**ทยอยอัพค่ะ เผื่ออนาคตมีตอนที่7 (ต้องเผื่ออนาคตเลยนะเนี่ย!!
)
--------------------------------------------------
เพราะเพื่อนผมมันไม่มี “สมบัติผู้ดี 5
สมบัติผู้ดี....
ใครก็ได้ครับ ต้มหนังสือสมบัติผู้ดีให้เพื่อนผมกินที มันจะได้รู้สักทีว่าหนังสือกินไม่ได้ และสมบัติผู้ดีก็ไม่ได้ช่วยให้อิ่ม แล้วมันจะได้สำนึกขอบคุณผมที่ช่วยดูแลเพื่อนซื่อบื้ออย่างมันมาตั้งหลายปี
ให้ตายสิครับ ก่อนที่จะพูดถึงสมบัติผู้ดี คงต้องพูดถึงสติสตังค์ของมันก่อนครับ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงไอ้คุณสนธยา เพื่อนสนิทสุดเลิฟสุดรักสุดหวงของผม ขนาดทั้งรักทั้งหวงมันออกนอกหน้า มันยังกล้าทำมึนใส่ผมเลยครับ
แบบนี้มันควรจะเอาหนังสือฝึกสติมาต้มกินให้รู้แล้วรู้รอด!
-------------------------------------
“อิ่มแล้วล่ะ” สนพูดและยกมือผลักมือผมเบาๆ ผมถือช้อนค้าง อ้อ นี่ผมไม่ได้บังคับมันให้กินต้มสติสัมปชัญญะหรอกนะครับ ผมกำลังป้อนโจ๊กมันอยู่ ส่วนสาเหตุว่าทำไมมันถึงต้องกินโจ๊ก ต้องไปถามมันเอาเองล่ะครับ ผมขี้เกียจจะเล่า แต่ถ้าถามเหตุผลผมคงจะพูดว่า ก็ใครใช้ให้มันซื่อบื้อขนาดนี้กันเล่า!!
ผมคบกับไอ้สนมาเป็นสิบปี มันเป็นคนซื่อและบื้อที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่รูปหล่อ พ่อรวย สมองเลิศสุดสมาร์ทที่สุดในปฐพีอย่างผม
มันควรต้องขอบคุณผมที่ใจดีมีเมตตาธรรมค้ำจุนมันมาได้จนถึงทุกวันนี้
พูดไปแล้วจริงๆ ไอ้สนมันก็มีข้อดีนะครับ ข้อดีคือมันซื่อนี่แหละครับ สมัยก่อนไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกับผมนักหรอกครับ สงสัยคงเห็นว่าผมหน้าตาดี เงินก็มี คงหยิ่งเชิดน่าดู เผอิญผมก็ไม่ชอบไปง้อพูดกับใครก่อนด้วย ก็มีไอ้สนนี่แหละครับ ที่ไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหม มันเป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับผม เราเลยสนิทกันครับ แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่า ไอ้สนมันคุยกับทุกคน มันเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และคนอื่นก็เข้าหามันง่าย ใช่ครับ มันเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าใครคิดอะไรกับมันบ้าง เรียกว่าโคตรซื่อสุดๆ นี่ถ้ามีใครเอาไม้แอบด้านหลังจะมาแพ่นกบาลมัน มันคงไม่รู้ตัวหรอกครับ จนถูกเขาตีโน่นแหละ เผลอๆ จะไปคิดว่าบังเอิญทำไม้หลุดมือหล่นใส่หัวมันอีกแนะ...ดูมันสิครับ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมจับตามองยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไง
นอกจากความซื่อปนบื้อที่มันมีแล้ว บางทีไอ้คุณสนยังเป็นพวก”ผู้ร้ายปากแข็ง” คือไม่ใช่ว่าปากมันจะแข็งเป็นอิฐเป็นปูนหรอกนะครับ เพราะถ้ามันแข็งแบบนั้นผมคงไม่ลงทุนปลุกปล้ำมัน ไอ้เพื่อนบ้านี่มันมักจะทำปากแข็ง มึนไปเรื่อยๆ ทำเหมือนคนอื่นไม่รู้ทันมัน โถ....ใครไม่รู้ทันไอ้คุณสนก็บ้าแล้ว ผมคือคุณวิทย์ผู้ลาดปราดเรื่องนะครับ เรื่องแค่นี้มีหรือผมจะดูไม่ออก ปัญหาคือผมต้องเค้นคอให้มันสารภาพออกมาให้ได้
“สน แกหายหวัดหรือยัง?” ผมถามหลังจากเอาถ้วยโจ๊กไปวางบนโต๊ะ มันเงยหน้าขึ้นมองผม และไอให้ดูแทนคำตอบ ดูครับ ดูมัน นั่งเงียบอยู่ได้ตั้งนาน พอถามปุ๊บไอปั๊บ มุขนี้ใช้กับคุณวิทย์ผู้แสนฉลาดไม่ได้หรอก
“ไหน ให้ฉันดูหน่อยซิ” ผมว่า และไม่รอให้มันตอบ มือของผมก็ยื่นไปคว้าตัวมันเข้ามา มันถลึงตามองผม ลืมเรื่องไอไปเสียสนิท ถึงไอ้สนมันจะซื่อบื้อ แต่ถ้ามันรู้ตัวแล้วมันก็ไวเหมือนกันนะครับ ยังไม่ทันที่ผมจะทำอะไร มันก็ออกแรงผลักผมเอาเป็นเอาตาย
“จะทำอะไรอีกวะ!?” มันว่า ทั้งผลักและถีบจนผมนิ่วหน้า โธ่เอ๋ย..สนเอ๊ย จะมาดีดดิ้นอะไรเอาตอนนี้วะ
“วัดไข้” ผมตอบห้วนๆ และผลักมันลงบนเตียง ด้วยคิดว่ามันคงจะรู้ตัวแล้วหยุดดิ้นสักที แต่เปล่าเลยครับ สนยังคงดิ้นสุดชีวิต สงสัยจริงๆ ว่ามันกลัวผมจับเชือดหรือไง
โดยปกติผมเป็นคนอารมณ์เย็นนะครับ อย่างน้อยก็ใจเย็นไม่ควักปืนลงไปยิงแสกหัวใครที่ขับรถปาดหน้า แต่ตอนนี้ผมชักจะเย็นกับไอ้สนไม่ไหว อุตส่าห์พามาเที่ยวทะเล หาที่พักดีๆ ให้ แทนที่มันจะตอบแทนผมให้เต็มที่ มันดันไม่สบาย แถมยังสะบัดสะบิ้งให้ผมต้องลำบากลำบน
ไอ้สนตาเหลือกทันที ตอนที่ผมคว้ามือไปเปิดตู้ตรงหัวเตียง อ้อ เตียงนี้ของผมเองแหละครับ จริงๆ แล้วรีสอร์ทนี่ก็ของผมทั้งหมด แต่ห้องนี่ผมจัดพิเศษ เอาไว้ฮันนีมูนกับไอ้สนโดยเฉพาะ บรรยากาศก็ดี อาหารก็ยอด มันคงจะเหมือนฮันนีมูนมากกว่านี้ ถ้าไอ้สนมันว่าง่ายสักหน่อย
“ไอ้วิทย์!!! ทำอะไรของแกว่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” มันแหกปากเสียงลั่น เมื่อผมคล้องโซ่เหล็กเส้นเล็กๆ กับข้อมือของมันแล้วดึงปลายอีกข้างไปคล้องไว้กับห่วงข้างเตียง จริงๆ ก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบนี้หรอกนะครับ ผิดที่มันนั่นแหละ ถ้ามันยอมผมดีๆ แต่แรกก็สิ้นเรื่อง
