำให้เธอได้รู้“โค้ก”
.
.
.
.
.
โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later
ตอนต่อไป -------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/