.
.
.
ปรือ ปรือ …..
“ง่วงจัง …. ทำไมมันง่วงแบบนี้วะ”
“ฮ้าวววววววววว…”
ผมหันไปมองไอ้คนข้างกายที่นอนหลับสบายโดยไม่รู้สึกรู้สาว่าคนข้างๆแทบจะไม่ได้หลับได้นอน
เลยเมื่อคืนนี้
ไหนมึงบอกว่าจะอยู่ข้างๆกูตลอดไงวะ
ทั้งๆที่รู้สึกว่าปัญหาที่อยู่รอบตัวเองมันช่างเยอะแยะเหลือเกิน แต่ทำไมตอนนี้สมองของผมกลับ
ปลอดโปร่ง ว่างเปล่า บางทีก็รู้สึกหดหู่ บางทีก็รู้สึกเหมือนจะยิ้มออกมา บอกไม่ถูกจริงๆ กับ
ความรู้สึก แต่เช้าวันนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าสิ่งอื่น - - -
นั่นคือแม่กูกำลังจะมาถึงนั่นเอง !!
“ที่บ้านปริ้นจะมาถึงกี่โมงอ่ะ ” ไอ้โค้กนั่งตาบวมถามหลังจากเดินมาถึงร้านข้าวต้ม
“คงเที่ยงๆอ่ะ แต่เค้าคงไปเที่ยวกันก่อนล่ะ วันนี้แค่ซ้อมรับ เค้าคงยังไม่ไปถ่ายรูปกันหรอก” ผมว่า
พลางสั่งโจ๊ก ส่วนไอ้โค้กก็เดินไปสั่งปลาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้อะไรของมันไป
“เอามาทำไมตั้งสองแก้วน่ะ ” ผมเหลือกตา มึงจะโด้ปอะไรนักหนา
“ให้ปริ้นด้วยไง” มันยิ้มแล้วก็วางแก้วข้างหน้าผมแก้วนึง หน้ากูหุบในบัดดล
“ไม่กิน - - รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่า ไม่ชอบน้ำเต้าหู - - กูจาอ๊วก” ผมทำท่าขยะแขยงเต็มทน
“กินไปเหอะ มีประโยชน์ ” มันพูดเสร็จ ก็ยกแก้วตัวเองซด แล้วก็คว้าปลาฯไปกินกรุบกรับ
ผมทำท่าเป็นไม่สนใจมัน … มีเหรอจาบังคับกูได้
“กินโจ๊กเสร็จแล้วกินด้วยนะ ” มันว่าแล้วก็นั่งมองผมกินโจ๊กจนหมด
“กินดิ”
“เอ๊ะ … ก็บอกไม่กิน” ผมทำท่าจะลุก แต่ไอ้โค้กมันดึงมือผมไว้ทัน จนชนโต๊ะข้าวของแทบวายป่วง
ลงพื้น คนโต๊ะข้างๆหันมามองแว่บนึง จนผมต้องรีบลงไปนั่งที่เดิม
“อะไรมึงเนี่ย” ผมพูดลอดไรฟันด้วยความฉุน อายนะเนี่ยไม่ใช่หน้าหนา
“ปริ้นมีแต่คนตามใจจนเคยตัว มันว่า - - ถ้าปริ้นไม่กินนะ เดี๋ยวผมจับกรอกปากให้ เอามั้ย”
วุ้ย .. วันนี้มันเป็นอะไรของมันวะ มันก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ พูดแบบนี้กูโกรธนะ
แต่ต้องใจเย็นไว้
“โค้ก … มึงบอกว่ามึงรักกูไม่ใช่เหรอ - - คนรักกันเค้าไม่บังคับใจกันหรอก” ผมอธิบาย หึหึ
โดนไม้นี้เข้าไปมันไม่รอด ผมคิดพลางยื่นแก้วให้มันกินเอง
ไอ้โค้กยิ้มหวานมาให้ผม แล้วก็จับมือผมที่ยื่นแก้วให้มันดันกลับมา
“รักซิครับ - - ถึงอยากให้ปริ้นได้อะไรดีๆ คนรักกันอ่ะ ถ้าเห็นว่าอะไรไม่ดีก็ต้องห้าม ถ้าอะไรดี
