ลู่อี้เผิงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง และพยายามปลอบตัวเองว่าแผลคงไม่ฉีก นายตำรวจทั้งหมดเดินตามหงคงฉ่วยออกไป ตอนนี้จึงเหลือเขาอยู่ในห้องเพียงลำพัง กับต้วนเฟิงซึ่งยังไม่ได้สติ
หงคงฉ่วย....
ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปาก ปกติหงคงฉ่วยไม่เคยยอมที่จะปรากฏตัวต่อหน้าใครคนอื่นมาก่อน ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงได้.........
“สารวัตร?”
เสียงพูดอู้อี้ที่ดังขึ้นทำให้ลู่อี้เผิงหันหน้ากลับไปทันที เขาเห็นดวงตาสีดำของต้วนเฟิงที่ล้อมด้วยผ้าพันแผลกำลังมองมาทางเขา
“ผู้กองต้วน!” ลู้อี้เผิงโพล่ง แล้วใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ หมุนล้อรถเข็นเข้าไปที่เตียงของต้วนเฟิงทันที ผู้กองหนุ่มมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “สภาพสารวัตรดูไม่จืดเลยนะเนี่ย”
ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา แล้วหัวเราะออกมา “คุณตื่นนานแล้วหรือ?”
“ก็นานพอดูล่ะครับ” ต้วนเฟิงว่า “สารวัตรเล่นคุยกับญาติผู้ใหญ่เสียงดังขนาดนั้น ผมก็ตื่นสิ”
ลู่อี้เผิงนึกละอายใจขึ้นมา “ขอโทษที่พูดเสียงดังนะ”
ต้วนเฟิงมองเขา แล้วพูดต่อ “เอาเครื่องช่วยหายใจออกได้ไหมครับเนี่ย ผมพูดไม่สะดวกเลย หิวน้ำด้วย”
ลู่อี้เผิงมองหน้าเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะขยับรถเข็นไปกดปุ่มเรียกพยาบาล
แพทย์เข้ามาตรวจอาการของต้วนเฟิงแล้วก็ยอมถอดเครื่องช่วยหายใจให้ หลังจากดื่มน้ำแล้ว นายตำรวจทั้งสองก็ถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง
“ผมว่าคุ้นๆ หน้าญาติผู้ใหญ่ของสารวัตรอยู่นะ คนเดียวกับที่นั่งรถด้วยกันวันนั้นใช่ไหมครับ” ต้วนเฟิงพูดทั้งๆ ที่ยังมีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มหน้า ลู่อี้เผิงพยักหน้ายอมรับออกไป
“เขาคือหงคงฉ่วยสินะครับ”
“..........”
“ผมรู้น่า” ต้วนเฟิงพูดต่อ “สารวัตรไม่อยากออกชื่อเขา เลยอ้างว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ใช่ไหมล่ะ... สารวัตรน่ะเป็นคนเดียวที่เข้าๆ ออกๆ คฤหาสน์ของเขาได้ อย่าว่าแต่ผมเลยครับ ใครๆ เขาก็สงสัยกันทั้งนั้นแหละว่าความสัมพันธ์ของสารวัตรกับเขาคงไม่ธรรมดา.. เอ่อ...” นายตำรวจหนุ่มหยุดไปพักหนึ่ง “ผมไม่ได้จะละลาบละล้วงอะไรนะครับ ก็แค่สงสัย.. สารวัตรกับเขา เอ่อ... เป็นคนรักกันหรือครับ?”
ลู่อี้เผิงมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“แต่...เอ่อ.. ผมว่าผมเห็นคุณจูบกับเขานะ ตะกี้น่ะ...”
หน้าของลู่อี้เผิงยิ่งปั้นลำบากเข้าไปอีก พลางนึกสงสัยว่าต้วนเฟิงตื่นตั้งแต่ตอนไหนกันแน่ ทำไมไม่ส่งเสียงอะไรให้พวกเขารู้ตัวบ้างนะ
“เอ่อ... จะว่าผมช็อกก็ช็อกหรอกนะ ไม่รู้ว่าสารวัตรจะชอบผู้ชายด้วยกัน...”
