红孔雀นกยูงแดง 21
ไม่ว่าคนเราจะมีอายุยืนยาวถึงขนาดไหน คนทุกคนย่อมเคยผ่านวัยเด็กมาด้วยกันทั้งนั้น ว่ากันว่าความทรงจำในวัยเด็ก จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะนิสัยเฉพาะตัว ทั้งที่พึงประสงค์ และไม่พึงประสงค์ อันเป็นผลมาจากความฝังใจที่ที่เกิดขึ้น
------------------------------------
ดึกสงัด...
เด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง กำลังซุกตัวหลับสบายอยู่ในผ้าห่มแพรอ่อนนุ่ม บนเตียงนอนหลังเล็กๆ ในห้องที่เล็กที่สุดในบ้านหลังใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็หลับสบายอยู่ในห้องนี้ทุกคืน ใบหน้าเล็กๆ ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ เจ้าตัวคงกำลังตกอยู่ในห้วงฝันอันแสนสุข
ขณะที่กำลังฝันหวาน เด็กน้อยก็มีอันต้องสะดุ้งตื่น เมื่อใครบางคนมาสะกิดเขา พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นเด็กผู้ชายอายุสักสิบสองสิบสามนั่งอยู่ข้างเตียง
“น้องเล็ก ลงไปด้านล่างกับพี่หน่อยสิ”
“อือ.. ดึกแล้วนะ พี่ใหญ่จะไปไหนอีกล่ะ”
“พี่จะพาเธอขึ้นไปบนดวงจันทร์ อย่างที่เราคุยกันวันก่อนไงล่ะ”
เด็กน้อยทำตาโตด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ ไปสิ”
เด็กโตกว่าจูงมือเด็กผู้ชายตัวน้อยออกไปจากห้อง
ที่สนามหญ้า มีเด็กผู้ชายอีกสองสามคน อายุร่นๆ กันคนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ ยืนรออยู่ พอเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กเดินลงมาด้วยก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“วันนี้เราจะพาเธอขึ้นสวรรค์ เธอพร้อมรึเปล่า?”
เด็กน้อยพยักหน้า พลางหันไปมองพี่ชายที่จับมืออยู่ “พี่ใหญ่จะไปกับผมรึเปล่า”
“อือ พอเธอขึ้นไปแล้ว พี่จะตามไปทันทีเลย”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างดีใจ ก่อนจะถูกจูงไปที่หินเรียบๆ ก้อนหนึ่ง “น้องเล็กขึ้นไปนอนบนนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะทำพิธี เรียกเจ้าหญิงมารับน้องขึ้นไป”
เด็กผู้ชายตัวน้อยปีนขึ้นไปนอนบนหินอย่างว่าง่าย จากนั้นเด็กที่เหลือก็ยืนล้อมกันเป็นวงกลม แล้วเริ่มต้นท่องบทสวดอะไรบางอย่าง จากนั้นเด็กน้อยก็ต้องสะดุ้ง เมื่อใครสักคนเอาเชือกมารัดคอเขาเอาไว้
“ไหนว่าเอาดาบมาไงล่ะ?” เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ถามขึ้น เด็กอีกคนพูดตอบ “พ่อฉันไม่ให้เอาออกมา เราเอาเชือกรัดคอเขาแทนก็ได้”
เด็กน้อยดิ้นรนอยู่บนก้อนหินด้วยความตกใจ เชือกรัดคอเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ คนเป็นพี่ชายคุกเข่าลงนั่งข้างๆ จับมือเขาเอาไว้ “น้องเล็กอดทนไว้นะ อีกเดี๋ยวเราก็จะได้ขึ้นสวรรค์แล้ว”
เด็กน้อยเบิ่งตาค้าง นอกจากใบหน้าของพี่ชายแล้ว สิ่งที่เขามองเห็นอย่างพร่าเลือนท่ามกลางลมหายใจที่ติดขัดคือดวงจันทร์สีเงินยวงกลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า
ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะความโง่เง่าเขาอยู่
------------------------------------------
บางทีการกระทำอย่างไร้เดียงสาของพวกเด็กๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากคำว่าวิปลาส เพียงแต่เพราะว่ายังเป็นเด็ก คำว่าวิปลาสจึงถูกแทนที่ด้วยคำว่าไร้เดียงสาแทน
เด็กน้อยรอดตายมาได้อย่างฉิวเฉียดเพราะบังเอิญพ่อบ้านที่ลุกขึ้นมาต้มน้ำร้อนให้ภรรยาที่เป็นโรคไอเรื้อรังบังเอิญได้ยินเสียงจึงเข้ามาห้ามเอาไว้ พวกเด็กๆ ที่เหลือซึ่งส่วนใหญ่เป็นคุณหนูบ้านใกล้ๆ กัน ถูกพ่อแม่ของตัวเองลงโทษ ในฐานะที่เล่นอะไรแปลกๆ แน่นอนว่าไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เขาเรียกว่าพี่ใหญ่ด้วย
หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน พี่ใหญ่ก็ถูกส่งตัวไปเรียนโรงเรียนประจำที่ไต้หวัน อย่างที่คุณหนูบ้านอื่นๆ ต้องไปกัน เหลือคนเป็นน้องอยู่ที่บ้าน เด็กน้อยที่เริ่มโตวันโตคืนถูกสอนงานทั้งงานบ้านงานเรือน และงานบริหาร โดยที่ได้รับคำบอกเล่าว่า จะได้คอยช่วยเหลือพี่ใหญ่ในตอนโตๆ
แม้ว่าจะไม่ชอบดวงจันทร์อย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่เด็กน้อยก็ตั้งใจเรียนตามที่พวกผู้ใหญ่สั่งสอน ด้วยหวังว่าพอพี่ชายกลับมาแล้วจะได้ช่วยกันทำงาน
สองปีผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้นมาก แล้ววันหนึ่ง พี่ชายที่จากบ้านไปเรียนต่างแดนก็กลับมาเยี่ยมเขา
ปีนี้พี่ชายอายุได้สิบห้าปีแล้ว กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หน้าตาหล่อเหลาจนใครก็ชมว่าหล่อเหมือนคุณปู่ไม่มีผิด คนเป็นน้องเลยพลอยภูมิใจกับเขาไปด้วย
พี่ชายใหญ่มีกำหนดกลับมาที่บ้านหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าห้องเดิมที่เขาอยู่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเรียบร้อยเหมือนเมื่อสองปีก่อนทุกประการ แต่ตกดึกคืนนั้น เขากลับเดินมาหาน้องชายที่ห้องซึ่งเล็กที่สุดในบ้าน
“น้องเล็ก พี่เข้าไปหน่อยได้มั้ย?”
คนเป็นน้องชายเปิดประตูออกให้พี่ชายเดินเข้ามา พอเข้ามาในห้อง พี่ชายก็กวาดตามองรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “น้องเล็ก รู้ไหม ตอนเด็กๆ พี่นึกสงสัยอยู่เสมอเลยว่าทำไมห้องน้องถึงได้เล็กนัก แล้วทำไมเราสองคนถึงไม่ได้นอนร่วมกัน”
“ผมรู้... เพราะผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อ พ่อพี่เก็บผมมาเลี้ยง เราก็เลยต้องแยกห้องกันไง” คนเป็นน้องชายตอบ พี่ชายหันมามองหน้าเขา แล้วพูดต่อ “แล้วเธอรักพี่รึเปล่า?”
“รักสิ”
“รักมากขนาดไหนล่ะ”
“รักมากที่สุดเลย” คนเป็นน้องตอบ พี่ชายมองหน้าเขาอยู่พัก แล้วพูดขึ้นช้าๆ “อย่างนั้น ถ้าพี่จะรักเธอให้มากกว่านี้ รักยิ่งกว่าเมื่อก่อน เธอจะยอมพี่มั้ย?”