“ก็จะวัดไข้” ผมว่า ไอ้สนแหกปากต่อทันที “วัดไข้โลกไหนเขาล่ามกันว่ะ”
“วัดกับฉันไง” ผมตอบ ไอ้สนตาเหลือก มือมันถูกล็อกไปแล้ว แต่ขามันยังดิ้นได้อยู่ ผมเลยต้องออกแรงกดขามันลงกับเตียง แล้วเอาโซ่คล้องไว้ อย่าถามนะครับว่าทำไมผมถึงมีของพวกนี้อยู่ในหัวเตียง ก็บอกแล้วว่าห้องนี้ผมจัดไว้เพื่อฮันนีมูนกับมันโดยเฉพาะ
“วิทย์ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่สบายอยู่...นะ” ไอ้สนเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อน หลังจากถูกล่ามจนขยับไม่ได้แล้ว ผมมองหน้ามันอย่างอยากจะช่วยเต็มที่
“ฉันปล่อยแกแน่ รอให้ฉันตรวจอาการแกก่อน”
“งั้นไปตามหมอมาก็ได้นี่” มันว่า ผมสั่นศีรษะ “แกอยากให้หมอเห็นในสภาพแบบนี้หรือไง”
ไอ้สนส่ายหน้า และรีบพูด “แกก็แกะออกแล้วไปตามหมอสิ”
“ไม่เอาล่ะ ฉันจะตรวจเอง” ผมว่า และเริ่มปลดกระดุมเสื้อมันทีละเม็ด ไอ้สนมองผมด้วยสายตาน่าสงสาร ก็น่าหรอกครับ มันโดนผมหลอกมานี่นา แต่พอนึกถึงเหตุผลที่มันตกหลุมพรางผม ผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้
“เอ๋? จะให้แก้วชวนพี่สนไปเที่ยวหรือคะ?”
น้องแก้วพูดอย่างงุนงง ตอนที่ผมโทรศัพท์ไปหาเธอ จะว่าไปแล้วน้องแก้วนี่แหละครับเพื่อนดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด ไม่ต้องให้ผมอธิบายนานเธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะอะไรเสียอีกล่ะครับ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ ไอ้สนน่ะ พอปิดเทอมทีไรมันจะระริกระรี้ขึ้นมาทันที คงนึกกระหยิ่มใจว่าไม่อยู่ในสายตาผมล่ะสิ โธ่...กับคนซื่อบื้ออย่างมันมีหรือครับผมจะปล่อยให้คลาดสายตา ปีก่อนๆ ผมหลอกมันด้วยลูกไม้หลายอย่าง จนมันไม่เชื่อแล้วครับ ก็ดี เพราะถ้ามันยังเชื่ออีกผมคงต้องพามันไปเช็คสมอง แต่เพราะมันไม่เชื่อนี่แหละ ผมถึงต้องลงทุนใช้นกต่อ และน้องแก้วก็ทำงานของเธอได้ดีเยี่ยม ไอ้สนกระดี้กระด้ามาขึ้นรถผมตามแผนทันที คงต้องขอบคุณน้องแก้วและความซื้อบื้อของไอ้คุณสน แต่คิดอีกทีก็น่าหงุดหงิด ทำไมมันไม่ระริกระรี้แบบนี้กับผมบ้าง