“ผมเปล่า” ลู่อี้เผิงแย้งทันที ต้วนเฟิงมองหน้าเขา แล้วกะพริบตาอีก “แต่.. เขาเป็นผู้ชายนี่ พักหลังๆ สารวัตรก็ดูท่าทางจะไม่สนผู้หญิงเลย... สารวัตรอาจจะเพิ่งค้นพบตัวเองก็ได้นะ”
ลู่อี้เผิงอยากจะบีบคอต้วนเฟิงเสียจริงๆ เขามองเพื่อนร่วมงาน แล้วถอนหายใจเฮือก “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”
“สารวัตรเขินสินะครับ” ต้วนเฟิงพูดออกมา จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่... เรื่องที่เขาพูดตะกี้น่ะ สารวัตรคงจะไม่ช่างมันนะครับ”
“?”
“คดีฆ่าล้างตระกูลหรงน่ะ”
“?!”
“สารวัตร” ต้วนเฟิงหันมามองหน้าเขา “มันวางระเบิดรถเรานะ จะเป็นใครก็ช่าง เราต้องจับมันให้ได้ โชคดีนะที่ผมกับสารวัตรไม่เป็นอะไรมาก ตอนที่ตื่นมาได้ยินเสียงสารวัตร ผมดีใจสุดๆ เลย ผมคิดว่าสารวัตรจะ...”
“ผู้กองต้วน” ลู่อี้เผิงพูดแทรกขึ้น ก่อนจะขบริมฝีปากล่าง “อาการคุณสาหัสกว่าผมอีกนะ”
“อืม... ผมแสบหน้าสุดๆ เลยล่ะ ยิ่งพูดเยอะๆ ยิ่งเจ็บนะเนี่ย แผลไฟไหม้ใช่ไหมล่ะครับ”
“อืม...”
“ผมจะเสียโฉมมั้ย?”
ลู่อี้เผิงมองดูเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะพูดตอบ “ไม่หรอกนะ เดี๋ยวนี้เทคนิคการแพทย์ทันสมัยจะตาย แผลไฟไหม้ใหญ่ๆ ยังรักษาหายเลย ของคุณน่ะนิดหน่อยเอง” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลู่อี้เผิงเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแผลไฟไหม้ของต้วนเฟิงนิดหน่อยหรือหัสขนาดไหนกันแน่ ฝ่ายนั้นหัวเราะออกมา
“นั่นสิ เทคนิคศัลยกรรมตกแต่งเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะจะตาย ผมเคยดูรายการฝรั่งนะ บางคนศัยลกรรมแล้วออกมาดูดีเวอร์เลยล่ะ แหม.. ครั้งนี้อาจจะเป็นโชคดีของผมก็ได้ จู่ๆ ก็มาได้ทำศัลยกรรมฟรี ในหน้าที่แบบนี้กรมต้องจ่ายให้ผมใช่ไหมล่ะ ไม่แน่นะ อีกหน่อยผมอาจจะหล่อกว่าสารวัตรก็ได้”
ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา “คุณหล่อกว่าผมอยู่แล้วล่ะ”
“สารวัตรอย่ามาขี้โม้ใส่ผมน่า สารวัตรไม่อาย แต่ผมอายนะเนี่ย” ต้วนเฟิงว่า ก่อนจะซีดปากด้วยความเจ็บ
“สารวัตร.. ผมเจ็บหน้ากับเจ็บตรงแผลที่ตัวสุดๆ เลยนะตอนนี้น่ะ... แต่ด้านล่างผมไม่รู้สึกเลยล่ะ”
“!!!”
“สารวัตร...” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเสียงแห้ง “จับไอ้คนวางระเบิดรถเราให้ได้นะ จับให้ได้นะครับ”
ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มือที่กำอยู่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดโปนขึ้นมา เขามองดวงตาสีดำของต้วนเฟิงที่มีน้ำตาเอ่อขึ้นมา ก่อนจะตอบเสียงพร่า “ผมจะจับมันให้ได้ ผู้กอง ผมสัญญา”
-----------------------------------------------------
เฉินฉินแวะมาเยี่ยมลู่อี้เผิงที่ห้องในช่วงเย็น พร้อมกับกระเช้าผลไม้
“ผมแวะไปเยี่ยมผู้กองต้วนมาแล้ว เขายังพูดคล่องปร๋อเหมือนเดิมเลยนะ” เฉินฉินพูด ขณะให้ลูกน้องวางกระเช้าผลไม้ลง ลู่อี้เผิงหัวเราออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม
“ท่านรอง รู้เรื่องขาของผู้กองต้วนหรือยังครับ?”