ก็ควรให้ ถูกป่าว”
ผมอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมๆกับจนมุมไปในตัว
“เออๆ … งั้นขอกินครึ่งแก้วก่อนได้เปล่า” ผมต่อรอง
“อ่า ก็ได้ครับ” มันว่า แล้วก็ปล่อยมือออกไป
ผมค่อยๆยกแก้วขึ้น แค่ได้กลิ่นมาเตะจมูก ผมก็แทบจะอ๊วกอยู่แล้ว มันเป็นอะไรที่หยึ้ยๆบอกไม่ถูก
“กูขอเปลี่ยนเป็นสองจิบได้มั้ยอ่า”
“ปีสี่แล้วนะปริ้น - - อย่ามาต่อรอง”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ก่อนที่จะปิดจมูก แล้วก็ดื่มพลวดลงไปสองสามอึกใหญ่ๆ ถึงมันจะไม่ถึงครึ่ง
ตามที่ตกลงกันไว้ก็เหอะ แต่ไอ้โค้กตัวดีก็ดูท่าทางดีใจ
“เป็นไง อร่อยอะดิ” มันว่า
ผมไม่มีคำพูดอะไรมากมาย ได้แต่คิดว่า อร่อยกะผีอะไรวะ รสชาติ … แม่ง ม่ะไหวแล้วว้อยยยยยยย
แล้วก็รีบวิ่งไปซื้อโออิชิมาดับกลิ่นน้ำเต้าหู้โดยเร็ว
“กลับกรุงเทพไป จะซื้อให้กินทุกเช้าเลย ” ดูมันพูด
“ถ้ามึงบังคับให้กินของอะไรแบบนี้อีกนะ กูจะหนีไปให้ไกลๆเลยค่อยดู ” ผมว่าอย่างเคียดแค้น
“ปริ้นจะหนีผมไปไหนได้” มันพูดทำหน้าตาอ้อล้อ แหมทีเมื่อคืนร้องห่มร้องไห้กลัวกูทิ้ง ทำเป็นลืมนะ
ไอ้ตูด
ตี้ดดดด ตี้ดดดดดดด ตี้ดดดดด
อ่าโทรศัทพ์มาขัดตาทัพได้ทันพอดี
“หวัดดีคับแม่ …. ใกล้ถึงยัง ”
“คงจะใกล้ๆเที่ยงล่ะ ว่าจะเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยพายายไปไหว้พระ ปริ้นกับเพื่อน
จะไปด้วยกันไหม ? ”
“ยังไม่รู้เลยแม่ - - เอางี้ มาเจอกันแล้วค่อยบอกอีกทีล่ะกัน”
“แล้ววันนี้จะไปงานซ้อมรับปริญญาเจ้าโอ้ตไหมล่ะ ”
“ยังอ่ะครับ วันนี้ให้เพื่อนๆเค้าถ่ายกันไปก่อน ค่อยไปพร้อมกันพรุ่งนี้ก็ได้”
“อืม เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวเที่ยงๆปริ้นรอแม่อยู่ที่โรงแรมก็แล้วกันนะ”
“ค๊าบ - - เออ เด๋วแม่ เอาของที่ให้เอามาด้วยเป่า”
“ยะ - - กว่าชั้นจะหาเจอ”
“ขอบคุณมากเล้ย”
ผละจากมือถือ ก็เห็นไอ้โค้กนั่งจ้องหน้า
“ปริ้นคุยกะแม่เหมือนเพื่อนเลยนะ ไม่ค่อยมีหางเสียงเล้ยยย” มันล้อผม
“ครับ พ่อโค้กจะบังคับข่มเขาโคขืนให้กระผมกินหญ้าอะไรอีกมั้ยครับ ? ” ผมแขวะ แล้วก็ทำหน้างอ
โดยธรรมชาติ
ไอ้โค้กดันไม่รู้สึกแถมยังยื่นหน้าเข้ามาอีก
“ไม่ข่มเขาหรอกครับ แต่ข่มขื่นอะ ไม่แน่” แล้วก็ทำท่าทางหัวร่อต่อกระซิก
“เฮ่ย ไอ้บ้า - - อย่าแม้จะคิด พูดมากอยู่ได้ ไปเช็คเอ้าท์ย้ายโรงแรมเหอะ”
.