“เฮ้ย สน แกชอบฉันบ้างรึเปล่าวะ?” อารามหงุดหงิดใจทำให้ผมถามออกไปโดยลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรกับมันอยู่ ไอ้สนถลึงตามองผมทันที “ผมจะชอบคุณวิทย์มากเลยครับถ้าจะช่วยกรุณาปล่อยผมออกไปก่อน”
มันว่า ผมพยักหน้า แต่....ปล่อยแล้วไอ้สนมันจะตอบผมด้วยใจจริงแน่หรือครับ? ข้อนั้นผมรู้ดีว่าไม่แน่นอน แล้วจะปล่อยให้โง่ทำไมล่ะ
“เฮ้ย วิทย์ ปล่อยฉันเหอะ” พอมันเห็นว่าผมยังเฉยเลยรีบอ้อนวอนต่อ ผมชายตามองมัน มองกระดุมที่ถูกปลดไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วถอนหายใจ
“แกสารภาพมาก่อนว่าแกแกล้งป่วย ที่จริงแกหายหวัดนานแล้ว”
“โห.....” มันลากเสียง จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่องทันที “ไอ้บ้าวิทย์ แกเป็นคนทำให้ฉันไม่สบาย ยังจะมีหน้ามาขู่กันอีกเหรอวะ”
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“นั่นมันตั้งสามสี่วันแล้ว แกน่าจะหายได้แล้วสิ ฉันก็ประคบประหงมอย่างดี เพราะอย่างนั้น แกหายได้แล้วล่ะ”
ไอ้สนถลึงตามองผมอีกรอบ ก่อนจะครางออกมา
“โธ่ คุณวิทย์คร้าบบบบ ปล่อยผมเถอะ”
“ไม่ปล่อย” ผมตอบเสียงเด็ดขาด เท่านั้นแหละครับ ไอ้สนที่นอนนิ่งๆ ไปแล้ว ก็เริ่มกลับมาต่อต้านอีกรอบ เสียงโซ่กระทบกันก็ฟังดูระรื่นหูอยู่หรอก แต่มันดิ้นไปดิ้นมาจนผมถอดเสื้อมันไม่ถนัด ผมตัดสินใจถามมันอีกรอบ
“จะหยุดดิ้นหรือไม่หยุด”
“ไม่หยุด” ไอ้สนตอบสวนผมทันที ผมเกิดอาการฟิวขาด ความจริงตอนแรกผมตั้งใจจะแกล้งมันเล่นเฉยๆ แต่ในเมื่อมันกวนประสาทผมขนาดนี้ เห็นทีจะต้องลงมือสั่งสอนกันบ้างล่ะ
“เฮ้ยยยยย” ไอ้สนแหกปากร้องลั่น เมื่อผมกระโดดขึ้นไปคร่อมมันเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักลงบนเชิงกรานของมันเต็มที่ ไอ้สนหยุดดิ้นทันที “วิทย์ อย่านะโว้ย!!”
ผมไม่สนใจคำขอร้อง ลงมือปลดกระดุมเสื้อมันออก ผิวไอ้สนขาวอย่างกับไข่ปอก ถึงมันจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง จนบางส่วนคล้ำแดดไปบ้าง แต่ผิวเดิมของมันสวยมากครับ เรียกว่าละเอียดน่าลูบมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้ผมก็เคยลูบอยู่บ่อยๆ แต่ไอ้สนมันคงซื่อบื้อ ไม่ก็แกล้งบื้อ ทำเป็นไม่รู้ว่าผมคิดอะไร สุดท้ายผมเลยต้องวางแผนงาบมันในห้องมันเองอย่างที่ได้รู้กันไปแล้วนั่นแหละครับ มันถึงได้รู้ตัวว่าผมต้องการอะไรจากมันกันแน่
แบบนี้ค่อยเป็นเพื่อนสนิทกันหน่อย ก็เพื่อนสนิทกันต้องรู้ไม่ใช่หรือครับว่าเพื่อนต้องการอะไร?!
