[แจ้งข่าวหน้า1]红孔雀 นกยูงแดง (มาเฟีย?vsตำรวจ SMนะ!-จบ) แปะรูปp40 :9/9/2554
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ระหว่างพญานกยูงแดง หงคงฉ่วย กับนายตำรวจเถรตรง ลู่อี้เผิง ท่านๆ ชอบใครมากกว่ากันคะ^^

ต้องหงคงฉ่วยอยู่แล้ว ราชินีฉัน เริ่ด และแสบสนิทขนาดนี้!!
ต้องเผิงเผิงน้อยอยู่แล้ว เมะอะไร มันจะน่ารักน่าแกล้งขนาดนี้!!

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า1]红孔雀 นกยูงแดง (มาเฟีย?vsตำรวจ SMนะ!-จบ) แปะรูปp40 :9/9/2554  (อ่าน 616345 ครั้ง)

shockoBB

  • บุคคลทั่วไป
 :sad4: ไม่น้าาา เผิงเผิง

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
น้องเล็ก น่าสงสารมากเลย
ไม่แปลกหรอกที่ นกยูงจะไม่ยอมไว้ใจใครง่ายๆ
เผิงเผิงต้องไม่เป็นอะไรน่ะ  :m15:

ออฟไลน์ emmybblood

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :angry2:

มาม่ามันมาแล้ววววว

ความหลังของหงคงฉ่วยแสนเศร้านัก

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
มาม่าเพิ่งเริ่มต้มเองเหรอเนี่ย

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
โอ้วววว คงฉ่วย ห้าสิบกว่าๆ คิดว่าสี่สิบห้าสี่สิบหกมาตลอดเลยนะเนี่ย
เป็นพี่ชายที่ชั่วมาก ไหนบอกรักไง เห็นมีแต่ทำร้ายร่างกายและจิตใจ
สมควรแล้วที่มีรูกระสุนที่หน้าผากน่ะ แหม๊ๆ มันตะกายขึ้นมาจากนรกได้ไงเนี่ย
เฮ้อ สงสัยจะได้มาม่าเป็นลัง  o22

ออฟไลน์ Ryze

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
 :z6:

อุ๊ยยย ลืมตัว~ อิอิ

 :call:
บนบานศาลกล่าวขอให้คนเขียนหัวแล่น ฉิวๆ~

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ความหลังของคงฉ่วยน่าสงสาร เจอคนโรคจิตเป็นพี่ แต่กล้าทำเผิงเผิงเจ็บหนัก คงฉ่วยจัดหนักเลยสนับสนุน

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
คงฉ่วยยยยยย
น่าสงสารอ่ะ  ฮือออออ
ไอ้พี่ใหญ่นั่นมันบ้า รึปล่าวอ่ะ
ไม่เอานะ สารวัตรลู่จะเป็นไรมั้ยเนี่ยยย
เป็นห่วงๆ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
นี้ขนาดเพิ่งเริ่มต้มนะเนี่ย
แซ่บขนาด!!!
สงสารเสี่ยวชิก อดนั่งรถเล่นเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
เผิงเผิงบาดเจ็บสาหัสเลยเหรอออ  :sad4:

a_om

  • บุคคลทั่วไป
เหมือนจะรู้อายุคงฉ่วยแล้ว
ฮ่าๆ มากเอาการนะ :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ EunSung87

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-2
เผิงเผิงอย่าเป็นไรน๊า

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ้อ...งั้นเลยกลายเป็นแบบนี้ไปสินะ! (อย่ามองเราด้วยสายตาแบบน้าน~)
แต่ว่านะ คงฉ่วย...แผลลึกเหมือนกันนะเนี่ย เห็นใจนิดๆดีมั้ยนะ...

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
สงสารคงฉ่วยอ่า เกือบไปสวรรค์ซะแล้ว

 :o12: :o12:

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
มันส์!!!


งานนี้มันส์แน่! แต่อินทรีย์ดำนี่...น่ากลัวอ่ะเจ๊!!

akike

  • บุคคลทั่วไป
อะไร เกิอะไรขึ้น
คงฉ่วยเปงอะไร
อ้าก ๆ ๆ

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
คงฉ่วยตอนเด็กน่าสงสารจัง นี่สินะสาเหตุที่ไม่ชอบคืนวันเพ็ญ
แงงงงงงงงงงงงงงงงง  เผิงเผิงจะเป็นอะไรมากไหมอ่ะ
ส่วนอินทรีดำ ( :beat: )  แกรอดกลับมาทำม๊ายยยยยยยยยยยย

kisz

  • บุคคลทั่วไป
อ่อออออ อดีตเก่าๆ

ว่าแต่พี่ชายคงฉ่วยอึดเนอะ ขนาดโดนยิงหน้าผากยังไม่ตายอีก ฮ่วยยยย

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
红孔雀นกยูงแดง 22

   สิ่งที่ลู่อี้เผิงรู้สึกในวินาทีนั้นคือประกายไฟที่พุ่งวาบออกมา และแรงอัดมหาศาล นายตำรวจหนุ่มรีบพุ่งตัวกลิ้งลงไปบนพื้นด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะตอบสนองได้ในขณะนั้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบไป
-------------------------------------------
   ปิ๊บ.. ปิ๊บ....
   ลู่อี้เผิงปรือตาขึ้นมา และต้องรีบหลับลงทันทีที่พบกับแสงไฟจากหลอดนีออนซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนเพดานเหนือศีรษะ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบตรงแขนซ้ายและช่วงตัวด้านนั้นทั้งแถบ นายตำรวจหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และใช้เวลาอีกสักพัก เพื่อระลึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
   เขากำลังเดินไปที่รถกับต้วนเฟิง แล้วจากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น
   !!!
   ลู่อี้เผิงทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นทันที พยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับร้องออกมา “ลุกแบบนั้นไม่ได้นะคะ!!”
   ยังไม่ทันที่พยาบาลสาวจะถลันตัวเข้าไปกดเขาลงกับเตียง ความเจ็บปวดที่พุ่งวาบเข้ามาก็ทำเอานายตำรวจหนุ่มทรุดลงไปเองโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนี้เขาจึงได้รู้ว่าตัวเองสวมที่ครอบหายใจอยู่ แถมยังมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางอยู่เต็มแขน
   พยาบาลสาวรีบกดปุ่มฉุกเฉินตรงหัวเตียง ขณะที่นายตำรวจหนุ่มอ้าปากพูดเสียงแห้ง
   “ต้วนเฟิง ต้วนเฟิงล่ะ?”
   คำถามของลู่อี้เผิงไม่ได้รับคำตอบ พยาบาลสาววุ่นวายอยู่กับการเช็กท่อหายใจและสายต่อต่างๆ ของเขาว่ายังปกติเรียบร้อยดีหรือไม่ จากนั้นสักพัก แพทย์ก็เดินเข้ามาตรวจอาการของเขา และลงความเห็นว่าต้องเย็นแผลใหม่ เนื่องจากการที่เขาลุกขึ้นกะทันหันเมื่อครู่ ทำให้แผลฉีก ลู่อี้เผิงมองหน้าแพทย์ที่ตรวจอาการของเขา แล้วถามอีกครั้ง
   “ต้วนเฟิง..... เพื่อนผมล่ะครับ?”
   “เขาอยู่อีกห้องหนึ่งน่ะ” แพทย์คนนั้นตอบ ขณะเปิดเสื้อของเขาออก แล้วหยิบเข็มยาชาขึ้นมาจากถาดที่วางอยู่
   “เขาเป็นยังไงบ้างน่ะ?” ลู่อี้เผิงถามเสียงอู้อี้ เพราะยังใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ หมอฉีดยาชาให้เขา จากนั้นก็หยิบเข็มมาเย็บแผลที่ฉีก
   “คุณพักผ่อนเถอะ เพื่อนคุณไม่เป็นไรหรอก” แพทย์เจ้าของไข้กล่าว ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาแล้วฉีดยาผ่านท่อที่เสียบอยู่ที่หลังมือของเขา จากนั้นนายตำรวจหนุ่มก็หลับไปอีกครั้ง
-------------------------------------------------
   “อี้เผิง พ่อซื้ออะไรมาฝากลูกแน่ะ”
   ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ก่อนจะยิ้มร่า เมื่อเห็นหมวกตำรวจจำลองสำหรับเด็กในมือ คนเป็นพ่อยิ้ม แล้วสวมมันลงบนศีรษะของเขา “ลูกพ่อใส่แล้วดูหล่อขึ้นเยอะเลย”
   ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นขยับหมวกบนศีรษะ ก่อนจะยกมือขึ้นตะเบ๊ะ “ผมพร้อมจะออกปฏิบัติงานแล้วครับ”
   คนเป็นพ่อหัวเราะชอบใจ “วันนี้เราจะไปจับผู้ร้ายกันที่ไหนดีครับ คุณตำรวจ”