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
.
พอตกบ่าย พวกแม่ๆ ก็มาถึงกันซะที พร้อมกับรถตู้คันใหญ่ ดูเหมือนป้าเล็กจะบ้าเห่อกับงาน
รับปริญญาลูกชายมาก ล่อชุดสวยกันมาตั้งแต่ยังไม่ใช่วันจริงกันเลยทีเดียว
สรุปตลอดช่วงบ่ายผมกับโค้กก็ต้องไปเที่ยวกับคนแก่ๆด้วย เข้าวัดเข้าวาอะไรผมไม่ค่อยชอบ
เลย รู้สึกร้อนชอบกล แบบว่าธรรมะไม่ค่อยเข้ามาในกระแสเลือดเท่าไร หุหุ
“ตาสน แล้วเจ้าโอ้ตเลิกซ้อมกี่โมงล่ะ” ยายเอิ้นถาม
“โอ้ตมันเลิกสี่โมงเย็นล่ะครับ แต่ผมนัดมันมาเจอหกโมงเย็น” ลุงสนตอบ
“แล้วจะไปเลี้ยงโอ้ตเค้าที่ร้านไหนดีล่ะ เลือกร้านสวยๆ บรรยากาศดีๆให้เค้าหน่อยล่ะกัน” แม่ออกความเห็น
“เออ ลุงสนครับ - - ลองขับไปทางริมปิงดูมั้ยครับ เห็นน่าจะมีอยู่ซักร้านสองร้านนะ”
“มาเชียงใหม่ไม่กี่วัน ทำเป็นคล่องเชียวนะ - - นี่เจ้าโค้ก เจ้าปริ้นมันไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนมั่งเหรอเปล่า”
แม่หันไปซักไซร้ไอ้ตัวดีผมทันที
“ที่นี่ก็ไม่นี่ครับ” โค้กบอก แล้วก็สบสายตาผมแบบมีเลสนัย แล้วเมิงไปพูดแบบนั้นทำมายยยย ก็บอกไปเซ่ว่า
ไม่เคย ไม่เคย ไม่ต้องย้ำว่าที่นี่ด้วยล่ะ
“ที่นี่ไม่ - - งั้นแปลว่าที่กรุงเทพก็เคยงั้นซิ ? ” แม่หันมาถามผมทันที
“ไม่นะ ไม่เค้ยยยยยย” รีบลุกลี้ลุกลนตอบทันทีเลยกู หันไปหาไอ้โค้ก เห็นยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอยู่ หนอยยยยย
ลุงสนขับรถวนแถวริมปิงเรื่อยไป แล้วก็ไปเจอกับร้านอาหารร้านนึงไม่ไกลจากกาดหลวงมากนัก พอจอง
โต๊ะอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกคุณๆทั้งหลายก็จะขึ้นไปดอยสุเทพกันต่อ โหย นี่ยังไม่เหนื่อยกันอีกเหรอ
“งั้นแม่ปล่อยผมไว้แถวนี้ล่ะกัน จะหาซื้อของอะไรหน่อยอ่ะ” ผมว่าเพราะเห็นแถบนี้เป็นตลาด
“จะทำอะไรก็ตามใจแกล่ะกัน” แม่ผมว่า เห็นเป่าว่ามีแต่คนตามใจ “ - - แล้วไปให้ทันหกโมงนะ ” แม่กำชับ
“ปริ้นจะมาซื้ออะไรเหรอ ” ไอ้โค้กถามระหว่างที่เดินตามผมต้อยๆ
“ของให้ไอ้โอ้ตมัน” ผมว่า
“เออ ผมก็ยังไม่มีอะไรจะให้พี่เค้าเลยนี่นา” มันทำท่าคิด
“ไม่ต้องให้หรอก ”
“ยังไงพี่โอ้ตก็เป็นรุ่นพี่ผมหน่ะ” มันพูดแล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมเล็กน้อย จิ๊ ทำมารู้ดีว่ากูคิดอะไรอยู่