“อือ” คนเป็นน้องตอบออกไปอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะต้องร้องเหวอ เมื่อคนเป็นพี่ชายกดตัวเขาลงบนเตียง
“พี่จะทำอะไรน่ะ!!”
“พี่อยากจะรักกับเธอ” พูดจบก็ดึงเสื้อนอนของอีกฝ่ายออก จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าอกแบนๆ นั้น คนเป็นน้องสะดุ้งสุดตัว เขายกมือขึ้นผลักอีกฝ่ายออกด้วยความตกใจ
“ไหนบอกว่ารักพี่ไงล่ะ?” คนถูกผลักถามเสียงห้วน ก่อนจะกดตัวของเขาลงไปบนเตียงอีกรอบ “พี่ไปเรียนก็คิดถึงแต่เธอตลอด พี่คิดถึงผิวขาวๆ ของเธอ คิดถึงดวงตาของเธอเวลามองพี่ เธอทำให้พี่ไม่มีอารมณ์กับผู้หญิง เธอต้องรับผิดชอบรู้ไหม?”
คนเป็นน้องมองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ “พี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”
“ใช่!” คนเป็นพี่ชายตอบ “พี่บ้าเธอ”
คนเป็นน้องเบิ่งตามองพี่ชายด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายใช้เสื้อมัดมือโยงเอาไว้กับเสาเตียง จากนั้นกางเกงก็ถูกกระชากออก
“น้องเล็ก ต่อไปเธอจะต้องเป็นของพี่ เป็นของพี่คนเดียวเท่านั้น”
“ไม่เอา อย่านะ!!” คนเป็นน้องชายร้องในตอนที่คนเป็นพี่ตะปบมือลงไปตรงกลางหว่างขาของเขา แล้วออกแรงขย้ำราวกับจะบิดให้ขาด
“อ๊า!!” คนเป็นน้องร้องสุดเสียง ก่อนจะพยายามถีบคนด้านบนออก ตรงนั้นเลยถูกจับแน่นเข้าไปอีก
“อย่าทำผม อย่าทำผมเลยนะ” อีกฝ่ายพยายามอ้อนวอน น้ำตาเริ่มไหลอาบหน้า คนเป็นพี่มองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ก้มลงกัดคอของเขาอย่างแรง
“ไม่ได้หรอก เธอต้องเป็นของพี่ เป็นของพี่เท่านั้น”
-----------------------------------------------------
หงคงฉ่วยสูดหายใจเฮือก ก่อนจะลืมตาโพลงขึ้นมา นาฬิกาที่ข้างเตียงบอกเวลาตีห้าเศษๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งได้สักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หงคงฉ่วยจึงเดินไปเปิดประตู
“พ่อบ้านหลี่” หงคงฉ่วยเอ่ยเรียกชายชราที่ยกถ้วยยาเข้ามาให้เขา หลี่คงมองหน้าผู้เป็นเจ้านาย ก่อนจะค้อมศีรษะ “ครับ”
“สามสิบกว่าปีที่ทำงานกับฉันมานี่ พ่อบ้านหลี่เคยนึกเสียใจบ้างรึเปล่า?”
“?!” หลี่คงมองหนาเจ้านายของเขาอีกครั้ง ก่อนจะถามขึ้น “ทำไมจู่ๆ คงฉ่วยถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
หงคงฉ่วยเป่าถ้วยยาในมือ ก่อนจะพูดเรียบๆ “ถ้าย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ พ่อบ้านจะเลือกยืนข้างฉันอีกไหม?”
“ผมไม่เคยเสียใจที่เลือกยืนข้างคุณหรอก” หลี่คงตอบ หงคงฉ่วยมองถ้วยยา แล้วถอนหายใจ “ฉันฝันถึงเขา”
“?!”