   อาชีพตำรวจเป็นอาชีพในฝันของลู่อี้เผิงมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจำไม่ได้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้อยากเป็นตำรวจนัก พอรู้สึกตัว เขาก็มุ่งมั่นอยากจะเป็นตำรวจจนแทบจะไม่สนใจเรื่องอื่น เขาอยากให้พ่อได้เห็นตัวเองในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีดำมีสายคาดพร้อมกับตราประดับ แต่แล้วพ่อเขาก็เสียชีวิตลงหลังจากที่เขาสอบติดโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เพียงไม่ถึงเดือน
   ถึงอย่างนั้นความมุ่งมั่นใจการเป็นตำรวจอาชีพของลู่อี้เผิงก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยคลอนแคลนเลยแม้แต่สักกระเบียดนิ้วเดียว
   เรียนจบมาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับคำชมในทุกรายวิชาที่เรียน ลู่อี้เผิงสวมเครื่องแบบนายตำรวจอย่างเต็มภาคภูมิ และปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจเสี่ยงอันตราย หรือยากลำบากขนาดไหน นายตำรวจหนุ่มก็จะรับอาสาทำในแทบทุกครั้ง
   แม้กระทั่งการสืบเรื่องของหงคงฉ่วย คนที่มีตัวตนเหมือนกับตำนานนั้นก็เช่นกัน
----------------------------------------
   “สารวัตรลู่”
   ลู่อี้เผิงกะพริบตาอีกสองสามครั้ง ถึงจะพอมองเห็นคนตรงหน้าได้ชัดๆ นายตำรวจหนุ่มเตรียมจะลุกขึ้นมาอีกรอบ เลยถูกทางนั้นยื่นมือลงกดไว้
   “เดี๋ยวแผลก็ฉีกอีกหรอก สารวัตร” เฉินฉินพูด พลางมองหน้าลูกน้องที่นอนอยู่ เครื่องช่วยหายใจถูกถอดออกไปแล้ว แต่สภาพของลู่อี้เผิงในตอนนี้ก็ชวนให้นึกใจหายมากจริงๆ
   “ผมตกใจมาก ตอนที่รู้ว่ามีระเบิดเกิดขึ้น” เฉินฉินพูดต่อ ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา “ผู้กองต้วนล่ะครับ?”
   คนถูกถามเม้มปาก ก่อนจะพยักหน้า “หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เขาอยู่ฝั่งคนขับ เลยบาดเจ็บหนักกว่าคุณพอสมควร”
   “!!”
   “กองพิสูจน์หลักฐานรายงานกับผมว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ต่อสายชนวนเข้ากับระบบไฟฟ้าที่ใช้สำหรับรีโมทเปิดปิดรถ ซึ่งคิดว่าน่าจะเพิ่งวางตอนที่พวกคุณเอารถออกไปแล้ว เพราะระเบิดจะทำงานตอนใช้รีโมทกับตัวรถ ก่อนจะเกิดระเบิด พวกคุณจอดรถไว้ที่ไหน แล้วเห็นอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?”
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลาย ก่อนจะนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เขากับต้วนเฟิงจอดรถที่หน้าร้านน้ำชา เดินเข้าไปซื้อน้ำชาร้อนๆ มาดื่ม จากนั้นก็คุยสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ... แต่.....
   “ผมรู้สึกเหมือนตอนออกจากกรมมีรถคันหนึ่งขับตามไปน่ะ” ลู่อี้เผิงพูดออกมา ก่อนจะนึกทบทวนช้าๆ “เป็นรถยนต์นิสสันเก่าๆ สีออกเงินๆ ล่ะมั้ง ตอนแรกผมยังนึกว่าอาจจะเป็นกลุ่มอิทธิพลตามสะกดรอย แต่พอดีว่าเจอเหตุวิ่งราวก่อน ก็เลยขับรถไล่คนร้ายไป แล้วก็ลืมรถยนต์คันนั้นไปเลยน่ะครับ”
   “จำป้ายทะเบียนได้มั้ย?”
   ลู่อี้เผิงนึกอยู่พักหนึ่ง จึงบอกหมายเลขทะเบียนไป เฉินฉินจดลงไปในสมุด ก่อนจะพูดต่อ “สารวัตรลู่ ปกติคุณเป็นคนขับรถสายตรวจตลอดเลยใช่ไหม?”
   “ครับ”
   “เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้รึเปล่า”
   “อืม...”
   “สารวัตร... ระเบิดน่ะถูกวางไว้ใกล้ประตูตรงตำแหน่งคนขับนะ ถึงตัวระเบิดจะไม่ร้ายแรงขนาดหวังผลถึงชีวิต แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องหวังให้คุณบาดเจ็บหนัก สารวัตรลู่... ผมว่าเป้าหมายคราวนี้น่าจะเป็นตัวคุณนะ”
   “?!!” ลู่อี้เผิงอึ้งไปพักใหญ่ เขาหันไปมองหน้าผู้บังคับบัญชา “ใครกันครับที่ทำแบบนี้”
   “เรากำลังสืบกันอยู่” เฉินฉินตอบ “สารวัตรทำใจให้สบายๆ เถอะนะ ผมให้คนเฝ้าหน้าห้องคุณไว้แล้วล่ะ”
   ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ “ผมสลบไปนานเท่าไหร่?”
   “หนึ่งวันพอดี”
   ลู่อี้เผิงทำท่าจะลุกขึ้นอีก เฉินฉินเลยต้องกดเขาไว้อีกครั้ง พอดีที่แพทย์เวรเดินเข้ามาพอดี
   “ผมไปก่อนนะสารวัตร พักผ่อนให้มากๆ ล่ะ แล้วอย่าลุกพรวดพราดอีกนะ เดี๋ยวแผลจะฉีก” เฉินฉินพูด ก่อนจะเดินกลับออกไป ลู่อี้เผิงมองตามหลังผู้บังคับบัญชา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแพทย์ “หมอ ผมเป็นอะไรบ้างน่ะ?”
   “คุณมีแผลไฟลวกนิดหน่อย แล้วก็มีเศษกระจกฝังอยู่ตามร่างกายน่ะ แต่หมอผ่าออกให้หมดแล้วล่ะ” แพทย์ตอบ ลู่อี้เผิงลองขยับมือข้างซ้าย แล้วพบว่าปวดแสบปวดร้อนมากจริงๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองแพทย์อีกครั้ง
   “หมอ.. แล้วเพื่อนผมล่ะครับ เขาโดนอะไรบ้าง”
   คนเป็นแพทย์หยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาเข็มหนึ่ง ฉีดเข้าไปที่สายซึ่งเสียบตรงหลังมือเขา ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “คุณพักผ่อนเถอะครับ”
--------------------------------------------------------------
   “สารวัตรลู่”
   ลู่อี้เผิงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วแทบจะลุกพรวดพราดขึ้นอีก ดีที่ทางนั้นยื่นมือมากดตัวเขาไว้ได้ทัน
   “คุณเข้ามาได้ยังไงน่ะ?”
   ผู้ชายตัวใหญ่ที่มีแผลเป็นเหมือนรอยผ่าซีกกลางหน้าผากยิ้มให้เขา “ท่านรองเฉินฉินอนุญาตผมแล้ว ผมเคยทำงานกับคุณนะครับ” ลั่วซ่งจือพูด ลู่อี้เผิงมองหน้านั้นอยู่พักหนึ่ง ก็ถามขึ้นบ้าง
   “คงฉ่วยให้คุณมาสินะ”
   “ครับ”
   “เขา... ไม่ว่างมาเองหรือ....”
   ลั่วซ่งจือรีบพูดต่อทันที “ท่านนกยูงอยากเจอคุณนะครับ แต่ท่านมาเองคงไม่ดีกับภาพพจน์คุณน่ะ สารวัตรลู่ครับ ผมมาเพื่อจะบอกว่า ท่านนกยูงอยากให้คุณย้ายไปอยู่ด้วยหลังจากอาการดีขึ้นแล้ว”
   “?!!” ลู่อี้เผิงทำท่าจะลุกขึ้นอีก “เขารู้อะไรหรือไง?!”
   ลั่วซ่งจือจำต้องกดตัวลู่อี้เผิงลงไปอีกครั้งหนึ่ง “ผมตอบคุณไม่ได้หรอกครับ”
   ลู่อี้เผิงมีสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด “โทรศัพท์หาเขาให้ผมหน่อยสิ ผมอยากคุยกับเขา”
   ลั่วซ่งจือมีสีหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมกดโทรศัพท์ต่อสายให้ จากนั้นก็ส่งต่อให้ลู่อี้เผิง
   “คงฉ่วย!”
   “เผิงเผิง” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขา น้ำเสียงดูจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “ดีใจที่ได้ยินเสียงเธอนะ”
   หน้าอกซ้ายของลู่อี้เผิงรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาทันที “คงฉ่วย...”
   “ถ้าดีขึ้นแล้วก็ย้ายมาอยู่กับฉันเถอะ ฉันไม่ไว้ใจตำรวจ” อีกฝ่ายพูด นายตำรวจหนุ่มพูดสวนไปทันที “ผมเองก็เป็นตำรวจนะ”