ได้ยินเสียงไอ้สนสูดหายใจลึก เมื่อผมไล้นิ้วมือจากปลายคางของมันต่ำมาจนถึงซอกคอ เนินอก ท้องน้อย ปากบางๆ ของมันเม้มเข้าหากันทันที แลดูน่ารักน่าแกล้งที่สุด
“เฮ้ย สน.....แกไม่ไอต่ออีกวะ ยังเป็นหวัดอยู่ไม่ใช่รึ?” ผมเย้า มันถลึงตามองผม “หุบปากไปเลยนะ”
ผมไม่สนคำเอ็ด อย่างเก่งตอนนี้ไอ้สนก็ทำได้แค่ด่าล่ะครับ ทั้งมือทั้งเท้าโดนผมล่ามเอาไว้หมด มันจะมีปัญญาทำอะไรผมได้
ถึงจะแน่ใจว่ามันน่าจะหายหวัดแล้ว แต่ผมไม่เสี่ยงดีกว่าครับ เกิดจูบมันแล้วเจอเชื้ออพยพ ฮันนีมูนคราวนี้ของผมไม่ล่มหรือครับ ไม่ล่ะ ปล่อยมันเป็นไปคนเดียวก็พอ และต่อให้ผมจูบปากมันไม่ได้ ยังมีอีกหลายที่ให้ผมจูบ ผมเริ่มแนบริมฝีปากลงไปบนร่างกายของมัน ไอ้สนสะดุ้งทันที ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนัก แต่ก็นั่นแหละครับ ยิ่งมันสะดุ้ง ผมก็ยิ่งอยากจะทำให้มันสะดุ้งแรงกว่าเดิม
ไอ้สนสูดหายใจสั้นๆ หลายหน ระหว่างที่ผมพรมจูบไปทั่วร่างของมัน มันหยุดด่าผมแล้วครับ ตอนนี้ปากมันเม้มสนิท อย่างกับจะกลั้นเสียงเอาไว้งั้นแหละ ผมอดยิ้มไม่ได้ เลื่อนมือไปลูบปากมันเบาๆ จูบไม่ได้แต่ยังลูบได้ล่ะว่ะ ไอ้สนเบือนหน้าหนีทันที หูมันเริ่มกลายเป็นสีแดงแล้วครับ ผมมองดูใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสีของมันใต้แว่นแล้วยิ่งคึก ใครใช้ให้มันน่ารักขนาดนี้ล่ะครับ
เมื่อมันยังปิดปากเงียบ ผมจึงรุกมันหนักขึ้น มือเริ่มลูบไปตามร่างกายของมันแรงขึ้น จูบก็หนักขึ้น เสียงหายใจของมันแรงขึ้นทันที แต่ปากก็ยังปิดอยู่อย่างนั้น ผมเลยขย้ำจูบลงบนหน้าอกของมัน ดูซิ มันจะทนไปได้อีกกี่น้ำ
ไอ้สนมีปฏิกิริยาเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหน่อย ผมได้ยินเสียงครางต่ำๆ ในคอของมัน ฟังดูเร้าใจดีครับ แต่ยังไม่พอให้ผมดีใจหรอก ผมลงทุนทั้งจูบทั้งกัดมันจนเป็นรอยจ้ำไปทั่วตัว แต่มันยังไม่ยอมเปิดปาก อย่างดีก็ครางในคอแบบนั้นแหละ เห็นทีผมจะต้องใช้แผนขั้นต่อไปเสียแล้ว
ไอ้คุณสนสะดุ้งจนตัวโยน ตอนที่ผมดึงกางเกงมันลง ผมก็อาศัยจังหวะสะดุ้งนั้นแหละครับ ถกกางเกงมันลงไปกองที่เข่า อ้อ ลืมบอกไป ไอ้สนใส่ชุดนอนอยู่นะครับ ลายมิกกี้เมาส์น่ารักน่าเอ็นดู แน่นอน ผู้ชายอย่างมัน ใส่ชุดนอนก็ต้องไม่ใส่ชั้นใน ดังนั้น ไอ้อะไรที่อยู่ใต้กางเกง จึงโผล่ขึ้นมาอวดโฉมต่อหน้าผมแบบไม่ต้องเสียเวลาปอกเปลือกหลายชั้น