เฉินฉินนิ่งไปพักหนึ่ง ก็พูดตอบออกมา “อืม... หมอบอกว่าสะเก็ดระเบิดบางส่วนฝังตรงเส้นประสาทช่วงล่างพอดี ถ้าร่างกายเขาฟื้นตัว และไม่มีอาการติดเชื้ออะไรเพิ่ม อาจจะผ่าตัดออกได้”
“อืม... เขาจะกลับมาเดินได้ใช่มั้ย...”
“ก็ยังไม่แน่นักหรอก แต่ผมก็หวังให้เขากลับมาเดินได้เหมือนกัน” เฉินฉินตอบ ก่อนจะมองลู่อี้เผิง
“สารวัตร.... ได้ยินว่าหงคงฉ่วยมาเยี่ยมคุณหรือ?”
“ครับ”
“เขาบอกอะไรคุณบ้างมั้ย?”
ลู่อี้เผิงหันหน้าไปมองเฉินฉินทันที “ท่านรองเคยได้ยินชื่อเห่ยอิง(อินทรีย์ดำ)รึเปล่าครับ?”
เฉินฉินมองหน้าเขา ก่อนจะนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ใช่เห่ยอิงของตระกูลหรงรึเปล่า?”
“ตระกูลหรง?” ลู่อี้เผิงทวนคำ เฉินฉินถามต่อ “ใครพูดชื่อนี้ให้คุณฟังน่ะ หงคงฉ่วยหรือ?”
ลู่อี้เผิงพยักหน้า ดวงตาของเฉินฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที คนมองอดไม่ได้ต้องถามอีก “ทำไมครับท่านรอง นึกอะไรได้หรือครับ?”
“ผมสงสัยหงคงฉ่วยมาตั้งแต่เมื่อสาบสิบกว่าปีที่แล้วแล้วล่ะ” เฉินฉินพูด ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา “คุณเกิดไม่ทันแน่ๆ ผมจะเล่าให้คุณฟังคร่าวๆ แล้วกัน”
นายตำรวจอาวุโสพูด จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ “สามสิบกว่าปีก่อน ตระกูลหรงเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งเหมือนกัน เห่ยอิงเป็นฉายาของลูกชายคนโตที่ชื่อว่าหรงสือจื่อ ซึ่งสมัยนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของวงการเลยล่ะ เขาเก่งทั้งงานบริหารและขยายกิจการ แล้วก็เป็นยอดเรื่องกังฟูด้วย แต่ได้ยินว่าเขามีสภาพจิตไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ประเภทเก่งจนบ้าล่ะมั้ง ว่ากันว่าหรงสือจื่อข่มขืนน้องชายของตัวเอง แล้วขังเอาไว้ในห้องอยู่หลายปีเลยล่ะ”
ลู่อี้เผิงสะดุ้งเฮือก “นั่นมันเข้าขายทารุณทางเพศแถมผิดศีลธรรมแล้วนะครับ”
“อืม.. แต่เพราะเขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหรง เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง ที่สำคัญน้องชายคนนั้นก็ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของเขา แต่เป็นเด็กที่พ่อเขาเก็บมาเลี้ยงไว้น่ะ หรงสือจื่อขึ้นบริหารกิจการของตระกูลจนถึงอายุยี่สิบสอง ซึ่งเป็นยุคที่เขากำลังรุ่งเรืองสุดๆ เลยล่ะ แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยองขวัญขึ้นน่ะ”
“?!!”