   ได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะออกมา ลู่อี้เผิงนึกขึ้นได้ เลยรีบถามสิ่งที่ตัวเองต้องการถามในตอนแรก ก่อนจะถูกกวนออกนอกเรื่องมากกว่านี้ “คงฉ่วย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องระเบิดนี่ใช่ไหม?”
   หงคงฉ่วยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงตอบกลับมา “อืม”
   “คุณรู้อะไรบ้างน่ะ?”
   “เผิงเผิงมาคุยกับฉันที่คฤหาสน์ก็แล้วกัน”
   ลู่อี้เผิงเม้มปากแน่น “บอกผมตอนนี้ไม่ได้หรือไง?”
   “ไม่ได้หรอก เธอต้องมาที่คฤหาสน์ฉันก่อน”
   “ทำไมล่ะ?”
   “......เธอมาก่อนก็แล้วกัน”
   ลู่อี้เผิงเงียบไปพักหนึ่ง ก็กรอกเสียงกลับไป “คงฉ่วย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณใช่ไหม?”
   ปลายสายเงียบสนิท นายตำรวจหนุ่มจึงพูดขึ้นอีก “คุณจะหลอกผมไปฆ่าปิดปากใช่ไหม?”
   “เผิงเผิง!” เสียงปลายสายดังขึ้นทันที “อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันอยากฆ่าเธอล่ะก็ ไม่ต้องลำบากทำเรื่องถึงขนาดนี้หรอก”
   ลู่อี้เผิงพยักหน้า “ผมรู้ เพราะงั้น คุณบอกผมสิ คุณรู้อะไรกันแน่”
   “............”
   “คงฉ่วย ระเบิดนี่ เพราะผมเกี่ยวข้องกับคุณใช่มั้ย?”
   “เผิงเผิง...”
   “บอกผมเถอะคงฉ่วย ถ้าคุณไม่บอก ผมก็คงต้องสืบเอง” หยุดพักหนึ่ง นายตำรวจหนุ่มจึงกรอกเสียงลงไปต่อ “ผมไม่ไปอยู่ที่คฤหาสน์ของคุณหรอก”
   “เผิงเผิง!” หงคงฉ่วยเรียกชื่อเขาเสียงห้วน ก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง “ส่งโทรศัพท์ให้เสี่ยวจือหน่อยสิ”
   ลู่อี้เผิงส่งโทรศัพท์คืนให้ลั่วซ่งจือ ทางนั้นรับไปแล้วคุยอะไรอยู่พักหนึ่ง หลังจากวางสาย ลั่วซ่งจือก็หันมาพูดกับเขา “ผมไปก่อนนะสารวัตร ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”
   “อืม..” ลู่อี้เผิงส่งเสียง มองตามหลังลั่วซ่งจือที่เดินออกไป
-------------------------------------------------------
   เพราะตอนที่พุ่งตัวหลบ ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นป้องศีรษะเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ดังนั้นบริเวณใบหน้าและศีรษะของเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมาก มีเพียงรอยแผลจากเศษกระจกนิดๆ หน่อยๆ แต่ตั้งแต่ช่วงท้องลงไปถึงท่อนขาด้านบน นอกจากแผลไฟลวกแล้ว ก็ยังมีบาดแผลฉกรรจ์จากเศษกระจกและเศษเหล็กตัวถังรถที่กระเด็นเข้าใส่จากแรงอัดระเบิด ซึ่งว่ากันตรงๆ แล้ว อาการบาดเจ็บของเขาก็ค่อนข้างจะสาหัสเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ
   ดังนั้น ลู่อี้เผิงจึงจำต้องนอนพักรักษาตัวนิ่งๆ อยู่บนเตียงอยู่อีกสามวัน ถึงพอจะทุเลาลุกขึ้นมาได้ โดยระหว่างนี้มีนายตำรวจมาแจ้งความคืบหน้าของคดีให้เขาทราบเป็นระยะ
พอโงหัวขึ้น สิ่งแรกที่นายตำรวจถามถึงและต้องการเห็นคืออาการบาดเจ็บของต้วนเฟิง เพื่อนร่วมงานของเขา
   ลู่อี้เผิงไม่มีอาการบาดเจ็บหนักที่ขา แต่แพทย์ลงความเห็นว่าเขาไม่ควรจะเคลื่อนไหวร่างกายมาก เพราะแผลที่สมานตัวแล้วอาจจะฉีกออกอีก ดังนั้นลู่อี้เผิงจึงต้องนั่งรถเข็นไปเยี่ยมต้วนเฟิงที่อีกห้องหนึ่ง
   ทันทีที่นายตำรวจหนุ่มถูกเข็นเข้าไปในห้อง เขาก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าเพื่อนร่วมงานมีทั้งท่อช่วยหายใจ และสายต่อพ่วงอะไรระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด เขาหันหน้าไปถามบุรุษพยาบาลที่ช่วยเข็นรถให้ “เขาฟื้นบ้างแล้วหรือยัง”
   “ยังเลยครับ”
   ลู่อี้เผิงเลื่อนมือลงไปหมุนล้อรถเข็นเข้าไปใกล้ๆ เตียงของต้วนเฟิง ก่อนจะเม้มปากแน่น เพื่อนร่วมงานของเขาตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ผ้าพันแผล รวมไปถึงส่วนของใบหน้าด้วย นายตำรวจหนุ่มขบกรามแน่น ก่อนจะหันไปพูดกับบุรุษพยาบาล
   “ขอผมอยู่ลำพังสักพักนะ”
   บุรุษพยาบาลมองเขา แล้วผงกศีรษะ “งั้นเดี๋ยวอีกสิบนาที ผมจะแวะเข้ามานะครับ” พูดจบก็เดินออกไป ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงอีกครั้ง
   บ้าเอ๊ย... ถ้าตอนนั้นเขาไม่ยกกุญแจรถให้ต้วนเฟิงล่ะก็ หมอนี่คงไม่ต้อง.....
   นายตำรวจหนุ่มซบหน้าลงกับขอบเตียง คนที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้สมควรจะเป็นเขาแท้ๆ
ลู่อี้เผิงรับราชการตำรวจมาห้าปี ต้วนเฟิงเพิ่งเข้ามาเป็นผู้ช่วยเขาได้สองปี ก่อนหน้านี้ตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ลู่อี้เผิงเคยจะพอเห็นหน้าต้วนเฟิงมาบ้าง ในฐานะรุ่นน้อง แต่มาสนิทกันจริงๆ เอาตอนที่ทำงานด้วยกันนี่เอง
   ลู่อี้เผิงถอนหายใจเฮือก เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือสภาพของคนที่พูดหยอกล้อกับเขาอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนหน้านี้เขาสองคนยัง.....
   “ผู้กอง....” ลู่อี้เผิงซบหน้าลงกับขอบเตียงอีกครั้ง ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อรู้สึกเหมือนใครเปิดประตูเข้ามา น่าจะยังไม่ครบกำหนดสิบนาทีนี่นา
   นายตำรวจหนุ่มหันหน้ากลับไป แล้วก็ต้องเบิ่งตาค้าง
   “เผิงเผิง”
หงคงฉ่วยเดินเข้ามาพร้อมกับนายตำรวจเฝ้าหน้าห้องอีกสามสี่คน เขาสวมโค้ทสีดำ กำลังทอดสายตามองมายังนายตำรวจหนุ่ม “อาการดีขึ้นแล้วหรือ?”
   ลู่อี้เผิงมองหงคงฉ่วย ก่อนจะเลยไปมองตำรวจด้านหลัง “คุณ... เข้ามาได้ยังไงน่ะ?”
   “ฉันบอกว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอ...” หงคงฉ่วยตอบ ลู่อี้เผิงมองหน้าเขาอีกครั้ง “นี่... พวกเขารู้หรอก ว่าผมไม่มีญาติผู้ใหญ่หน้าเด็กขนาดนี้”
   “อืม....” หงคงฉ่วยส่งเสียงในคอ แล้วผงกศีรษะ “ฉันบอกพวกเขาไปตรงๆ นั่นล่ะว่าฉันเป็นใคร”
   “?!!”
   “ไปกับฉันนะเผิงเผิง”
   “!!!” ลู่อี้เผิงมองหน้าหงคงฉ่วยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจสามสี่คนด้านหลัง “พวกคุณช่วยออกไปก่อนจะได้มั้ย?”
   นายตำรวจสี่คนมองหน้าลู่อี้เผิง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่ได้หรอกครับ พวกผมต้องดูแลความปลอดภัยคุณตามคำสั่งท่านรอง อีกอย่าง.... เขาก็เป็น.....”
   “ขอเวลาฉันอยู่กับเขาสักพักเถอะ” หงคงฉ่วยพูดแทรกขึ้น แล้วยื่นมือออกไป “ถ้ากลัวว่าฉันจะทำร้ายเขาล่ะก็... ใส่กุญแจมือฉันไว้ก็ได้”
   นายตำรวจสี่นายมองหน้ากันอย่างลังเล หงคงฉ่วยจึงพูดขึ้นต่อ “ฉันจะบอกเรื่องคดีกับสารวัตรลู่คนเดียว ถ้าพวกเธอไม่ยอมออกไปล่ะก็ ฉันจะกลับ”
   สี่คนมองหน้ากันอีกครั้ง สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็พูดออกมา “งั้นขอช่วยคุณอัดเสียงเอาไว้หน่อยแล้วกันครับ ว่ายินดีจะถูกใส่กุญแจมือเอง”
   จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มาให้คนที่ยืนอยู่ หงคงฉ่วยมองอยู่พักก็ยอมจะพูดกรอกเสียงลงไป นายตำรวจคนหนึ่งจึงบอกให้เขาเอามือไพล่หลัง ลู่อี้เผิงได้ยินเสียงคล้องกุญแจมือดังกริ๊ก แล้วนายตำรวจทั้งสี่ก็เดินออกไปจากห้อง