“จินหยินโทรศัพท์มาเมื่อวันก่อน บอกว่ามีคนแปลกๆ แล่นเรือเข้ามา เป็นผู้ชายอายุสักห้าสิบถึงหกสิบมีรอยแผลเป็นเหมือนเคยถูกใครยิ่งจ่อตรงหน้าผาก นี่.. พ่อบ้าน ถ้าคนคนนั้นยังไม่ตาย ปีนี้ก็คงอายุสักห้าสิบเจ็ดห้าสิบแปดแล้วนะ”
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ” อีกฝ่ายตอบ “เขาตายไปแล้ว ผมเห็นกับตา คุณเป็นคนฆ่าเขาเอง”
“อืม” หงคงฉ่วยพยักหน้า แล้วยกแก้วยาขึ้นมาจิบ “ฉันฆ่าเขาเอง ฆ่าเขาด้วยมือคู่นี้แหละ..... แต่... เราหาศพเขาไม่เจอไม่ใช่หรือ?”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งสามสิบปีแล้ว คงฉ่วย ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ คงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานขนาดนี้หรอก”
“นั่นสินะ” หงคงฉ่วยพูดแล้วยิ้มออกมา “ฉันคงคิดมากไปเอง ขอบใจนะ”
----------------------------------------------------
วันนี้แปะชิกชิกดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ท่าทางจะเป็นเพราะลั่วซ่งจือซึ่งเป็นเพื่อนเล่นประจำออกไปธุระด้านนอก ดังนั้นพอเห็นหงคงฉ่วย เจ้านกน้อยก็ตีปีกส่งเสียงร้องเป็นการใหญ่
“คงฉ่วยมาแล้ว คงฉ่วยมาแล้ว”
หงคงฉ่วยยิ้มให้นก ก่อนจะยื่นแขนหัมันเกาะ “เสี่ยวชิก วันนี้อยากออกไปนั่งรถเล่นกันไหม?”
“ไปสิ ไปสิ” เจ้านกน้อยตอบ แล้วเอาศีรษะถูไถแขนของหงคงฉ่วยเป็นการใหญ่ หงคงฉ่วยขยับแขนที่มีนกเกาะอยู่เข้ามาใกล้ แล้วยื่นมืออีกข้างลูบศีรษะเจ้านกน้อยอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวไว้โทรศัพท์ชวนเผิงเผิงออกไปด้วยกันเลยดีกว่า”
เจ้านกกระตั้วดูจะตื่นเต้นเข้าไปอีกพอได้ยินชื่อนายตำรวจหนุ่ม “ไปกับเผิงเผิง ไปกับเผิงเผิง”
หงคงฉ่วยหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ขณะที่กำลังคิดจะเรียกหลี่คงให้โทรศัพท์หาลู่อี้เผิง หลี่คงก็เดินเข้ามาหาเขาพอดี
“พ่อบ้านหลี่ มาก็ดีแล้ว ต่อโทรศัพท์หาเผิงเผิงให้ฉันหน่อยสิ”
“คงฉ่วย” หลี่งคงเรียกชื่อเขา ด้วยสีหน้าที่ทำให้คนมองต้องขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือความตกใจเอาไว้หลายส่วน “มีคนโยนซากนกยูงเข้ามาตรงสวนหย่อมด้านหน้า”
“!!!” หงคงฉ่วยเบิ่งตาค้าง ก่อนจะโพล่งออกมา “ใคร?!”
“พวกแก๊งป่วนเมือง เราจับตัวไว้แล้ว แต่.... คงฉ่วยไปดูเองจะดีกว่า”
-----------------------------------------
ซากนกยูงที่ว่าถูกย้อมด้วยสีที่ดูไม่ออกว่าแดงหรืดำกันแน่ ราวกับว่ามันถูกอาบเลือดมาจนแห้งกรัง นกยูงตัวนั้นถูกวางไว้บนผ้าขาวเรียบร้อย ในตอนที่หงคงฉ่วยไปถึง เขามองมันด้วยแววตาสั่นระริก ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ชายหนุ่มวัยรุ่นสี่คนที่ถูกจับล่ามห้อยมือเอาไว้กับคานเหนือศีรษะ
“ใครใช้ให้พวกแกทำ?!!”