“งั้นระหว่างที่มึงหาของ กูไปร้านรูปแป็บนึง” ผมว่า แล้วก็แยกกะไอ้โค้กซึ่งไม่พ้นซื้อพวกตุ๊กตุ่นตุ๊กตา
ให้เป็นแน่แท้
“พี่ครับ เคลือบรูปเหรอเปล่า - - ช่วยเคลือบรูปนี้ให้หน่อยครับ …. อ่อ แล้วแถวนี้มีร้านห่อปก
หนังสือป่ะครับ”
ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มาเจอไอ้โค้กอีกที
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ผมกะมันว่าแทบพร้อมกัน
“เอาน่า มีล่ะกัน” ผมบ่น “- - แล้วของมึงอ่ะ”
ไอ้โค้กมันยิ้มๆ แล้วก็ควักกล่องรูปไข่ใบไม่ใหญ่มากนักออกมา
“อะไรฟ่ะ”
“อย่ามาโบฯ” มันว่าผมแล้วก็กดสวิตเล็กๆเปิดออกมาข้างในก็ว่างเปล่า
“แล้วมันอะไรวะ”
“โห คุณปริ้นค๊าบ - - ไอ้เนี่ย เค้าเรียกหรูๆว่าไทม์แค็ปซูลค๊าบ”
“อ่อๆ ที่ชาวบ้านเค้าเรียกว่ากล่องเก็บของอะนะ”
“เรียกซะเสียของหมด” มันทำหน้างุ้ม แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าไป
“เอาไว้ให้พี่โอ้ตเก็บความทรงจำดีๆไว้ในนี้ไง” มันพูดพึมพำพลางยิ้มอยู่คนเดียว
.
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
.
ผมยกนาฬิกาข้อมือ เกือบจะทุ่มนึงแล้วดิ ระหว่างนั้นก็เดินริมปิงมาเรื่อยๆ เห็นร้านอยู่ไม่ไกลแล้ว
ผมจะทำหน้าตอนเจอโอ้ตมันยังไงดีนะ วันที่เจอมันครั้งล่าสุดก็ไปทะเลาะกะมันจนบอกไปว่า
ไม่อยากเห็นหน้ามันอีกแล้วซะด้วย ….
มันจะยอมคุยกับผมเหรอเปล่านะ
มันจะหนีผมไปไม่เจออีกเลยหรือเปล่า
คนที่บ้านจะสังเกตพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของผมกะโอ้ตได้มั้ยเนี่ย
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มจนไอ้โค้กสังเกตได้ …
“อย่าคิดมากดิปริ้น - - พี่โอ้ตเค้าไม่โกรธปริ้นหรอกครับ”
“ต… แต่กูทำให้มันเสียใจ” ผมพูดขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกที่ขาก้าวไม่ออก
“- - บอกมันไปว่า ไม่อยากเจอมันอีกแล้ว”
ว่าจะไม่โศกในวันดีๆของมันแล้วแท้ๆ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดอย่างแรง ทั้งที่ใจนึงก็อยากขอโทษมัน
อยากจะได้คุยกับมันเหมือนเดิม นานแค่ไหนแล้ว … ที่เราไม่ได้พูดดีๆ หรือว่ารู้สึกดีๆกัน แล้วถ้าผมไปคุย
ดีกับโอ้ต ไอ้โค้กมันจะรู้สึกแย่ จะเสียใจกับผมมั้ย ?