   ลู่อี้เผิงเงยขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง หงคงฉ่วยยืนอยู่ตรงนั้น ในสภาพเอามือไพล่หลัง มีรอยยิ้มบางๆ อยู่ตรงริมฝีปาก
มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง หงคงฉ่วยก็หันไปใช้เท้าลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงตรงหน้าเขา เหมือนนักโทษรอให้การสารภาพไม่มีผิด
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก สี่ปี... สี่ปีที่เขาเคยหวังจะได้จับผู้ชายคนนี้ใส่กุญแจมือมาโดยตลอด ลู่อี้เผิงเชื่อว่าต่อให้ขนนายตำรวจมาอีกครึ่งโรงพัก ก็คงยังจับหมอนี่ใส่กุญแจมือไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้... หงคงฉ่วยยอมใส่กุญแจมือเอง......
   “คงฉ่วย” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยปากขึ้น มองใบหน้าหมดจดงดงามราวภาพฝันนั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ “มีพยานยืนยันว่ามีคนเข็นรถยนต์คันหนึ่งมาใกล้รถสายตรวจที่ผมขับ เขาอ้างว่าแบ็ตเตอรี่หมด และต้องการพ่วงแบตเตอรีจากรถผม บอกว่าขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็เปิดกระโปรงรถ คนคนนั้นเป็นผู้ชายอายุสักห้าสิบหกสิบ สวมเสื้อโค้ทตัวยาว ท่าทางเหมือนคนแก่ปกติ” หยุดและหันไปมองคนที่นั่งอยู่ “แต่กระโปรงรถต้องเปิดจากด้านในรถ.. เขาใช้มือเปล่างัดกระโปรงรถออกมาเหมือนเปิดธรรมดา... คงฉ่วย คุณกับผู้ชายคนนี้เกี่ยวข้องกันใช่มั้ย?”
   หงคงฉ่วยนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ฉันใช้มือเปล่างัดกระโปรงรถยนต์ไม่ไหวหรอก”
   ลู่อี้เผิงจ้องคนตรงหน้าอยู่อีกพัก หงคงฉ่วยมองตอบ จากนั้นก็ค่อยถามบ้าง “มีคนเห็นเขาตอนกี่โมง”
   “ประมาณสิบเอ็ดโมง ผมจอดรถแวะร้านน้ำชาช่วงนั้นพอดี” ลู่อี้เผิงตอบ อีกฝ่ายมีสีหน้าครุ่นคิดทันที “สิบเอ็ดโมง... รถสารวัตรจอดอยู่ตรงใกล้ๆ เขตC...” หงคงฉ่วยพูดเหมือนรำพึง ลู่อี้เผิงมองหน้าเขาอีก แล้วถามขึ้นบ้าง “คงฉ่วย คุณรู้อะไรจริงๆ สินะ”
   หงคงฉ่วยไม่ตอบคำถาม เขาใช้ขาขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้นายตำรวจหนุ่ม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เผิงเผิง ถ้าเธอไม่อยากไปอยู่ที่คฤหาสน์ของฉัน ฉันแนะนำให้เธอบินไปต่างประเทศสักพักหนึ่ง ลาพักร้อนไปก็ได้”
   “?!” ลู่อี้เผิงเบิ่งตากว้าง ก่อนจะโพล่งออกมาทันที “คงฉ่วย บอกผมมานะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ผู้ชายแก่ๆ คนนั้น คุณ แล้วก็ผม... ระเบิดนั่นจงใจวางตรงฝั่งคนขับ ปกติผมขับรถคันนั้น แต่ผู้กองต้วนต้องมารับเคราะห์แทน” นายตำรวจหนุ่มขบปากด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะเลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ “บอกผมมา คงฉ่วย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
   หงคงฉ่วยเม้มริมฝีปาก มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันจัดการเรื่องนี้เองได้ เธอก็แค่... หลบไปที่อื่นสักพัก ระหว่างที่ฉันจัดการให้มันจบก็พอ”
   “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” นายตำรวจหนุ่มกระชากเสียง “คงฉ่วย ถ้าคุณไม่ยอมบอกล่ะก็ กลับคฤหาสน์ไปเถอะ แล้วไม่ต้องเรียกผมไปหาอีก”
   “เผิงเผิง..” หงคงฉ่วยเรียกชื่อเขา ด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนัก “ไม่ดื้อกับฉันสักเรื่องหนึ่งไม่ได้หรือ?”
   ลู่อี้เผิงเม้มปากแน่น จากนั้นก็เคลื่อนรถเข็นเข้าไปใกล้อีก “คงฉ่วย ผมหลบไปโดยทิ้งเรื่องเอาไว้แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เพื่อนผมต้องรับเคราะห์ ผมเองก็ถูกปองร้ายโดยไม่รู้สาเหตุ คุณก็รู้ ถึงคุณไม่ยอมบอกผมตอนนี้ ต่อให้คุณบังคับขู่เข็ญผมยังไง ผมก็ยังต้องหาทางรู้ให้ได้อยู่ดี”
   หงคงฉ่วยนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ความจริงนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน”
   “อืม.. ผมรู้ ผมเองก็มีเรื่องส่วนตัวกับคุณเหมือนกัน”
   “.......”
   “คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงพูดขึ้นต่อ “เล่ามาเถอะ คุณมาที่นี่เพื่อจะเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังไม่ใช่หรือ... ถ้าคนคนนั้นเป็นศัตรูของคุณ ตอนนี้เขาทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงเลยนะ วางระเบิด พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ก่อความวุ่นวาย ร่วมมือกับผมเถอะนะ เราจะได้ส่งเขาเข้าคุก”
   หงคงฉ่วยมองหน้าเขาพักหนึ่ง ก็ยิ้มออกมา “พักหลังๆ นี่เผิงเผิงพูดเก่งขึ้นนะเนี่ย เสี่ยวชิกสอนให้หรือไง?”
   ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่คนตรงหน้า ก่อนจะพยายามสงบจิตสงบใจเต็มที่ “บอกผมได้มั้ย... ว่าเรื่องมันยังไงกันแน่..”
   หงคงฉ่วยเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “เธอไปลองหารายละเอียดเกี่ยวกับคดีฆ่าล้างตระกูลหรงเมื่อสามสิบหกปีก่อนดูก็แล้วกัน ฉันว่ากรมตำรวจน่าจะยังเก็บแฟ้มคดีเอาไว้หรอก”
   “?!”
   “ความจริงฉันก็รู้หรอกว่าสารวัตรคงไม่ยอมไปกับฉันง่ายๆ แน่” หงคงฉ่วยพูดต่อ แล้วถอนหายใจพลางยิ้มบางๆ บนใบหน้า “แต่ฉันคิดว่าสารวัตรคงจะยอมถ้าฉันยอมมาเอง ท่าทางฉันคงหวังมากไปหน่อย”
   “คงฉ่วย...” ลู่อี้เผิงเรียกชื่อฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หงคงฉ่วยก็ชิงพูดขึ้นอีก
   “ถามท่านรองของเธอเรื่องคดีนั่น บอกเขาว่าเห่ยอิงกลับมาแล้ว เขาอยู่ในสมัยนั้นด้วย คงพอจะเล่าให้เธอฟังคร่าวๆ ได้หรอก”
   ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้า “ทำไมคุณถึงไม่เล่าเอง...”
   “เธอเคยอยากรู้ประวัติของฉันไม่ใช่หรือไง?” หงคงฉ่วยพูดยิ้มๆ “สืบเองเถอะสารวัตร หลังจากนั้นแล้ว ถ้ายังอยากจะได้ความช่วยเหลืออะไรจากฉันอีก เราค่อยเจอกันอีกครั้งก็แล้วกัน.. ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ ฉันเป็นห่วง”
   พูดจบก็ผุดลุกขึ้น ลู่อี้เผิงเอื้อมมือข้างขวาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนักฉวยชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้
   “คงฉ่วย”
   คนถูกเรียกเบือนหน้ากลับมา “อยากรู้อะไรอีกหรือ”
   ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นช้าๆ จนเสมอกับอีกฝ่าย
   “คุณ.. ระวังตัวเองด้วยนะ อย่าไปทำอะไรบ้าๆ ล่ะ”
   หงคงฉ่วยเบิ่งตามองเขา แล้วหัวเราะเบาๆ “ห่วงอะไรฉันเล่า สารวัตรห่วงตัวเองเถอะ ลุกขึ้นแบบนี้ เดี๋ยวแผลก็ฉีกอีกหรอก”
ลู่อี้เผิงไม่ตอบอะไร มือด้านขวาที่ยังว่างอยู่ เลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าของหงคงฉ่วยเอาไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะแนบริมฝีปากลงไป
ริมฝีปากอุ่นจัดและปลายลิ้นที่เคล้าลงมาอย่างอ่อนโยน ทำเอาหงคงฉ่วยสะท้านกายเฮือก ลู่อี้เผิงบดจูบอยู่กสักพักก็ถอนริมฝีปากออก
“คงฉ่วย ผมยังอยากกินปลาหิมะที่บ้านคุณอยู่นะ”
หงคงฉ่วยเม้มริมฝีปาก แล้วยิ้มออกมา “เผิงเผิงนี่ร้ายขึ้นทุกวันแล้วนะ แต่ถ้าอยากไปกินฟรีอย่างเดียว ไม่ยอมอยู่ล่ะก็ ไม่ต้องแวะไปหรอก”
“คงฉ่วย....”
“ฉันจะกลับแล้ว” หงคงฉ่วยพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อย สักพัก นายตำรวจที่อยู่ด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามา ปลดกุญแจมือให้ ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้า ก่อนจะพูดเบาๆ “ระวังตัวด้วยนะ”
หงคงฉ่วยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินออกไป
-----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ลู่อี้เผิงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง และพยายามปลอบตัวเองว่าแผลคงไม่ฉีก นายตำรวจทั้งหมดเดินตามหงคงฉ่วยออกไป ตอนนี้จึงเหลือเขาอยู่ในห้องเพียงลำพัง กับต้วนเฟิงซึ่งยังไม่ได้สติ
   หงคงฉ่วย....
   ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปาก ปกติหงคงฉ่วยไม่เคยยอมที่จะปรากฏตัวต่อหน้าใครคนอื่นมาก่อน ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงได้.........
   “สารวัตร?”
   เสียงพูดอู้อี้ที่ดังขึ้นทำให้ลู่อี้เผิงหันหน้ากลับไปทันที เขาเห็นดวงตาสีดำของต้วนเฟิงที่ล้อมด้วยผ้าพันแผลกำลังมองมาทางเขา
   “ผู้กองต้วน!” ลู้อี้เผิงโพล่ง แล้วใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ หมุนล้อรถเข็นเข้าไปที่เตียงของต้วนเฟิงทันที ผู้กองหนุ่มมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “สภาพสารวัตรดูไม่จืดเลยนะเนี่ย”
   ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา แล้วหัวเราะออกมา “คุณตื่นนานแล้วหรือ?”
   “ก็นานพอดูล่ะครับ” ต้วนเฟิงว่า “สารวัตรเล่นคุยกับญาติผู้ใหญ่เสียงดังขนาดนั้น ผมก็ตื่นสิ”
   ลู่อี้เผิงนึกละอายใจขึ้นมา “ขอโทษที่พูดเสียงดังนะ”
   ต้วนเฟิงมองเขา แล้วพูดต่อ “เอาเครื่องช่วยหายใจออกได้ไหมครับเนี่ย ผมพูดไม่สะดวกเลย หิวน้ำด้วย”
   ลู่อี้เผิงมองหน้าเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะขยับรถเข็นไปกดปุ่มเรียกพยาบาล