ทั้งสี่คนซึ่งอยู่ในสภาพลนลานเสียขวัญหันมองหน้ากัน แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“เห่ยอิง... เขาบอกว่าชื่อเห่ยอิง”
“?!!” ดวงตาของหงคงฉ่วยเบิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม เขาก้าวเท้าไปหาคนพวกนั้น แล้วกระชากเสียงถามต่อ “มันหน้าตาแบบไหน?!!”
“เอ่อ... เป็นคนแก่ แล้วก็มีรอยแผลเป็นตรงหน้าผาก ใช่มั้ย?” คนตอบหันไปถามเพื่อน อีกคนรีบพยักหน้า “ใช่ๆ อายุรุ่นๆ ลุงผมมั้ง”
หงคงฉ่วยถลึงตาเหมือนจะหลุดออกมานอกเบ้า “พวกแกเจอมันที่ไหน? เมื่อไหร่?”
“เมื่อเช้า” หนึ่งในนั้นตอบ แล้วพูดต่อ “เจอที่... อ้อใช่ ข้างไฮเวย์สายสิบสอง เขายืนขวางรถเราน่ะ”
พอพูดถึงจุดนี้ ทั้งสี่ก็มองหน้ากันอีกครั้ง “เขาพังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งของเราด้วยมือเปล่า แล้วฝากซากนกยูงมา บอกว่าฝากมาให้น้องชาย พวกผมไม่อยากถูกฆ่าตาย ก็เลย....”
หงคงฉ่วยขบกรามจนเป็นสันนูน ก่อนจะถลึงตามองทั้งสี่คน “ฉันจะย่างสดพวกแกกลางอ่าวฮ่องกง เผาให้ดำเกรียมเหมือนชื่อของไอ้บ้านั่น!!”
เด็กวัยรุ่นสี่คนร้องขึ้นอย่างลนลาน “ไม่เอานะ อย่าทำพวกผมเลย คุณอยากได้อะไรผมจะไปทำให้ อย่าฆ่าพวกผมเลย”
หงคงฉ่วยมองคนทั้งสี่ ก่อนจะทวนคำ “ทำอะไรก็ได้งั้นรึ?”
“ครับ”
“เสี่ยวเฟิง ไปเอาเตาใส่เหล็กร้อนมาหน่อยซิ ใส่เหล็กมาสักสองชุดนะ”
คนรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พยักหน้า ก่อนจะเดินออกไป จากนั้นสักพัก เตาใส่เหล็กร้อนก็ถูกยกเข้ามา
“ฉันมีข้อเสนอง่ายๆ ให้พวกแก ใช้เหล็กร้อนนี่ เขียนคำว่าหงคงฉ่วยลงไปบนหลังของเพื่อนแกแต่ละคนซะ เขียนให้สวยอย่าให้ตกสักขีดเดียวนะ ถ้าพวกแกทำเรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้ล่ะก็.....” เว้นจังหวะไปพักหนึ่ง “พวกแกจะได้ถูกย่างสดกลางอ่าวฮ่องกงแน่”
พูดจบก็เดินกลับออกไป ทิ้งให้ทั้งสี่คนมองดูเตาใส่เหล็กร้อนด้วยสายตาหวาดกลัวถึงขีดสุด
---------------------------------------------------
“คงฉ่วย” หลี่คงเอ่ยปากเรียกเจ้านาย ขณะเดินตามออกมาที่ห้องโถงใหญ่ แปะชิกชิกที่ถูกพาออกไปก่อนที่หงคงฉ่วยจะไปพบเชลยเกาะคอนอยู่ในห้อง หงคงฉ่วยมองนกกระตั้วตัวนั้น ก่อนจะกวาดตามองบรรดาคนรับใช้ที่ยืนอยู่ แล้วหันกลับมาหาหลี่คง
“เป็นมันแน่ๆ ”
พ่อบ้านชรายืนนิ่งอยู่สักพัก ก็พยักหน้าช้าๆ
“ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำกับฉันถึงขนาดนี้ นอกจากเจ้าบ้านั่น!” หงคงฉ่วยพูด ด้วยอาการอย่างคนที่กำลังพยายามสะกดความเดือดดาลเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด “ต่อจากนี้ถ้ามีใครได้ยินชื่อเห่ยอิง หรือเจอใครที่พูดชื่อนี่ ให้เค้นถามมันให้ได้ว่าเจอที่ไหน ไม่ว่าใครที่มันกล้าใช้ชื่อนี้ มันจะต้องไม่ตายดีเด็ดขาด!”