คนหล่อกลุ้มใจจังว้อย ? คิดไปคิดมาน้ำตาก็ตกซะงั้น
“ไปเถอะครับปริ้น … ยังไงพี่โอ้ต เค้าก็ยังเป็นพี่ของปริ้นนะ - -” โค้กค่อยๆฉุดมือผมเบาๆ
“- - ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกับปริ้นนะ …. ผมเคารพในการตัดสินใจของปริ้นนะครับ” มันยิ้มน้อยๆ
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า มันพูดจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้พูดให้ผมสบายใจ
ครอบครัวเหรอ ?
ใช่ … ฮึก ใช่ โอ้ตมันเป็นครอบครัวเดียวกับผม มันคงอยากกลับมาหาพ่อแม่มัน ฮีก ..อยากกลับไปหาคุณยาย
อยากกลับไปหาป้ามัน อยากกลับไปหาเจ้าซีซ่า …. อยากกลับมาหาน้องชายอย่างผม ….
พอเข้ามาในร้านปั๊บ บัดดลก็เจอหน้าถมึงทึงของท่านแม่เข้าอย่างจัง
“บอกว่าให้มากี่โมง”
“หกโมงครับ” ผมตอบเสียงอ่อยๆ
“เอาน่าๆ ยาย(ชื่อแม่) เรื่องแค่นี้อย่าเอามาหงุดหงิด กับข้าวกับปลาก็ยังไม่มาซะหน่อย เอ้า เจ้าปริ้น เจ้าโค้ก
มานั่งเร็ว ” ยายกวักมือเรียกไวๆ พอนั่งปั๊บก็เริ่มมีอาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นเก้าอี้เดียว
“พ…พี่โอ้ตไม่มาเหรอครับ” ผมถามลุงสน แอบเสียงสั่นเล็กน้อย
“มา มาแล้ว เห็นบอกว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้” ลุงสนว่า
“งั้น… เออ เด๋วผมไปตามมัน - - เอ้ย พี่โอ้ตล่ะกัน ไปทางไหนอ่ะครับ”
“ปริ้น - - ” เสียงไอ้โค้กเรียก
“รีบพาพี่โอ้ตมานะ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด” มันยิ้มให้ผมแล้วก็ขยิบตาเล็กน้อย เหอๆ อย่ามาทำตัวเป็นพ่อพระอีกคน
ผมเดินข้ามฝั่งถนนมาก็เป็นสวนหย่อมเล็กๆเรียบไปกับริมแม่น้ำปิง คล้ายๆกับที่ผมมานั่งคุยกับพี่เตวันก่อน
นั่นแหละ
มันเดินไปแถวไหนของมันวะ ที่ผมว่าจะมาตาม ดูเป็นอะไรที่บ้าบอไปหน่อย ทั้งๆที่ผมไม่รู้จักมักคุ้น
แถวนี้มาก่อน แต่ผมแน่ใจ แน่ใจว่ามันต้องอยู่แถวๆนี้แน่
ไฟตามเสาไฟฟ้าเริ่มเปิดขึ้นไล่ทีละดวง บรรยากาศเริ่มมืดอึมครึมลง ผมเห็นผู้ชายใส่ชุดสีขาวผูกเน็คไท
สีม่วงยืนทอดหุ่ยอยู่ริมแม่น้ำ (มึงดูมิวสิควีดีโอมากไปเป่า)
แกร่ก แกร่กก
เสียงตามทางเดินทำให้ไอ้โอ้ตรู้ว่ามีใครบางคนเดินเข้าไปหา พอหันมาสายตาของผมกับมันก็ประสาน
กันโดยอัตโนมัติ
กูอยากรู้จัง ว่ามึงคิดอะไรอยู่ตอนนี้
มันเหมือนจะรู้ว่าผมอาจจะโดนใช้ให้มาตามไปกินข้าวแล้วก็ได้ มันถึงค่อยๆเดินเข้ามา แล้วก็ค่อยๆเดิน
ผ่านผมไปช้าๆ โดยไม่ยอมพูดอะไรกับผมซักคำ
“เดี๋ยวดิ”
ผมไม่ได้หันไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินต่อเหมือนกับว่ามันลังเลว่าจะเดินต่อไปหรือว่าจะหยุดดี แล้วมันก็
ตัดสินใจเดินกลับไปต่อ
“โอ้ต …”
ไอ้โอ้ตยังเดินต่อไปไม่สนใจฟังผม