“สมัยนั้นคดีนี้ดังไปทั้งเกาะ” เฉินฉินพูด แล้วเทน้ำใส่แก้วก่อนจะยกขึ้นดื่ม “วันนั้นคนในบ้านของตระกูลหรงชวนกันไปล่องเรือสำราญกัน ไปกันทั้งบ้านเลยนะ คนรับใช้ก็ไปหมด เรือสำราญนั่นหรงสือจื่อเป็นเหมา เห็นว่าเป็นงานฉลองวันเกิดของเขาน่ะ ที่เป็นข่าวเพราะเจ้าของเรือทีให้เช่า เห็นว่าเรือขาดการติดต่อไปหลายวันแล้ว เลยแจ้งตำรวจ พอเราส่งตำรวจน้ำไปตรวจสอบ ก็พบเรือลอยเคว้งอยู่กลางอ่าว ฟังจากปากคำเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตอนนั้น พอปีนขึ้นไปบนเรือก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าจนแทบอ้วกเลยล่ะ เห็นว่าตั้งแต่หัวเรือยันท้ายเรือ มีแต่ศพเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ ถ้าไม่คอหักก็อวัยวะภายบอบช้ำอย่างหนักจนตกเลือดตาย มีบางคนถูกยิงตายก็มี นับแล้วมีสักสามสิบเอ็ดศพเห็นจะได้ ไม่มีใครรอดเลย จะว่าไปแล้ว ถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์กรมตำรวจเราเลยก็ว่าได้
“ไม่มีใครรอดเลยหรือครับ?” ลู่อี้เผิงทวนคำ เฉินฉินสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก คนในบ้านตระกูลหรงที่ขึ้นเรือไปวันนั้นมีสักเกือบสี่สิบคนเห็นจะได้ ไม่มีตัวเลขแน่ชัดหรอกนะ เพราะหรงสือจื่อไม่ได้แจ้งเอาไว้ ที่เราเจอน่ะมีสามสิบเอ็ดศพ บนเรือไม่มีคนที่มีชีวิตอยู่พอจะเล่าอะไรได้เลยน่ะ แต่มีคนหายไปอยู่นะ คนสูญหายไปเท่าที่ตรวจสอบได้ตอนนั้นก็มีตัวหรงสือจื่อเอง คนสนิทของเขาอีกคน รู้สึกจะชื่อลีหรืออะไรสักอย่าง แล้วก็น้องชายที่เป็นข่าวว่าถูกเขาข่มขืนอยู่หลายปีคนนั้นแหละ”
หยุดไปพักหนึ่ง เฉินฉินจึงเล่าต่อ “เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ตอนแรกเราหวังว่าจะมีใครกระโดดหนีลงทะเลแล้วอาจจะลอยคอรอความช่วยเหลืออยู่ก็ได้ แต่สุดท้าย เราก็เจอเพิ่มอีกสองศพ ซึ่งก็ไม่ใช่สามคนที่หายไป สุดท้ายทางชุดสอบสวนเลยลงความเห็นว่าหรงสือจื่ออาจจะเกิดวิปลาสขึ้นมาแล้วเลยลงมือฆ่าทั้งญาติตัวเอง ทั้งลูกน้อง คนรับใช้ น้องชายทิ้งจนหมด จากนั้นอาจจะเอาศพน้องชายกับคนสนิทโยนลงทะเลแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ที่เดาแบบนี้เพราะหรงสือจื่อมีนิสัยค่อนข้างจะหวงของอยู่น่ะ ยิ่งถ้าเป็นของรักของหวง ได้ยินว่าจะเก็บไว้ไม่ห่างตัวเลย เลยคิดว่าเขาคงไม่ยอมให้ศพของน้องชายกับคนสนิทเน่าถูกใครพบ เลยหอบกันลงน้ำไปหมดล่ะมั้ง แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่มีใครเจอศพสามคนนั่น บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้”
เฉินฉินพักหายใจ ขณะที่ลู่อี้เผิงอ้าปากค้าง ไม่รู้มาก่อนเลยว่าก่อนเขาเกิด จะมีคดีสะเทือนขวัญขนาดนั้นด้วย