เพราะผมนั่งอยู่บนหน้าตักของมัน เลยรู้ว่าไอ้ตรงนี้ของมันแสดงอาการยังไง แต่พอเปิดออกมาจริงๆ มันดูน่าหยอกจนผมอดไม่ไหว ไอ้สนสะดุ้งอีกรอบตอนริมฝีปากผมแตะกับส่วนนั้นของมัน ได้ยินเสียงโซ่ดังกรุ๋งกริ๋ง มันคงพยายามจะโงหัวขึ้นมาดูแหละครับ ก็ดี มันจะได้เห็นว่าเพื่อนสนิทคนนี้ทุ่มเทให้มันขนาดไหน
ตรงนั้นของไอ้สนไม่ใหญ่ไม่เล็กครับ ขนาดพอให้ผมกินอร่อย ผมเลยทั้งดูดทั้งเลียเหมือนได้กินไอติมถั่วดำ ส่วนรสชาติ ไม่บอกหรอกครับ เรื่องแบบนี้ของใครของมันสิ
เสียงครางในคอไอ้สนดังขึ้นอีก แต่มันยังไม่ยอมเปิดปากครับ ดูดู๋ จะปากแข็งไปไหน เพื่อนรักของผม ขนาดผมดูดผมเลียจนเอวมันกระดกขึ้นขนาดนี้ ยังไม่ยอมอ้าปาก ผมชักหงุดหงิดขึ้นมาแล้วครับ ไม่ยอมให้มันขึ้นสวรรค์ไปก่อนทั้งแบบนี้หรอก ระหว่างที่ไอ้สนแอ่นเอวขึ้นอย่างมีอารมณ์ร่วม ผมก็เอาปากออก
เพื่อนสนิทของผมหอบแฮก เห็นมันลืมตามามองผมอย่างงงๆ แวบหนึ่ง คงแปลกใจที่โดนดึงลงจากสวรรค์กลางคันมั้งครับ ช่างมันสิ ใครจะไปสน ผมถอดกางเกงตัวเองออก คงถึงเวลาที่จะต้องใช้มาตรการขั้นสุดท้ายให้มันยอมอ้าปากแล้วครับ
ไอ้สนเบิ่งตาค้าง มันคงตกตะลึงในความมโหฬารของผม ก็ก่อนหน้านี้มันได้มองที่ไหน ผมเองแหละครับที่ถอดแว่นมันออกตลอด คราวนี้ผมตั้งใจให้มันใส่ให้เรียบร้อย จะได้เห็นสิ่งที่ผมทำชัดๆ เผื่อมันจะซาบซึ้งกับความรักของเพื่อนสนิทแบบผมบ้าง
“เดี๋ยว วิทย์ เฮ้ย!! อ๊ะ!!”
ไอ้สนที่หุบปากเงียบไปนานแล้วเริ่มกลับมาโวยวายอีกรอบ ผมพยายามจะดันเข้าไป แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้บุกรุกถ่างทางให้กว้างพอจะใส่เข้าไป ขืนทำทั้งแบบนี้ ไม่ของผมหัก ของมันก็คงฉีก ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดเจลหล่อลื่นจากตู้ตรงหัวเตียง อดขำหน้าไอ้สนไม่ได้ มันทำอย่างกับเห็นผีงั้นแหละ คงนึกไม่ถึงว่าตู้หัวเตียงเล็กๆ จะซ่อนของเอาไว้เยอะแยะขนาดนี้ จริงๆ มันคงไม่สังเกตว่ามีตู้อยู่ด้วยซ้ำ
ผมราดเจลลงบนหลืนเร้นของมัน คราวที่แล้วผมใช้น้ำแข็งจนมันเป็นหวัด คราวนี้ผมเลยลองซื้อเจลแบบอุ่นมาดู ดูมันจะงงๆ ครับ แต่พอผมล้วงนิ้วเข้าไป มันก็หายงง อ้าปากพูดอีกรอบ
“วิทย์ อย่านะโว้ย!”