“โอ้ต ….- - พี่โอ้ต”
คำๆนี้ดูจะทำให้มันหยุดเดินลงได้
“ครับ ..คุณปริ้น” ไอ้โอ้ตเรียกผม มันเป็นคำที่เรียกผมตั้งแต่ที่รู้จักกันวันแรก น้ำตาผมคลอ ไม่เอา ผมจะไม่แสดง
ความอ่อนแอให้มันเห็น ต.. แต่ว่า
เสียงแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ ดูเหมือนจะค่อยๆกัดเซาะเอาความรู้สึกบางอย่างที่อัดอั้นมานานของ
ทั้งผมแล้วก็มัน
ผมค่อยๆเดินเข้าไปหามันที่ยืนนิ่งหันหลังให้อยู่ ผมเข้าไปใกล้แผ่นหลังมันจนเหมือนบางทีก็รู้สึกว่าลมหายใจ
ไปสัมผัสได้
“ข…ขอโทษ” เสียงผมดูจะอ่อนแรงเหลือเกิน
“คุณปริ้นจะมาขอโทษผมเรื่องอะไร ” โอ้ตพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเทา ผมไม่รู้ว่ามันโกรธ เสียใจ น้อยใจ
หรือว่าอะไร
“ข……ขอโทษ …ฮึก ”
“ค… คุณปริ้น ม… มาทำกับผมอย่างนี้ทำไม” เสียงโอ้ตยิ่งสั่นขึ้นเรื่อยๆ
“ขอโทษ ….ข….ขอโทษนะพี่โอ้ต ผมขอโทษนะพี่โอ้ต” สองมือของผมเข้าไปกอดรัดแผ่นหลังอุ่น
ที่โหยหามานานโดยไม่รู้ตัว
“ค..คุณปริ้น - - อึ๊ก ปริ้น ปล่อย ปล่อย ฮือ ปล่อยผม อ…อย่าทำให้ผมเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้เลย
- - ฮึก ปล่อย” โอ้ตพยายามแกะข้อมือที่รัดแน่นของผมให้ออกให้ได้ ตัวมันสั่น พร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ
ผมกลัว … ความรู้สึกที่โอ้ตพยายามจะดิ้นรนหนีไปให้ได้ เหมือนกับที่มันพูดเอาไว้วันนั้น
“ปริ้น ….อ.. อย่าทำแบบนี้กับ - - ผมต่างหาก ผมต่าง- - ” โอ้ตเหมือนกับกำลังรวบรวมกำลังทั้งหมดแกะมือผมออกให้ได้
“พี่โอ้ต … - - ฮึก ก..กลับบ้านนะ - - กลับบ้านเรากันนะ ฮือ กลับบ้าน กลับ…..” ผมซบหน้าร้องไห้
ออกมาที่แผ่นหลังโอ้ต บ้านหลังที่มึงกับกูเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา บ้านที่คอยปลอบประโลมเวลาที่
เจอเรื่องเลวร้าย บ้านที่อบอุ่นที่เป็นครอบครัวของกูกับมึง
“ฮึก อึก อึก - -” โอ้ตก้มหน้าลงมองพื้น น้ำตาหยดลงเป็นสาย มือที่กำลังจะขัดขืนอยู่เมื่อกี้อ่อนแรง
ตกลงมาข้างลำตัว แล้วก็ค่อยๆหันมาทางผมอย่างช้าๆ
“คนอย่างโอ้ต …ฮึก คนอย่างโอ้ต - - ” แล้วมันก็ซบลงมาร้องไห้ที่ตัวผมแทน
“รับปริญญาเสร็จแล้ว … กลับบ้านกันนะ พี่โอ้ต” ผมสะอื้นแต่คราวนี้เป็นฝ่ายเอามือลูบหัวมัน เหมือนกับที่
มันทำกับผมบ่อยๆ
“พี่โอ้ต” ผมพูดกับมันเสียงค่อยๆ
“จำได้มั้ย - - พี่เคยบอกว่า พี่จะกลับมาเอาของบางอย่างตอนที่เรียนจบแล้ว”
โอ้ตมันพยักหน้าอยู่ที่ซอกคอ
“ผมเอามาคืนให้แล้ว …” พูดเสร็จโอ้ตมันก็ค่อยๆผละออกจากตัว ผมหยิบไดอะรี่ของมันที่เหน็บไว้ข้างหลัง
ส่งให้ ไอ้โอ้ตรับไปดูท่าทางแปลกใจเล็กน้อยที่ผมห่อปกให้มันใหม่