“แต่หลังจากนั้นสักปีสองปี ชื่อของหงคงฉ่วยก็ปรากฏขึ้นมาในวงการ ฉันรวมถึงพวกที่ทำคดีตอนนั้นรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาเลยล่ะ เพราะได้ยินว่าช่วงสี่ห้าปีให้หลัง ก่อนจะเกิดเรื่องฆ่ากันบนเรือน่ะ หรงสือจื่อเริ่มเรียกน้องชายตัวเองว่าหงคงฉ่วย(นกยูงแดง) เลยคิดว่านกยูงแดงอาจจะเป็นตัวหรงสือจื่อเองก็ได้ บางทีเขาอาจจะรอดชีวิต แล้วเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา เลยใช้ชื่อแทนน้องชายของตัวเองก็ได้ อีกอย่าง หงคงฉ่วยก็ทำตัวลึกลับ ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตามาตลอดสามสิบกว่าปี เราเลยคิดกันว่าเขาน่าจะเป็นหรงสือจื่อ”
ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที เขาก็นึกอยู่หรอกว่าหงคงฉ่วยโรคจิต แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดเคยลงมือฆ่าโหดคนเป็นยี่สิบสามสิบคนแบบนี้ นายตำรวจหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป
“ท่านรอง... มีรูปของหรงสือจื่อเก็บเอาไว้ในแฟ้มคดีด้วยรึเปล่าครับ”
เฉินฉินนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “รู้สึกว่าจะมีล่ะ เขาเป็นคนดังยุคนั้น แต่..สารวัตร หรงสือจื่อน่ะ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ตอนนี้เขาคงอายุสักห้าสิบเจ็ดห้าสิบแปดได้แล้วล่ะ เขาอาจจะทำศัลยกรรมเปลี่ยนโฉมไปแล้วก็ได้ เห็นว่าหงคงฉ่วยที่มาหาสารวัตร หน้าเด็กอย่างกับคนอายุยี่สิบสามสิบเลยนี่”
ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปาก “ท่านรองครับ ถ้าหงคงฉ่วยคือหรงสือจื่อจริง ทำไมเขาต้องบอกผมให้ไปคุ้ยเรื่องเลวร้ายของตัวเองด้วยล่ะครับ?”
เฉินฉินมองหน้าเขา แล้วมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ไม่รู้สิ เขาบ้าๆ บอๆ ใช้สามัญสำนึกคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้หรอกมั้ง บางทีเขาอาจจะอยากทำให้เราเขวก็ได้”
ลู่อี้เผิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมา “ท่านรองครับ แฟ้มคดีตระกูลหรง เก็บไว้ที่ไหนหรือครับ?”
“ห้องเอกสารเก่าของกรมล่ะมั้ง จริงๆ คดีมันหมดอายุความแล้วล่ะ แต่มันเป็นคดีที่ยังปิดไม่ได้ ก็เลยน่าจะยังเก็บอยู่น่ะ ไว้สารวัตรหายดี ถ้ายังติดใจอยู่ ค่อยไปค้นดูก็ได้”
“ท่านรองเอาออกมาได้ไหมครับ.. ผมอยากดูตอนนี้เลย”
เฉินฉินมองหน้าเขา ลู่อี้เผิงพูดต่อ “ไม่งั้นก็บอกหมอให้เซ็นรับรองให้ผมออกจากโรงพยาบาล ผมจะได้ไปดูเอง”
--------------------------------------------------------
วันรุ่งขึ้น ลังใส่แฟ้มเอกสารสองลังก็ถูกยกมาที่ห้องพักฟื้นของลู่อี้เผิง เฉินฉินลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขา แล้วพูด “สารวัตรลู่ นี่เป็นแฟ้มคดีตระกูลหรงทั้งหมด ผมทำเรื่องยืมออกมาได้แค่สามวัน”
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองลังเอกสาร ก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณมากนะครับท่านรอง”