น่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าต่อให้มันร้องห้ามอีกสักพันหน ผมก็คงไม่หยุด ผมล้วงนิ้วเข้าไปตรงนั้นโดยไม่สนใจ ไอ้สนดูขัดขืนเต็มที่ ยิ่งทำให้ตรงนั้นมันดูดนิ้วผมลึกเข้าไปอีก โธ่ ไอ้เพื่อนบ้า จะขัดขืนอะไรให้มันเร้าอารมณ์น้อยกว่านี้ได้มั้ย!!
ขณะที่ผมอารมณ์ขึ้น ไอ้สนคงอารมณ์เสีย ผมเลยต้องจับตรงนั้นมันขึ้นมา ประคบประหงมทั้งมือทั้งปาก จนไอ้สนครางฮือ คราวนี้มันคงหยุดโวยวายสักที
ขณะที่ไอ้สนทำท่าจะหนีขึ้นสวรรค์ไปคนเดียว ผมก็ถือโอกาสใส่พรวดเข้าไป ได้ยินเสียงมันร้องอ๊ะ ฟังดูน่ารักน่าชัง หน้ามันตอนนี้กลายเป็นสีแดงจัด ตัวมันก็ร้อนอย่างกับเป็นไข้ เอาเถอะครับ ไข้คราวนี้ผมให้อภัย เพราะผมเป็นคนทำให้มันตัวร้อนเอง ผมกระดกเอวขยับให้ส่วนนั้นสอดเข้าไปลึกขึ้น ไอ้สนอ้าปากครางให้ผมได้ยินเป็นครั้งแรก แถมตรงนั้นยังดูตอบสนองจนอยากจะเร่งจังหวะ ผมกระดกเอวยั่วมันอีกสองสามหน ก่อนจะจัดแจงกระแทกกระทั้นอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อนสนิทของผมครางเสียงสั่น แอ่นตัวตอบรับอย่างเซ็กซี่สุดจะบรรยาย ทั้งมือทั้งเท้าดึงรั้งโซ่ล่ามตึงจนน่ากลัวว่าจะถูกรัดจนขาดเลือด ผมสูดหายใจลึกหลายครั้ง ตรงนั้นของมันตอดรัดของผมจนซ่านไปหมด แต่ก่อนจะไปถึงฝั่งฝัน ผมจำต้องบังคับให้ผู้ร้ายปากแข็งอย่างมันสารภาพออกมาก่อน
“สน!” ผมพูดตอนที่เห็นมันแอ่นตัวให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ไอ้สนเหมือนไม่ได้ยินครับ หงุดหงิดก็หงุดหงิด แต่ถ้าผมยังกระแทกมันต่อมันคงไม่ได้ยินจริงๆ ผมเลยต้องหยุดกลางทาง ขนาดผมหยุดแล้วมันยังกระดกก้นยั่วผมอีกสองสามหน ถ้าผมไม่แน่จริง ผมทนไม่ไหวแน่ครับ ผมเค้นเสียงถามอีกครั้ง
“สน แกชอบฉันรึเปล่า?”
ไอ้สนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด พึมพำอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ได้ยิน ผมอดไม่ได้ต้องพูดต่ออีก
“พูดให้ดังๆ สิวะ”
“อืมม” มันส่งเสียงที่แสดงว่าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด และขมุบขมิบปาก ช่วยไม่ได้ล่ะครับ ก็คนมันอารมณ์ค้าง ผมเลยต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ แหม..ความจริงแล้วผมก็มีส่วนอ่อนโยนนะครับ
อย่างคิดไม่ถึง พอยื่นหน้าไปใกล้ ปากที่ขมุบขมิบอยู่ของไอ้คุณสน ก็ยื่นเข้าประกบปากของผมทันที แถมยังล้วงลิ้นเข้ามาแบบไม่กลัวอายกลัวเสียหน้า ราวกับจะประกาศว่ามันต้องการขนาดไหน ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ไอ้อยากจะได้ยินมันพูดก็อยากอยู่หรอกครับ แต่ไอ้จูบของมันดูจะกระตุ้นความอยากทางร่างกายของผมได้มากกว่า ยิ่งหยุดกลางคันแบบนี้ คิดว่าผมจะเลือกอะไรล่ะครับ ท้ายที่สุด ทั้งผมทั้งมันก็สนองกันและกันจนไปถึงฝั่งฝันในสภาพเหงื่อท่วม ผมอ้าปากคิดจะถามมันอีกรอบ แต่ไอ้คุณสนก็ชิงหมดสติไปก่อน โธ่ ไอ้เพื่อนบ้า หัดรักษาสติเอาไว้บ้างได้มั้ยเล่า!!!