   แพทย์เข้ามาตรวจอาการของต้วนเฟิงแล้วก็ยอมถอดเครื่องช่วยหายใจให้ หลังจากดื่มน้ำแล้ว นายตำรวจทั้งสองก็ถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง
   “ผมว่าคุ้นๆ หน้าญาติผู้ใหญ่ของสารวัตรอยู่นะ คนเดียวกับที่นั่งรถด้วยกันวันนั้นใช่ไหมครับ” ต้วนเฟิงพูดทั้งๆ ที่ยังมีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มหน้า ลู่อี้เผิงพยักหน้ายอมรับออกไป
   “เขาคือหงคงฉ่วยสินะครับ”
   “..........”
   “ผมรู้น่า” ต้วนเฟิงพูดต่อ “สารวัตรไม่อยากออกชื่อเขา เลยอ้างว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ใช่ไหมล่ะ... สารวัตรน่ะเป็นคนเดียวที่เข้าๆ ออกๆ คฤหาสน์ของเขาได้ อย่าว่าแต่ผมเลยครับ ใครๆ เขาก็สงสัยกันทั้งนั้นแหละว่าความสัมพันธ์ของสารวัตรกับเขาคงไม่ธรรมดา.. เอ่อ...” นายตำรวจหนุ่มหยุดไปพักหนึ่ง “ผมไม่ได้จะละลาบละล้วงอะไรนะครับ ก็แค่สงสัย.. สารวัตรกับเขา เอ่อ... เป็นคนรักกันหรือครับ?”
   ลู่อี้เผิงมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
   “แต่...เอ่อ.. ผมว่าผมเห็นคุณจูบกับเขานะ ตะกี้น่ะ...”
   หน้าของลู่อี้เผิงยิ่งปั้นลำบากเข้าไปอีก พลางนึกสงสัยว่าต้วนเฟิงตื่นตั้งแต่ตอนไหนกันแน่ ทำไมไม่ส่งเสียงอะไรให้พวกเขารู้ตัวบ้างนะ
   “เอ่อ... จะว่าผมช็อกก็ช็อกหรอกนะ ไม่รู้ว่าสารวัตรจะชอบผู้ชายด้วยกัน...”
   “ผมเปล่า” ลู่อี้เผิงแย้งทันที ต้วนเฟิงมองหน้าเขา แล้วกะพริบตาอีก “แต่.. เขาเป็นผู้ชายนี่ พักหลังๆ สารวัตรก็ดูท่าทางจะไม่สนผู้หญิงเลย... สารวัตรอาจจะเพิ่งค้นพบตัวเองก็ได้นะ”
   ลู่อี้เผิงอยากจะบีบคอต้วนเฟิงเสียจริงๆ เขามองเพื่อนร่วมงาน แล้วถอนหายใจเฮือก “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”
   “สารวัตรเขินสินะครับ” ต้วนเฟิงพูดออกมา จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่... เรื่องที่เขาพูดตะกี้น่ะ สารวัตรคงจะไม่ช่างมันนะครับ”
   “?”
   “คดีฆ่าล้างตระกูลหรงน่ะ”
   “?!”
   “สารวัตร” ต้วนเฟิงหันมามองหน้าเขา “มันวางระเบิดรถเรานะ จะเป็นใครก็ช่าง เราต้องจับมันให้ได้ โชคดีนะที่ผมกับสารวัตรไม่เป็นอะไรมาก ตอนที่ตื่นมาได้ยินเสียงสารวัตร ผมดีใจสุดๆ เลย ผมคิดว่าสารวัตรจะ...”
   “ผู้กองต้วน” ลู่อี้เผิงพูดแทรกขึ้น ก่อนจะขบริมฝีปากล่าง “อาการคุณสาหัสกว่าผมอีกนะ”
   “อืม... ผมแสบหน้าสุดๆ เลยล่ะ ยิ่งพูดเยอะๆ ยิ่งเจ็บนะเนี่ย แผลไฟไหม้ใช่ไหมล่ะครับ”
   “อืม...”
   “ผมจะเสียโฉมมั้ย?”
   ลู่อี้เผิงมองดูเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะพูดตอบ “ไม่หรอกนะ เดี๋ยวนี้เทคนิคการแพทย์ทันสมัยจะตาย แผลไฟไหม้ใหญ่ๆ ยังรักษาหายเลย ของคุณน่ะนิดหน่อยเอง” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลู่อี้เผิงเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแผลไฟไหม้ของต้วนเฟิงนิดหน่อยหรือหัสขนาดไหนกันแน่ ฝ่ายนั้นหัวเราะออกมา
   “นั่นสิ เทคนิคศัลยกรรมตกแต่งเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะจะตาย ผมเคยดูรายการฝรั่งนะ บางคนศัยลกรรมแล้วออกมาดูดีเวอร์เลยล่ะ แหม.. ครั้งนี้อาจจะเป็นโชคดีของผมก็ได้ จู่ๆ ก็มาได้ทำศัลยกรรมฟรี ในหน้าที่แบบนี้กรมต้องจ่ายให้ผมใช่ไหมล่ะ ไม่แน่นะ อีกหน่อยผมอาจจะหล่อกว่าสารวัตรก็ได้”
   ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา “คุณหล่อกว่าผมอยู่แล้วล่ะ”
   “สารวัตรอย่ามาขี้โม้ใส่ผมน่า สารวัตรไม่อาย แต่ผมอายนะเนี่ย” ต้วนเฟิงว่า ก่อนจะซีดปากด้วยความเจ็บ
   “สารวัตร.. ผมเจ็บหน้ากับเจ็บตรงแผลที่ตัวสุดๆ เลยนะตอนนี้น่ะ... แต่ด้านล่างผมไม่รู้สึกเลยล่ะ”
   “!!!”
   “สารวัตร...” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเสียงแห้ง “จับไอ้คนวางระเบิดรถเราให้ได้นะ จับให้ได้นะครับ”
   ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มือที่กำอยู่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดโปนขึ้นมา เขามองดวงตาสีดำของต้วนเฟิงที่มีน้ำตาเอ่อขึ้นมา ก่อนจะตอบเสียงพร่า “ผมจะจับมันให้ได้ ผู้กอง ผมสัญญา”
-----------------------------------------------------
   เฉินฉินแวะมาเยี่ยมลู่อี้เผิงที่ห้องในช่วงเย็น พร้อมกับกระเช้าผลไม้
   “ผมแวะไปเยี่ยมผู้กองต้วนมาแล้ว เขายังพูดคล่องปร๋อเหมือนเดิมเลยนะ” เฉินฉินพูด ขณะให้ลูกน้องวางกระเช้าผลไม้ลง ลู่อี้เผิงหัวเราออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม
   “ท่านรอง รู้เรื่องขาของผู้กองต้วนหรือยังครับ?”
   เฉินฉินนิ่งไปพักหนึ่ง ก็พูดตอบออกมา “อืม... หมอบอกว่าสะเก็ดระเบิดบางส่วนฝังตรงเส้นประสาทช่วงล่างพอดี ถ้าร่างกายเขาฟื้นตัว และไม่มีอาการติดเชื้ออะไรเพิ่ม อาจจะผ่าตัดออกได้”
   “อืม... เขาจะกลับมาเดินได้ใช่มั้ย...”
   “ก็ยังไม่แน่นักหรอก แต่ผมก็หวังให้เขากลับมาเดินได้เหมือนกัน” เฉินฉินตอบ ก่อนจะมองลู่อี้เผิง
   “สารวัตร.... ได้ยินว่าหงคงฉ่วยมาเยี่ยมคุณหรือ?”
   “ครับ”
   “เขาบอกอะไรคุณบ้างมั้ย?”
   ลู่อี้เผิงหันหน้าไปมองเฉินฉินทันที “ท่านรองเคยได้ยินชื่อเห่ยอิง(อินทรีย์ดำ)รึเปล่าครับ?”
   เฉินฉินมองหน้าเขา ก่อนจะนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ใช่เห่ยอิงของตระกูลหรงรึเปล่า?”
   “ตระกูลหรง?” ลู่อี้เผิงทวนคำ เฉินฉินถามต่อ “ใครพูดชื่อนี้ให้คุณฟังน่ะ หงคงฉ่วยหรือ?”
   ลู่อี้เผิงพยักหน้า ดวงตาของเฉินฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที คนมองอดไม่ได้ต้องถามอีก “ทำไมครับท่านรอง นึกอะไรได้หรือครับ?”
   “ผมสงสัยหงคงฉ่วยมาตั้งแต่เมื่อสาบสิบกว่าปีที่แล้วแล้วล่ะ” เฉินฉินพูด ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา “คุณเกิดไม่ทันแน่ๆ ผมจะเล่าให้คุณฟังคร่าวๆ แล้วกัน”
   นายตำรวจอาวุโสพูด จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ “สามสิบกว่าปีก่อน ตระกูลหรงเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งเหมือนกัน เห่ยอิงเป็นฉายาของลูกชายคนโตที่ชื่อว่าหรงสือจื่อ ซึ่งสมัยนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของวงการเลยล่ะ เขาเก่งทั้งงานบริหารและขยายกิจการ แล้วก็เป็นยอดเรื่องกังฟูด้วย แต่ได้ยินว่าเขามีสภาพจิตไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ประเภทเก่งจนบ้าล่ะมั้ง ว่ากันว่าหรงสือจื่อข่มขืนน้องชายของตัวเอง แล้วขังเอาไว้ในห้องอยู่หลายปีเลยล่ะ”
   ลู่อี้เผิงสะดุ้งเฮือก “นั่นมันเข้าขายทารุณทางเพศแถมผิดศีลธรรมแล้วนะครับ”
   “อืม.. แต่เพราะเขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหรง เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง ที่สำคัญน้องชายคนนั้นก็ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของเขา แต่เป็นเด็กที่พ่อเขาเก็บมาเลี้ยงไว้น่ะ หรงสือจื่อขึ้นบริหารกิจการของตระกูลจนถึงอายุยี่สิบสอง ซึ่งเป็นยุคที่เขากำลังรุ่งเรืองสุดๆ เลยล่ะ แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยองขวัญขึ้นน่ะ”