คนรับใช้ทั้งหมดขานรับ หงคงฉ่วยก้าวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวเดิม บรรยากาศภายในห้องตรึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งแปะชิกชิกที่ปกติร่าเริงอยู่ตลอดเวลายังรู้สึกได้ถึงความกดดันดังกล่าว เจ้านกน้อยค่อยๆ ขยับจากคอนมาเกาะที่ไหล่ของเจ้านาย แล้วไถศีรษะเข้ากับแก้มฝ่ายนั้นเบาๆ หงคงฉ่วยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เสี่ยวชิก.... วันนี้งดนั่งรถเล่นแล้วกัน”
เจ้านกน้อยผงกศีรษะเหมือนฟังรู้เรื่อง หงคงฉ่วยนิ่งไปสักพัก ก็หันไปหาพ่อบ้านอีกรอบ
“พ่อบ้านหลี่ ช่วยต่อโทรศัพท์ถึงสารวัตรลู่ทีสิ ฉันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลย”
“ครับ”
แต่ยังไม่ทันที่หลี่คงจะได้ต่อโทรศัพท์ ลั่วซ่งจือก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “คงฉ่วย ได้ดูข่าวรึเปล่าครับ?”
หงคงฉ่วยขมวดคิ้วมองคนเป็นลูกน้อง “ข่าวอะไร?”
“ข่าวระเบิด” ลั่วซ่งจือพูด หอบหายใจอยู่อีกพัก จึงพูดต่อ “ข่าวเพิ่งออกเมื่อกี้นี่เองครับ รถสายตรวจของตำรวจถูกระเบิด ได้ยินว่ารายชื่อผู้บาดเจ็บสาหัสมีชื่อของสารวัตรลู่ด้วย”
“ว่าไงนะ!!” หงคงฉ่วยโพล่งออกมา ก่อนจะหันไปมองหลี่คง
“เห่ยอิง(อินทรีย์ดำ)!!!”
--------------------------------------------------------------
** ในที่สุด ความลับของคงฉ่วยก็เปิดเผยออกมาอีกหน่อยหนึ่งแล้ววว สารภาพว่าตอนนี้เขียนถึงตอน23 และประสบเหตุเชื่อมเรื่องไม่ได้.... แบบว่าเส้นมาม่าอืดท่อ เลยทำให้ตัน (โดนคนอ่านกระทืบจมทรณี
) ทั้งๆ ที่วางเรื่องเอาไว้จนถึงตอนจบแล้วแท้ๆ นะเนี่ย แสดงว่าการเขียนต่อเนื่องไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตันสินะ (ไม่ได้ตันเนื้อเรื่อง แต่ตันว่าจะเล่าเรื่องในรูปแบบไหนดี<<)
บ่นได้ชวนงงมาก แต่สรุปแล้ว... มาม่ายังเพิ่งเริ่มต้มเท่านั้นเอง~ แอร๋ยย (โดนโบกซ้ำ
)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