“อืม.. ไม่เป็นไรหรอก” เฉินฉินว่า ก่อนจะหันไปแนะนำผู้ชายอายุราวๆ หกสิบกว่าๆ คนหนึ่ง ซึ่งยืนหลังตรงเป็นสง่าเหมือนคนที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี “นี่คืออดีตสารวัตรจั้ว เขาเคยเป็นคนรับผิดชอบคดีนี้ในสมัยนั้น ความจริงเพิ่งปลดเกษียณไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ผมเห็นว่าคดีมันนานแล้ว คุณอาจจะอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติมจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เลยไปเชิญตัวเขามาน่ะ”
“ขอบคุณมากนะครับ” ลู่อี้เผิงพูด ก่อนจะหันไปก้มศีรษะให้นายตำรวจชรา “รบกวนด้วยนะครับ ท่านสารวัตร”
อดีตสารวัตรจั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกสารวัตร ผมเองก็อยากรู้สาเหตุของคดีนี้เหมือนกัน พอได้ยินว่าหงคงฉ่วยพูดถึงมัน ผมก็รีบมาเลยล่ะ สารวัตร ไม่แน่นะ คราวนี้เราอาจจะไขออกทั้งสองคดีเลยก็ได้”
ลู่อี้เผิงหัวเราะขืนๆ เฉินฉินเลยพูดขึ้นต่อ “งั้น.. ผมขอตัวก่อนนะ ถ้าเกิดเจออะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด แจ้งผมทันทีเลยนะสารวัตร”
“ครับ”
พูดจบเฉินฉินก็เดินออกไป ทิ้งลู่อี้เผิงให้อยู่กับนายตำรวจชรา และลังใส่แฟ้มคดีเก่าๆ นั้น
แฟ้มคดีเก่าแก่พอๆ กับอายุคนที่รับผิดชอบมัน จั้วซือเหลียนช่วยเขารื้อแฟ้มทั้งหมดออกมา กระดาษทั้งที่เป็นปกและเนื้อในเก่าจนสีเปลี่ยน กลิ่นเหม็นอับอันเกิดจากกาลเวลาคลุ้งไปทั่วห้อง ในที่สุดลู่อี้เผิงก็พบแฟ้มที่เป็นรายชื่อของผู้เคราะห์ร้าย และผู้สูญหาย ที่แบ่งออกเป็นสองบึกใหญ่ เรียงตามลำดับตัวอักษร โชคดีที่จั้วซือเหลียนจำได้วา ชื่อผู้สูญหาย ถูกแยกเอาไว้ตรงท้ายแฟ้มเล่มสองซึ่งมีกระดาษคั่นอยู่นั่นเอง ลำพังถ้าลู่อี้เผิงหาเอง คงต้องไล่อ่านทั้งสองแฟ้มแน่ เพราะหมายเหตุตรงกระดาษที่คั่นเอาไว้หลายช่วงก็เลือนรางจนอ่านแทบไม่ออก
พอเปิดหน้านั้นออกมาเขาก็เห็นรูปถ่ายขาวดำของผู้ชายอายุสักยี่สิบสองยี่สิบสามคนหนึ่ง ท่าทางภูมิฐาน และทรงอำนาจ ดวงตาสีดำจ้องตรงมาเหมือนมองเขาอยู่ ด้านล่างมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า หรงสือจื่อ หรือ เห่ยอิง(อินทรีย์ดำ)
จากนั้นก็มีรายละเอียดประวัติยาวเหยียด ตั้งแต่ชื่อพ่อแม่ ประวัติการเกิดอุบัติเหตุ ตำหนิบนร่างกาย และมีรูปภาพของเขาอีกหลายภาพ ลู่อี้เผิงเปิดอ่านไปพลางขมวดคิ้วไป นึกเปรียบเทียบใบหน้ากับรอยตำหนิที่ระบุเอาไว้ เหมือนจะไม่ตรงกับของหงคงฉ่วยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไฝ หรือปาน แต่ไม่แน่นักหรอก เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทางนั้นอาจจะไปลบออก หรือทำศัลยกรรมแล้วก็ได้
พอคิดว่าหงคงฉ่วยอาจจะเป็นฆาตกรโหดเมื่อสาบสิบกว่าปีก่อน ลู่อี้เผิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา จริงอยู่ เขาเคยหวังจะลากคอหงคงฉ่วยเข้าคุก... แต่แบบนี้.....
นายตำรวจหนุ่มขบริมฝีปาก จากนั้นเขาก็เห็นรูปใครอีกคนหนึ่ง เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบปี หวีผมปัด ท่าทางเรียบร้อยเหมือนนักศึกษา ด้านล่างมีตัวอักษรเขียนเอาไว้สองตัว
หลี่คง
ลู่อี้เผิงสะท้ายตัวเฮือกใหญ่
หลี่คง?!