“ขอบคุณครับ .. ” แล้วมันก็เดินเข้ามากอดอีกทีนึง ผมตบหลังมันไป ก่อนที่จะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองให้กลับ
เป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ไม่อยากให้คนที่รออยู่ที่ร้านสงสัย
“ปริ้นเดินเข้าไปก่อนนะครับ เดี๋ยวโอ้ตตามเข้าไป”
“รีบไปนะ” ผมบอกมันแล้วก็หันหลังทำท่าจะกลับ “ - - อ่อ .. พี่โอ้ต ”
“ครับ ? ”
“ชวนพี่เค้ากลับไปด้วยนะ . ”.
“พี่ ? ”
.
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
.
สุดท้ายแล้ว … ปริ้นก็กลับไปหาคนที่เค้ารัก คนที่ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ …เหมือนผม มันก็สาสมแล้ว
กับความอ่อนแอของผม จะเศร้า จะโทษตัวเองแค่ไหน ความรู้สึกผิดมันก็ไม่จางหายไปซักที กี่ปีแล้ว
ผมรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ผมทำแบบนี้ไปทำไม - - ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปเจอพ่อแม่
อยากกลับไปหาเจ้าซีซ่า - - อยากกลับไปหาน้องชายของผม แต่ผมไม่มีหน้าจะกลับไปหาเค้าได้อีกแล้ว
แต่ - - วันนี้
“ขอบคุณนะปริ้น … ขอบคุณที่ยกโทษให้คนเลวๆอย่างผม ยกโทษให้กับคนที่ไม่มั่นคงกับความรัก
อย่างผม”
น้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาอีกแล้ว …. สายลมหนาวที่พัดเข้ามาที่ริมแม่น้ำปิงมันทำเอาสั่นสะท้านทั่ว
ทั้งร่าง ผมค่อยๆยกมือปาดน้ำตาตัวเอง
ผมทอดสายตาไปยังแม่น้ำสีดำที่ไหลเอื่อยๆอยู่ข้างหน้า แล้วก็หันตัวเดินกลับไปช้าๆ ในมือกำไดอะรี่แห่ง
ความทรงจำไว้
ผลุบ …
กระดาษอะไรซักอย่างหลุดปลิวออกจากไดอะรี่อย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้สังเกตว่าคืออะไร ป่านนี้
พวกนั้นคงรอกินข้าวกันเหงือกแห้งแล้ว
“เฮ่ย … มึงทำของตก”
เท้าผมหยุดกึกลงตรงนั้น อยู่ๆขนทั่วทั้งร่างก็ลุกซู่ ทั้งๆที่อากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว
ส…เสียงนี้ ผมจำเสียงนี้ได้ดี แม้ว่ามันจะผ่านมาแล้ว กี่ปีแล้วนะ ผมไม่กล้าหันกลับไปหาต้นเสียงนั้น
ได้แต่ยื่นมือออกไปทางด้านหลัง รู้สึกได้ว่ามีกระดาษใบนึงร่วงลงมาอยู่ในอุ้งมือ
แกร่ก …แกร่ก
ผมค่อยๆเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
แกร่ก แกร่ก
มีเสียงฝีเท้าตามมา
“มึงยังเหมือนเดิมนะ … อ่อนไหว อ่อนแอ - - ไม่มีความหนักแน่น แล้วก็ - - ขี้แย”
เสียงนั้นดังเข้ามากระทบโสตประสาทของผมชัดเจนจนทำให้ต้องหยุดเดินอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างนั้น
ก็หยุดด้วยเช่นกัน
“- - แต่โอ้ต มึงก็ยังเป็นคนเดิม มึงเป็นคนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง - - มึงรักใคร ก็ไม่เคยเปลี่ยน กูพูดถูกใช่มั้ย”
เสียงนั้นเหมือนพูดล้อเล่นกับผม
สนุกเหรอมึง …?