-----------------------------------------------
“.....................” ผมมองหน้าไอ้สนอย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด ขณะที่มันยิ้มอย่างเบิกบาน
“วิทย์ แกอยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะไปทำให้” มันถามอย่างมีน้ำใจ ขณะที่ผมหน้าบูดหน้าบึ้ง เมื่อเห็นผมไม่ตอบคำถาม มันเลยถามต่อ
“จะให้พาไปหาหมอรึเปล่า?”
ผมถลึงตามองมันทันที ครับ... ผมกำลังนอนซมอยู่บนเตียง ไอ้สนยังไม่หายหวัดจริงๆ ขนาดผมระวังตัวเองเต็มที่ ยังอุตส่าห์ติดมาจากมันจนได้ คนอย่างผมได้ชื่อว่าเชื้อโรคไม่กล้ารุกรานมากที่สุด ยังต้องสยบกับเชื้อหวัดของไอ้สน
ตอนนี้อย่าว่าแต่เถียงมัน แค่กลืนน้ำลายผมยังเจ็บคอแทบตาย ต้องทนมองดูมันทำหน้าระรื่นอยู่ข้างเตียง คงเข้าทำนอง แพร่ให้คนอื่นเรียบร้อย ตัวเองก็หายขาดทันที สนจ้องหน้าผมผ่านแว่นตาหนาๆ ของมัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คงดีใจที่ผมตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับอาการไข้ขึ้นสูง โธ่ ไอ้เพื่อนเวร เวลาแบบนี้ยังจะมายิ้มอยู่ได้
“ฉันจะทำโจ๊กปูให้แกกิน แบบที่แกชอบเลยล่ะ” ฟังดูเหมือนมันเป็นคนดีเลยครับ ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อผมป่วยไข้มันก็ต้องคอยดูแล ยังไม่ทันที่ผมจะได้ซาบซึ้งกับน้ำใจดีงามของมัน ไอ้สนก็ยื่นหน้ามา เอาหน้าผากแตะกับหน้าผากผม ต่อให้ผมไข้ ผมยังรู้ว่าลมหายใจของมันอุ่นขนาดไหน มันทำแบบนั้นอยู่สักพัก แล้วจึงถอยออกไป พูดยิ้มๆ
“แกไข้ขึ้นสูงเลยนี่ นอนนิ่งๆ ล่ะ เดี๋ยวกินโจ๊กเสร็จแล้วฉันจะเอายาให้แกกิน”
ผมถลึงตาที่พร่าด้วยฤทธิ์ไข้มองมันอย่างกับจะกินแทนโจ๊ก สุดท้ายผมก็ยังเค้นความจริงจากผู้ร้ายปากแข็งอย่างมันไม่ได้ แต่ก็พิสูจน์ได้อย่างหนึ่ง
คนแบบไอ้สนใช่ว่าจะซื่อบื้อเสมอไป
ผมคงต้องหาโอกาสง้างปากมันอีกรอบ
แต่ตอนนี้ ขอผมหายจากหวัดนรกนี่ไปก่อนก็แล้วกัน…..
---------------------------------------------------------------------------