   “?!!”
   “สมัยนั้นคดีนี้ดังไปทั้งเกาะ” เฉินฉินพูด แล้วเทน้ำใส่แก้วก่อนจะยกขึ้นดื่ม “วันนั้นคนในบ้านของตระกูลหรงชวนกันไปล่องเรือสำราญกัน ไปกันทั้งบ้านเลยนะ คนรับใช้ก็ไปหมด เรือสำราญนั่นหรงสือจื่อเป็นเหมา เห็นว่าเป็นงานฉลองวันเกิดของเขาน่ะ ที่เป็นข่าวเพราะเจ้าของเรือทีให้เช่า เห็นว่าเรือขาดการติดต่อไปหลายวันแล้ว เลยแจ้งตำรวจ พอเราส่งตำรวจน้ำไปตรวจสอบ ก็พบเรือลอยเคว้งอยู่กลางอ่าว ฟังจากปากคำเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตอนนั้น พอปีนขึ้นไปบนเรือก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าจนแทบอ้วกเลยล่ะ เห็นว่าตั้งแต่หัวเรือยันท้ายเรือ มีแต่ศพเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ ถ้าไม่คอหักก็อวัยวะภายบอบช้ำอย่างหนักจนตกเลือดตาย มีบางคนถูกยิงตายก็มี นับแล้วมีสักสามสิบเอ็ดศพเห็นจะได้ ไม่มีใครรอดเลย จะว่าไปแล้ว ถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์กรมตำรวจเราเลยก็ว่าได้
   “ไม่มีใครรอดเลยหรือครับ?” ลู่อี้เผิงทวนคำ เฉินฉินสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก คนในบ้านตระกูลหรงที่ขึ้นเรือไปวันนั้นมีสักเกือบสี่สิบคนเห็นจะได้ ไม่มีตัวเลขแน่ชัดหรอกนะ เพราะหรงสือจื่อไม่ได้แจ้งเอาไว้ ที่เราเจอน่ะมีสามสิบเอ็ดศพ บนเรือไม่มีคนที่มีชีวิตอยู่พอจะเล่าอะไรได้เลยน่ะ แต่มีคนหายไปอยู่นะ คนสูญหายไปเท่าที่ตรวจสอบได้ตอนนั้นก็มีตัวหรงสือจื่อเอง คนสนิทของเขาอีกคน รู้สึกจะชื่อลีหรืออะไรสักอย่าง แล้วก็น้องชายที่เป็นข่าวว่าถูกเขาข่มขืนอยู่หลายปีคนนั้นแหละ”
   หยุดไปพักหนึ่ง เฉินฉินจึงเล่าต่อ “เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ตอนแรกเราหวังว่าจะมีใครกระโดดหนีลงทะเลแล้วอาจจะลอยคอรอความช่วยเหลืออยู่ก็ได้ แต่สุดท้าย เราก็เจอเพิ่มอีกสองศพ ซึ่งก็ไม่ใช่สามคนที่หายไป สุดท้ายทางชุดสอบสวนเลยลงความเห็นว่าหรงสือจื่ออาจจะเกิดวิปลาสขึ้นมาแล้วเลยลงมือฆ่าทั้งญาติตัวเอง ทั้งลูกน้อง คนรับใช้ น้องชายทิ้งจนหมด จากนั้นอาจจะเอาศพน้องชายกับคนสนิทโยนลงทะเลแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ที่เดาแบบนี้เพราะหรงสือจื่อมีนิสัยค่อนข้างจะหวงของอยู่น่ะ ยิ่งถ้าเป็นของรักของหวง ได้ยินว่าจะเก็บไว้ไม่ห่างตัวเลย เลยคิดว่าเขาคงไม่ยอมให้ศพของน้องชายกับคนสนิทเน่าถูกใครพบ เลยหอบกันลงน้ำไปหมดล่ะมั้ง แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่มีใครเจอศพสามคนนั่น บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้”
   เฉินฉินพักหายใจ ขณะที่ลู่อี้เผิงอ้าปากค้าง ไม่รู้มาก่อนเลยว่าก่อนเขาเกิด จะมีคดีสะเทือนขวัญขนาดนั้นด้วย
   “แต่หลังจากนั้นสักปีสองปี ชื่อของหงคงฉ่วยก็ปรากฏขึ้นมาในวงการ ฉันรวมถึงพวกที่ทำคดีตอนนั้นรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาเลยล่ะ เพราะได้ยินว่าช่วงสี่ห้าปีให้หลัง ก่อนจะเกิดเรื่องฆ่ากันบนเรือน่ะ หรงสือจื่อเริ่มเรียกน้องชายตัวเองว่าหงคงฉ่วย(นกยูงแดง) เลยคิดว่านกยูงแดงอาจจะเป็นตัวหรงสือจื่อเองก็ได้ บางทีเขาอาจจะรอดชีวิต แล้วเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา เลยใช้ชื่อแทนน้องชายของตัวเองก็ได้ อีกอย่าง หงคงฉ่วยก็ทำตัวลึกลับ ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตามาตลอดสามสิบกว่าปี เราเลยคิดกันว่าเขาน่าจะเป็นหรงสือจื่อ”
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที เขาก็นึกอยู่หรอกว่าหงคงฉ่วยโรคจิต แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดเคยลงมือฆ่าโหดคนเป็นยี่สิบสามสิบคนแบบนี้ นายตำรวจหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป
   “ท่านรอง... มีรูปของหรงสือจื่อเก็บเอาไว้ในแฟ้มคดีด้วยรึเปล่าครับ”
   เฉินฉินนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “รู้สึกว่าจะมีล่ะ เขาเป็นคนดังยุคนั้น แต่..สารวัตร หรงสือจื่อน่ะ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ตอนนี้เขาคงอายุสักห้าสิบเจ็ดห้าสิบแปดได้แล้วล่ะ เขาอาจจะทำศัลยกรรมเปลี่ยนโฉมไปแล้วก็ได้ เห็นว่าหงคงฉ่วยที่มาหาสารวัตร หน้าเด็กอย่างกับคนอายุยี่สิบสามสิบเลยนี่”
    ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปาก “ท่านรองครับ ถ้าหงคงฉ่วยคือหรงสือจื่อจริง ทำไมเขาต้องบอกผมให้ไปคุ้ยเรื่องเลวร้ายของตัวเองด้วยล่ะครับ?”
   เฉินฉินมองหน้าเขา แล้วมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ไม่รู้สิ เขาบ้าๆ บอๆ ใช้สามัญสำนึกคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้หรอกมั้ง บางทีเขาอาจจะอยากทำให้เราเขวก็ได้”
   ลู่อี้เผิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมา “ท่านรองครับ แฟ้มคดีตระกูลหรง เก็บไว้ที่ไหนหรือครับ?”
   “ห้องเอกสารเก่าของกรมล่ะมั้ง จริงๆ คดีมันหมดอายุความแล้วล่ะ แต่มันเป็นคดีที่ยังปิดไม่ได้ ก็เลยน่าจะยังเก็บอยู่น่ะ ไว้สารวัตรหายดี ถ้ายังติดใจอยู่ ค่อยไปค้นดูก็ได้”
   “ท่านรองเอาออกมาได้ไหมครับ.. ผมอยากดูตอนนี้เลย”
   เฉินฉินมองหน้าเขา ลู่อี้เผิงพูดต่อ “ไม่งั้นก็บอกหมอให้เซ็นรับรองให้ผมออกจากโรงพยาบาล ผมจะได้ไปดูเอง”
--------------------------------------------------------
   วันรุ่งขึ้น ลังใส่แฟ้มเอกสารสองลังก็ถูกยกมาที่ห้องพักฟื้นของลู่อี้เผิง เฉินฉินลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขา แล้วพูด “สารวัตรลู่ นี่เป็นแฟ้มคดีตระกูลหรงทั้งหมด ผมทำเรื่องยืมออกมาได้แค่สามวัน”
   ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองลังเอกสาร ก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณมากนะครับท่านรอง”
   “อืม.. ไม่เป็นไรหรอก” เฉินฉินว่า ก่อนจะหันไปแนะนำผู้ชายอายุราวๆ หกสิบกว่าๆ คนหนึ่ง ซึ่งยืนหลังตรงเป็นสง่าเหมือนคนที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี “นี่คืออดีตสารวัตรจั้ว เขาเคยเป็นคนรับผิดชอบคดีนี้ในสมัยนั้น ความจริงเพิ่งปลดเกษียณไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ผมเห็นว่าคดีมันนานแล้ว คุณอาจจะอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติมจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เลยไปเชิญตัวเขามาน่ะ”
   “ขอบคุณมากนะครับ” ลู่อี้เผิงพูด ก่อนจะหันไปก้มศีรษะให้นายตำรวจชรา “รบกวนด้วยนะครับ ท่านสารวัตร”
   อดีตสารวัตรจั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกสารวัตร ผมเองก็อยากรู้สาเหตุของคดีนี้เหมือนกัน พอได้ยินว่าหงคงฉ่วยพูดถึงมัน ผมก็รีบมาเลยล่ะ สารวัตร ไม่แน่นะ คราวนี้เราอาจจะไขออกทั้งสองคดีเลยก็ได้”
   ลู่อี้เผิงหัวเราะขืนๆ เฉินฉินเลยพูดขึ้นต่อ “งั้น.. ผมขอตัวก่อนนะ ถ้าเกิดเจออะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด แจ้งผมทันทีเลยนะสารวัตร”
   “ครับ”
   พูดจบเฉินฉินก็เดินออกไป ทิ้งลู่อี้เผิงให้อยู่กับนายตำรวจชรา และลังใส่แฟ้มคดีเก่าๆ นั้น