ผมเริ่มก้าวเดินต่อจนมาถึงต้นไม้ใหญ่ริมปิง ร่างนั้นยังคงก้าวเดินตาม ตัวผมเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง มึงไม่เคยไป
ไหนเลยใช่มั้ย มึงไม่เคยอยู่ห่างกูเลยใช่มั้ย … แล้วทำไม แล้วทำไม - -
เหมือนร่างนั้นจะรู้สึกถึงความนึกคิด
“กูเคยบอกมึงแล้วไง … ไม่เคยมีใครไม่เคยสูญเสีย ไม่มีใครที่จะสมหวังไปหมด - - ใช้ชีวิตที่เหลือ
ให้มีค่าที่สุด - - ”
“กูกลัว …” ผมเอ่ยปากพูดกับร่างๆนั้นเป็นครั้งแรก
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ต้องกลัว - - - - โอ้ตมึงเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ … มึงโตแล้ว - - คนที่เป็นพี่ชายน่ะ
เค้าไม่อ่อนแอให้น้องเห็นได้ง่ายๆหรอก”
ฮึก …
ฮึกก……
ผมค่อยๆหันหลังกลับไปหาร่างนั้น … แต่ก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงลำแสงเล็กๆของหิ่งห้อย
ที่ส่องระยิบระยับอยู่ทั่วบริเวณ
“ปิง.. - - "].
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
.
*...ในช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ได้รับคำตอบให้กับชีวิตที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยการได้พบเจอกับสิ่งต่างๆมากมายก็ทำให้เรียนรู้ว่า ไม่มีความโดดเดี่ยวใดในโลกที่จีรัง หากมองความรักอย่างเข้าใจ
...แม้บางครั้งชีวิตจะเดินไปสู่หนทางที่มืดมิด หากแต่หัวใจยังมีความรักและมีความหวัง จะมีมือที่อยู่ใกล้ ๆ คอยจูงเป็นเพื่อนไม่ให้เราหลงทางอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
..
.
.
บ้านพักอลเวง – Holynight จบบริบูรณ์พูนสุข
* จากบทภาพยนต์ รักแห่งสยาม โดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับ "คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง
.
.
..
.
.
STP : จบยากจังครับตอนนี้ แต่ก็จบแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามมาโดยตลอดนะครับ
ขอบคุณกับทุกกำลังใจ และขออภัยถ้าในบางคราอาจจะเขียนได้ไม่ถูกใจในบางตอนนะครับ
ความใฝ่ฝันของผมคือ อยากให้คนที่ได้มาอ่าน รู้สึกมีความสุขที่ได้อ่าน ได้หัวเราะเฮฮา
แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นผมเขียนไปแนวออกเศร้าไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ (ฮา) บางที
กลัวคนเลิกอ่านไปเลยก็มี ^^ จริงๆเคยบอกพี่คนนึงไปว่า พลาดไปเหรอเปล่าที่มา
เขียนตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีก แต่ปรากฎว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็ดีใจครับ ที่ได้เขียนตอนนี้
ขึ้นมา แม้จะดูออกแนวแฟนตาซีมีหางไปบ้างก็เหอะ ^^
แล้วเจอกันใหม่ เมื่อชาติต้องการค๊าบ