พ่อบ้านของหงคงฉ่วยก็รู้สึกว่าจะชื่อหลี่คงเหมือนกันนี่นา!!
นายตำรวจหนุ่มขนลุกเกรียว พ่อบ้านหลี่น่าจะอายุสักหกสิบเจ็ดสิบ ดูจากวันเดือนปีเกิดที่ลงเอาไว้ด้านล่าง บวกดูแล้ว น่าจะอายุเท่ากันพอดี ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองอดีตสารวัตรชรา
“ท่านสารวัตรครับ ผู้ชายคนนี้....”
จั้วซือเหลียนขยับตัวมาใกล้นายตำรวจหนุ่ม ก่อนจะชะโงกหน้าลงไป “อ้อ ครับ เขาชื่อหลี่คง เป็นคนสนิทของหรงสือจื่อ เห็นว่าเขาอยู่ในบ้านตระกูลหรงมาตั้งแต่เล็กๆ สนิทกับหรงสือจื่อแล้วก็น้องชายอีกคนมากเลย.... ตอนนั้นเราเจอรูปถ่ายของน้องชายหรงสือจื่อในห้องเขาด้วยล่ะ มีพยานเล่าว่า เขาเคยถูกหรงสือจื่อซ้อมปางตายเพราะจับได้ว่าแอบถ่ายรูปน้องชายคนนั้น เห็นว่าหรงสือจื่อคลั่งน้องชายตัวเองมาก ถึงขนาดสั่งทำลายรูปถ่ายน้องชายจนหมด นัยว่าไม่อยากให้ใครเห็นนอกจากตัวเองล่ะมั้ง ตอนที่ไปหาหลักฐาน เราเลยแทบจะไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าน้องชายเขาคนนั้นหน้าตาแบบไหน ลักษณะยังไงกันแน่ จนเจอรูปถ่ายซุกอยู่ใต้ที่นอนของหลี่คงนั่นแหละ หลังรูปเขียนเอาไว้ว่า คุณชายน้อย เราเลยเดาว่าน่าจะเป็นรูปของคุณชายน้อยตระกูลหรง มันสอดอยู่หลังจากนี้อีกสองสามหน้าล่ะมั้งครับ”
ลู่อี้เผิงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดแผ่นกระดาษเก่าๆ พวกนั้นด้วยความระมัดระวัง รูปถ่ายขาวดำเก่าๆ รูปหนึ่งถูกเก็บใส่ซองแนบติดเอาไว้บนหัวกระดาษ แวบแรกที่ลู่อี้เผิงเห็น นายตำรวจหนุ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว
รูปถ่ายขาวดำเป็นรูปครึ่งตัวของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุสักสิบห้าสิบหก ในชุดเสื้อเชิ้ตเรียบๆ หน้าตาน่ารักหมดจด ในรูป เด็กคนนั้นกำลังเงยหน้ามองอะไรบางอย่าง ลักษณะภาพเหมือนกับรูปแอบถ่าย แต่ว่าหัวใจของลู่อี้เผิงกลับเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมา
เค้าหน้าแบบนี้ สันจมูกแบบนี้ ดวงตาแบบนี้....
ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นจับรูปถ่าย และรู้สึกว่ามือตัวเองสั่นนิดๆ เขาพลิกดูด้านหลัง มีลายมือของใครคนหนึ่งเขียนเอาไว้สั้นๆ “คุณชายน้อย กับนกในสวน”
ต่ำลงมาจากซองใส่รูปถ่าย มีตัวอักษรสามตัวเขียนกำกับไว้
หรงไป๋จื่อ.....
ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพึมพำออกมา
“หงคงฉ่วย...”
------------------------------------------------------------------
** ตอนนี้ทำให้รู้ว่า เผิงเผิง ถึกจริงๆ ฮ่าๆๆ
ตอน23เขียนเสร็จแ้ล้วล่ะ น้ำตาซึมเลย (ทั้งๆ ที่มา่่ม่ามันเพิ่งต้มไปได้ครึ่งหม้อเท่านั้นเอง<<โดนโบก
)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