   แฟ้มคดีเก่าแก่พอๆ กับอายุคนที่รับผิดชอบมัน จั้วซือเหลียนช่วยเขารื้อแฟ้มทั้งหมดออกมา กระดาษทั้งที่เป็นปกและเนื้อในเก่าจนสีเปลี่ยน กลิ่นเหม็นอับอันเกิดจากกาลเวลาคลุ้งไปทั่วห้อง ในที่สุดลู่อี้เผิงก็พบแฟ้มที่เป็นรายชื่อของผู้เคราะห์ร้าย และผู้สูญหาย ที่แบ่งออกเป็นสองบึกใหญ่ เรียงตามลำดับตัวอักษร โชคดีที่จั้วซือเหลียนจำได้วา ชื่อผู้สูญหาย ถูกแยกเอาไว้ตรงท้ายแฟ้มเล่มสองซึ่งมีกระดาษคั่นอยู่นั่นเอง ลำพังถ้าลู่อี้เผิงหาเอง คงต้องไล่อ่านทั้งสองแฟ้มแน่ เพราะหมายเหตุตรงกระดาษที่คั่นเอาไว้หลายช่วงก็เลือนรางจนอ่านแทบไม่ออก
   พอเปิดหน้านั้นออกมาเขาก็เห็นรูปถ่ายขาวดำของผู้ชายอายุสักยี่สิบสองยี่สิบสามคนหนึ่ง ท่าทางภูมิฐาน และทรงอำนาจ ดวงตาสีดำจ้องตรงมาเหมือนมองเขาอยู่ ด้านล่างมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า หรงสือจื่อ หรือ เห่ยอิง(อินทรีย์ดำ)
   จากนั้นก็มีรายละเอียดประวัติยาวเหยียด ตั้งแต่ชื่อพ่อแม่ ประวัติการเกิดอุบัติเหตุ ตำหนิบนร่างกาย และมีรูปภาพของเขาอีกหลายภาพ ลู่อี้เผิงเปิดอ่านไปพลางขมวดคิ้วไป นึกเปรียบเทียบใบหน้ากับรอยตำหนิที่ระบุเอาไว้ เหมือนจะไม่ตรงกับของหงคงฉ่วยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไฝ หรือปาน แต่ไม่แน่นักหรอก เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทางนั้นอาจจะไปลบออก หรือทำศัลยกรรมแล้วก็ได้
   พอคิดว่าหงคงฉ่วยอาจจะเป็นฆาตกรโหดเมื่อสาบสิบกว่าปีก่อน ลู่อี้เผิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา จริงอยู่ เขาเคยหวังจะลากคอหงคงฉ่วยเข้าคุก... แต่แบบนี้.....
   นายตำรวจหนุ่มขบริมฝีปาก จากนั้นเขาก็เห็นรูปใครอีกคนหนึ่ง เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบปี หวีผมปัด ท่าทางเรียบร้อยเหมือนนักศึกษา ด้านล่างมีตัวอักษรเขียนเอาไว้สองตัว
   หลี่คง
   ลู่อี้เผิงสะท้ายตัวเฮือกใหญ่
   หลี่คง?!
   พ่อบ้านของหงคงฉ่วยก็รู้สึกว่าจะชื่อหลี่คงเหมือนกันนี่นา!!
   นายตำรวจหนุ่มขนลุกเกรียว พ่อบ้านหลี่น่าจะอายุสักหกสิบเจ็ดสิบ ดูจากวันเดือนปีเกิดที่ลงเอาไว้ด้านล่าง บวกดูแล้ว น่าจะอายุเท่ากันพอดี ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองอดีตสารวัตรชรา
   “ท่านสารวัตรครับ ผู้ชายคนนี้....”
   จั้วซือเหลียนขยับตัวมาใกล้นายตำรวจหนุ่ม ก่อนจะชะโงกหน้าลงไป “อ้อ ครับ เขาชื่อหลี่คง เป็นคนสนิทของหรงสือจื่อ เห็นว่าเขาอยู่ในบ้านตระกูลหรงมาตั้งแต่เล็กๆ สนิทกับหรงสือจื่อแล้วก็น้องชายอีกคนมากเลย.... ตอนนั้นเราเจอรูปถ่ายของน้องชายหรงสือจื่อในห้องเขาด้วยล่ะ มีพยานเล่าว่า เขาเคยถูกหรงสือจื่อซ้อมปางตายเพราะจับได้ว่าแอบถ่ายรูปน้องชายคนนั้น เห็นว่าหรงสือจื่อคลั่งน้องชายตัวเองมาก ถึงขนาดสั่งทำลายรูปถ่ายน้องชายจนหมด นัยว่าไม่อยากให้ใครเห็นนอกจากตัวเองล่ะมั้ง ตอนที่ไปหาหลักฐาน เราเลยแทบจะไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าน้องชายเขาคนนั้นหน้าตาแบบไหน ลักษณะยังไงกันแน่ จนเจอรูปถ่ายซุกอยู่ใต้ที่นอนของหลี่คงนั่นแหละ หลังรูปเขียนเอาไว้ว่า คุณชายน้อย เราเลยเดาว่าน่าจะเป็นรูปของคุณชายน้อยตระกูลหรง มันสอดอยู่หลังจากนี้อีกสองสามหน้าล่ะมั้งครับ”
   ลู่อี้เผิงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดแผ่นกระดาษเก่าๆ พวกนั้นด้วยความระมัดระวัง รูปถ่ายขาวดำเก่าๆ รูปหนึ่งถูกเก็บใส่ซองแนบติดเอาไว้บนหัวกระดาษ แวบแรกที่ลู่อี้เผิงเห็น นายตำรวจหนุ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว
   รูปถ่ายขาวดำเป็นรูปครึ่งตัวของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุสักสิบห้าสิบหก ในชุดเสื้อเชิ้ตเรียบๆ หน้าตาน่ารักหมดจด ในรูป เด็กคนนั้นกำลังเงยหน้ามองอะไรบางอย่าง ลักษณะภาพเหมือนกับรูปแอบถ่าย แต่ว่าหัวใจของลู่อี้เผิงกลับเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมา
   เค้าหน้าแบบนี้ สันจมูกแบบนี้ ดวงตาแบบนี้....
   ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นจับรูปถ่าย และรู้สึกว่ามือตัวเองสั่นนิดๆ เขาพลิกดูด้านหลัง มีลายมือของใครคนหนึ่งเขียนเอาไว้สั้นๆ “คุณชายน้อย กับนกในสวน”
   ต่ำลงมาจากซองใส่รูปถ่าย มีตัวอักษรสามตัวเขียนกำกับไว้
   หรงไป๋จื่อ.....
   ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพึมพำออกมา
   “หงคงฉ่วย...”
------------------------------------------------------------------
** ตอนนี้ทำให้รู้ว่า เผิงเผิง ถึกจริงๆ ฮ่าๆๆ

ตอน23เขียนเสร็จแ้ล้วล่ะ น้ำตาซึมเลย (ทั้งๆ ที่มา่่ม่ามันเพิ่งต้มไปได้ครึ่งหม้อเท่านั้นเอง<<โดนโบก :beat:)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

natty _lovelove

  • บุคคลทั่วไป
เค้าไม่อยากกินมาม่าที่เริ่มอืดอย่างงี้อ่ะ

ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4
 :a5: อ๊ากกกกกกกกกก น่าสงสารคงฉ่วยจัง :sad4: :sad4: :sad4:

Ai_Rong_Kun

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมคงฉ่วยถึงมีอดีตที่หม่นหมองอย่างนี้  :o12:

แผลทางกายรักษาหายได้ แต่แผลในใจ.... ฮือๆๆๆๆ สงสารคงฉ่วย  :m15:

หากผ่านเรื่องเลวร้ายนี่ไปได้ สารวัตรลู่ต้องรักและอ่อนโยนกับคงฉ่วยมากๆ นะ


vi2212

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2: :serius2:
คงฉ่วย..น่าสงสารอะ :sad4: :sad4:

เผิงเผิงช่วยคงฉ่วยให้ได้น๊าา o18


ออฟไลน์ emmybblood

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ชังอิตาลู่นัก  ดันเหมาเอาเองว่าคงฉ่วยเป็นอินทรีย์ดำ  แหม... คิดไปได้  ไม่เชื่อใจกันเลย

มาม่าอืดๆ ชอบบบบ

ปล.สงสารผู้กองต้วน  จะมีพระเอกขี่ม้าขาวกะเขาไหม

ออฟไลน์ Goldfishmaron

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
 :m15: :m15: :m15:
อิ่มมาม่า (ขาดสารอาหารแน่ๆเรา)

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5

ออฟไลน์ wanderer

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
อดีตของคงฉ่วยช่างน่าเศร้า :m15:
ตอนแรกนึกว่าจะมาม่ากว่านี้ตรงที่เผิงเผิงคิดว่าคงฉ่วยคืออินทรีดำล่ะ :m16: แต่เห็นตอนท้ายแล้วค่อยโล่ง  :เฮ้อ:

ว่าแต่สงสารผู้กองต้วนง่ะ :monkeysad:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด