[เรื่องของเราสามคน?!!] เพราะเพื่อนผมมันไม่มี'สมบัติผู้ดี'7 (เพื่อนxเพื่อนvsกองเชียร์!!) 2/2/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องของเราสามคน?!!] เพราะเพื่อนผมมันไม่มี'สมบัติผู้ดี'7 (เพื่อนxเพื่อนvsกองเชียร์!!) 2/2/2555  (อ่าน 19126 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2012 21:07:01 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เอามาลงขำๆ ค่ะ เรื่องนี้ ไม่มี"สาระ"เลยนะคะ มีแต่ความฮา และหื่นล้วนๆ = =""

เรื่องนี้ปัจจุบันมีอยู่6ตอนค่ะ ซึ่งเป็นแบบจบในตอน และตอนต่อไปยังบอกไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่นะคะ (แบบว่าอยากเขียนก็เขียนค่ะ)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ^^
---------------------------------------------
เพราะเพื่อนผมมันไม่มี "สมบัติผู้ดี" 1 : พยานปากเอก (สนเล่าเรื่อง)

   คุณว่าความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีไหมครับ
 
   ผมก็คิดว่ามันคือสมบัติที่ผู้ดี หรือคนดีๆ ปกติควรจะมี แต่เผอิญไอ้เพื่อนสนิทของผม มันดันไม่มีคุณสมบัติที่ว่านี้เลยสักกระผีกหนึ่ง

   เรื่องมันถึงได้เกิดขึ้นยังไงล่ะครับ

   “เฮ้ย!! มัวแต่นั่งเหม่ออะไรอยู่ รีบๆ กินสิ เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
   เสียงเรียกพร้อมฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาตบกะโหลกเบาๆ ช่วยให้สติผมกลับคืนมายังปัจจุบันชาติ  เด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ที่ย้อมผมสีเทาแซมดำ กับทรงผมที่ปัดไปปัดมามาราวกับไม้กวาดขนไก่  มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมและมองหน้าผมอย่างกดดัน  ไอ้บ้านี่แหละครับเพื่อนสนิทที่ผมว่า  โถ...สมัยก่อนมันก็นั่งข้างผมนี่แหละ แต่พอมีแฟนหน่อย ก็แยกข้างเสียงั้น ความจริงมันไม่ชวนผมมากินข้าวด้วยเลยน่าจะดีกว่า
   ที่นั่งอยู่ข้างๆ มันเป็นสาวสวยระดับดาวคณะ ที่ไม่รู้ว่ามันใช้มนต์ดำอะไรไปหลอกเขามา เธอนี่แหละครับที่ทำให้ผมคิดว่ามันไม่น่าจะชวนผมมากินข้าวกับมันทุกวันพร้อมเธอเลย ก็เธอน่ะน่ารัก ชวนฝัน แค่เห็นตากลมๆ โตะ ที่มองมาก็ชวนให้ผมจิตเตลิด ยิ่งเห็นเวลาเธอยิ้มแล้ว ผมแทบอยากจะเอาไม้ตีหัวไอ้เพื่อนบ้า แล้วบอกเธอว่าผมนี่แหละ ดูดีกว่ามันเป็นไหนๆ  แต่ถ้ามองตามที่คนส่วนใหญ่มองแล้ว ผมไม่มีอะไรจะไปสู้มันได้หรอกครับ นอกจากมันจะหน้าตาดี รูปหล่อ พ่อรวย มีรถเก๋งขับในมหาลัยแล้ว มันยังมนุษย์สัมพันธ์ดี มีคนรักไปทั่ว ต่างจากผม ที่หน้าจืด ใส่แว่น ผมทรงโคตรเชย  มีเงินกินข้าวไปวันๆ ไม่ไปติดหนี้ใครก็บุญแล้ว  วันไหนปั่นจักรยานมามหาลัยโดยที่โซ่ไม่หลุดก็นับเป็นสุดยอดการเดินทาง  ถึงมันจะขับรถมาหาผมที่หอบ่อยๆ ให้ติดรถไปกับมัน แต่ใครจะไปนั่งลงล่ะครับ ในเมื่อหน้ารถมันมีสาวๆ พ่วงมาด้วย  นี่ดีที่ผมไม่คิดอะไรมาก ไม่งั้นผมคงเลิกเป็นเพื่อนมันไปแล้ว  บังอาจขนสาวๆ มาเยาะเย้ยกันทุกเช้าแบบนี้
   “วิทย์อย่าไปเร่งสนนักสิ  แก้วไม่รีบหรอก”
   ผมรีบพยักหน้าทันใด มองน้องแก้วด้วยสายตาซาบซึ้ง ขณะที่ไอ้วิทย์หรือวิทยาเพื่อนผมกลับทำหน้าไม่เห็นด้วย
   “นี่ ไอ้คุณสนธยา ไม่ต้องทำหน้าภาคภูมิใจอย่างนั้นเลยนะ แกน่ะกินอ้อยอิ่งจนน้องแก้วต้องรอ หัดเกรงใจไม่เป็นหรือไง”
   ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะก็ถูกของมัน ผมกินข้าวช้าจริงๆ  แล้วก็ความผิดของมันอีกนั่นแหละ ที่ผมกินข้าวช้าก็เพราะมัวแต่มองน้องแก้วของมันอยู่อยู่นี่แหละ
   “ถ้าแกรีบ ก็ไปกันก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันตามไป”
   “แทนที่จะรีบกิน...”
   วิทย์ลากเสียง  ความจริงผมเองก็อยากจะอ้อยอิ่งแกล้งมันเสียหน่อย แต่ก็เกรงใจน้องแก้วเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงเร่งสปีดให้เร็วขึ้น

   “ความจริงแกไม่ต้องชวนฉันไปกินข้าวด้วยก็ได้”
   ผมพูดกับวิทย์หลังจากที่มันแยกกับน้องแก้วแล้ว  เรื่องของเรื่องคือน้องแก้วเรียนอยู่ปีหนึ่ง ขณะที่ผมกับมันเรียนอยู่ปีสาม ดังนั้นช่วงกลางวันที่ว่างตรงกันก็คงมีแต่ตอนพักเที่ยงนี่แหละ มันคงกลัวผมด่าว่าได้แฟนแล้วลืมเพื่อน แต่ความจริงแล้วผมคิดว่ามันไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้
   “แกไม่ชอบน้องแก้วหรอ?”
   วิทย์ถาม  ผมล่ะอยากจะกระโดดถีบปากมันจริงๆ  ถ้าไม่ชอบผมจะนั่งกินข้าวไปน้ำลายยืดไปแบบนั้นหรอ  แต่ขืนบอกความจริงออกไปอาจจะกลายเป็นมันกระโดดถีบผมแทน
   “ฉันอยากให้แกมีเวลาส่วนตัวกับน้องแก้วบ้าง ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”
   วิทย์ทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง
   “ฉัน..อืม...สรุปว่าแกเป็นโรคขี้เกียจกินข้าวแล้วไม่อยากปรับปรุงตัวสินะ”
   “โห...หัวสมอง...แทนที่แกจะคิดว่าฉันเป็นเพื่อนที่ดี”
   ผมลากเสียงยาว นึกอยากเลาะหัวสมองมันออกมาดูจริงๆ แทนที่จะบอกให้ผมเกรงใจน้องแก้ว มันนี่แหละสมควรจะเกรงใจผมก่อน
   วิทย์มองหน้าผม และสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ ผมจึงผลักมันให้เดินเข้าห้องเรียนไป

---------------------------------------
   วันนี้ผมเกือบมาไม่ถึงมหาลัย ทั้งๆ ที่มันอยู่ห่างจากหอผมไม่ถึงสองกิโล สาเหตุน่ะหรือครับ ก็เพราะไอ้จักรยานคู่ชีพเจ้ากรรมของผมดันโซ่หลุดตอนที่ปั่นขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ แถมเบรกดันพังเบรกไม่อยู่อีก ดีที่มีพี่คนหนึ่งที่เรียนอยู่อีกคณะช่วยดึงตัวผมไว้ ไม่งั้นได้หกคะเมนไปเซ่นอยู่ใต้ท้องรถเมล์ที่กำลังวิ่งตามขึ้นมาแน่ๆ  คงได้เวลาที่ผมจะต้องเปลี่ยนรถจักรยานเสียที
   ผมเห็นไอ้วิทย์มองผมอย่างสงสัยนิดหน่อยตอนที่ผมเดินเข้าห้อง ดีนะที่ผมมาสายนิดเดียว นี่ถ้าสายกว่านี่รับรองว่ามันต้องโทรตามผมแน่ๆ ไม่รู้ว่ามันคิดว่าตัวเองเป็นพี่ผม หรือเห็นผมรับผิดชอบอะไรไม่ได้กันแน่ แล้วนี่ถ้ามันรู้ว่าผมมีอุบัติเหตุอีกมันคงเฉ่งผมกระเจิง คราวที่แล้วที่ผมล้มจักรยาน มันยังบอกให้ผมย้ายไปอยู่ที่เดียวกับมัน จะได้มาด้วยกัน  โถ...ไอ้ที่ที่มันอยู่เนี่ยใช่หอธรรมดาเสียเมื่อไหร่ล่ะครับ คอนโดเลยครับคอนโด  อย่างหรู  ได้ข่าวว่าแม่มันซื้อเอาไว้เพื่อให้ลูกชายอยู่  ถึงจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยก็เถอะ แต่ผมรู้จักคำว่าเกรงใจครับ ไม่ใช่มันที่ทำตัวเหมือนพ่อผมเข้าไปทุกที
   พออาจารย์บอกเลิกชั้น ไอ้วิทย์มันก็ลุกมาหาผมอย่างที่คิดเอาไว้ทันที คงจะถามผมเรื่องมาสายแน่ๆ  ผมคงต้องพยายามปั้นเรื่องหลอกมัน  พูดไปก็น่าตลก แทนที่มันจะรีบไปหาน้องแก้ว ดันมาวุ่นวายกับผมอยู่ได้
   “เมื่อเช้าทำไมแกมาสาย?”
   มันตรงเข้ามาปุ๊บก็ยิงคำถามที่ผมเดาได้ปั๊บ แย่ตรงที่ผมยังคิดเรื่องมาโกหกมันไม่ออก ดีที่มีคนมาช่วยไว้ทัน
   “อ้าว น้องที่เจอเมื่อเช้า”
   มันเป็นเสียงของรุ่นพี่ที่ช่วยผมเอาไว้ในตอนเช้านั่นแหละครับ และถ้าผมพูดสวนช้าไปนิดเดียว เขาอาจจะทำให้ผมซวยได้ ถ้าเกิดเล่าเรื่องเมื่อเช้าออกมา
   “พี่ไปกินข้าวกันป่าว?”
   ผมรีบถามสวนออกไป ภาวนาไม่ให้เขาพูดเรื่องรถจักรยานของผมออกมา คุณพี่ทำหน้างงๆ ผมจึงตัดสินใจเดินไปหาเขา
   “ผมเลี้ยง ไปเถอะ”
   ถึงมันจะดูมัดมือชกไปหน่อย แต่ผมคิดว่าการอธิบายกับเขาตอนหลังคงดีกว่าจะปล่อยให้วิทย์มันซักไซ้ไล่เรียงผมตอนนี้

   “อ๋อ พี่เข้าใจล่ะ”
   พี่ป๋องพยักหน้าอย่างเข้าใจ หลังจากที่ผมอธิบายจบ  ความจริงพี่เขามากับเพื่อน แต่เพราะถูกผมลากออกมา ประกอบกับเก้าอี้ไม่พอจำนวนคน เขาจึงมานั่งกับผมอีกโต๊ะหนึ่ง สงสัยจะกลัวผมเหงา ผมก็รู้สึกเกรงใจพี่เขาอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน  แต่ก็ยังดีกว่าต้องนั่งเพ้อถึงน้องแก้ว โดยมีหน้าของไอ้วิทย์ตามมาหลอกหลอน
   “แต่มีเพื่อนเป็นห่วงก็ดีนะ พี่ว่า อย่างน้อยสนก็น่าจะเปลี่ยนจักรยานได้แล้ว”
   ผมพยักหน้า และคิดว่าเงินที่เหลืออยู่ในบัญชีคงจะพอซื้อคันใหม่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะต้องพึ่งพี่วินมอร์ไซต์ไปก่อน ซึ่งอันหลังนี้ถ้าใจไม่กล้าพอรับรองนั่งไม่ได้เด็ดขาด เพราะพี่แกช่างขับได้ตื่นเต้นโลดโผนยิ่งกว่านั่งมอร์ไซต์ไต่ถังเป็นไหนๆ
   ผมเข้าคาบช่วงบ่ายเร็วกว่าปกติเป็นพิเศษ และนึกแปลกใจที่ยังไม่เห็นวิทย์  มันคงใช้เวลาอยู่กับน้องแก้วอย่างคุ้มค่า โถ...ก็น่าจะบอกกันแต่แรก ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้เลย
   วิทย์เข้าห้องเรียนมาหลังจากอาจารย์สอนไปได้ราวๆ สิบห้านาที สีหน้ามันดูแย่ แถมยังเหลือบมามองผมด้วยสายตาตำหนิ  ทำเอาผมรู้สึกแย่  แค่ไม่ได้ไปกินข้าวกันไม่น่าจะค้อนกันแบบนี้ หรือว่ามันทะเลาะกับน้องแก้ว  ท่าทางจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
   และแล้ววิทย์มันก็ทำให้ผมคิดว่าที่เดาไว้นั้นถูกต้อง เมื่อหลังเลิกเรียนมันเดินมาชวนผมไปกินเหล้าที่คอนโดของมัน
   “ทะเลาะกับน้องแก้วหรือไง?”
   ผมถามอย่างเกรงอกเกรงใจ ความจริงก็อยากจะถามมันให้อ้อมกว่านี้หรอก แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะถามยังไง  วิทย์พยักหน้า ผมตบบ่ามันเพื่อให้กำลังใจ
   “เฮ้ย... ไม่เอาน่า โทรไปขอโทษก็หมดเรื่อง  ไม่ต้องกินเหล้าย้อมใจหรอก”
   “เรื่องของฉันน่ะ!!”
   วิทย์บอกปัดความหวังดีของผม  มันทำให้ผมคิดว่าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ทีผมล่ะมันจี้เอาๆ
   “มีเรื่องอะไรกันล่ะ ฉันพอช่วยได้รึเปล่า?”
   ผมถามออกไป โดยลืมไปว่าคำตอบรออยู่แต่แรกแล้ว
   “ช่วยไปกินเหล้าเป็นเพื่อนฉันไง”

-------------------------------
   ความสงสัยของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นความแน่ใจ เมื่อไอ้วิทย์ใช้ให้ผมช่วยถือถุงใส่ขวดเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ขณะที่ตัวมันถือแค่ถุงน้ำแข็ง นอกจากมันจะเห็นผมเป็นเพื่อนกินเหล้ายามทุกข์ใจแล้ว มันยังเห็นผมเป็นลูกหาบอย่างดีอีกด้วย  ผมภาวนาให้มันสะกดคำว่าเกรงใจเป็นก่อนที่ผมจะเลิกคบมันไปก่อน
   “อื้อหือ...ห้องโคตรหรูเลย”
   ผมอุทาน เมื่อพบว่าห้องมันตกแต่งอย่างกับโรงแรม ต่างจากห้องผมที่รกเหมือนรูหนู  คิดไปยิ่งรู้สึกริบหรี่เรื่องน้องแก้ว ถึงผมจะมีหวังว่าสองคนนี้จะแตกหักกันแล้วก็เถอะ แต่โอกาสที่ผมจะจีบน้องเขาได้ก็เลือนรางอยู่ดี
   “จะมาอยู่ไหมล่ะ?”
   วิทย์ถาม และปิดประตูห้อง  ผมสั่นศีรษะ วางถุงใส่ขวดเบียร์ลงบนเคาท์เตอร์ด้านหน้า
   “ฉันหารค่าเช่ากับแกไม่ไหวหรอก  อีกอย่าง ขืนฉันมาอยู่ รับรองห้องแกรกเป็นรูหนูแน่ๆ”
   วิทย์พยักหน้ายอมรับ เขาเคยประสบเหตุสะดุดสายไฟในห้องผมมาแล้ว ตอนที่ไปเอาของ
   “ค่าเช่าไม่ต้องจ่ายหรอก แล้วก็...ถ้าแกรก ฉันจะช่วยจัด”
   ผมหัวเราะออกมา
   “เฮ้ย... ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันอยู่หอเดิมก็สบายดี เกรงใจแก”
   ผมย้ำประโยคสุดท้าย ด้วยหวังว่าจะกระตุ้นต่อมเกรงใจของมันบ้าง แต่ผลที่ได้คือมันใช้ให้ผมเปิดขวดเบียร์
   “นี่...ถ้าเมาแล้วหยุดนะ”
   ผมรีบดักคอ เมื่อมันเริ่มถองแก้วแรก  วิทย์พยักหน้า และหันมาชวนให้ผมกินด้วย ผมตอบปฏิเสธ
   “ไม่เอาล่ะ ฉันแค่มานั่งเป็นเพื่อนแก ไม่ได้จะมาเมาเป็นเพื่อนเสียหน่อย”
   “เอาหน่อยน่า แกก็เห็นอยู่ว่าฉันเสียใจ แค่กินเหล้ากันแค่นี้ให้เพื่อนไม่ได้หรือไง”
   ผมขมวดคิ้ว นึกอยากจะเขียนคำว่าเกรงใจใส่กระดานแผ่นใหญ่ๆ ให้มันอ่านออกเสียงดังๆ  ท้ายที่สุดผมก็เลยต้องนั่งดื่มกับมันด้วย
   “น่าจะมีกับแกล้ม”
   ผมว่า เพราะกินแต่เบียร์อย่างเดียวมันชวนให้พับง่ายจริงๆ  วิทย์หันมามองหน้าผม
   “ลงไปซื้อไหม?”
   “ไม่ต้องหรอก”
   ผมตอบด้วยความเกรงใจ และคิดว่าไม่นานมันคงเมาพับไปก่อนผม จากสถิติที่มันเมาเอาถ้วยในงานรับน้องทุกปี ลำบากผมต้องไปหามทุกปีเหมือนกัน
   “นี่... บอกได้หรือเปล่าว่าแกทะเลาะอะไรกับน้องแก้ว”
   ผมพยายามชวนมันคุย เมื่อเห็นว่ามันดื่มเอาๆ เพราะกลัวว่านอกจากมันจะเมาแล้ว มันจะขย้อนของเก่าออกมาด้วย  วิทย์สั่นศีรษะ เขาไม่ตอบคำถามของผม แต่ถามกลับ
   “แกเคยชอบใครบ้างรึเปล่า?”
   ผมมองหน้ามัน กระพริบตาปริบๆ หรือมันจะรู้ระแคะระคายเรื่องที่ผมชอบน้องแก้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นมันแสดงอาการอะไรก่อนหน้านี้นี่ ผมตัดสินใจตอบปฏิเสธไป
   “หรอ...นี่แกไม่เคยชอบใครเลยหรอ”
   ผมนึกสงสัยว่าไอ้วิทย์มันคิดอยากจะให้ผมตอบจริงๆ หรือเปล่า สงสัยมันจะเห็นผมอึ้งไปนานเลยพูดต่อ
   “หรือแกชอบคนใกล้ตัว เลยไม่กล้าพูด
   ผมมองมันอย่างตกใจ ผมชอบคนใกล้ตัวจริงๆ น้องแก้วแฟนมันนั่นแหละ  วิทย์หันมาจ้องหน้า ผมได้แต่กลืนน้ำลายเฮือก ยิ้มตอบมันไป
   “ไม่ใช่หรอกน่า คิดมากไป ถ้าฉันชอบคนใกล้ตัวก็คงบอกแกไปแล้ว”
   “บางทีแกอาจจะไม่กล้าบอกฉันก็ได้  ตกลงแกชอบใครว่ะสน?”
   ผมขมวดคิ้ว นี่มันจะเอาเรื่องเอาราวกับผมให้ได้เชียวหรือ หลังจากเป็นเพื่อนกันมาหลายปีดีดัก ผมก็พอจะเข้าใจนิสัยของมัน ไอ้เรื่องจะเค้นคอผมเนี่ย ของถนัดมันเลยล่ะ เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องเลี่ยงหนีมันไปทุกครั้งที่ผมไม่อยากจะพูด
   “ไม่มีหรอก”
   ผมตัดสินใจปฏิเสธเสียงแข็ง ดีกว่าอ้อมๆ แอ้มๆ แล้วต้องทะเลาะกับมันตอนหลัง  มันมองหน้าผม ทำให้ผมฉุกคิดถึงเหตุผลที่มาที่นี่ได้
   “แล้วตกลงแกทะเลาะอะไรกับน้องแก้ว นี่ฉันมาเพื่อหาวิธีช่วยแกนะ ไม่ใช่มาให้แกสอบสวน"
   “แกมาเมาเป็นเพื่อนฉันก็พอ”
   ไอ้วิทย์ตอบแบบที่ผมอยากจะยกแก้วขึ้นทุบกะโหลกหนาๆ ของมัน และมันก็ไม่สนใจด้วยว่าผมจะรู้สึกหมั่นไส้มันขนาดไหน ยังคงยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มและพูดต่อ
   “แต่ฉันชอบคนใกล้ตัว แล้วฉันก็ไม่กล้าบอกด้วย”
   ในที่สุดไอ้วิทย์ก็สารภาพออกมา นี่ล่ะมั้งเหตุผลที่มันทะเลาะกับน้องแก้ว
   “อ่าว... แกชอบคนอื่น แล้วไปขอน้องแก้วเป็นแฟนทำไมว่ะ?”
   ผมถามอย่างสงสัย รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย นี่สรุปมันหลอกน้องแก้วหรอเนี่ย
   “เรื่องของฉัน!!”
   ไอ้วิทย์ให้คำตอบอย่างที่ผมแทบจะอดเอาบาทาลูบหน้ามันไม่ได้  ผมมองหน้ามันอย่างตำหนิ  แต่มันกลับมองผมอย่างรำคาญ
   “แกจะไปเดือดร้อนอะไรเรื่องน้องแก้ว ชอบเธอหรือไง”
   “เออ”
   ผมตอบออกไป หวังว่ามันคงคิดว่าผมล้อเล่น เพราะท่าทีผมไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ มันมองผมอย่างแปลกใจ
   “ถ้าแกชอบน้องแก้ว แล้ววันนี้แกหนีไปกินข้าวกับคนอื่นทำไม?”
   ผมเกาศีรษะอย่างอับจน สุดท้ายก็กลายเป็นมันกำลังไต่สวนผมอีกแล้ว สงสัยชาติที่แล้วหมอนี่จะเกิดเป็นผู้พิพากษา หรือไม่ก็ทนายความ ซักเก่งขนาดนี้ทำไมไม่ไปเรียนกฎหมายเสียเลยล่ะนี่
   “ฉันไม่อยากรบกวนแก”
   ผมตอบเขาไปตามจริง เขามองหน้าผมด้วยแววตาหงุดหงิด
   “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้รบกวน”
   ผมยิ้มแห้งๆ โบกไม้โบกมือ
   “เอาน่าๆ  ในเมื่อแกไม่ยอมเล่าว่าทะเลาะอะไรกัน งั้นก็ดื่มให้ลืมทุกข์แล้วกัน พรุ่งนี้อย่าอ๊วกล่ะ”
   ผมตั้งใจจะพูดประชดมัน และภาวนาว่ามันคงไม่บ้าจี้กินจนเมาอ๊วก แต่เบียร์แค่สามขวดคงไม่ทำให้มันอ๊วกหรอก วิทย์เหล่ตามาทางผมอีก ท่าทางมันจะยังไม่พอใจผลการสอบสวน
   “คนที่แกไปกินข้าวด้วยวันนี้ใครวะ รู้จักกันนานแล้วยัง”
   ผมย่นคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย นี่มันจะตั้งตัวเป็นบิดาผมหรือไง
   “รุ่นพี่อีกคณะ รู้จักกันโดยบังเอิญ”
   “เขาจีบแก?”
   ผมแทบจะพ่นเบียร์ในปากออกมา ดีที่กลืนลงไปนานแล้ว ไอ้ที่เล็ดลอดออกมาเลยกลายเป็นฟองน้ำลายแทน  ผมยกมือขึ้นเช็ดปาก มองมันอย่างเหลือเชื่อ
   “จะบ้าเรอะ นั่นผู้ชายนะ!!!”
   ผมกระแทกแก้วเบียร์ลงกับพื้นบ่งบอกว่าไม่พอใจ  ไอ้วิทย์หัวเราะแห้งๆ คงรู้ตัวว่าล้อผมแรงเกินไป  มันรีบยกเบียร์ขึ้นซดอย่างเอาเป็นเอาตาย
   “เฮ้ย ช้าๆ ก็ได้  จะทำสถิติโลกหรือไง”
   ผมปราม มันหันมามองผม
   “แกก็กินด้วยสิ ฉันให้มากินเป็นเพื่อน ไม่ใช่ให้มาห้าม”
   ผมถอนหายใจเฮือก และค่อยๆ จิบเป็นเพื่อนมัน  ในที่สุดไอ้วิทย์ก็เริ่มเมาได้ที่ตอนหมดขวดที่สามพอดี ผมลากมันขึ้นไปบนเตียง
   “น้ำวางอยู่ตรงนี้นะ”
   ผมพูดและวางขวดน้ำไว้ข้างเตียง เผื่อมันจะตื่นมากินตอนดึก วิทย์ดึงมือผมไว้
   “นี่ สน  แกจะเกลียดฉันหรือเปล่าถ้าฉันพูดออกไปว่าฉันชอบใคร?”
   ผมมองหน้ามัน รู้สึกวูบๆ หรือมันจะลองหยั่งเชิงผมอีก นี่ขนาดมันกำลังเมานะนี่
   “ฉันไม่เกลียดแกหรอก รับรองได้ แกนอนได้แล้ว”
   ผมตอบ และหวังว่ามันคงไม่เกลียดผมเหมือนกัน ถ้ามันรู้ว่าผมชอบใคร  วิทย์มองหน้าผมด้วยสายตาแปลกๆ
   “พูดจริงๆ นะ”
   “เออ”
   ผมตอบ และคิดว่าน่าจะอาบน้ำก่อนนอน แต่ไอ้วิทย์กลับดึงมือผมอย่างแรงจนผมล้มลงไปบนตัวมัน
   “เป็นอะไรว่ะ!!”
   ผมร้องถามอย่างตกใจ และนึกขึ้นได้ว่ามันอาจจะเมาจนวูบ แต่ไอ้แรงดึงตะกี้มันเหมือนจงใจจะกระชากผมลงไปมากกว่า วิทย์ปีนขึ้นมาบนตัวผม ถอดแว่นผมออก คราวนี้ผมถึงได้ตกใจจริงๆ ครับ เพราะมันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
   “ฉันชอบแก”
   ผมอ้าปากค้าง ไอ้วิทย์มันคงเมาหนักจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แน่ๆ ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา คงต้องลงไม้ลงมือให้มันรู้สึกตัว แต่ก่อนที่ผมจะได้ยกมือขึ้นทุบกะโหลกมัน มันก็ชิงจูบปากผมก่อน  ผมก็ตกใจสิครับ ทั้งดิ้นทั้งเตะ แต่มันก็ไม่ยักจะยอมลงไปจากตัวผม แถมยังถอดเสื้อผ้าผมออกอีก  ผมอยากจะด่ามันใจจะขาด จนใจที่จังหวะที่มันปล่อยริมฝีปากออกจากปากผมนั้นมีแวบเดียวแค่พอให้หายใจเท่านั้น ผมได้กลิ่นเบียร์หึ่งจากปากมัน และเหมือนว่าความเมามันแพร่กันได้ ไม่ก็ฤทธิ์เบียร์ที่ผมดื่มเข้าไปมันเพิ่งกำเริบขึ้นมา  สุดท้ายผมก็หมดเรี่ยวหมดแรงจะผลักไสมันออก ปล่อยให้มันชื่นชมร่างกายของผมได้ตามใจชอบ  เพิ่งรู้วันนี้เองว่าไอ้วิทย์มันเก่งเรื่องพรรณนี้ แต่ทำไมมันต้องมาทำกับผมด้วย  ผมถูกมันจูบครั้งแล้วครั้งเล่า  รู้สึกถึงนิ้วมือเรียวของมันที่ป้วนเปี้ยนอยู่ตรงยอดอกของผม มันทั้งบีบทั้งดึงจนผมต้องร้องออกมาด้วยความเสียว ตรงนั้นของผมก็เริ่มตื่นขึ้นมาแล้ว ที่ทำให้ผมตกใจกว่านั้นคือตอนที่ตรงนั้นของมันแตะถูกต้นขาของผม  มันร้อน และใหญ่มาก  ผมดิ้นหนี ไม่ใช่เพราะจินตนาการไปว่าจะแตะถูกต้นขาของผม  มันร้อน และใหญ่มาก  ผมดิ้นหนี ไม่ใช่เพราะจินตนาการไปว่าจะถูกทำอะไร แต่เพราะรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะทำอะไรผมต่างหาก แต่ไอ้วิทย์ไม่เปิดโอกาสให้ผมหนี มันใช้เสื้อมัดมือผมไว้  จัดการกระตุ้นยอดอกและริมฝีปากของผมอีกรอบด้วยนิ้วมือและลิ้นของมัน  ผมร้องลั่นตอนที่มันยัดส่วนนั้นของมันเข้ามาในตัวผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันก็พยายามจะหล่อลื่นตรงนั้นของผมด้วยเจลบางอย่าง แต่ว่าของมันใหญ่เกินไปครับ ทั้งใหญ่ทั้งยาว ผมคิดว่ากำลังจะตาย มันยกมือขึ้นปิดปากผม กัดหลังคอผม ใบหู และกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูผม แต่ผมไม่ได้ยินหรอกครับ มันทั้งเจ็บ ทั้งอึดอัด ทั้งเสียวซ่าน ทั้งสุขสม เพราะอย่างนั้นแหละครับ ผมเลยหมดสติไปก่อนที่จะได้ยินว่ามันพูดอะไร

------------------------------------
   “ไอ้บ้า!!”
   นั่นเป็นคำแรกที่ผมพูดใส่หน้าไอ้เพื่อนบ้าคนนี้ หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาและระลึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมเมื่อคืน  ไอ้วิทย์ยิ้มแห้งๆ มันหยิบแว่นทำท่าว่าจะใส่ให้ผม ผมเลยคว้าจากมือมันมาใส่เอง และถลึงตามองหน้าหล่อๆ ของมัน
   “ขอโทษ”
   มันพูดด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ ผมย่นคิ้ว ทำหน้าบูด ขอโทษแล้วมันหายมั๊ย!!
   “ฉันไม่คิดว่าแกจะสลบ….”
   “ไอ้บ้า!!!!”
   ผมด่ามันอีกรอบ และใช้มือผลักมันออกไป ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่าง จนต้องร้องออกมา
   “เป็นอะไรรึเปล่า?”
   ไอ้วิทย์เรียกผมอย่างเป็นห่วง มันรีบโอบตัวผมเข้าไปแนบกับตัวมัน ยิ่งทำให้ผมเจ็บหนักว่าเดิม ผมแยกเขี้ยวใส่มัน ไอ้บ้านี่มันเข้าใจหัวอกผมบ้างไหม
   “เจ็บ!!!”
   ผมโวยวาย อยากจะทุบมันให้ตายๆ ไปตรงนี้เลย  มันกล้าทำกับผมแบบเมื่อคืนได้ยังไง!!!
   วิทย์กอดผมแน่นขึ้นอีก มันคงเข้าใจอะไรผิด กอดแน่นไม่ได้ช่วยให้หายเจ็บ มันยิ่งเจ็บต่างหาก
   “ฉันขอโทษ”
   มันพูดอีก คราวนี้ผมเริ่มมีโมโหขึ้นมา จึงยกมือขึ้นผลักไสมันเป็นการใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ขยับนั่นแหละ แล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆ ไหลออกมาจากตรงนั้นของผม ที่ถูกยัดเยียดของมันเข้าไปเมื่อคืน
   “มีอะไร?!!”
   มันรีบถาม เมื่อเห็นผมชะงักไป ผมน้ำตาไหล อยากร้องไห้ออกมาตรงนั้น
   “ไอ้บ้า!!! แก...แกปล่อยไว้ในตัวฉัน”
   ผมอาละวาดโวยวายจนมันต้องจับข้อมือผมไว้  ผมร้องไห้ มองหน้ามัน
   “ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”
   วิทย์มองหน้าผมอย่างปวดใจ แต่แทนที่มันจะสำนึก มันกลับจูบปากผมอีก
   “ฉันชอบแก”
   ผมผลักมันออก มองหน้ามันด้วยความโกรธ
   “ชอบฉัน ชอบฉันแล้วต้องทำแบบนี้หรอ  น้องแก้วล่ะ แกก็ทำแบบนี้เหมือนกันล่ะสิ”
   มันดึงตัวผมเข้าไปกอด สมองของมันต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ มันยกมือลูบหัวผมเหมือนเด็กๆ
   “น้องแก้วกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันหรอก ก็แค่แผนยั่วให้แกหึง”
   “หึง? แกจะยั่วฉันให้หึงแกทำไมว่ะ ฉันเป็นเพื่อนแกนะ”
   วิทย์ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เขาจูบผมอีกครั้ง ผมเบือนหน้าหนี
   “แกไม่หึงฉัน แต่แกกลับทำให้ฉันหึงแกด้วยการหนีไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น”
   “จะบ้าเรอะ!! ฉันบอกแล้วว่าฉันเกรงใจแก”
   ผมอธิบาย ไอ้วิทย์พยักหน้าเหมือนว่ามันเข้าใจ แต่แล้วผมก็รู้ว่ามันไม่เข้าใจสักนิด
   “แต่ฉันหึงนี่...  ถึงแกจะไม่คิดอะไร แต่คนอื่นอาจจะคิดก็ได้  เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยต้องป้องกันไว้ก่อน”
   “ป้องกันยังไง!!?”
   ผมถามอย่างหงุดหงิด  มันยิ้มให้ผม ให้ตายสิ ผมไม่ชอบตาเยิ้มๆ ที่มันทำใส่ผมเลย
   “ก่อนที่แกจะถูกใครซิวไป ฉันก็ต้องจัดการแกก่อน เพราะแกเป็นเพื่อนสนิทของฉัน เพราะฉะนั้นฉันควรจะเป็นคนแรกของแก!!”
   มันเป็นเหตุผลที่โคตรจะไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาในโลกนี้  ผมถึงกับอ้าปากค้าง นึกสรรหาคำมาด่ามันไม่ออก มันหัวเราะ
   “ก็ฉันชอบแกนี่นา...  แล้วฉันก็อยากจะมีอะไรแค่กับแกคนเดียวด้วย”
   “ทำไมแกไม่ถามความรู้สึกฉันบ้าง!!!”
   ผมย้อนถามกลับ  รู้สึกเหนื่อยใจกับไอ้เพื่อนบ้าคนนี้ วิทย์ขมวดคิ้ว
   “ฉันถามแล้วแต่แกไม่รู้สึก จะว่าไปเมื่อคืนฉันก็ถามว่าแกจะโกรธหรือเปล่า แกก็บอกเองว่าไม่โกรธ”
   “นั่นฉันไม่รู้ว่าจะถูกแกทำแบบนี้!!!”
   ผมโวยทันที ถ้ารู้ว่าจะถูกมันจับปล้ำ ผมคงรีบเผ่นกลับห้องก่อน ไม่ก็ทุบมันด้วยขวดเบียร์ วิทย์ทำหน้าระรื่น
   “อย่าโกรธฉันเลยนะ ถ้าแกโกรธ ฉันก็คงต้องง้อ เกิดฉันง้อแล้วแกยังโกรธ ฉันอาจจะใช้วิธีแบบเมื่อคืน...”
   “ไอ้บ้า อย่านะ!!!”
   ผมรีบเอามือยันหน้าของมันที่ยื่นเข้ามาใกล้อย่างไม่หวังดีออกไป แต่ก็ยังถูกมันขโมยหอมแก้ม
   “มาอยู่กับฉันเถอะ ฉันจะดูแลแกอย่างดี  ไม่ต้องปั่นจักรยานไปโซ่หลุดกลางสะพานเฉี่ยวจะเซ่นรถเมล์แบบนั้นอีกหรอก”
   “อ้าว นี่แกรู้แล้ว?!!”
   ผมถามกลับอย่างแปลกใจ มันพยักหน้า
   “มีคนเล่าให้ฉันฟัง ฉันรู้ทุกอย่างของแกนั่นแหละ ฉันเป็นห่วงแกจะตาย แกเป็นคนสำคัญของฉันนี่”
   ผมย่นคิ้ว ตกลงมันเป็นสโตรกเกอร์ผมด้วยหรอ  ถ้าเป็นคนสำคัญแล้วถูกทำแบบนี้ผมไม่เอาดีกว่า
   “ฉันจะกลับหอ”
   ผมว่าและยันตัวเพื่อลุกขึ้น เท่านั้นแหละครับ ไอ้ความเจ็บแปลบๆ ที่มันมีอยู่ก่อนยิ่งทวีอานุภาพของมันมากขึ้น มากพอจะทำให้ผมล้มลงไปนอนได้เลย ไอ้วิทย์รีบคว้าตัวผมไว้ ราวกับมันเป็นพระเอกหนัง ผมหันไปถลึงตาใส่มัน
   “แกไปไหนไม่ไหวหรอก นอนนิ่งๆ อยู่ที่นี่แหละ วันนี้ฉันจะดูแลแกเอง”
   “ก็เพราะใครกันล่ะ ที่ทำให้เป็นแบบนี้”
   ผมพูดอย่างขุ่นเคือง แต่มันกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
   “ฉันเป็นคนทำเอง เพราะฉะนั้นฉันจะรับผิดชอบ เป็นแฟนกับแก”
   “ใครมันอยากจะเป็นกัน!!”
   ผมว่า นึกสงสัยว่าไอ้บ้านี่มันนึกแต่ได้เป็นอย่างเดียวหรือไง เคยเกรงใจผมบ้างไหม มันยิ้มหน้าระรื่น
   “ฉันอยากเป็นแฟนแก แกก็ต้องมาเป็นแฟนฉัน ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว เลื่อนฐานะมาเป็นแฟนก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก”
   “เสียหายสิ!!!  นี่แกไม่คิดจะเกรงใจอะไรฉันเลยใช่ไหม?”
   ผมโวยวาย ไอ้วิทย์ทำหน้าแปลก
   “ฉันจะเกรงใจแกไปทำไม ในเมื่อปกติแกเกรงใจฉันจะตาย ขืนฉันเกรงใจแกอีก มีหวังไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
   “ไอ้บ้า!!!”
   ผมเอาหมอนปาใส่หน้ามัน วิทย์หัวเราะ มันดึงผมเข้าไปจูบอีกรอบ ผมพยายามจะผลักมันออก    แต่มันก็จูบเอาๆ จนผมเผลอตัวให้มันอีก นี่ขนาดมันรู้ว่าผมเจ็บอยู่นะ
   ไอ้บ้านี่มันไม่เคยเกรงใจผมจิรงๆ

-------------------------------------------------

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ชื่อเรื่องโดน ต้องรีบเข้ามาอ่านว่าเป็นยังไง
ปรากฎว่าหื่นฮามิใช่น้อย ขอตอนสองเลยได้ป่าวครับ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
รอตอนต่อไปจ๊ะ

ชัวร์นะว่าไม่ดราม่า

คนของเธอ

  • บุคคลทั่วไป
วิทย์พูดถูกนะ  เกรงใจไปมา ไม่ได้กันซักที
นายเอกเรื่องนี้ น่าเป็นห่วงมาก ไม่ค่อยดูแลตัวเองเลยนะฮับ
โดนเพื่อนปล้ำไม่ยักโกรธมากแฮะ จริงๆ ก็สมยอมเหมือนกันอะดิ  :haun4: :haun4:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
 :mc4: :mc4: :mc4:
ชอบเรื่องนี้ๆๆๆๆ
อ่านหลายรอบแระ อิอิ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
นายเอกเรื่องนี้น่ารักดีจ้ะ เรื่องราวก็อ่านไปยิ้มไป บางทีก็เผลอหัวเราะแหละ

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
ตายไม่เกรงใจเพื่อนเลยยแบบนี้



555555 น่าสงสารจริงๆๆ

ออฟไลน์ lovetn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบแฮะ ฮาดี 5555

ขัดใจตรงพูด "ฉัน" กับ "แก" นี้แหละ เพราะเกิ๊นนนนนน

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
พยานที่สอง จำเลยที่หนึ่ง

   “เพราะผมไม่มีสมบัติผู้ดี!!”

เหลือเชื่อมากครับที่มีคนกล้าใส่ความผมแบบนี้  ที่สำคัญคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็ไอ้สนเพื่อนผมนี่แหละครับ  คงคิดสินะครับว่าผมมันแย่สิ้นดีที่ไม่เกรงใจเพื่อนของตัวเองขนาดลงมือปลุกปล้ำคาห้องพัก นี่ถ้าเป็นเพื่อนแบบธรรมดาเรื่องของผมคงได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง เพราะไอ้สนมันคงวิ่งไปแจ้งความ  แต่เพราะมันเป็นเพื่อนไม่ธรรมดาน่ะสิครับ  ผมถึงต้องนั่งเถียงกับมันอยู่ตอนนี้
“ตกลงแกไปหลอกน้องแก้วมาใช่ไหม?”
ไอ้สนถามผมอย่างเอาเรื่อง ทั้งๆ ที่มันยังนอนแก้ผ้าอยู่บนเตียงข้างๆ ผมนี่แหละ แทนที่มันจะโวยวายเรื่องถูกข่มขืน กลับดูจะห่วงน้องแก้วเสียงั้น ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันคิดอะไรอยู่
“ดูแกจะกังวลใจเรื่องน้องแก้วมากกว่าเรื่องก้นของแกเสียอีกนะ”
ผมว่า ไอ้สนหน้าตื่นทันที ก็ตอนตื่นมาเห็นมันบ่นอุบอิบเรื่องเจ็บก้น  พอถูกจูบอีกรอบก็เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องน้องแก้วเสียงั้น  สงสัยมันจะอาย แต่ผมก็เป็นห่วงก้นของมันเหมือนกัน
“เฮ้ย!! จะทำอะไรอีกวะ!!!”
เพื่อนสวมแว่นของผมแหกปากลั่น  ก็สมควรที่มันจะแหกปากโวยวายล่ะครับ เพราะผมเพิ่งจับขามันดันขึ้นเพื่อจะดูก้นของมันเสียหน่อยว่าเสียหายอะไรมากรึเปล่า ผมกลัวมันจะมีเลือดออกข้างใน แต่ก็ดูจะปกติดี
“เลือดไม่ออกนิ แกเจ็บมากรึเปล่า ฉันพาไปหาหมอไหม?”
ผมถามมันด้วยความห่วงใยบวกหวังดี แต่มันเอานิ้วจิ้มตาผม ดีนะที่ผมมือไวปัดทัน ไม่งั้นตาบอดแน่ๆ
“ไว้วันหลังจะทำให้เบากว่านี้แล้วกัน”
“ไม่มีวันหลังแล้วว้อย!!”
มันค้านเสียงแข็ง ทำเอาผมต้องนิ่วหน้า มีครั้งแรกแล้วก็ต้องมีครั้งที่สองสิ หมอนี่ไม่เข้าใจหรือไง
“ตอบฉันมาว่าตกลงแกไปหลอกน้องแก้วมาใช่ไหม ฉันไม่คิดเลยนะว่าแกจะเป็นผู้ชายแย่ขนาดนี้!!”
ไอ้สนวกกลับมาที่เรื่องน้องแก้วต่อ มันเทศน์ผมอย่างกับเป็นลูกมัน หรือว่ามันจะแอบชอบน้องแก้ว?
“ทำไมแกถึงติดใจเรื่องน้องแก้วนัก ชอบจริงๆ เรอะ?”
ผมลองถาม คิดว่ายังไงไอ้สนคงไม่กล้าจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะถ้ามันกล้า มันคงจีบน้องแก้วก่อนที่จะถูกผมควงมาแกล้งมัน  แต่คราวนี้แปลก ไอ้สนกลับยอมรับออกมาอีก แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ก็เถอะ
“อะ..เออ”
ผมขมวดคิ้วทันที ความอิฉฉาแวบเข้ามาในหัวใจ แต่ว่าน้องแก้วเป็นเพื่อนที่ดีมากของผม เผลอๆ จะดีกว่าไอ้เพื่อนที่กำลังขู่ผมฟอดๆ นี่เสียอีก ดังนั้นผมจึงพยายามจะพูดกับมันดีๆ
“นี่ ไอ้คุณสน น้องแก้วเป็นเด็กดีมากนะ  เพราะฉะนั้นแกอย่าทำให้ฉันต้องไปหึงโหดใส่เธอ”
“ห๊ะ!!”
สนร้องเสียงเหวอ  ผมสงสัยว่ามันยังไม่รู้ตัวหรือเข้าใจอีกหรือไงว่าผมคิดยังไงกับมัน ถึงมันจะเฉื่อย ซื่อบื้อ หัวอ่อน แต่ก็ไม่น่าจะโง่ขนาดนี้
“แกอย่าทำอะไรน้องแก้วนะ!!”
สนร้องห้ามผม แลดูมันอยากจะปกป้องน้องเขาเหลือเกิน  นี่คิดว่าผมจะไปทำอะไรน้องแก้วหรือไง รู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้วยังไม่รู้นิสัยกันอีกเเหรอเนี่ย แต่เอาเถอะครับ ผมเองก็คงไม่ได้รู้จักมันดีเท่าที่ผมอยากจะรู้จักเท่าไหร่ อย่างน้อยผมก็เพิ่งรู้อีกอย่างว่า ไอ้สนมันทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ คงต้องทำให้มันหยุดเฉื่อยหยุดโง่สักหน่อย
“นี่ ถ้าแกชอบน้องแก้ว ทำไมไม่จีบน้องเขาล่ะ?”
ผมถามกลับ มันอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถลึงตาใส่ผม
“ฉันจะจีบได้ไง ในเมื่อเขาเป็นแฟนแก ที่น่าโมโหคือแกดันหลอกน้องเขาอีก”
ผมยกมือขึ้นเกาหัว สรุปว่าไอ้สนมันติดใจเรื่องน้องแก้ว หรือเรื่องที่ผมหลอกน้องแก้วกันแน่
“ฉันไม่ได้หลอก น้องเขาเสนอตัวจะช่วยฉันเรื่องแก”
ผมจำต้องอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มันฟัง ไม่งั้นคงต้องทนฟังมันบ่นเรื่องนี้ไปอีกหลายวัน ไอ้สนมองผมอย่างไม่เชื่อ ผมจึงพูดต่อ
“ฉันคุยเรื่องแกกับน้องเขาตอนไปทะเล”
“แกไปเที่ยวทะเลกับน้องเค้าเมื่อไหร่วะ?”
สนถามอย่างแปลกใจ ก็สมควรอยู่ เพราะผมแทบไม่เคยหายหน้าไปจากมันเลยแม้แต่วันเดียว ขนาดนี้แล้วมันก็ยังไม่รู้ตัวอีก ซื่อบื้อได้โล่จริงเพื่อนผม
“ตอนไปรับน้อง”
ผมตอบสั้นๆ มันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ผมจึงเล่าต่อ
“ตอนแรกฉันคิดว่าน้องเขาจะมาจีบฉัน แต่เขาดันมาพูดกับฉันเรื่องแก”
“ห๊ะ?!”
ไอ้สนทำหน้าตื่นเต้น นี่คิดว่าน้องแก้วมาปรึกษาว่าชอบมันหรือไง  ผมมองมันอย่างเซ็งๆ
“เขาไม่ได้มาปรึกษาฉันว่าแกหล่อไม่หล่อหรอก แต่ถามว่าฉันงอนที่ถูกแกเย็นชาใส่ใช่ไหม?”
“ฉันไปเย็นชาใส่แกตอนไหน!!”
ไอ้สนถามทันที พร้อมทำหน้างงหนัก ผมละอยากจะตอบมันออกไปจริงๆ ว่า ทุกเวลาที่มันอยู่กับผมเลยล่ะครั้ง ผมน่ะ ทั้งนั่งใกล้ ทั้งหลอกจับมือ ทั้งพยายามจะพาขึ้นรถ พาไปเที่ยว แต่มันปฏิเสธผมทุกอย่าง  ถ้าจะบอกว่าผมไม่มีสมบัติผู้ดีล่ะก็ ต้องโทษมันนั่นแหละครับที่ทำให้ผมต้องทิ้งสมบัติผู้ดีไป
คนโง่ๆ แบบมัน ใช้ความเป็นผู้ดีเข้าถึงไม่ได้หรอก
“แกไม่ยอมไปนั่งเล่นที่ชายหาดกับฉัน  ฉันก็เลยต้องไปนั่งคนเดียว”
ไอ้สนทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้ มันร้องอ้อออกมา
“ฉันบอกแกแล้วว่าไม่สบาย”
“ทำไมแกต้องไม่สบายอยู่เรื่อยเวลาที่ฉันชวนไปโน่นมานี่วะ?!!”
ผมโวยทันที ไอ้สนทำหน้างงอีก
“ฉันไม่เคยอ้างเรื่องไม่สบายนะ ปกติก็ไปไหนมาไหนกับแกตลอดนี่”
“ไม่จริงว้อย!!”
ผมแย้ง  มันเคยไปไหนมาไหนกับผมอย่างที่ว่าเมื่อไหร่ล่ะ
“ฉันชวนแกไปเที่ยวที่เกาะเสม็ด แกก็ไม่ยอมไป บอกว่าไม่มีเงิน พอฉันจะออกให้แกก็บ่ายๆ เบี่ยงๆ บอกว่าเจ็บขา  อีกวันฉันชวนแกไปดูหนัง แกก็อ้างไม่มีเงินอีก พอฉันจะจ่ายให้แกก็ล้มจักรยานจนข้อเท้าเคล็ด!!”
สนยกมือขึ้นเกาหัวแกร่ก มันคงยอมรับแล้วว่าเป็นแบบที่ผมกล่าวหา
“ฉันเกรงใจแก”
“เกรงใจหรือว่าไม่ชอบอยู่ใกล้ๆ ฉันกันแน่?”
ผมถามอย่างคาดคั้น ถ้าตอบไม่ดีมันคงโดนอีกรอบหนึ่งแน่ๆ ไอ้สนขมวดคิ้ว
“ฉันเป็นเพื่อนแกนะ!! ถ้าฉันไม่อยากอยู่ใกล้ๆ แกฉันคงเลิกคบแกไปแล้ว แต่ดูแกชวนแต่ละอย่างสิ ฉันไม่ใช่คนหน้าด้านหน้าทนจะให้เพื่อนเลี้ยงไปตลอดหรอกนะ”
“งั้นทำไมเวลาฉันชวนมาห้อง แกถึงไม่ยอมมาวะ  มาห้องฉันไม่เสียค่าเช่าสักหน่อย!!”
ผมยังคงไม่ยอมแพ้  ขุดเรื่องเก่าๆ ที่มันทำซ้ำๆ ซากๆ มาคิดบัญชีใหม่  คงได้เวลาทบต้นทบดอกซักที
“เมื่อวานฉันก็มาแล้วไง”
สนพูด ผมคิดว่ามันไม่กล้าพูดประโยคที่เป็นเหตุการณ์ต่อจากนั้น
“กว่าแกจะมาก็ต้องให้ฉันแต่งเรื่องไปหลอก  แกเคยมาด้วยตัวแกเองสักครั้งหนึ่งมั๊ย?!!”
“โอ๊ย!! นี่แกเป็นโรคขาดความอบอุ่นรึไง!!!!!”
ไอ้สนร้องออกมาอย่างสิ้นความอดทน ไม่บ่อยนักที่จะเห็นมันน็อตหลุดแบบนี้ ขนาดถูกปล้ำมันยังไม่วีนแตกขนาดนี้เลย
“ฉันเคยมาห้องแกแล้ว ตอนที่แกเป็นไข้ไม่สบายแล้วไม่ยอมไปหาหมอฉันก็ตามมาดูถึงห้อง  แกจำไม่ได้หรือไง!!!”
ไอ้สนโพล่งในสิ่งที่มันเคยทำออกมา ผมชี้หน้ามันทันที
“แกก็จำได้นี่!!!”
“จำได้สิ ไอ้บ้า!! มีแต่แกนั่นแหละที่ลืม!!”
มันด่าผมอีก สงสัยจะโมโหที่ผมหาว่ามันไม่เคยมาหาผมเลย แต่ผมดีใจนะที่มันยังจำได้ ไม่รู้ว่ามันจะจำรายละเอียดที่มันมาหาผมตอนนั้นได้หรือเปล่า
“ต้องรอให้ฉันป่วยใกล้ตายก่อนหรือไง แกถึงจะมาหาฉันแบบนั้น”
สนมองหน้าผมอย่างสงสัยอีกรอบ
“แบบนั้นของแกคือแบบไหน?”
มันถาม ดูท่าทางว่าจะพอเดาออกว่าผมหมายความว่ายังไง ผมดึงตัวมันเข้ามา ก็รู้หรอกครับว่ามันเพิ่งได้รับความบอบช้ำทางร่างกายมาหมาดๆ เมื่อคืน แต่ถ้าไม่แสดงให้เห็นชัดๆ ผมก็กลัวว่ามันจะซื่อบื้อไม่เข้าใจอีก  ผมเอาหน้าผากตัวเองแนบเข้ากับหน้าผากของมัน รู้สึกเลยล่ะครับว่าลมหายใจของมันอุ่นขนาดไหน เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด
“วันนั้นแกวัดไข้ฉันแบบนี้ บอกหน่อยเด๊ะ เพื่อนโลกไหนเขาวัดไข้ใกล้ชิดกันขนาดนี้!!!”
ผมถามใส่หน้ามัน  ก็เพราะไอ้วิธีวัดไข้พิสดารของมันนี่แหละครับ ถึงทำให้ผมเพ้อไข้ขึ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้
“ใครๆ เขาก็วัดไข้กันแบบนี้”
ไอ้สนหลบตาผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ  อย่างน้อยมันก็ยอมรับว่าวัดไข้แบบถึงเนื้อถึงตัวกับผม  ผมจับหน้าของมันให้หันกลับมา
“งั้นถามหน่อย  เวลาวัดไข้คนอื่น ต้องชิมปากเขาด้วยหรือไง?”
“ก็ฉันเห็นปากแกซีดๆ”
สนว่า ดูมันดิครับ ถึงขั้นนี้แล้วยังแก้ตัวไปได้ ผมถึงกับต้องยกตัวที่ยังล่อนจ้อนของมันขึ้นมา
“เฮ้ย!!! จะทำอะไรอีกเนี่ย”
ไอ้สนร้องอย่างตกใจ ผมแลบลิ้นเลียสีข้างของมัน
“ดูว่าสีข้างแกถลอกหรือยัง”
ผมว่า ก่อนจะถูกไอ้สนตบผัวะเข้าที่หัว  เล่นเอาผมเห็นดาวเลยล่ะครับ เหมือนได้ยินเสียงมันร้องอย่างตกใจ
“เฮ้ย วิทย์ เป็นไรปล่าว  ฉันขอโทษ”
ผมเลยแสร้งทำเป็นเจ็บหนัก ไถลลงไปกับหมอน ทำเหมือนว่าสลบไปเลย ดูซิว่ามันจะทำยังไง
“วิทย์?!!”
ไอ้สนเรียกชื่อผมอีก ผมรู้สึกว่ามันไต่ขึ้นมาบนตัวผม  ยื่นหน้ามาใกล้เสียจนหายใจรดกัน  ผมรอให้มันทำความผิดสำเร็จ
!!!
ผมรีบดึงตัวมันเอาไว้ทันที  มันทำลงไปแล้ว  มันจูบผม  เชื่อไหมล่ะครับนี่? มันจูบผมตอนที่ผมแกล้งทำเป็นสลบ
“ทำไมแกต้องลวนลามฉันตอนที่ฉันไม่รู้สึกตัวด้วยวะ!!!”
ผมกดเพื่อนสนิทลงกับเตียงอีกรอบ  จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ ต้องบังคับให้มันสารภาพออกมาให้ได้ ไอ้สนมองผม ก่อนจะหลบหน้าหนีไปทางอื่น
“ก็หน้าแกตอนไม่ค่อยรู้สึกตัวมันเห็นแล้วอดไม่ได้นี่....”
“อดไม่ได้อะไร?”
ผมถามต่อ  จับหน้าไอ้สนให้หันกลับมามองผม  มันพยายามจะดิ้นหนี
“เวลาแกหลับแล้วมันไม่น่ากลัวเหมือนตอนตื่นนี่  ฉันจะไปอดใจได้ไง”
“หมายความว่าไง? แกอยากทำตอนที่ฉันหลับ?”
ผมถึงกับอึ้งพอเห็นมันพยักหน้าหน่อยๆ ไอ้สนชอบผมตอนที่หลับเหรอ มันเคยคิดจะลักหลับผมรึเปล่าเนี่ย
“แกจะสนใจไปทำไมวะ ในเมื่อแกปล้ำฉันไปแล้ว”
ไอ้สนพูดอย่างชอกช้ำ ผมเห็นมันเอามือปิดป้องตัวแล้วก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมพอมีโอกาสมันถึงทำอยู่แค่นั้น
“ทำไมแกไม่ทำอะไรฉันไปเลย ในเมื่อแกบอกว่าอดใจไมได้ขนาดนั้น”
“ก็ฉันเกรงใจแกนี่ ฮื้อ~”
คนถูกถามครางอย่างน่าสงสาร แต่ทำให้ผมถึงบางอ้อทันที ที่แท้เพื่อนผมคนนี้มันทั้งซื่อบื้อและงี่เง่ามากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ดีแล้วล่ะที่ผมไม่เคยเกรงใจอะไรมันเลย
“ฉันเข้าใจแกล่ะ  ไหนบอกซิ แกชอบถูกเสียบ หรืออยากจะเป็นฝ่ายเสียบมากกว่า”
ไอ้สนหันมามองผมอย่างตกใจ
“ถามอะไรลามกงั้นวะ!!”
“อืม...งั้นฉันถือวิสาสะไม่ถามอีกแล้วกัน ฉันคิดว่าแกคงเกรงใจไม่อยากจะเสียบฉันหรอก เพราะฉะนั้นฉันจะเสียบแกเอง”
เพื่อนสนิทของผมตาเหลือกทันที
“ไม่เอาโว้ย เจ็บตายชัก!!!”
“งั้นแกก็ต้องเป็นฝ่ายรุกบ้าง!!”
“......”
ไอ้สนอึ้งไปพักหนึ่ง ท่าทางมันจะตะลึงเรื่องที่ผมยอมง่ายๆ โอ๊ย ผมชอบมันหมดตัวหมดหัวใจ ยอมมันทุกอย่างได้ขนาดนี้ มันจะไม่ยอมรู้ตัวอีกเชียวหรือ
“ไม่เอาอ่ะ  ใครมันจะไปโหดร้ายเหมือนแกวะ..”
ผมขมวดคิ้ว ยกมือเกาศีรษะ สุดท้าย ไอ้สนก็ไอ้สนแหละวะ คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามให้มันไม่เกรงใจผม
สนขัดขืนทันทีที่ผมก้มลงจูบมันอีกรอบ แน่นอนว่าผมก็ฝืนใจมันสุดฤทธิ์ ขืนเกรงใจมันก็คงไม่พ้นอีเหรอบเดิมๆ เดี๋ยวมันก็ชิ่งหนีไปอีก
“ฮ๊า~”
เพื่อนสนิทผมหอบหายใจเสียงพร่า หลังจากที่ผมยินยอมเปิดปากให้มันได้เอาอากาศเข้าปอดไปบ้าง ผมไซร้แก้มที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงเรื่อเบาๆ เจ้าของแก้มสะดุ้งเฮือก
“อย่า...”
สนพยายามจะร้องห้าม แต่ร้องเสียงแบบนี้ ร้องอีกสิบหนสงสัยก้นมันก็จะพังอีกสิบรอบนั่นแหละ  ร้องครางแบบนี้ใครมันจะไปหยุดกัน
“อยากให้หยุดเเหรอ?”
ผมกระซิบข้างหู ใจจริงก็ไม่คิดว่าจะหยุดอย่างที่พูดออกไปหรอก แค่อยากจะแกล้งมันเท่านั้น
“อื้อ”
สนครางพร้อมพยักหน้า ผมยิ้มด้วยความนึกสนุก เลื่อนหน้าไปกระซิบข้างหูมันเบาๆ
“งั้นตอบมา ระหว่างน้องแก้วกับฉันแกชอบใครมากกว่ากัน?”
“หา?”
ไอ้คุณสนร้องเสียงหลง ผมเลยจัดการให้มันร้องอีกเสียงหนึ่งด้วยการเลียหลังใบหูของมัน
“ตอบมา ไม่งั้นฉันทำต่อแน่”
ผมขู่ ไอ้สนทำหน้าวิงวอนเต็มที่ แต่คิดเหรอว่าหน้าแบบนี้จะทำให้ผมใจอ่อนได้ จะยิ่งได้ใจน่ะสิไม่ว่า
“โอเค ฉันตอบ... ฉันชอบ... โอ๊ย นี่แกถามในฐานะอะไรเนี่ย?”
“เพื่อนและแฟน!!”
ผมสวนกลับไป ดูหน้าไอ้สนแล้วนึกขำ สงสัยต้องจำกัดความให้มันอีก
“ระหว่างฉันกับน้องแก้ว แกอยากเป็นแฟนใคร? ตอบให้เคลียร์นะว้อย ไม่งั้น..”
   “เออ รู้แล้ว!!!”
   มันรีบตอบทันที ก่อนที่ผมจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรให้มันเห็น  ไอ้สนถอนหายใจอย่างน่าสงสาร
   “ฉันมีสิทธิ์เลือกหรือไง เฮ้อ....~”
   “หมายความว่าไง?”
   ผมถาม ไอ้สนเบือนหน้าไปทางอื่น
   “จะให้ตอบไงวะ ตอบอะไรแกก็ปล้ำฉันอีกอยู่ดี”
   “แกรู้ได้ไง!! ลองบอกมาก่อนสิ ฉันอาจจะไม่ทำอะไรแกก็ได้”
   “ไม่เชื่อ!!”
   “งั้นแปลว่าแกอยากโดน!!!”
   ผมว่า และเลื่อนมือปรื๊ดผ่านหน้าท้องขาวๆ ของมันลงไปจนถึงขาอ่อน
   “เฮ้ย อย่านะเว่ย!!!”
   ไอ้สนแหกปากโวยวาย รีบหุบขาจนน่ากลัว แต่แย่หน่อย มือผมไปถึงตอนที่ขามันลงมาพอดี
   “อ้อ....”
   ผมร้องเสียงยาว ไอ้สนหน้าแดง รู้สึกได้ถึงขามันที่พยายามจะขยี้มือผม  เดี๋ยวก็ได้ขยี้ไอ้ตรงนั้นของมันไปด้วยหรอก
   “หวังว่าแกคงไม่ได้จะใช้ไอ้ที่แข็งอยู่นี่แทนคำตอบหรอกนะ”
   “หุบปากเหอะน่า!!”
   มันพูด ปกติมันไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้กับผมหรอกครับ  ดูจากหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศของมันแล้ว ก็รู้ว่ามันคงสุดๆ จริงๆ  แต่ไม่รู้ว่าโกรธสุดๆ หรือเขินสุดๆ กันแน่
   “จะตอบได้หรือยัง?”
   ผมกระซิบถามข้างใบหูซึ่งแดงก่ำของมันอีกรอบ ไอ้สนถลึงตามองผม
   “ขนาดนี้แล้วแกยังต้องถามอีกเรอะ!!!”
   มันเอ็ด พร้อมกันจิกเล็บลงไปบนไหล่ผม อันนี้อาจจะไม่ใช่เพราะโมโหผมหรอกมั้ง เพราะตอนนี้ผมทั้งนวดทั้งคลึงทั้งล้วงเข้าไปในส่วนนั้นของมันเลย แล้วข้างในมันก็ตอบสนองอย่างน่าตกใจเสียด้วย
   “ก็อยากฟังจากปากแกนี่...”
   ผมตอบ จูบปากมันเบาๆ และปล่อยให้ครางต่อ
   “จะให้ฉันพูดได้ยังไง ในเมื่อแก..อ๊า~”
   สนร้องครางเสียงชวนให้ผมเพ้อ ร่างกายของมันระตุก มันพยายามจะผลักผมออก
   “เดี่ยว เดี๋ยวก่อน  ช้าหน่อย อ๊ะ!!! วิทย์ แบบนี้ฉันตอบแกไม่ได้ อ๊า~~”
   ผมถอนมือออกมาทันที ก่อนที่มันจะชิงเสร็จล่วงหน้าไปก่อนที่จะตอบคำถามผม ไอ้สนหอบตัวโยน
   “แบบไหนแกถึงจะตอบฉันได้”
   “ฉัน.....”
   ไอ้คุณสนอึกอักอีก  ผมล่ะเบื่อกับความอ้ำๆ อึ้งๆ ของมันจริงๆ จึงจัดแจงแหวกขาอ่อนมันออก
   “ต้องให้ฉันเข้าไปก่อนใช่ไหม?”
   “ไม่ใช่!! อ๊า!!! อ๊า!!!!!!”
   เพื่อนสนิทผมดิ้นพร่าด น้ำตาไหลพรากออกมาพร้อมกับเสียงร้อง ถึงตอนนี้ผมนึกเสียใจนิดหน่อย บางทีผมอาจจะบีบบังคับและโหดร้ายกับมันมากไป
   “สน...สน ไม่เป็นอะไรนะ?”
   ผมเอ่ยถาม อยากแค่ให้มันรู้ว่าผมก็รู้สึกห่วงมันเหมือนกัน แต่ก็คิดได้ทันทีว่าดูงี่เง่ามากที่ถามออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมนี่แหละที่พยายามจะยัดเยียดเข้าไป
   “ฮือ...”
   มันครางเสียงสั่น  ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มมัน รู้สึกสงสารและสำนึกผิดถึงขนาดคิดว่าคงต้องหยุดแล้ว
   “วิทย์....”
   ไอ้สนเรียกชื่อผมอีก ในตอนที่ผมกำลังขบคิดอย่างหนัก แล้วมันก็ทำให้ผมอึ้งบ้าง ด้วยการดึงตัวผมลงไป และจูบ...
   “สน?”
   ผมเรียกชื่อมันอย่างเหลือเชื่อ  น้ำตายังคงไหลเปื้อนแก้มแดงๆ ของมัน ร่างกายก็สั่นด้วยความเจ็บปวด  แต่ว่ามันกำลังกอดผมอยู่ แล้วเพิ่งจูบผมด้วย
   ผมควรจะคาดคั้นคำตอบจากมันอีกหรือเปล่า?
   “อา....”
   มันช่วยทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้นด้วยการบิดตัวที่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่สำหรับมัน แต่สำหรับผม มันคือการยั่วยวนที่ไม่ควรจะคิดอะไรให้มากอีก
   “ฉันชอบแก ..สน...”
   สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายที่สารภาพกับมันอีกรอบ  สนกอดผมแน่น ไม่ไม่ตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากเรียกชื่อผม
   “วิทย์..... วิทย์”

---------------------------------------------
   “สุดท้ายแกก็ไม่ตอบฉัน”
   ผมตัดพ้อเพื่อนสนิท ที่นอนอยู่ข้างๆ ความจริงเมื่อดูจากการกระทำ เหตุผล และอาการบาดเจ็บแล้ว มันควรจะเป็นฝ่ายตัดพ้อผมมากกว่า  สนนิ่วหน้า
   “แกจะให้ตอบให้ได้หรือไง?”
   “เออ….”
   ผมตอบเสียงหนักแน่น  ถึงตอนนี้มันจะอยู่ข้างผม และก็เรียกชื่อผมตลอดตอนที่ทำ แต่ผมก็ยังอยากจะได้ยินจากปากมันเองอยู่ดี
   “อืม...”
   สนส่งเสียงเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หรือไม่ก็เกิดเจ็บก้นขึ้นมา ถ้ามันตอบช้ากว่านี้ ผมคงต้องเอามันไปส่งโรงหมอ
   “ถ้าแกอยากรู้ แกก็น่าจะปฏิบัติกับฉันดีๆ เอ่อ....เกรงใจฉันบ้าง...สักนิด”
   “อา....”
   ผมเป็นฝ่ายครางขึ้นบ้าง มันหันมามองหน้าผมทันที สงสัยผมจะไปทำลายความมั่นใจที่สร้างได้ยากของมันเข้า ปกติมันไม่กล้าพูดตรงๆ กับผมแบบนี้นะเนี่ย
   “ฉันว่าฉันเกรงใจแกมากแล้วนะ”
   “ตรงไหน?”
   “ตรงที่ฉันเพิ่งรวบหัวรวบหางแกเมื่อคืน... ทั้งๆ ที่ฉันน่าจะทำตั้งนานแล้ว  นี่ฉันเกรงใจแกจริงๆ นะเนี่ย”
   ผมตอบอย่างสัตย์ซื่อ  มันเป็นอยางนั้นจริงๆ ถ้าผมไม่เกรงใจมันนะ มันไม่รอดมาจนถึงป่านนี้หรอก  เห็นหน้าที่ตกตะลึงของไอ้สนแล้วผมล่ะอยากจะบีบคอมันจริงๆ
   “แกนี่มัน...จริงๆ เล้ย”
   สนครางออกมาในที่สุด มองผมเหมือนปลงแล้ว  ผมมองสวนมัน
   “ตกลงแกจะตอบรึเปล่า?”
   “ตอบหรือไม่ตอบผลมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
   มันสรุป กลอกตามองผมผ่านแว่น และแอบยิ้ม
   “นานๆ ทีมีเรื่องที่แกไม่รู้บ้างก็ดีเหมือนกัน”
   
----------------------------------------------------------

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
หึ หึ จนแล้วจนรอด วิทย์ก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี
คนอ่านเองก็พลอยลุ้นอยู่นะว่า สนจะว่าไง
สนน่ารักเนอะ

คนของเธอ

  • บุคคลทั่วไป
นี่วิทย์เกรงใจแล้วเหรอเนี่ย   :haun4: :haun4: :haun4:
รู้สึกว่าสนซื่อมากมาย
แต่ว่าตอนท้ายนะ ไม่ซื่อแล้วนะตัวเอง หลอกให้วิทย์มันทุรนทุราย???  อยากได้ยินคำว่ารักจากปากสน  o18 o18

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เหอ เหอ  ไม่ว่าจะตอบอย่างไร  ก็โดนนนน

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
อ๊ายยยยยยยยยยยย~ :m3: เรื่องนี้บุกเล้าแล้วววววววว!!

ไอชอบเรื่องนี้สุดๆไปเลยแหละ o13

ไอล่ะปลื้มกับความช่างหัวดื้อกับการพยายามแกมความบังคับของใครบางคนจริงๆ (อ่านดูก็รู้!) ขอบอกๆ :m1:


ปอลิง คุณJuonอย่าลืมแต่งต่อนะ  :impress2:

 :L2:

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ยังไม่ว่างเขียนนกยูงแหะ กำัลังจัดหน้าสายลับเล่ม6อย่างเอาเป็นเอาตาย แปะเรื่องนี้ก่อนแล้วกันจ้า (ดองจริงๆ)

----------------------------------

เพราะเพื่อนผมมันไม่มี “สมบัติผู้ดี” 3
ภาค น้องแก้วบอกเล่า

   สมบัติผู้ดี
   คำพูดคำนี้เหมือนจะได้ยินใครพูดกันบ่อยๆ นะคะ สำหรับฉันแล้วคิดว่าความเกรงใจเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ในบางกรณี การไม่เกรงใจเลยอาจจะดีกว่าก็ได้

-------------------------------------------------
“อ้าว พี่สน?!”
   ชายหนุ่มสวมแว่นกับผมตรงแด่วที่ตัดอย่างกับทรงนักเรียนมัธยมปลาย ผู้ซึ่งกำลังยืนอ่านประกาศอยู่ตรงบอร์ดหน้าตึก หันมามองฉันด้วยสีหน้าตกใจจนน่าขัน ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก
   “นะ..น้องแก้ว”
   “ค่ะ?”
   ฉันพยักหน้า และยิ้มให้เขา ผู้ชายคนนี้ชื่อว่าสนธยาค่ะ เป็นรุ่นพี่ปีสามที่คณะ และเป็นคนที่ดูจะขี้เกรงใจคนที่สุดในโลก อันนี้เป็นคำบอกเล่าจากปากพี่วิทย์หรือวิทยา เพื่อนสนิทของเขาและเป็นคนที่ฉันแกล้งคบด้วยเพื่อแกล้งรุ่นพี่ใส่แว่นที่อยู่ตรงหน้านี่ล่ะค่ะ
   “เห็นว่าพี่ไปถามหาแก้วที่ห้องเรียน มีอะไรหรือคะ?”
   ฉันถามต่อเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป ดูพี่สนจะเกร็งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เค้ามาคุยกับฉันโดยไม่มีพี่วิทย์อยู่ด้วย จะว่าไปก็แปลก ปกติสองคนนี่ตัวติดกันอย่างกับอะไรดี หรือถ้าจะพูดให้ถูกพี่วิทย์ไม่เคยปล่อยให้พี่สนคลาดสายตาเลยต่างหาก
   “พี่ เอ่อ....”
   พี่สนพูดตะกุกตะกักอีก ถามเหลือบตามองซ้ายแลขวา เหมือนจะกลัวใครมาเห็นว่าพูดกับฉันงั้นแหละ
   “น้องแก้วรีบหรือเปล่าครับ พี่..เอ่อ เราไปคุยกันตรงคาเฟ่หน้าโรงอาหารดีมั้ย?”
   ฉันพยักหน้า รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่พี่สนชวนฉันไปคุยเป็นการส่วนตัว อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่วิทย์ก็ได้ แต่ว่าสองคนนี่น่าจะดีกันแล้วนี่นา
   เรื่องมันมีอยู่ว่า ฉันเจอพี่วิทย์กับพี่สนที่งานรับน้องตอนปีหนึ่งค่ะ แล้วบังเอิญฉันแอบไปเห็นความลับบางอย่างของพี่วิทย์เข้า จริงๆ ฉันว่าพี่วิทย์คงไม่คิดจะปิดมันเป็นความลับหรอกค่ะ แต่บังเอิญว่าพี่สนซื่อบื้อไปหน่อยล่ะมั้ง.. คือพี่เขาพยายามจะ เอ่อ..แต๊ะอั๋งพี่สนอ่ะค่ะ อย่างพยายามจะจับมือ กอดเอว ฉันว่าทุกคนก็น่าจะรู้กันหมดแล้วนะคะ คงจะมีแต่พี่สนที่แหละที่ไม่รู้ หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ แล้วก็หาข้ออ้างไปนอน ทิ้งพี่วิทย์ให้นั่งก๊งอยู่คนเดียว ฉันก็เลยนึกสนุกอยากจะลองช่วยพี่วิทย์ดู เลยเข้าไปคุยด้วย จนเรื่องมันเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ
   
“พี่จะคุยกับแก้วเรื่องพี่วิทย์รึเปล่าคะ?”
   ฉันเป็นฝ่ายเริ่มพูดอีกครั้ง หลังจากพี่สนมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ก้มมองพื้นเงยหน้ามองเพดานคาเฟ่แทนหน้าฉันเสียอย่างนั้น หรือว่าพี่สนจะโกรธฉันเรื่องที่ฉันกับพี่วิทย์สร้างเรื่องอำเขา แต่ถ้าโกรธก็น่าจะแสดงออกทางสีหน้าที่ไม่ใช่แบบนี้สิ
   “น้องแก้วรู้ได้ไงอ่ะ?”
   พี่สนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ ฉันหัวเราะ พอเห็นหน้าตาเหรอหรากับแว่นนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ ดูไปพี่สนก็น่ารักดีอยู่หรอก ไอ้หน้าตาพาซื่อกับแววตาซื่อจนบื้อใต้แว่นแบบนี้เนี่ย ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพี่วิทย์ถึงได้ดูหงุดหงิดทุกครั้งที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่กระเตื้อง แต่พี่วิทย์ก็ผิดอีกนั่นแหละที่ไม่ยอมบอกออกไปตรงๆ  ฉันลงความเห็นว่าคนอย่างพี่สนต้องพูดตรงๆ ถึงจะดีที่สุด
   “ก็หน้าตาพี่มันฟ้องนี่คะ พี่วิทย์ไม่อยู่ แล้วพี่ชวนแก้วมาคุย ก็น่าจะต้องคุยเรื่องพี่วิทย์สิ”
   ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเสียเลย แต่ทางนั้นกลับพยักหน้ารับเสียอย่างนั้น
   “น้องแก้ว..เอ่อ.. เป็นแฟนวิทย์มันจริงรึเปล่า? คือ..อาจจะละลาบละล้วงไปหน่อยนะ..น้องแก้วชอบวิทย์มันจริงๆ หรือเปล่า?”
   “เรื่องนั้น...”
   ฉันพูด และอมยิ้ม มองหน้าพี่สนที่มองมาทางฉันเหมือนกับหวังอะไรซักอย่าง หรือว่าพี่สนจะหึงพี่วิทย์แล้ว ไอ้ที่ฉันพยายามทำอยู่นี่อาจจะสำเร็จผลเอาวันนี้ก็ได้
   “พี่วิทย์มีอะไรไม่ดีหรือคะ?”
   ฉันลองถาม เพื่อทดสอบว่าพี่สนหึงพี่วิทย์จริงๆ พี่สนทำหน้ายุ่งยากใจ
   “อืม.. พี่ไม่รู้จะพูดไงดี แก้วอย่าไปคบกับมันเลย เชื่อพี่เถอะ”
   ฉันอมยิ้มอีกครั้ง พี่สนกำลังหึงพี่วิทย์แน่ๆ นึกอยากกดโทรศัพท์หาพี่วิทย์ตอนนี้เลย ทางนั้นคงจะดีใจจนทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ
   “ทำไมต้องห้ามแก้วคบกับพี่วิทย์ด้วยล่ะคะ หรือว่าพี่สนหึง?”
   “ห๊ะ!!”
   หนุ่มสวมแว่นทำเสียงแปลก เงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยสายตาตกใจเอามากๆ ก่อนจะแก้มแดง ยิ่งมองดูน่ารักน่าหยิก เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่วิทย์ถึงได้เกาะแจแบบนั้น แหม...ก็น่ารักแถมซื่อบื้อเสียขนาดนี้
   “พี่จะไปหึงมันทำไม น้องแก้วเชื่อเรื่องที่มันเล่าเหรอ?”
   “เรื่องอะไรหรือคะ?”
   ฉันแกล้งทำหน้าซื่อถามไป แต่ในใจรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเรื่องที่พี่วิทย์ชอบพี่สนนั่นแหละ โถ...พี่คะ ทำไมปากกับใจไม่ตรงกันแบบนี้ล่ะคะเนี่ย
   “กะ..ก็เรื่องนั้น...”
   พี่สนพูดตะกุกตะกักอีก แก้มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าฉันยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปส่งให้พี่วิทย์จะได้ค่าแรงเพิ่มไหมเนี่ย
   “ไอ้วิทย์มันเล่าให้แก้วฟังเรื่องพี่ว่าอะไรบ้าง?”
   จู่ๆ เขาก็หันมาถามคำถามกับฉันแทน ให้ตายสิ อะไรมันจะปากแข็งขนาดนี้นะ สงสัยกำลังเขินอยู่มากๆ แน่ๆ
   “พี่วิทย์ชอบพี่สน แต่พี่สนไม่สนใจพี่เค้าอ่ะ เค้าก็เลยมาปรึกษาแก้ว”
   พี่สนทำหน้าน่าสงสารทันที
   “พี่จะไปสนใจมันได้ไงยี่สิบสี่ชั่วโมง แค่นี้ก็ติดหนึบกันจะตายอยู่แล้ว”
   หนุ่มสวมแว่นคร่ำครวญ ฉันนึกสงสัยว่าเขารำคาญพี่วิทย์หรือว่าอายจนไม่รู้จะพูดอะไรกันแน่ เข้าข้างพี่วิทย์ว่าเป็นอย่างหลังแล้วกัน
   “สรุปว่าพี่สนรู้แล้วใช่ไหมคะว่าพี่วิทย์เขาชอบพี่อยู่”
   พี่สนอ้าปากค้าง คงนึกไม่ถึงล่ะมั้งว่าฉันจะพูดออกไปแบบนี้ แก้มที่กำลังจะหายแดงเมื่อครู่กลับมามีสีเลือดฝาดอีก คราวนี้เขาก้มหน้าลงมองพื้นเลยค่ะ แปลว่าฉันพูดแทงใจดำสินะเนี่ย
   “พี่สนคะ?”
   ฉันเรียกชื่อพี่เขาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนประโยคก่อนหน้าที่พูดไปจะทำให้เขาพูดต่อไม่ออก ฉันกลัวว่าเขาจะลุกหนีไปเฉยๆ พี่สนเงยหน้าขึ้นมามองฉัน เหมือนจะตัดสินใจได้พอดีว่าจะพูดอะไร
   “อา...พี่แค่อยากรู้ว่า น้องแก้วชอบวิทย์หรือเปล่า?”
   “นิดหน่อยค่ะ”
   ฉันตอบ พอเห็นสีหน้าสลดของอีกฝ่ายเลยต้องรีบพูดต่อ
   “แต่ไม่ใช่ว่าชอบอยากเป็นแฟนอะไรแบบนั้นนะคะ แก้วแค่ชอบพี่เขาแบบรุ่นพี่น่ะค่ะ”
   “อา...”
   พี่สนเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ สีหน้าดูมีความหวังขึ้นบ้าง แหม..มันน่าถ่ายรูปส่งไปให้พี่วิทย์ดูเสียจริงๆ
   “งั้น..เอ่อ... งั้น.... ถ้าน้องแก้วไม่ได้อยากเป็นแฟนวิทย์... งั้น...งั้น....”
   “งั้นอะไรคะ?”
   ฉันถาม นึกสงสัยว่าพี่เขาจะพูดอะไรอีก พี่สนนิ่งไปพักใหญ่ แก้มแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ
   “งั้นน้องแก้วลองมาคบกับพี่ดูไหม?”
   “หา!!”
   พี่สนไม่ได้พูดดังหรอกค่ะ แต่ฉันเองที่แหละที่อุทานเสียงดังด้วยความตกใจจนคนในคาเฟ่หันมามอง ฉันรีบหันหน้าไปมองพี่สน ที่นั่งแก้มแดงก้มหน้ามองพื้น ดูเหมือนเสียงอุทานของฉันเมื่อครู่จะยิ่งทำให้ความมั่นใจอันมีอยู่น้อยนิดของพี่เขาหายไปหมด มันทำให้ฉันรู้สึกผิดอย่างรุนแรง บางทีฉันอาจจะฟังไม่ชัดก็ได้
   “แก้วขอโทษค่ะ คือแก้วไม่คิดว่าพี่จะ...”
   “พี่ขอโทษ”
   พี่สนพูดเสียงอ่อน เขาทำหน้ายุ่งยากใจอยู่อีกพักใหญ่ ถึงได้พูดต่อ
   “ตะ.. แต่พี่จริงจังนะ...พี่...เอ่อ..พี่ชอบน้องแก้ว”
   “!!!!”
   ฉันเกือบจะแหกปากอุทานออกมาอีกรอบค่ะ ดีที่เอามือปิดปากไว้ได้ทัน พี่สนพูดอะไรออกมาเนี่ย พี่สนจะฆ่าฉันหรือคะ  โอ๊ย ตาย  ถ้าพี่วิทย์มาได้ยินชีวิตของสาวน้อยอย่างฉันคงต้องจบสิ้นแน่ๆ
   “เอ่อ..พี่สนคะ..ไว้คุยเรื่องนี้กันวันหลังได้ไหมคะ?”
   ฉันพยายามจะตัดบทให้นุ่มนวลที่สุด ด้วยไม่คิดว่าจะมาลงเอยแบบนี้ พี่สนพยักหน้าอย่างหงอยๆ พูดขอโทษฉันอีก หน้าแบบนั้นมันก็ทำให้รู้สึกผิดอยู่หรอก แต่นี่มันถึงขั้นเป็นภัยกับความมั่นคงในชีวิตของฉันเลยนะคะเนี่ย ฉันต้องทำใจแข็ง เดินออกมาโดยทิ้งพี่เขาเอาไว้ พอเดินพ้นจากคาเฟ่ออกมาได้หน่อยหนึ่ง ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเห็นเทพอสูรเลยค่ะ พี่วิทย์ยืนอยู่ เหมือนว่าคงจะรู้เรื่องแล้ว ไม่ก็เดาไว้แล้วล่ะมั้ง เพื่อความมั่นคงในชีวิต ฉันรีบเข้าไปคุยกับพี่เขาก่อน
   “พี่วิทย์ แก้วแย่แล้ว พี่วิทย์ห้ามฆ่าแก้วนะ”
   พี่วิทย์ทำหน้าเหมือนแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นฉันพูดแบบนี้  ถ้าดูจากภายนอกพี่เค้าก็เป็นหนุ่มหน้าตาดี รูปหล่อพ่อรวย คุยสนุก แต่ถ้าเรื่องพี่สนนี่ อย่าได้ไปยุ่งเชียวค่ะ ถึงตายได้ง่ายๆ  จากรุ่นพี่ใจดี จะกลายร่างเป็นอสูรกายในร่างคนแทน  แหม.. คนที่จะถอดเขี้ยวเล็บพี่วิทย์ได้ ก็คงจะเป็นพี่สนนี่แหละ
   “แก้วเป็นอะไรน่ะ?”
   พี่วิทย์ถาม ฉันเลยเล่าเรื่องที่เจอตะกี้ให้ฟัง เขาพยักหน้า
   “อืม... จริงๆ พี่ก็ว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่ ถ้าแก้วไม่รังเกียจ ทำไมไม่ลองคบไอ้สนมันดูล่ะ?”
   “หา!!!!”
   ฉันอุทานเสียงดังเป็นไฟไหม้อีกรอบ ดีนะที่ด้านนอกนี่มันไม่เงียบเท่าในคาเฟ่ เลยไม่มีใครสนใจ ฉันมองหน้าพี่วิทย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
   “ทำไมพี่วิทย์พูดงั้นล่ะคะ ไหนว่าชอบพี่สนไง”
   “ก็ชอบ”
   พี่วิทย์พูดหน้าตาเฉย ชวนให้อยากเอาอะไรทุ่มใส่หัว
   “แต่ว่าถ้าสนมันลงทุนพูดขนาดนั้น แก้วลองคบกับมันดูดิ”
   “แหงะ.... ตกลงพี่รู้ก่อนรึเปล่าว่าพี่สนเขาคิดกับแก้วแบบนั้นอ่ะ?”
   พี่วิทย์ยักไหล่ บางเวลาฉันก็รู้สึกว่าปล่อยให้พี่สนเย็นชาใส่นั่นแหละถูกต้องที่สุดแล้ว
   “มันบอกพี่แล้ว แต่พี่ไม่คิดว่ามันจะกล้าบอกแก้วนะเนี่ย”
   “หือ....ไม่คิด พี่วิทย์อ่ะ อยู่ยังไงให้พี่สนมาบอกชอบแก้ว หรืวว่าพี่สนเขาไม่ชอบพี่วิยท์?”
   คิ้วคู่งามนั่นขมวดเข้าหากันอย่างน่ากลัว ฉันนึกตกใจว่าอาจจะพูดอะไรไม่เข้าหูพี่เขา เลยรีบพูดต่อ
   “คือแก้วไม่ได้แช่งพี่นะคะ แต่ว่าพี่สนไม่น่าจะมาพูดกับแก้วแบบนี้ ไม่สิ พิ่วิทย์รู้แล้วทำไมไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะคะ ปล่อยให้พี่สนมาพูดกับแก้ว นี่ไม่ใช่พี่วางแผนจะฆ่าแก้วปิดปากหรอกนะ?”
   
   “พี่ไม่ทำอะไรบ้าๆ งั้นหรอกน่า”
   พี่วิทย์พูดขึ้นในที่สุด ดูเหมือนจะตั้งสติได้แล้ว ไอ้ที่พูดว่าพี่สนไม่ชอบตะกี้คงทำเอาเลือดขึ้นหน้าน่าดูชมเลย ฉันทำหน้าโล่งใจ แต่แล้วพี่วิทย์ก็ยกภูเขามาทุ่มใส่ฉันอีกรอบ
   “พี่กำลังคิดว่า ถ้าไม่ลำบาก แก้วก็น่าจะลองคบกับสนมันดู พูดไปพี่ก็หงุดหงิดนะเนี่ย”
   “ง่า..พี่วิทย์อ่ะ”
   ฉันครวญคราง ตกลงปากบอกอย่างให้ลองคบ แต่ประโยคต่อมาบอกว่าหงุดหงิด นี่พี่เขาหาเรื่องจะฆ่าฉันปิดปากแน่ๆ เลยค่ะ
   “พี่จะงอนอะไรกับพี่สนอีก แก้วไม่รู้หรอกนะคะ แต่ว่าให้แก้วไปคบกับพี่สนนี่ แก้วว่าพี่ทำเกินไปนะ”
   “อ่ะ.. ขอโทษ คือพี่แค่อยากจะให้ไอ้สนมันได้สำนึกบ้าง”
   “โห...”
   ฉันลากเสียงยาว พลางคิดว่าคนที่ควรจะสำนึกก่อนคือพี่นั่นแหละ และพูดต่อ
   “พี่คิดได้อีกนะคะ แล้วแบบนั้นพี่สนเขาจะสำนึกได้ยังไงล่ะ”
   พี่วิทย์ทำหน้าเหมือนเจอปัญหาโลกแตก
   “ก็พี่ไม่รู้จะทำยังไง สนมันบอกชอบแก้ว แต่ไม่บอกชอบพี่ โอ๊ย คิดแล้วยิ่งหงุดหงิด”
   “โอ๊ยตาย..”
   ฉันอุทานอีกรอบ แทบอยากจะเป็นลม รู้สึกความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตหดหายไปอีกหลายระดับ สมควรจะประกาศภาวะฉุกเฉินได้แล้วมั้งเนี่ย
   “แบบนี้พี่ไม่ต้องให้แก้วคบกับพี่สนก็ได้ แค่ให้แก้วพูดว่า พี่สน แก้วไม่ชอบพี่หรอกเพราะพี่เป็นแฟนพี่วิทย์”
   พี่วิทย์พยักหน้า ฉันล่ะปวดหัวค่ะ เรื่องนี้มันน่าจะนึกออกได้ก่อนไอ้ที่พูดมาก่อนหน้านี้เสียอีก
   “อืม.. ก็ฟังดูเข้าทีนะ แก้วคิดว่าสนมันจะยอมฟังรึเปล่า?”
   “โห..พี่วิทย์คะ แล้วจะให้แก้วทำยังไงล่ะคะ ผิดที่พี่นั่นแหละที่ปล่อยให้พี่สนมาทำแบบนี้กับแก้ว รับผิดชอบด้วยล่ะ”
   “พี่ผิดตรงไหนเนี่ย?”
   พี่วิทย์ทำหน้าสงสัย ฉันไม่ยอมรับรู้แล้วค่ะ ยังไงก็ต้องโบ้ยความรับผิดชอบให้พี่วิทย์ให้ได้ ไม่งั้นฉันคงตายด้วยน้ำมือของพี่เขาแน่ๆ พี่สนนะพี่สน ทำกันได้ จริงๆ เลย
   “ไม่รู้แหละ พี่ผิด รับผิดชอบด้วย”
   พี่วิทย์ทำหน้ายุ่งยากลำบากใจ ในขณะนั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
   “ฉันไม่คิดว่าแกจะนิสัยแย่อย่างนี้เลยนะวิทย์”
   พี่สนพูดพร้อมกับเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่องแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พี่วิทย์ก็ทำหน้าหาเรื่องพอกัน
   “ฉันนิสัยแย่ตรงไหน?”
   บรรยากาศเริ่มเหมือนกำลังจะเกิดสงครามโลก ฉันมองหน้าพี่เขาคนละที แล้วคิดว่าควรรีบหลบออกไปให้เร็ว แต่ว่าคำพูดของพี่สนทำให้ฉันต้องหยุดเท้า
   “ก็นายไม่รับผิดชอบ นายคบน้องแก้วแล้วทิ้งไป แบบนี้มันใช้ได้นี่ไหน?”
   เหมือนว่าฉันกับพี่วิทย์จะยกมือขึ้นเกาศีรษะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่ตกลงพี่สนเขารู้เรื่องมาแบบไหนเนี่ย ฉันเงยหน้าขึ้นมองพี่วิทย์ และเห็นว่าพี่วิทย์หน้าเซ็งสุดๆ
   “นี่แกฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไงหา?! ฉันบอกจนปากจะฉีกอยู่แล้วว่าน้องแก้วกับฉันไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ คนที่ฉันชอบก็คือแก”
   ถึงตอนนี้ฉันอยากกรี๊ด นี่ฉันได้ฟังพี่วิทย์สารภาพรักสดๆ หรือนี่ โอ๊ย ไม่คิดไม่ฝัน ได้ยินหนุ่มหล่อสองคนที่แอบลุ้นมานานมาสารภาพรักให้ฟังต่อหน้าแบบนี้ แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอกค่ะ
   “แต่น้องแก้วบอกให้แกรับผิดชอบ แกจะว่าไง?”
   ฉันรู้สึกว่าพี่สนนี่โคตรจะตัดตอนความเป็นจริงเลยค่ะ ดูเหมือนแกจะพยายามรับรู้แต่อะไรที่อยากจะรับรู้เท่านั้น แปลว่าไอ้ที่พี่วิทย์พูดไปตะกี้ พี่สนอาจจะรีบลืมไปเลย พี่วิทย์มีสีหน้าเหมือนกำลังสอนหนังสือให้ปลาวาฬอยู่ เขากวักมือ
   “เฮ้ย สน แกเข้ามาใกล้ๆ ฉันหน่อยดิ๊”
   ถึงจะทำหน้าสงสัย แต่พี่สนก็เดินเข้าไปตามที่พี่วิทย์พูดค่ะ ตอนนี้ฉันคิดว่า พี่สนเนี่ย ทั้งบื้อ ทั้งมึน ทั้งไม่กล้ายอมรับความจริง อีแบบนี้ไม่ต้องเกรงใจหรอกมั้งคะ นี่ขนาดไม่เกรงใจยังพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  ว่าแต่พี่วิทย์จะทำยังไงต่อไปเนี่ย?
   “มีอะไร..โอ๊ย!!!!”
   พี่สนแหกปากเสียงลั่น เมื่อพี่วิทย์กระทืบเท้าพี่แกอย่างแรง จนฉันตกใจเลยค่ะ พี่สนสะบัดเท้าที่ถูกเหยียบ และหันมามองหน้าพี่วิทย์อย่างตกใจ
   “แกกระทืบเท้าฉันทำไมว่ะ?!!”
   “กระทืบเผื่อแกละเมออยู่”
   พี่วิทย์ตอบ บางทีฉันก็คิดว่าพี่วิทย์ออกแนวจะกวนบาทาอยู่หน่อยๆ หรอกค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักข้อขนาดนี้ แล้วเป็นกับพี่สนอีก ไม่สงสัยเลยทำไมความสัมพันธ์มันถึงไม่ไปไหนซักที แต่ก็นะคะฉันเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าคนนิสัยประเภทไหนที่จะรับมือกับคนแบบพี่สนได้
   “ฉันตื่นอยู่เว่ย ไอ้บ้า!!”
   พี่สนเอ็ด ฉันเคยคิดว่าพี่สนเป็นคนหงิมๆ แต่เห็นแบบนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ค่ะ ปัญหาคือที่พี่สนเขาดูใจกล้าท้ามฤตยูอย่างนี้เพราะเรื่องฉันหรือเปล่าเนี่ย แค่คิดก็รู้สึกเงาหัวจะไม่อยู่กับตัวยังไงก็ไม่รู้สิ...
   “เหรอ แต่แกทำตัวเหมือนละเมออยู่ นี่ไอ้คุณสน วันหลังแกหัดฟังอะไรให้ถ้วนถี่ก่อนจะมาด่าฉันได้ไหม ฉันไม่ได้ทิ้งน้องแก้ว ที่น้องแก้วพูดเนี่ย พูดให้ฉันรับผิดชอบแกต่างหาก”
   ฉันยืนอ้าปากค้าง ไม่รู้จะนึกชื่นชมพี่วิทย์หรือว่ายังไงดี สรุปว่าพี่แกทำตัวเป็นฤๅษีแปลงสารเสร็จสรรพ ปัญหาคือไอ้คำแถแบบนี้พี่สนจะเชื่อหรือ?
   “หา...”
   พี่สนร้อง และอ้าปากค้างพร้อมกับหันมามองฉัน ฉันเลยอาศัยเนียนตามพี่วิทย์ไปด้วยการพยักหน้า อย่างน้อยถ้าพี่สนเชื่อชีวิตฉันก็จะมั่นคงมากขึ้น ถึงจะรู้สึกผิดนิดหน่อยตอนที่เห็นพี่เค้าทำหน้าเศร้าแล้วก็คอตกก็เหอะ พี่สนคะอย่าเรียกร้องความสงสารแบบนี้ได้ไหมคะ เดี๋ยวแก้วพาลจะตายเอานะคะ
   “ถ้าแกเข้าใจแล้ว ก็หยุดทำอะไรบ้าๆ เสียที แกควรจะทำตัวดีๆ ให้ฉันได้รับผิดชอบ”
   พี่วิทย์ได้ทีสำทับใหญ่ เห็นแบบนี้แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ พี่สนเงยหน้าขึ้นมองฉันอีกรอบ ก่อนจะหันไปมองพี่วิทย์
   “แกเล่าอะไรให้น้องแก้วฟังว่ะ?”
   “อยากรู้เหรอ?”
   พี่วิทย์ถามด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท คราวนี้พี่สนสั่นศีรษะ และหันหลังเดินหนี ทำให้พี่วิทย์ต้องรีบพูด
   “เฮ้ย จะไปไหนว่ะ ถ้าแกไม่กลับมาฉันจะบอกน้องแก้วว่าเรามีอะไรกันแล้ว!!”
   “ไอ้บ้า!!!!!!!”
   พี่สนจ้ำพร่วดๆ กลับมาเหมือนถูกดึงโซ่ และเอ็ดตะโรใส่พี่วิทย์
   “แกพูดอะไรออกไปเนี่ย???!!!”
   พี่วิทย์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “ฉันพูดว่า..แกกับฉันมี!!!”
   พี่สนรีบยกมืออุดปากพี่วิทย์ทันที ก่อนจะหันมามองฉัน
   “น้องแก้วอย่าไปเชื่อมันนะ พี่ขอร้อง”
   ไอ้คำว่าขอร้องมันก็น่าสงสารอยู่หรอกค่ะ แต่การแสดงออกของพี่เนี่ย ฉันคงจะไม่เชื่อ...ไม่ได้แล้ว
   “แก้วได้ยินเต็มสองรูหูเลยค่ะพี่สน”
   ฉันพูด และยิ้มหวาน
   “พี่สนไม่ต้องอายหรอกค่ะ แหม..ความจริงแล้วแก้วก็ลุ้นให้พี่สองคนคบกันจริงๆ จังๆ ตั้งนานแล้วนะคะ”
   “พี่ไม่ได้!!!”
   พี่สนพยายามแก้ตัวเป็นพันลวัน จนลืมว่าต้องเอามืออุดปากพี่วิทย์เอาไว้ พี่วิทย์ที่เป็นอิสระจากมือของพี่สนแล้ว จึงได้อ้าปากพูดขึ้นบ้าง
   “แกอย่าไปแก้ตัวกับน้องแก้วให้ยุ่งยาก ในเมื่อหน้าแกมันฟ้องว่าที่ฉันพูดมันจริงแสนจะจริง”
   “จะบ้าเรอะ!! แกเอาอะไรมายืนยันว่ะ หน้าฉันก็ปกติ”
   “โอ้....”
   พี่วิทย์ร้องเสียงยาว ทำหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ก่อนโอบเอวพี่สนเข้ามากอด ฉันต้องขอยกนิ้วให้พี่วิทย์จริงๆ อย่างพี่สนน่ะ มันต้องชัดเจน แจ่มแจ้งค่ะ ไม่ใช่อ้ำๆ อึ้งๆ
   “แต่ฉันว่า แก้มแกมันแดงผิดปกตินะ หูก็ด้วย ตัวแกก็ร้อนๆ นะ”
   พี่วิทย์ก้มลงพูดข้างๆ หู พี่สนอ้าปากค้าง ทั้งหยิก ทั้งถองพี่วิทย์ โอ๊ย ฉันก็รู้หรอกนะคะว่าคนแบบพี่สนเนี่ย ต้องชัดเจนขนาดนี้ แต่ปราณีฉันเถอะค่ะ อย่ามาสวีทกันต่อหน้าแบบนี้ได้ไหมคะ ฉันจะหัวใจวายตายแล้วค่ะ
   “แก้วรู้ล่ะค่ะพี่ งั้นแก้วขอตัวก่อนนะคะ โชคดีนะคะพี่สน”
   ฉันรีบจากออกมา ด้วยกลัวว่าขืนอยู่ต่อจะกลายเป็น กขค พี่วิทย์ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีวันได้เห็นภาพแบบนี้ สงสัยวันหลังฉันต้องถามพี่วิทย์ให้กระจ่างแล้วว่าที่หายไปสองสามวันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และหวังว่าหลังจากนี้คงไม่ปล่อยให้พี่สนมาพูดอะไรชวนให้ฉันไม่ปลอดภัยจากพี่วิทย์อีกนะคะ
   คนแบบพี่สนเนี่ย ต้องยกความเกรงใจทิ้งไปก่อนค่ะ ถึงจะทำให้เข้าใจได้ จริงๆ นะคะ!!

-----------------------------------------

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เพราะเพื่อนผมมันไม่มี “สมบัติผู้ดี
4 (สนเล่าต่อ)

   สมบัติผู้ดี....
   ถ้าเอาหนังสือสมบัติผู้ดีผัดให้เพื่อนผมกินได้ ผมคงผัดให้มันนานแล้วล่ะครับ  แต่ปัญหาคือ หนังสือผัดกินไม่ได้ เพราะไอ้วิทย์เป็นคนไม่ใช่แพะ และต่อให้มันกระเดือกลงไปได้ อะไรจะประกันล่ะครับว่ามันจะเกิดมีสมบัติผู้ดีติดตัวขึ้นมา
   ใครก็ได้ช่วยสอนให้ไอ้เพื่อนบ้าผมคนนี้รู้จักความเกรงใจทีครับ!!

---------------------------------------------
   “เฮ้ย สน เปิดไฟแรงขนาดนั้นไม่ไหม้เหรอ?”
   ไอ้วิทย์ส่งเสียงถามเหมือนเป็นห่วงเป็นใย ผมล่ะอยากจะยกตะหลิวปาใส่หน้ามันจริงๆ แต่ผมยังไม่อยากไปโรงพักข้อหาฆาตกรรมเพื่อนสนิทด้วยอุปกรณ์ทำครัว จึงได้แต่แค่นเสียงตอบไป
   “ผัดผักก็ต้องใช้ไฟแรงสิว่ะ แกไม่เคยผัดหรือไง?”
   “ไม่เคย ถ้าเคยจะใช้แกทำทำไม..”
   มันตอบหน้าตาเฉย ใช่ซี่ ถ้ามันเคยทำอะไรกับเค้าบ้าง ผมคงไม่ต้องมาลำบากลำบนอย่างนี้หรอก คิดแล้วก็อยากเปลี่ยนผักในกระทะนี่ เป็นหนังสือสมบัติผู้ดีเสียจริงๆ คงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมต้องมายืนผัดผักหน้าเตาให้น้ำมันเกาะหน้า ให้ไอ้เพื่อนบ้านี่มายืนถามกวนประสาทด้วย เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ครับ
   เริ่มจากโทรศัพท์ของน้องแก้วหลังจากที่ผมสอบกลางภาคเสร็จ หลังจากไปสารภาพรักโดยจบตรงที่มีตัวมารที่ชื่อวิทย์โผล่ออกมาขัดจังหวะ ผมแทบไม่กล้าสู้หน้าน้องแก้วอีกเลยครับ ไม่รู้ว่าไอ้บ้าวิทย์มันไปพูดอะไรไว้บ้าง ทำไมเด็กน่ารักแบบน้องแก้วถึงต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือมารแบบไอ้วิทย์ด้วย แค่คิดก็พาให้หัวใจหนุ่มวัยรุ่นอายุเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดอย่างผมเจ็บแปล๊บๆ แต่ปัญหาคือผมไม่รู้จะจัดการยังไงกับไอ้วิทย์ดี เพราะเวลาอยู่กับมัน ผมเองยังแทบพาชีวิตไม่รอด สงสัยจริงว่าหลงคบกับมันมาได้ยังไงตั้งนาน สงสัยจะเพราะฟ้าสั่งสวรรค์สาปให้ผมต้องมีเพื่อนเวรตะไลแบบนี้ล่ะมั้งครับ
   เป็นเรื่องน่าดีใจที่สุดในโลก ที่ช่วงปิดเทอมไอ้วิทย์จะต้องกลับบ้าน มันจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับผมที่หอพักสักพัก.. สองอาทิตย์ก็ยังดีสำหรับชีวิตผมในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าผมอยู่ๆ เกิดอยากเขี่ยเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งกะยังหัวเกรียนทิ้งหรอกนะครับ แต่เรื่องที่มันทำแต่ละอย่างยิ่งนานยิ่งหนักข้อจริงๆ ผมอยากพักหายใจบ้าง ไม่ใช่ให้มันมาวอแวอยู่ในชีวิตตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้ววันแรกที่ปราศจากไอ้วิทย์ ผมก็พบกับเรื่องน่ายินดีทันที ก็โทรศัพท์จากน้องแก้วยังไงล่ะครับ
   “พี่สนคะ พรุ่งนี้พี่สนว่างรึเปล่าคะ?”
   ผมใจเต้นตึกตัก แค่เสียงก็รู้แล้วว่าน่ารักขนาดไหน ได้ยินเสียงน้องแก้วก็เห็นภาพเธอกำลังยิ้มหวานส่งให้ผมทันที อา..นี่ผมเพ้อจนลืมฟังไปเลยว่าประโยคต่อไปเธอพูดว่าอะไร
   “น้องแก้วว่าไงนะครับ?”
   “แก้วพูดว่า พี่สนว่างรึเปล่าคะ แก้วอยากชวนพี่สนไปเที่ยวพัทยาสักวันสองวันน่ะค่ะ”
   ถ้าผู้หญิงที่บังเอิญเจอดาราเกาหลีตัวเป็นๆ โทรมาที่บ้านอยากร้องกรี๊ด อารมณ์ของผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างกันนัก ผมมือไม้สั่น ก็ไม่อยากจะหลงตัวเองนักหรอกครับ แต่น้องแก้วอาจจะเปลี่ยนใจหันมาสนผมบ้างแล้วก็ได้ ถึงไอ้วิทย์มันจะรูปหล่อพ่อแม่รวย แต่คนไม่มีสมบัติผู้ดีแบบมัน ต้องแก้วเลิกสนใจนั่นแหละดีแล้ว คบกับมันหันมาคบกับผมดีกว่าเป็นไหนๆ ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องรักษามารยาทลูกผู้ชายเอาไว้ครับ ผมพยายามทำเสียงให้เคร่งขรึม ถามออกไป
   “ไปกันกี่คนล่ะ ถ้าสองคนพี่ว่าคงไม่ดีเท่าไหร่”
   เหมือนได้ยินน้องแก้วหัวเราะก๊าก นี่ผมพูดอะไรผิดรึเปล่า น้องแก้วเงียบไปนาน จนคิดว่าเธอตัดสายผมไปแล้ว ผมรู้สึกใจโหวงๆ หรือว่าจะกินแห้วอีก แล้วน้ำเสียงใสๆ ที่ดูจะยังกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ก็ดังลอดออกมา
   “ไปกันหลายคนค่ะพี่ ตกลงพี่จะไปใช่ไหมคะ แก้วนัดสถานที่เลยนะคะ”
   ผมรีบเอออวยทันที ก่อนจะพลาดโอกาสได้พบน้องแก้ว ปล่อยให้ผู้หญิงโทรมาหาก่อนก็น่าเกลียดแล้ว นี่ถ้าปฏิเสธอีก ผมคงไม่ใช่ลูกผู้ชาย น้องแก้วนัดแนะสถานที่พร้อมบอกเลขทะเบียนรถที่จะมารับเสร็จสรรพ
   “ตรงนั้นมันจอดรถไม่ได้ พี่สนเห็นรถแล้วรีบขึ้นเลยนะคะ”
   น้องแก้วกำชับ ผมตกปากรับคำและรีบจัดกระเป๋าทันที นึกตื่นเต้นดีใจที่พรุ่งนี้จะเจอน้องแก้วที่แสนน่ารัก ขอมองหน้าให้หายคิดถึงซักที
   วันรุ่งขึ้น ผมไปยืนรออยู่ตรงจุดนัดผมได้ไม่นาน รถวอลโว่สีดำที่มีหมายเลขทะเบียนตรงกับที่น้องแก้วบอกก็แล่นโฉบเข้ามา อารามดีใจและมัวแต่สนใจป้ายทะเบียน ผมเลยไม่ได้มองหน้าคนขับรถเลยว่าเป็นใคร แต่รู้สึกแวบๆ เหมือนเคยเห็นรถคันนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่รถวอลโว่สีดำก็แล่นอยู่เยอะแยะไป และเพราะถูกน้องแก้วกำชับว่าให้รีบขึ้น ผมเลยเปิดประตูรถด้านหลังและมุดเข้าไปแบบไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ทันทีที่ผมปิดประตู รถก็วิ่งออกไปทันที ผมเงยหน้า หวังว่าน้องแก้วจะนั่งอยู่เบาะหน้า เพราะเบาะหลังไม่มีใคร แต่ที่ผมเห็นทำให้ผมแหกปากร้องออกไปอย่างกับเจอสัตว์ประหลาดอยู่ในรถ
   “ไอ้วิทย์!!”
   ผมไม่รู้ว่าส่งเสียงดังขนาดไหน แต่คงดังพอจะทำให้ไอ้วิทย์ซึ่งปกติรักษามาดอยู่ตลอด ถึงกับยกนิ้วขึ้นมาแคะหูราวกับเสียงตะโกนตะกี้ทำให้ขี้หูในหูของมันเคลื่อนย้ายผิดตำแหน่ง ก่อนจะเอ่ยทักผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “เออ ฉันเอง แกจะแหกปากไปทำเบื๊อกอะไร”
   ผมอ้าปากค้าง ไอ้แหกปากน่ะน้อยไปด้วยซ้ำ ผมไม่บีบคอมันตายก็บุญแล้ว
   “น้องแก้วชวนฉันไปเที่ยว แล้วแกมาได้ยังไง?”
   ผมถามอย่างสงสัย วิทย์ยักไหล่ทั้งๆ ที่มือยังถือพวงมาลัยรถนั่นแหละ ดีที่มันยังมองทางไม่หันมาทำหน้ากวนประสาทใส่ผมด้วย เพื่อนสุดที่รักจนแทบฆ่ากันตายของผมพูดตอบ
   “ตาบอดเหรอ แกเห็นอยู่ว่าฉันขับรถมา ยังจะมาถามอีกว่ามาได้ยังไง”
   ถ้าไม่ติดว่าไอ้วิทย์ขับรถอยู่ และผมเป็นคนที่นั่งมากับมันแค่สองคน ผมคงจะบีบคอมันตรงนี้จริงๆ ล่ะครับ ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ถามต่อไปอีก
   “ฉันหมายถึง น้องแก้วนัดฉัน ไม่ใช่แก...เพราะฉะนั้นคนที่อยู่บนรถนี่ ควรจะเป็นน้องแก้ว ไม่ใช่แก..”
   ผมคงต้องระบุสิ่งที่ต้องการถามให้ชัดเจน เพื่อให้มันตอบให้ตรงประเด็น ไม่ใช่เลี่ยงไปเลี่ยงมาเป็นวิ่งอ้อมเสา ไอ้วิทย์ตอบกลับ
   “น้องแก้วขับรถไม่เป็น เพราะฉะนั้นบนรถนี่เป็นฉันนี่แหละถูกแล้ว แล้วนี่ก็เป็นรถฉัน..”
   อ้อ มิน่า..เหมือนว่าเคยเห็น ที่แท้รถไอ้วิทย์นี่เอง ผมยกมือทุบเบาะอย่างนึกขึ้นได้
   “ก็ว่าอยู่ว่ารถคุ้นๆ เดี๋ยวแกจะไปรับน้องแก้วสินะ”
   วิทย์พยักหน้า ส่งเสียงงืมงำในลำคอ ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เอาว่ะ ต่อให้ไม่ได้ไปกับน้องแก้วสองคน ก็ยังดีกว่าไปกับไอ้วิทย์สองคนเป็นไหนๆ  กลิ่นน้ำหอมในรถไอ้วิทย์ก็ชวนเวียนหัวดีแท้ เหมือนผมเคยบอกมันตอนที่ถูกมันบังคับขึ้นรถครั้งล่าสุด ให้มันเปลี่ยนน้ำหอมบ้าง แต่สงสัยมันจะลืมไปแล้ว ไอ้วิทย์มันเคยฟังผมที่ไหนกันล่ะ

   “เฮ้ย สน จะนอนไปถึงไหนว่ะ”
   เหมือนได้ยินเสียงไอ้วิทย์แว่วๆ แต่ผมขี้เกียจจะสนใจ ผมกำลังนั่งมองน้องแก้วใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชเล่นลูกบอลสีชมพูอยู่ริมชายหาด ไม่รู้ลูกบอลหรือปากน้องแก้วอะไรสีชมพูกว่ากัน แล้วทำไมผมต้องไปสนใจเสียงไอ้วิทย์ด้วย
   “สน.. ถ้าแกไม่ยอมลืมตาขึ้นมา ฉันจะจูบแกนะ”
   “?”
   ดูเหมือนประโยคคำพูดทำนองนี้ผมไม่สนใจก็คงไม่ได้ ขณะที่คิดว่าจะขยับตัวลืมตาขึ้นมา อะไรบางอย่างก็บุกรุกเข้ามาในปากผม คราวนี้ผมลืมตาขึ้นทันที แล้วที่เห็นคือหน้าไอ้วิทย์อยู่แทบจะติดหน้าผม ผมยังอ้าปากด่ามันไม่ได้อีก เพราะปากมันดันประกบติดอยู่กับปากผมพอดี มันล้วงลิ้นเข้ามาอย่างกับจะหาอะไรในปากผมนั่นแหละ เจอแบบนี้ผมก็ดิ้นสิครับ จะอยู่นิ่งๆ ให้มันใช้ลิ้นตรวจฟันผมไปทำไม!!
   “เออ ตื่นซะที”
   มันว่า หลังจากถูกผมถองเข้าท้องไปทีหนึ่ง ไอ้วิทย์ก็ยอมจะเอาปากออก แต่ไม่วายจงใจแลบลิ้นเลียให้ผมเห็น ผมรีบขยับแว่นให้เข้าที่ อยากจะอ้าปากด่าไอ้บ้านี่อยู่หรอก แต่ไอ้ลวดลายที่มันใช้ในปากผมตะกี้ ทำเอาผมยังอึ้งต่อไปอีกหลายวิ มันยื่นมือมาดึงตัวผมขึ้นจากเบาะรถ
   “ลุกได้ล่ะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจจัดการแกบนรถ”
   “ไอ้บ้า!!”
   ผมตวาดใส่มันอย่างโมโหจริงๆ ดูมันสิครับ มันปลุกเพื่อนสนิทอย่างผมด้วยวิธีบ้าๆ อย่างนี้ แถมยังไม่ยอมพูดอะไรที่มันดูเป็นผู้เป็นคนอีก ถ้าอยากจะให้ผมลุกก็น่าจะพูดกันดีๆ ไม่ใช่พูดอย่างกับจะปล้ำผมงั้นแหละ
   แต่ไอ้บ้านี่มันก็เคยมีประวัติทำแบบนั้นกับผมมาแล้ว
   ทันทีที่ลุกขึ้นได้ ผมหันซ้ายหันขวาทันที ทำตัวเหมือนตุ๊กตาที่ผูกติดอยู่กับกังหันวัดลม แต่ผมไม่ได้หันตามลมหรอกนะครับ ผมหันหาคน
   “หาอะไรน่ะ?”
   ไอ้วิทย์เอ่ยถาม ผมยังไม่ตอบมันทันที พยายามหันไปหันมาอีกพักใหญ่ จนมันต้องเอามือมาจับหน้าผมแล้วถามอีกรอบ
   “แกหาอะไรวะ?”
   “น้องแก้ว”
   ผมตอบตามความสัตย์ ผมกำลังมองหาน้องแก้ว หรือใครก็ได้ที่น่าจะมาด้วย แต่ที่ผมเห็นคือชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าว กับประตูรีสอร์ทอย่างหรู บนหน้าไอ้วิทย์มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ผมเป็นแล้วไม่สบายใจเอาเสียเลย ก็เพราะรู้ว่ามันจะยิ้มอย่างนี้แหละครับ ผมเลยต้องรีบมองหาบุคคลที่สาม
   “ไม่มีหรอก มีแต่แกกับฉัน เอ้า ลุกได้แล้ว”
   มันว่า และฉุดลากผมออกจากรถอย่างไม่เมตตาปราณี ผมอยากจะร่ำร้องกับโชคชะตาตัวเองจริงๆ ทำไมต้องให้ผมเกิดมา แล้วให้ไอ้วิทย์เกิดมาเป็นเพื่อนสนิทของผมด้วย สักวันผมคงต้องกระอักเลือดตายจริงๆ แน่กับไอ้ความไม่เกรงใจแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมของมันนี่แหละครับ
   แค่ความหรูหราของรีสอรท์ก็ทำเอาผมขาอ่อน ไอ้วิทย์มันเลือกแบบที่เป็นบังกะโลเล็กๆ แคบๆ ไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องล่อมาที่ที่มันหรูหราอย่างกับคู่รักมาฮันนี่มูนอย่างนี้ด้วย มันเดินจูงมือผมไปที่เคาท์เตอร์ คือถ้าผมไม่ยอมให้มันจูงมือ มันคงคว้าคอเสื้อผมแทน ผมเลยยอมๆ มันไป เพื่อรักษาหน้าตาตัวเองไว้ก่อน ผู้ชายสองคนจูงมือกัน.. คงไม่ผิดปกติเท่าไหร่หรอกมั้ง ผมพยายามปลอบใจตัวเองแบบนั้นขณะที่ไอ้คุณวิทย์กำลังติดต่อเคาท์เตอร์
   หลังจากผ่านไปนานสองนาน จนผมเริ่มสงสัยว่าวิทย์มันกำลังรออะไรกันแน่ ในที่สุดมันก็หันมาหาผม
   “สน..ฉันมีข่าวร้ายจะบอกแก.. เครื่องรูดบัตรที่นี่เสียว่ะ”
   ผมมองหน้ามันอย่างสงสัย วิทย์ทำหน้าเหมือนกำลังพูดจากับไดโนเสาร์อยู่ มันกระพริบตาสักพักจึงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
   “คือฉันพกมาแต่บัตรเครดิท แต่เครื่องรูดบัตรเครดิทมันเสีย แกเข้าใจไหม?”
   ผมพยักหน้าทันที ก่อนยิ้มอย่างดีใจ
   “งั้นก็กลับได้แล้วดิ ก็เข้าพักไม่ได้แล้วนี่”
   ไอ้วิทย์ถลึงตาใส่ผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่รู้ว่าพักนี้มันหัดไปทำท่ายักษ์ท่ามารพวกนี้มาจากไหน มันเค้นเสียงรอดไรฟันเหมือนต้องการจะข่มขู่เรียกดอกเบี้ย
   “ไม่ได้ อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล จะให้กลับง่ายๆ ได้ไง”
   ถึงมันจะพูดอย่างนั้นก็เถอะครับ ผมเองก็เสียดายเวลาบวกค่าน้ำมันรถอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะเอาเงินที่ผมพกติดมาแสนน้อยนิด ก็คงไม่พอจ่ายค่าห้องพักที่แค่เห็นก็รู้ว่าแพงหูฉี่ แล้ววิทย์มันจะเอายังไงของมันล่ะนี่ จะกลับก็ไม่กลับ เงินค่าที่พักก็ไม่มีจะจ่าย  มันเหมือนเดาความในใจของผมออกจึงแย้มแผมแผนออกมา ผมฟังมันกระซิบข้างหูแล้วทำตาโต
   “ทำได้จริงดิ?”
   มันพยักหน้า และพูดอย่างมั่นใจ
   “คุณวิทย์ซะอย่าง ทำได้อยู่แล้ว”

   ก็นั่นแหละครับ เป็นเหตุให้ผมต้องมายืนผัดผักอยู่หน้าเตานี่ ไอ้วิทย์มันเสนอว่าจะทำงานแลกค่าที่พักเอา ถึงจะเป็นที่พักพนักงานก็ยังดีกว่ากลับบ้านมือเปล่า แล้วมันก็ย้ำอย่างมั่นใจว่าคนอย่างมันทำได้ทุกอย่าง...ซะที่ไหนกันล่ะ!!!
   ขณะที่ผมทำกับข้าวแทบเป็นแทบตายอยู่หน้าเตา สิ่งที่มันทำคือ เดินไปเดินมา เดินไปเดินมาจริงๆ นะครับ แบบเดินไปหยิบนั่นหยิบนี่ วาง แล้วก็เดิน ถ้าไม่ติดว่าผมต้องจ้องเตาตลอด ผมคงเอามีดอีโต้ที่เสียบอยู่ข้างๆ เขวี้ยงใส่หัวมันไปแล้ว ขณะที่กำลังเทผัดผักห้าสีใส่จาน ไอ้วิทย์ก็ถือไก่งวงตัวหนึ่งเดินเข้ามา
   “สน ฉันอยากกินไก่อบอ่ะ?”
   ผมถือกระทะด้วยมืออันสั่นกึ่กๆ จะว่าเหนื่อยก็ไม่ใช่หรอกครับ เรียกว่าสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้จะดีกว่า ผมถึงกับต้องยืมท่าทางยักษ์มารของมันมาใช้บ้าง
   “ถ้าแกอยากกิน ก็หัดทำเองสิวะ! ไม่เห็นหรือไงฉันยุ่งจะตายอยู่แล้ว!!”
   ผมเอ็ดตะโร รีสอร์ทนี่ก็แปลก ยอมให้ผมกับไอ้วิทย์เข้ามาทำงานแทนค่าที่พักได้ง่ายๆ แถมเหมือนจะยกครัวให้ผมจัดการเองเลยด้วย ประเด็นคือไอ้รายการอาหารที่ส่งเข้ามาทำไมผมถึงได้รู้สึกคุ้นๆ ไอ้วิทย์ทำหน้าเหมือนเด็กถูกห้ามไม่ให้ซื้อของเล่น มันเดินถือไก่งวงออกไป แล้วกลับมาใหม่พร้อมถาด
   “ฉันทำเองก็ได้”
   มันพูดเด็ดขาด พลางเปิดฝาตู้อบออก ทำท่าจะเอาไก่ทั้งตัวที่ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแม้แต่ละลายน้ำแข็งเข้าไปด้านใน ผมรีบวางกระทะ คว้ามือดึงถาดใส่ไก่ออกมาแทบไม่ทัน
   “จะบ้าเรอะ นี่เขาให้ทำให้ลูกค้าไม่ใช่ให้แกทำกินเอง แล้วไก่อบมันอบได้เลยที่ไหนกันเล่า มันต้องหมักก่อน”
   “อ้อ...”
   มันร้อง และหันไปหยิบซีอิ้วขึ้นมา ทำท่าจะราดลงไปบนไก่ ผมรีบคว้าขวดซีอิ้วจากมือมันอีกรอบ ให้ตายสิ นี่มันเคยพูดจาอะไรรู้เรื่องกับเขาบ้างไหม
   “ลูกค้าไม่ได้สั่ง เดี๋ยวก็ได้ใช้ค่าอาหารกันหัวบานพอดี แกเข้าใจสถานการณ์บ้างไหมเนี่ย?”
   ไอ้วิทย์ทำหน้ายุ่ง อ้อมแอ้มออกมา
   “ก็ฉันอยากกินนี่”
   ผมถอนหายใจ ลืมไปเลยครับว่าไอ้วิทย์มันเป็นลูกเศรษฐี เกิดมาก็อยู่บนกองเงินกองทอง อยากกินอะไรอยากได้อะไร ก็ได้กินได้ใช้ ครั้นจะให้มันมาทำงานในครัว ก็สมควรอยู่ที่มันจะทำอะไรไม่เป็นเลย ทั้งๆ ที่มันน่าจะรู้ตัวเองดีแท้ๆ แต่ยังตะเกียกตะกายจะมาทำอีก อืม.. พอคิดไปก็อดเห็นใจมันไม่ได้
   “เดี๋ยวฉันดูว่ามีน่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยสวยรึเปล่า ถ้ามีจะทำให้แกกิน”
   มันยิ้มอย่างดีใจ แล้วก็หอมแก้มผมดื้อๆ
   “ฉันรักแกจัง”
   ผมคว้ากระทะขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดขู่
   “ถ้าแกทำอะไรบ้าๆ แบบตะกี้อีก ฉันเอากระทะแพ่นกบาลแกแน่”
   ไม่รู้ว่าระหว่างผมกับกระทะไอ้วิทย์มันกลัวอะไรมากกว่ากัน แต่มันคงกลัวกระทะครับ เพราะปกติผมขู่แบบนี้มันคงไม่รู้สึกอะไร แต่คราวนี้มันพยักหน้ายอมรับง่ายๆ
   “ไม่แกล้งก็ได้”
   ผมพยักหน้าอย่างยินดี ให้มันเดินไปเดินมาก็พอแล้ว ไม่ต้องมาทำอะไรชวนขนลุกให้ผมเหนื่อยใจไปมากกว่านี้เลย แค่นี้ผมก็อยากจะเอากระทะทุ่มหัวมันใจจะขาดอยู่แล้ว

   “เฮ้ยสน เสร็จแล้วไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวจะได้เอาของไปเสิร์ฟลูกค้า”
   ผมอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะหายใจเต็มปอดหลังจากเพิ่งเอาเศษน่องไก่ชิ้นเล็กๆ เข้าเตาอบให้ไอ้วิทย์เป็นรายการสุดท้าย นี่ทำอาหารแล้วยังต้องออกไปเสิร์ฟเองอีกเหรอ ใช้งานกันคุ้มค่าจริงๆ ใช้งานผมน่ะครับ ไม่ใช่ใช้งานไอ้วิทย์ เพราะคุณชายวิทย์ยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลยซักอย่าง นอกจากเดินไปเดินมาและพูดจากวนประสาท
   ผมกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมสวมชุดบริกรที่มีคนวางเอาไว้ให้ ไอ้วิทย์กำลังวางอาหารใส่ถาด อืม... ดูท่าคุณชายแบบมันยังมีปัญญาจะเอาอาหารวางบนถาดเองได้อยู่ ผมเห็นไอ้วิทย์แอบเอาน่องไก่ที่ผมอบให้ใส่ในถาดด้วย กำลังจะทักมันว่านั่นไม่ใช่ของลูกค้า แต่นึกขึ้นได้ว่ามันคงกะจะเอาไปแอบกิน เพราะขืนกินในห้องครัวอาจจะโดนเฉ่งก็ได้ วิทย์เงยหน้ามองผม และยิ้มร่า
   “ไปกันเถอะ”
   ผมนึกสงสัยมาตลอดทางว่าทำไมมีผมคนเดียวที่ต้องสวมชุดบริกร ขณะที่ไอ้วิทย์ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิม แต่ในเมื่อมันช่วยถือถาดมาพร้อมกับผม ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรมาก บางทีคนดูแลอาจคิดว่าหน้าตาไอ้วิทย์ใช้แทนเสื้อผ้าได้อยู่แล้ว ก็ต้องยอมรับล่ะครับ สำหรับหน้าตา ไอ้วิทย์ดูดีกว่าผมทุกซอกทุกมุมจริงๆ รวมถึงรูปร่างด้วย ไอ้วิทย์พาผมเดินผ่านบังกะโลอย่างหรูหลายหลังราวกับมันเคยมาที่นี่มาก่อน คงมีใครบอกทางมันระหว่างที่ผมอาบน้ำ ในที่สุดเราก็มาถึงบังกะโลขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ตกแต่งหรูหราขนาดไม่อยากจะจินตนการถึงราคาที่พัก มันเดินเข้าไป และเปิดประตู
   “ไม่เคาะก่อนเหรอ?”
   ผมถามอย่างแปลกใจ ไอ้วิทย์หันมามองก่อนยิ้ม
   “ไม่ต้อง”
   มันพูดและผลักประตูเข้าไป
   ห้องพักด้านในถูกแสงไฟสีครีมจากโคมไฟที่เปิดอยู่ย้อมจนกลายเป็นสีส้มอ่อนๆ ด้านหน้ามีโต๊ะสำหรับกินข้าวตัวหนึ่งวางอยู่ ไอ้วิทย์วางถาดอาหารลงบนนั้น ผมเลยวางตาม
   “อืม... นี่คงจองเอาไว้ล่วงหน้าสินะ”
   ผมว่า และนึกขอโทษที่คนที่พักห้องนี้ต้องมาทนกินอาหารฝีมือผม ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกนะครับ แต่ผมไม่มั่นใจว่าฝีมือตัวเองจะสู้พ่อครัวมืออาชีพได้ ระหว่างที่กำลังยืนขอขมาลาโทษคนที่จะต้องกิน ผมก็ได้ยินเสียงล็อกประตู ผมหันไปทันที ไอ้วิทย์ยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มแต้
   “กินข้าวกันเถอะ”
   มันว่า และเดินมานั่งที่โต๊ะ ผมตาเหลือกทันที
   “เฮ้ยวิทย์ นี่ไม่ใช่ห้องฉันจะ แกจะมาทำนั่นทำนี่ตามใจชอบได้ไง ลืมไปแล้วเหรอว่าเราทำงานแลกค่าที่พักน่ะ”
   ผมเอ็ด ไม่คิดเลยว่าไอ้วิทย์มันจะเป็นคนไร้มารยาท หน้ามึนขนาดโมเมเอาห้องคนอื่นมากินข้าวเล่นได้ มันยักไหล่ให้ผม และยิ้มเหมือนอยากจะขอโทษ
   “อืม.. มันก็ใช่หรอกนะ นี่ไม่ใช่ห้องนาย อืม... สน ฉันขอโทษก่อนเลยแล้วกัน คือ...”
   มันเว้นจังหวะไประยะหนึ่ง และชายตามองเหมือนทดสอบว่าผมสนใจและมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อดูหน้าผมจนพอใจแล้ว มันมันก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ถึงได้พูดต่อ
   “จริงๆ แล้วรีสอร์ทนี่ฉันเป็นเจ้าของ”
   “ห๊ะ!!”
   ผมร้องเสียงแหลม เหมือนถูกไอ้วิทย์พลักตกหน้าผา ขณะที่กำลังหาทางปีนลงไปอยู่ ไอ้วิทย์หัวเราะแหะๆ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “ไม่ได้อำแกหรอกนะสน คือฉันเป็นผู้บริหารที่นี่ แกอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมฉันต้องกลับบ้านเสาร์อาทิตย์ ฉันก็ต้องมีเวลามาบริหารกิจการเหมือนกัน”
   ที่ผมสนใจไม่ใช่ประเด็นที่มันกำลังพูดอยู่สักนิด ผมไม่สนใจว่ามันต้องเข้าประชุมผู้บริหารเดือนนึงกี่ครั้ง ที่ผมสนใจคือ
   “ไอ้วิทย์!! สรุปว่าแกหลอกฉัน!!!!”
   ผมเอ็ดตะโรเสียงลั่น ไอ้ที่มันบอกว่าเป็นผู้บริหารน่ะ ผมเชื่อมันล่ะครับ ถ้าลองรู้จักฐานะทางบ้านมันแล้วล่ะก็ ต่อให้มันบอกผมว่าหาดแถบนี้ทั้งหาด เป็นของมัน ผมก็เชื่อ แต่ปัญหาคือ ในเมื่อรีสอร์ทเป็นของมันอยู่แล้ว มันจะหลอกใช้ผมทำอาหารไปทำไม
   “แกเข้าพักได้ตั้งแต่แรก แล้วทำไมต้องหลอกให้ฉันไปทำครัวด้วยว่ะ!!!”
   ผมกระชากเสียงใส่อีก โมโหมันอย่างจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้แหละ ไอ้เพื่อนบ้า ไอ้เพื่อนเวร จะแกล้งกันก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิฟ่ะ คิดว่าคนเขาทนยืนหน้าเตาร้อนๆ ไปเพื่ออะไรกันเล่า!!!
   “ก็ฉันอยากกินกับข้าวฝีมือแกนี่”
   มันว่า ผมถึงกับหน้ามืด นึกอยากเอาเท้ายันยอดอกมันสักเปรี้ยงจริงๆ
   “คนครัวมีตั้งเยอะตั้งแยะใช้เข้าไปสิ แกจะอยากกินอาหารฝีมือฉันทำหอยหลอดอะไร!!!”
   “ก็อยากกิน ไม่ได้เหรอ?”
   มันตอบพลางทำหน้าน่าสงสาร ให้ตายสิครับ ให้มันทำหน้ากวนประสาทผมยังจะรู้สึกดีกว่านี้ พอเห็นไอ้หน้าอ้อนๆ ของมัน หัวสมองผมมึนไปชั่วครู่ ไอ้ที่พยายามสรรค์หาคำพูดก่นด่าให้หายแค้นก็พาลจะลืมๆ ไป ไอ้บ้านี่ลูกไม้มันเยอะจริงๆ
   “แกอยากกินอาหารที่ฉันทำ แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ ว่ะ”
   ผมถาม แน่นอนว่าผมไม่ยอมแพ้แค่หน้าตาอ้อนๆ ของมันหรอก ถึงคราวที่ผมต้องอำมหิตกับมันบ้างล่ะ ไอ้วิทย์มุ่ยหน้า
   “ถามจริงเหอะ ถ้าฉันเดินเข้ามา แล้วบอกแกว่า สน ฉันอยากกินข้าวผัดไข่ แกจะตอบว่ายังไง”
   “ไอ้ของง่ายขนาดนั้นแกก็ไปสั่งในครัวผัดเอาสิว่ะ อุตส่าห์ถ่อมาถึงทะเล แกจะกินข้าวผัดไข่เนี่ยนะ”
   ผมว่า และรู้สึกหลงกลเข้าอย่างจัง ไอ้วิทย์ยิ้มแฉ่ง
   “ใช่ม๊า ฉันเลยต้องหลอกแกไง เพราะยังไงแกไม่มีทางยอมทำอาหารอย่างที่ฉันอยากกินเด็ดขาด”
   ผมเพิ่งนึกได้นี่เองว่าทำไมเมนูอาหารมันถึงได้ทะแม่งนัก ที่แท้เพราะทั้งหมดนั่นเป็นของโปรดไอ้วิทย์หมดเลย ผมนึกอยากเอาบาทาลูบหน้าคนก็ตอนนี้นี่เอง
   “ฉันจะกลับ!!”
   ผมพูด หมดความอดทนกับไอ้เพื่อนบ้าคนนี้เต็มที มันหลอกผมทำนั่นทำนี่ เพื่อสนองความต้องการของมันทั้งนั้น มันเคยมองผมเป็นเพื่อนบ้างไหม หรือว่ามันมองผมเป็นขี้ข้ามันมาตั้งแต่เริ่มคบกัน
   ไอ้วิทย์ฉวยมือผมไว้ และออกแรงกระชากจนผมหงายหลัง อย่างกับกะเอาไว้แล้ว ผมเซถลาลงไปนั่งตักมันพอดี
   “อย่าโกรธกันนะสน ยังไงฉันก็ให้แกพักฟรี ไม่คิดค่าที่พักหรอก”
   ไอ้วิทย์พูดเสียงอ่อย เหมือนพยายามจะทำบุญคุณกับผม จะบ้าเรอะ ผมไม่ได้อยากมาพักที่นี่เลย มันทั้งนั้นเป็นคนจัดการ ยังจะหน้าด้านมาคิดค่าที่พักผมอีก
   “คิดดูนะ แกได้มาพักสบาย แลกกับแค่ทำอาหารเลี้ยงฉัน ขนาดเด็กปัญญาอ่อนยังรู้เลยว่าโคตรคุ้ม”
   “ไอ้บ้า!!”
   ผมด่ามัน และพูดต่อ
   “ใครมันดี้ด๊าอยากจะมากันว่ะ”
   “แกไง”
   ไอ้วิทย์ตอบทันควัน และพูดต่อแบบไม่ปล่อยโอกาสทองให้เสียมือ
   “ใครว่ะเมื่อวานทำเสียงลั่นล้า พอน้องแก้วโทรไปก็อยากมาตัวสั่น”
   ผมถลึงตามองมัน ทำไมถึงนึกไม่ได้ตั้งแต่แรก มันคงไปบังคับให้น้องแก้วฝืนใจโทรมาหลอกล่อผมแน่ๆ โธ่ น้องแก้วที่น่าสงสาร แต่ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองน่าสงสารกว่า เพราะต้องมาเผชิญกับไอ้เพื่อนเวรตะไลนี่สองต่อสองกับสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว
“ทำไมแกถึงได้อยากแกล้งฉันขนาดนี้ ฉันเคยไปทำอะไรให้แกไม่พอใจหรือไง?”
   ผมถาม พยายามใช้น้ำเสียงน่าสงสารปานดาวพระศุกร์ยามถูกตบ ไอ้วิทย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อาจจะสะเทือนใจกับคำพูดของผม มันควรรีบระลึกได้แล้วว่ามีเพื่อนดีๆ อย่างผมประเสริฐแค่ไหน ไม่ใช่หลอกเอาๆ เหมือนที่กำลังทำๆ อยู่
   “สน...แกรู้มั้ย ว่าแกทำอะไรให้ฉันไม่พอใจ”
   มันย้อนถาม ผมสั่นศีรษะทันที โห... มันหลอกผมหัวทิ่มหัวตำขนาดนี้ ควรจะเป็นผมมากกว่าที่พูด นี่ผมถามตรงปัญหาตรงประเด็นขนาดนี้แล้ว มันยังสำนึกไม่ได้อีก สมองของมันคงมีปัญหา ไอ้เพื่อนสุดที่รักของผมพูดต่อ ด้วยสีหน้าจริงจังว่าผมได้ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปกับมันจริงๆ
   “ฉันไม่พอใจแกตรงที่แกทำเป็นไม่รู้ว่าฉันพอใจแกนี่แหละ”
   โดยไม่รอให้สมองผมทำความเข้าใจกับประโยคคำตอบสุดแสนน่างุนงงและมึนได้อย่างอัศจรรย์ของมัน ไอ้วิทย์ก็รีบเอาปากมันมาอุดปากผม ไม่รู้มาก่อนว่ามันกลัวถูกผมเถียงกลับขนาดนี้ ผมเลยเอามือหยิกมันแทน ปากใช่ไม่ได้อย่างอื่นยังใช้แทนกันได้ เหมือนมันจะโมโหที่ถูกหยิก ไอ้ลิ้นที่ล้วงเข้ามาเลยยิ่งก้าวร้าวหนัก ขนาดไล่กวาดจนทั่วปากผมไม่พอ ยังจะดึงลิ้นผมไปกัดอีก มันจะเอาให้ผมเป็นใบ้ไปเลยหรือไง ผมเลยตอบโต้มันบ้าง คิดหรือไงว่ามันเก่งเรื่องพรรณนี้อยู่คนเดียว ขณะที่กำลังพยายามใช้ลิ้นดุนดันกันอยู่ มือไอ้วิทย์ล้วงเข้ามาในอกเสื้อผมเมื่อไหร่ไม่รู้ เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก ก็มือมันเย็นมากนี่ เย็นอย่างกับมีน้ำแข็งอยู่ในมือ ผมผลักมันออกทันที ก่อนจะก้มลงมองมันโดยไม่ทันคิด และเห็นมันกำลังยิ้มกริ่ม
   “ตกใจเหรอ รู้ป่าว แกอยู่ในชุดเด็กเสิร์ฟก็ไม่เลวเลยนะ ฉันล่ะชอบแกจริงๆ”
   ไอ้วิทย์พูดและอ้าปากกัดคางผมเบาๆ ผมพยายามผลักมือมันออก ไอ้เพื่อนบ้า ชอบกันแล้วทำแบบนี้เหรอเนี่ย แล้วผมก็รู้ว่ามือมันได้เย็นเป็นน้ำแข็งหรอกครับ แต่มันมีน้ำแข็งอยู่ในมือต่างหาก แล้วตอนนี้มันก็เอาน้ำแข็งนั่นลูบลงไปบนตัวผม รู้สึกยังไงน่ะเหรอ... มันก็ หนาวน่ะสิ!! แอร์ในห้องน่ะเบาๆ เสียที่ไหน ถึงผมจะเพิ่งยืนหน้าเตา แต่ก็เพิ่งอาบน้ำมาเหมือนกัน พอมาเจอน้ำแข็งนี่อีก ผลที่ได้คือตัวผมสั่นกึ่กๆ ปากกับฟันกระทบกันอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้วิทย์ก็ดูจะหวังดีกับผมเหลือเกิน กลัวผมจะหนาวไม่พอ ยังปลดกระดุมเสื้อผมออกไปอีก นี่ถ้าผมเป็นหวัดก็เพราะมันนี่แหละ อย่าถามเลยนะครับว่าทำไมผมไม่ยอมผลักมันออก อีน้ำแข็งที่มันลูบๆ ไปตามตัวผมนี่คงมีพลังลึกลับแฝงอยู่ ยิ่งลูบผมยิ่งหมดแรง หมดเอาดื้อๆ ไม่มีแรงจะผลักมันอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องร้องครางให้มันฟังอีก และดูมันจะพอใจที่ได้ยินเสียงครางของผม จากเสียงที่มันกระซิบกระซาบ
   “ดีใช่ไหมล่ะ?”
   ดีบ้าอะไรล่ะ!!! ผมล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้ามันจริงๆ แต่จนใจเพราะไอ้ที่ออกไปดันกลายเป็นเสียงครางนี่แหละครับ ดูเหมือนไอ้วิทย์จะเบื่อน้ำแข็งแล้ว ไม่ก็น้ำแข็งละลายจนหมด มันเลยเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่น
   ผมสะดุ้งเฮือก สติแทบจะบินออกจากร่าง น้ำแข็งตะกี้ว่าเย็นแน่ๆ แต่ลิ้นไอ้วิทย์ตอนนี้อุ่นจนแทบร้อน ผมจำไม่ได้ว่ามันกินอะไรอยู่ก่อนหน้านี้รึเปล่า หรือบางทีคงเพราะตรงนั้นของผมเย็นอยู่แล้ว พอลิ้นไอ้วิทย์ไปโดน มันเลยรู้สึกร้อนขึ้นมา ถ้ามันอยากจะกินน้ำแข็งทำไมมันถึงไปกินบนหน้าอกผมเล่า!!! แถมทำเหมือนไม่รู้ว่าน้ำแข็งละลายไปแล้ว มันเล่นเคี้ยวยอดอกผมเล่นแทนซะงั้น ไอ้เพื่อนสารเลว ถ้าเกิดเป็นแผลขึ้นมา ก็เพราะฟันของมันนั่นแหละ
   แล้วเหมือนไอ้วิทย์มันจะเกิดความเมตตาต่อผมขึ้นมา เพราะหลังจากมันพยายามจะกินเศษน้ำแข็งบนหน้าอกของผมแล้ว มันคงนึกได้ว่าผมกำลังตัวสั่นเพราะหนาวอยู่ มันเลยจัดแจ้ง อุ้มผมไปที่เตียง ถอดแว่นผมออก คงเตรียมส่งผมเข้านอนพักผ่อนคลายหนาว แต่แทนที่มันจะห่มผ้าให้ความอบอุ่นกับผม มันดันถอดเสื้อผ้าผมออกเกลี้ยง โอ๊ย!! นี่สมองมันคิดจากหลังไปหน้าหรือไง คนกำลังหนาวยังจะมาแก้ผ้ากันอีก
   ยังไม่พอครับ เกือบจะถือว่ามันยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง เพื่อนแท้ต้องมีทุกข์ร่วมเสพ มีสุขร่วมต้าน มันคงคิดแล้ว ปล่อยให้ผมแก้ผ้าคนเดียวไม่ยุติธรรม มันเลยถอดเสื้อผ้าของมันออกด้วย ช่างเห็นแก่เพื่อนฝูงจริงๆ..... ซ่ะที่ไหนเล่า!!! ครั้งสุดท้ายที่มันถอดเสื้อต่อหน้าผม ผมจำได้เลยว่ามันทำอะไร
   แน่นอนว่าไอ้วิทย์ก็คงจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มันแก้ผ้าผมผมทำอะไร ดังนั้น ก่อนที่ผมจะตั้งสติได้ มันก็รีบคว้าเสื้อที่เพิ่งถอดไป มัดมือผมเอาไว้ทันที นี่ถ้ามีใครรับสมัครโจรเรียกค่าไถ่ ผมจะรีบส่งมันไปเป็นคนแรก แล้วก็คงสมมาตรปรารถนาของมันล่ะครับ ตอนนี้ผมไม่มีปัญญาจะตบตีมันแล้ว กระทั่งคิดจะด่ายังด่าไม่ออกเลย
   ไอ้วิทย์ก้มลงจูบผมอีกครั้ง คงกะจะสูบวิญญาณกันเลยทีเดียว ก็รู้อยู่หรอกครับว่ามันเก่ง แต่ยั้งๆ เอาไว้บ้างก็ได้ นี่มันคิดว่าผมเชี่ยวชาญมากนักรึไงเนี่ย เสร็จจากจูบที่แทบจะสูบวิญญาณนั่นแล้ว มันก็เริ่มกัดคางผม กัดคอผม กัดหน้าอกผม..... สงสัยมันคงคิดว่าตัวเองเป็นหนูแฮมสเตอร์มั้ง แล้วเห็นผมเป็นเมล็ดทานตะวัน เลยแทะเอาๆ และผมก็คงต้องปล่อยให้มันแทะไป เพราะไม่รู้ว่าถ้าไม่ให้มันแทะ แล้วจะให้มันทำอะไร อืม.. ไอ้หนูบ้านี่ ไม่แทะอย่างเดียว กัดกับดูดอีกต่างหาก ยังไงก็ได้ล่ะครับ ไหนๆ ก็ดันซวยเกิดมาเป็นเพื่อนสนิทมัน คบกันนานขนาดนี้ นิดๆ หน่อยๆ ก็คงต้องยอมให้มันไปก่อน วิทย์มันเคยรู้จักเกรงใจกับเขาที่ไหน ก็แค่หวังว่า พอถึงตรงนั้นแล้วไม่จะไม่กัดของผมจนหน้าเขียว ถ้าเกิดอุตริกัดขึ้นมา ผมได้เลิกเป็นเพื่อนกับมันถาวรแน่ๆ
   โชคยังดีที่ไอ้วิทย์มันยังอยากเป็นเพื่อนกับผมอยู่ พอถึงตรงนั้น มันก็สนองผมทั้งดูดทั้งดุนจนผมแทบขาดใจตาย ขนาดเกรงใจไม่อยากปล่อยใส่มันแล้ว มันก็ยังดึงดันจะเอาให้ได้ ตามใจมันแล้วกันครับ เลยตามเลย... แล้วมันก็สมเป็นเพื่อนรักผมจริงๆ ได้อะไรมาแล้วไม่ยอมเอาไว้คนเดียว มันเอาไอ้ที่ผมปล่อยใส่มัน กลับมาให้ผมชิมอีกต่างหาก แบบนี้สมควรจะรักกับมันต่อไปดีไหมครับ?
   ผมคงไม่ถามคำถามนี้กับไอ้วิทย์ เพราะถึงไม่ถามมันก็มัดมือชกผมอยู่แล้ว และถึงถามออกไปตอนนี้ ใช่ว่ามันจะยอมหยุด เผลอๆ มันจะได้ใจหนักกว่าเก่า แค่ไอ้นิ้วที่มันล้วงเอาๆ นี่ก็แทบจะสุดทน กะจะถ่างกันให้ได้ในสองสามนาทีนี้เลยใช่มั้ย คิดบ้างมั้ยว่าเพื่อนมันคนนี้จะรู้สึกยังไง แต่ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน จะครางยังไงให้มันเข้าใจความรู้สึกผม ดังนั้นก็คงต้องปล่อยให้มันทำต่อไป พลางสวดมนต์อ้อนวอน ให้มันเกรงใจผมขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย...อย่าพรวดพราดเข้ามาก่อนเวลาอันควร
   !!!!
   ยังไม่ทันที่ผมจะคิดเสร็จ ไอ้บ้านี่มันก็บ้าเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ไอ้อะไรที่มันไม่เคยเกรงใจ มันก็ไม่เคยเกรงใจเหมือนเดิม ยังถ่างไปไม่ถึงไหน มันก็ยัดพรวดเข้ามาแล้ว ไอ้บ้า ไอ้วิทย์บ้า  ไอ้เจ้าบ้า เจ็บนะโว้ย!!! ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามัน เอาให้ดูเรียงสวยเป็นรูปประโยคคำด่าอันไปเพราะ ฟังเพราะเสียดโสตประสาท แต่ปัญหายิ่งใหญ่ นอกจากไอ้ที่หลุดออกไปจากปากไม่เป็นประโยคภาษาแล้ว ยังเหมือนเป็นสัญญาณกระตุ้นเอวไอ้เพื่อนเวรตะไลของผมให้ขยันขยับหนักเข้าไปอีก อยากจะแช่งให้เอวมันยอกระหว่างที่ขยับยุกยิกนี่จริงๆ แต่ก่อนที่เอวมันจะยอก เอวผมคงเคล็ดก่อน ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี่แล้ว ผมไม่ควรปล่อยให้เพื่อนออกแรงคนเดียว เอวผมถ้าปล่อยให้ถูกกระแทกฝั่งเดียวนานๆ ได้เคล็ดจริงๆ แน่ ในฐานะเพื่อนที่ดี ผมควรจะช่วยขยับเพื่อผ่อนแรงมัน...จริงดิครับ!!!? ผมไม่ต้องขยับตอบมันก็แทบเอาผมตายอยู่แล้ว
   “สน?!”
   ได้ยินเสียงมันเรียกผมเหมือนตกใจ พร้อมกับหอบฮั่กๆ ก็อยากจะหันไปด่ามันต่ออยู่หรอก แต่แค่หายใจให้ทันก็ลำบากแล้วสำหรับผม อย่าว่าแต่หันหน้า ลืมตาผมยังไม่อยากจะลืมเลย ขนาดผมลืมตาไม่ขึ้น มันก็ยังจะจูบลงมาอีก
   “ฉันรักแกนะ”
   มันกระซิบ ผมคร้านจะตอบประโยคนี้ของมันแล้ว เลยได้แต่ส่งเสียงงืมงำ และนึกเสียดายอาหารที่วางอยู่ ป่านนี้คงจะเย็นชืดไปหมดแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย คนอุตส่าห์ทำให้กิน ดันมากินคนทำให้ซะได้ ไอ้เพื่อนเลี้ยงเสียข้าวสุก!!

--------------------------------------------
   “กินหน่อยน่า....”
   ไอ้วิทย์พยายามจะง้อให้ผมกินโจ๊กที่มันสั่งมาให้ ก็ดีอยู่หรอกครับที่สุดท้ายหลังจากมันกินผมเสร็จ มันก็อุตส่าห์ลุกขึ้นมากินอาหารที่ผมทำไว้ให้จนหมดเกลี้ยง เรียกว่าแทบจะเอาจานเปล่ามาโชว์ เอาใจคนทำสุดๆ แต่ที่แย่คือผมตื่นเช้ามาพร้อมด้วยอาการที่เรียกว่าหวัดนี่แหละ ซึ่งก็ไม่ต้องโทษใครอื่น นอกจากไอ้เพื่อนบ้าที่เล่นพิสดารกับผมเมื่อวาน ผมล่ะหงุดหงิดจริงๆ ที่มันเล่นอะไรแผลงๆ แบบนั้น เลยอยากจะลงโทษมันสักหน่อย แต่ไอ้การงอนไม่ยอมกินนี่ มันก็ทรมานกระเพาะผมเหมือนกัน
   “กินหน่อยนะ อย่าให้ฉันต้องใช้ปากป้อนแกเลย”
   ไอ้วิทย์ว่า ผมถลึงตาใส่มันทันที ดู...ดูมันครับ ขนาดเล่นเพื่อนรักเพื่อนสนิทจนเป็นขนาดนี้แล้ว มันจะมีกะใจจะล้อเล่นอีก
   “เอาปากป้อนแกก็ติดหวัดฉันสิวะ”
   มันควรรีบยกย่องผมเป็นเพื่อนดีเด่นหลังจากได้ยินประโยคนี้ คิดดูสิครับ ผมที่โดนขนาดแทบจะลุกไม่ขึ้น ยังมีกะใจจะห่วงมันอีก แต่ที่มันตอบคือ..
   “แปลว่าถ้าไม่เป็นหวัดแกก็อยากให้ฉันเอาปากป้อนสินะ อืม.. งั้นฉันจะรีบพยาบาลให้แกหายไวๆ ฉันจะได้ป้อนข้าวแกด้วยปาก ท่าทางน่าอร่อยดี”
   ผมแทบจะพ่นโจ๊กที่มันเพิ่งป้อนออกมา ไอ้เพื่อนเวร ดูมันตีความไปแต่ละอย่าง มันเคยมีจิตสำนึกกับเขาบ้างไหม เคยนึกเกรงใจผมสักนิดนึงไหม ถึงตรงนี้ผมอดไม่ได้ต้องถามออกไปอีก
   “วิทย์ แกเคยนึกเกรงใจฉันบ้างรึเปล่าวะ?”
   ไอ้วิทย์สั่นหัว และยิ้มระรื่น
   “ไม่เลย ถ้าเกรงใจแก ฉันคงฝ่อตายพอดี จริงๆ ฉันก็เกรงใจแกเยอะแล้วนะ ถ้าไม่เกรงใจฉันใช้นิ้วป้อนแกแทนช้อนไปแล้ว”
   มันไหลไปได้ต่อ รีบตักโจ๊กยัดปากผม คงกลัวผมจะเอ็ดตะโรมันอีก...
   ทำไมเพื่อนผมมันถึงได้หาสมบัติผู้ดีไม่ได้แบบนี้นะ... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
   ใครก็ได้ ช่วยสอนมันให้เข้าใจคำว่าเกรงใจที!!!!

------------------------------------------------------
** กระหน่ำลงมันรวดเดียวให้ถึงตอนล่าสุดเลยดีไหม?? (แปลว่าหล่อนจะเขียนเรื่องนี้ต่อสินะ?!! //วิ่งหนี)

ขอบคุณที่ติดตามค่า :-[

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ขอมาอ่านในนี้แทนในblog เนื่องจากตัวใหญ่กว่าเยอะ 555

สงสารวิทย์จริง ไม่รู้จะหามุขไหนมาง้างปากสนแล้ว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
จะมีใครขี้เกรงใจได้เท่าสนอีกมั๊ยในโลกนี้  วิทย์ก็นะหลอกล่อสุด ๆ ไปเลย

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
มาตามอ่านเรื่องนี้ด้วยคนค่ะ
นายเอกเรื่องนี้ปากแข็งหรือเอ๋อกันแน่นะ  :pig4:

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :m20:
อีกนานวิทย์ ที่สนจะเข้าใจ ซื่อขนาดจริงๆ

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ทยอยอัพค่ะ เผื่ออนาคตมีตอนที่7 (ต้องเผื่ออนาคตเลยนะเนี่ย!! o22)

--------------------------------------------------

เพราะเพื่อนผมมันไม่มี “สมบัติผู้ดี 5

สมบัติผู้ดี....
   ใครก็ได้ครับ ต้มหนังสือสมบัติผู้ดีให้เพื่อนผมกินที มันจะได้รู้สักทีว่าหนังสือกินไม่ได้ และสมบัติผู้ดีก็ไม่ได้ช่วยให้อิ่ม แล้วมันจะได้สำนึกขอบคุณผมที่ช่วยดูแลเพื่อนซื่อบื้ออย่างมันมาตั้งหลายปี
   ให้ตายสิครับ ก่อนที่จะพูดถึงสมบัติผู้ดี คงต้องพูดถึงสติสตังค์ของมันก่อนครับ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงไอ้คุณสนธยา เพื่อนสนิทสุดเลิฟสุดรักสุดหวงของผม ขนาดทั้งรักทั้งหวงมันออกนอกหน้า มันยังกล้าทำมึนใส่ผมเลยครับ
   แบบนี้มันควรจะเอาหนังสือฝึกสติมาต้มกินให้รู้แล้วรู้รอด!
-------------------------------------
   “อิ่มแล้วล่ะ” สนพูดและยกมือผลักมือผมเบาๆ ผมถือช้อนค้าง อ้อ นี่ผมไม่ได้บังคับมันให้กินต้มสติสัมปชัญญะหรอกนะครับ ผมกำลังป้อนโจ๊กมันอยู่ ส่วนสาเหตุว่าทำไมมันถึงต้องกินโจ๊ก ต้องไปถามมันเอาเองล่ะครับ ผมขี้เกียจจะเล่า แต่ถ้าถามเหตุผลผมคงจะพูดว่า ก็ใครใช้ให้มันซื่อบื้อขนาดนี้กันเล่า!!
   ผมคบกับไอ้สนมาเป็นสิบปี มันเป็นคนซื่อและบื้อที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่รูปหล่อ พ่อรวย สมองเลิศสุดสมาร์ทที่สุดในปฐพีอย่างผม
   มันควรต้องขอบคุณผมที่ใจดีมีเมตตาธรรมค้ำจุนมันมาได้จนถึงทุกวันนี้
   พูดไปแล้วจริงๆ ไอ้สนมันก็มีข้อดีนะครับ ข้อดีคือมันซื่อนี่แหละครับ สมัยก่อนไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกับผมนักหรอกครับ สงสัยคงเห็นว่าผมหน้าตาดี เงินก็มี คงหยิ่งเชิดน่าดู เผอิญผมก็ไม่ชอบไปง้อพูดกับใครก่อนด้วย ก็มีไอ้สนนี่แหละครับ ที่ไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหม มันเป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับผม เราเลยสนิทกันครับ แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่า ไอ้สนมันคุยกับทุกคน มันเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และคนอื่นก็เข้าหามันง่าย ใช่ครับ มันเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าใครคิดอะไรกับมันบ้าง เรียกว่าโคตรซื่อสุดๆ นี่ถ้ามีใครเอาไม้แอบด้านหลังจะมาแพ่นกบาลมัน มันคงไม่รู้ตัวหรอกครับ จนถูกเขาตีโน่นแหละ เผลอๆ จะไปคิดว่าบังเอิญทำไม้หลุดมือหล่นใส่หัวมันอีกแนะ...ดูมันสิครับ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมจับตามองยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไง
   นอกจากความซื่อปนบื้อที่มันมีแล้ว บางทีไอ้คุณสนยังเป็นพวก”ผู้ร้ายปากแข็ง” คือไม่ใช่ว่าปากมันจะแข็งเป็นอิฐเป็นปูนหรอกนะครับ เพราะถ้ามันแข็งแบบนั้นผมคงไม่ลงทุนปลุกปล้ำมัน ไอ้เพื่อนบ้านี่มันมักจะทำปากแข็ง มึนไปเรื่อยๆ ทำเหมือนคนอื่นไม่รู้ทันมัน โถ....ใครไม่รู้ทันไอ้คุณสนก็บ้าแล้ว ผมคือคุณวิทย์ผู้ลาดปราดเรื่องนะครับ เรื่องแค่นี้มีหรือผมจะดูไม่ออก ปัญหาคือผมต้องเค้นคอให้มันสารภาพออกมาให้ได้
   “สน แกหายหวัดหรือยัง?” ผมถามหลังจากเอาถ้วยโจ๊กไปวางบนโต๊ะ มันเงยหน้าขึ้นมองผม และไอให้ดูแทนคำตอบ ดูครับ ดูมัน นั่งเงียบอยู่ได้ตั้งนาน พอถามปุ๊บไอปั๊บ มุขนี้ใช้กับคุณวิทย์ผู้แสนฉลาดไม่ได้หรอก
   “ไหน ให้ฉันดูหน่อยซิ” ผมว่า และไม่รอให้มันตอบ มือของผมก็ยื่นไปคว้าตัวมันเข้ามา มันถลึงตามองผม ลืมเรื่องไอไปเสียสนิท ถึงไอ้สนมันจะซื่อบื้อ แต่ถ้ามันรู้ตัวแล้วมันก็ไวเหมือนกันนะครับ ยังไม่ทันที่ผมจะทำอะไร มันก็ออกแรงผลักผมเอาเป็นเอาตาย
   “จะทำอะไรอีกวะ!?” มันว่า ทั้งผลักและถีบจนผมนิ่วหน้า โธ่เอ๋ย..สนเอ๊ย จะมาดีดดิ้นอะไรเอาตอนนี้วะ
   “วัดไข้” ผมตอบห้วนๆ และผลักมันลงบนเตียง ด้วยคิดว่ามันคงจะรู้ตัวแล้วหยุดดิ้นสักที แต่เปล่าเลยครับ สนยังคงดิ้นสุดชีวิต สงสัยจริงๆ ว่ามันกลัวผมจับเชือดหรือไง
โดยปกติผมเป็นคนอารมณ์เย็นนะครับ อย่างน้อยก็ใจเย็นไม่ควักปืนลงไปยิงแสกหัวใครที่ขับรถปาดหน้า แต่ตอนนี้ผมชักจะเย็นกับไอ้สนไม่ไหว อุตส่าห์พามาเที่ยวทะเล หาที่พักดีๆ ให้ แทนที่มันจะตอบแทนผมให้เต็มที่ มันดันไม่สบาย แถมยังสะบัดสะบิ้งให้ผมต้องลำบากลำบน
ไอ้สนตาเหลือกทันที ตอนที่ผมคว้ามือไปเปิดตู้ตรงหัวเตียง อ้อ เตียงนี้ของผมเองแหละครับ จริงๆ แล้วรีสอร์ทนี่ก็ของผมทั้งหมด แต่ห้องนี่ผมจัดพิเศษ เอาไว้ฮันนีมูนกับไอ้สนโดยเฉพาะ บรรยากาศก็ดี อาหารก็ยอด มันคงจะเหมือนฮันนีมูนมากกว่านี้ ถ้าไอ้สนมันว่าง่ายสักหน่อย
“ไอ้วิทย์!!! ทำอะไรของแกว่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” มันแหกปากเสียงลั่น เมื่อผมคล้องโซ่เหล็กเส้นเล็กๆ กับข้อมือของมันแล้วดึงปลายอีกข้างไปคล้องไว้กับห่วงข้างเตียง จริงๆ ก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบนี้หรอกนะครับ ผิดที่มันนั่นแหละ ถ้ามันยอมผมดีๆ แต่แรกก็สิ้นเรื่อง
“ก็จะวัดไข้” ผมว่า ไอ้สนแหกปากต่อทันที “วัดไข้โลกไหนเขาล่ามกันว่ะ”
“วัดกับฉันไง” ผมตอบ ไอ้สนตาเหลือก มือมันถูกล็อกไปแล้ว แต่ขามันยังดิ้นได้อยู่ ผมเลยต้องออกแรงกดขามันลงกับเตียง แล้วเอาโซ่คล้องไว้ อย่าถามนะครับว่าทำไมผมถึงมีของพวกนี้อยู่ในหัวเตียง ก็บอกแล้วว่าห้องนี้ผมจัดไว้เพื่อฮันนีมูนกับมันโดยเฉพาะ
“วิทย์ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่สบายอยู่...นะ” ไอ้สนเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อน หลังจากถูกล่ามจนขยับไม่ได้แล้ว ผมมองหน้ามันอย่างอยากจะช่วยเต็มที่
“ฉันปล่อยแกแน่ รอให้ฉันตรวจอาการแกก่อน”
“งั้นไปตามหมอมาก็ได้นี่” มันว่า ผมสั่นศีรษะ “แกอยากให้หมอเห็นในสภาพแบบนี้หรือไง”
ไอ้สนส่ายหน้า และรีบพูด “แกก็แกะออกแล้วไปตามหมอสิ”
“ไม่เอาล่ะ ฉันจะตรวจเอง” ผมว่า และเริ่มปลดกระดุมเสื้อมันทีละเม็ด ไอ้สนมองผมด้วยสายตาน่าสงสาร ก็น่าหรอกครับ มันโดนผมหลอกมานี่นา แต่พอนึกถึงเหตุผลที่มันตกหลุมพรางผม ผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้

“เอ๋? จะให้แก้วชวนพี่สนไปเที่ยวหรือคะ?”
น้องแก้วพูดอย่างงุนงง ตอนที่ผมโทรศัพท์ไปหาเธอ จะว่าไปแล้วน้องแก้วนี่แหละครับเพื่อนดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด ไม่ต้องให้ผมอธิบายนานเธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะอะไรเสียอีกล่ะครับ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ ไอ้สนน่ะ พอปิดเทอมทีไรมันจะระริกระรี้ขึ้นมาทันที คงนึกกระหยิ่มใจว่าไม่อยู่ในสายตาผมล่ะสิ โธ่...กับคนซื่อบื้ออย่างมันมีหรือครับผมจะปล่อยให้คลาดสายตา ปีก่อนๆ ผมหลอกมันด้วยลูกไม้หลายอย่าง จนมันไม่เชื่อแล้วครับ ก็ดี เพราะถ้ามันยังเชื่ออีกผมคงต้องพามันไปเช็คสมอง แต่เพราะมันไม่เชื่อนี่แหละ ผมถึงต้องลงทุนใช้นกต่อ และน้องแก้วก็ทำงานของเธอได้ดีเยี่ยม ไอ้สนกระดี้กระด้ามาขึ้นรถผมตามแผนทันที คงต้องขอบคุณน้องแก้วและความซื้อบื้อของไอ้คุณสน แต่คิดอีกทีก็น่าหงุดหงิด ทำไมมันไม่ระริกระรี้แบบนี้กับผมบ้าง

“เฮ้ย สน แกชอบฉันบ้างรึเปล่าวะ?” อารามหงุดหงิดใจทำให้ผมถามออกไปโดยลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรกับมันอยู่ ไอ้สนถลึงตามองผมทันที “ผมจะชอบคุณวิทย์มากเลยครับถ้าจะช่วยกรุณาปล่อยผมออกไปก่อน”
มันว่า ผมพยักหน้า แต่....ปล่อยแล้วไอ้สนมันจะตอบผมด้วยใจจริงแน่หรือครับ? ข้อนั้นผมรู้ดีว่าไม่แน่นอน แล้วจะปล่อยให้โง่ทำไมล่ะ
“เฮ้ย วิทย์ ปล่อยฉันเหอะ” พอมันเห็นว่าผมยังเฉยเลยรีบอ้อนวอนต่อ ผมชายตามองมัน มองกระดุมที่ถูกปลดไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วถอนหายใจ
“แกสารภาพมาก่อนว่าแกแกล้งป่วย ที่จริงแกหายหวัดนานแล้ว”
“โห.....” มันลากเสียง จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่องทันที “ไอ้บ้าวิทย์ แกเป็นคนทำให้ฉันไม่สบาย ยังจะมีหน้ามาขู่กันอีกเหรอวะ”
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“นั่นมันตั้งสามสี่วันแล้ว แกน่าจะหายได้แล้วสิ ฉันก็ประคบประหงมอย่างดี เพราะอย่างนั้น แกหายได้แล้วล่ะ”
ไอ้สนถลึงตามองผมอีกรอบ ก่อนจะครางออกมา
“โธ่ คุณวิทย์คร้าบบบบ ปล่อยผมเถอะ”
“ไม่ปล่อย” ผมตอบเสียงเด็ดขาด เท่านั้นแหละครับ ไอ้สนที่นอนนิ่งๆ ไปแล้ว ก็เริ่มกลับมาต่อต้านอีกรอบ เสียงโซ่กระทบกันก็ฟังดูระรื่นหูอยู่หรอก แต่มันดิ้นไปดิ้นมาจนผมถอดเสื้อมันไม่ถนัด ผมตัดสินใจถามมันอีกรอบ
“จะหยุดดิ้นหรือไม่หยุด”
“ไม่หยุด” ไอ้สนตอบสวนผมทันที ผมเกิดอาการฟิวขาด ความจริงตอนแรกผมตั้งใจจะแกล้งมันเล่นเฉยๆ แต่ในเมื่อมันกวนประสาทผมขนาดนี้ เห็นทีจะต้องลงมือสั่งสอนกันบ้างล่ะ
“เฮ้ยยยยย” ไอ้สนแหกปากร้องลั่น เมื่อผมกระโดดขึ้นไปคร่อมมันเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักลงบนเชิงกรานของมันเต็มที่ ไอ้สนหยุดดิ้นทันที “วิทย์ อย่านะโว้ย!!”
ผมไม่สนใจคำขอร้อง ลงมือปลดกระดุมเสื้อมันออก ผิวไอ้สนขาวอย่างกับไข่ปอก ถึงมันจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง จนบางส่วนคล้ำแดดไปบ้าง แต่ผิวเดิมของมันสวยมากครับ เรียกว่าละเอียดน่าลูบมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้ผมก็เคยลูบอยู่บ่อยๆ แต่ไอ้สนมันคงซื่อบื้อ ไม่ก็แกล้งบื้อ ทำเป็นไม่รู้ว่าผมคิดอะไร สุดท้ายผมเลยต้องวางแผนงาบมันในห้องมันเองอย่างที่ได้รู้กันไปแล้วนั่นแหละครับ มันถึงได้รู้ตัวว่าผมต้องการอะไรจากมันกันแน่
แบบนี้ค่อยเป็นเพื่อนสนิทกันหน่อย ก็เพื่อนสนิทกันต้องรู้ไม่ใช่หรือครับว่าเพื่อนต้องการอะไร?!
ได้ยินเสียงไอ้สนสูดหายใจลึก เมื่อผมไล้นิ้วมือจากปลายคางของมันต่ำมาจนถึงซอกคอ เนินอก ท้องน้อย ปากบางๆ ของมันเม้มเข้าหากันทันที แลดูน่ารักน่าแกล้งที่สุด
“เฮ้ย สน.....แกไม่ไอต่ออีกวะ ยังเป็นหวัดอยู่ไม่ใช่รึ?” ผมเย้า มันถลึงตามองผม “หุบปากไปเลยนะ”
ผมไม่สนคำเอ็ด อย่างเก่งตอนนี้ไอ้สนก็ทำได้แค่ด่าล่ะครับ ทั้งมือทั้งเท้าโดนผมล่ามเอาไว้หมด มันจะมีปัญญาทำอะไรผมได้
ถึงจะแน่ใจว่ามันน่าจะหายหวัดแล้ว แต่ผมไม่เสี่ยงดีกว่าครับ เกิดจูบมันแล้วเจอเชื้ออพยพ ฮันนีมูนคราวนี้ของผมไม่ล่มหรือครับ ไม่ล่ะ ปล่อยมันเป็นไปคนเดียวก็พอ และต่อให้ผมจูบปากมันไม่ได้ ยังมีอีกหลายที่ให้ผมจูบ ผมเริ่มแนบริมฝีปากลงไปบนร่างกายของมัน ไอ้สนสะดุ้งทันที ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนัก แต่ก็นั่นแหละครับ ยิ่งมันสะดุ้ง ผมก็ยิ่งอยากจะทำให้มันสะดุ้งแรงกว่าเดิม
   ไอ้สนสูดหายใจสั้นๆ หลายหน ระหว่างที่ผมพรมจูบไปทั่วร่างของมัน มันหยุดด่าผมแล้วครับ ตอนนี้ปากมันเม้มสนิท อย่างกับจะกลั้นเสียงเอาไว้งั้นแหละ ผมอดยิ้มไม่ได้ เลื่อนมือไปลูบปากมันเบาๆ จูบไม่ได้แต่ยังลูบได้ล่ะว่ะ ไอ้สนเบือนหน้าหนีทันที หูมันเริ่มกลายเป็นสีแดงแล้วครับ ผมมองดูใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสีของมันใต้แว่นแล้วยิ่งคึก ใครใช้ให้มันน่ารักขนาดนี้ล่ะครับ
   เมื่อมันยังปิดปากเงียบ ผมจึงรุกมันหนักขึ้น มือเริ่มลูบไปตามร่างกายของมันแรงขึ้น จูบก็หนักขึ้น เสียงหายใจของมันแรงขึ้นทันที แต่ปากก็ยังปิดอยู่อย่างนั้น ผมเลยขย้ำจูบลงบนหน้าอกของมัน ดูซิ มันจะทนไปได้อีกกี่น้ำ
   ไอ้สนมีปฏิกิริยาเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหน่อย ผมได้ยินเสียงครางต่ำๆ ในคอของมัน ฟังดูเร้าใจดีครับ แต่ยังไม่พอให้ผมดีใจหรอก ผมลงทุนทั้งจูบทั้งกัดมันจนเป็นรอยจ้ำไปทั่วตัว แต่มันยังไม่ยอมเปิดปาก อย่างดีก็ครางในคอแบบนั้นแหละ เห็นทีผมจะต้องใช้แผนขั้นต่อไปเสียแล้ว
   ไอ้คุณสนสะดุ้งจนตัวโยน ตอนที่ผมดึงกางเกงมันลง ผมก็อาศัยจังหวะสะดุ้งนั้นแหละครับ ถกกางเกงมันลงไปกองที่เข่า อ้อ ลืมบอกไป ไอ้สนใส่ชุดนอนอยู่นะครับ ลายมิกกี้เมาส์น่ารักน่าเอ็นดู แน่นอน ผู้ชายอย่างมัน ใส่ชุดนอนก็ต้องไม่ใส่ชั้นใน ดังนั้น ไอ้อะไรที่อยู่ใต้กางเกง จึงโผล่ขึ้นมาอวดโฉมต่อหน้าผมแบบไม่ต้องเสียเวลาปอกเปลือกหลายชั้น
   เพราะผมนั่งอยู่บนหน้าตักของมัน เลยรู้ว่าไอ้ตรงนี้ของมันแสดงอาการยังไง แต่พอเปิดออกมาจริงๆ มันดูน่าหยอกจนผมอดไม่ไหว ไอ้สนสะดุ้งอีกรอบตอนริมฝีปากผมแตะกับส่วนนั้นของมัน ได้ยินเสียงโซ่ดังกรุ๋งกริ๋ง มันคงพยายามจะโงหัวขึ้นมาดูแหละครับ ก็ดี มันจะได้เห็นว่าเพื่อนสนิทคนนี้ทุ่มเทให้มันขนาดไหน
   ตรงนั้นของไอ้สนไม่ใหญ่ไม่เล็กครับ ขนาดพอให้ผมกินอร่อย ผมเลยทั้งดูดทั้งเลียเหมือนได้กินไอติมถั่วดำ ส่วนรสชาติ ไม่บอกหรอกครับ เรื่องแบบนี้ของใครของมันสิ
   เสียงครางในคอไอ้สนดังขึ้นอีก แต่มันยังไม่ยอมเปิดปากครับ ดูดู๋ จะปากแข็งไปไหน เพื่อนรักของผม ขนาดผมดูดผมเลียจนเอวมันกระดกขึ้นขนาดนี้ ยังไม่ยอมอ้าปาก ผมชักหงุดหงิดขึ้นมาแล้วครับ ไม่ยอมให้มันขึ้นสวรรค์ไปก่อนทั้งแบบนี้หรอก ระหว่างที่ไอ้สนแอ่นเอวขึ้นอย่างมีอารมณ์ร่วม ผมก็เอาปากออก
   เพื่อนสนิทของผมหอบแฮก เห็นมันลืมตามามองผมอย่างงงๆ แวบหนึ่ง คงแปลกใจที่โดนดึงลงจากสวรรค์กลางคันมั้งครับ ช่างมันสิ ใครจะไปสน ผมถอดกางเกงตัวเองออก คงถึงเวลาที่จะต้องใช้มาตรการขั้นสุดท้ายให้มันยอมอ้าปากแล้วครับ
   ไอ้สนเบิ่งตาค้าง มันคงตกตะลึงในความมโหฬารของผม ก็ก่อนหน้านี้มันได้มองที่ไหน ผมเองแหละครับที่ถอดแว่นมันออกตลอด คราวนี้ผมตั้งใจให้มันใส่ให้เรียบร้อย จะได้เห็นสิ่งที่ผมทำชัดๆ เผื่อมันจะซาบซึ้งกับความรักของเพื่อนสนิทแบบผมบ้าง
   “เดี๋ยว วิทย์ เฮ้ย!! อ๊ะ!!”
   ไอ้สนที่หุบปากเงียบไปนานแล้วเริ่มกลับมาโวยวายอีกรอบ ผมพยายามจะดันเข้าไป แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้บุกรุกถ่างทางให้กว้างพอจะใส่เข้าไป ขืนทำทั้งแบบนี้ ไม่ของผมหัก ของมันก็คงฉีก ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดเจลหล่อลื่นจากตู้ตรงหัวเตียง อดขำหน้าไอ้สนไม่ได้ มันทำอย่างกับเห็นผีงั้นแหละ คงนึกไม่ถึงว่าตู้หัวเตียงเล็กๆ จะซ่อนของเอาไว้เยอะแยะขนาดนี้ จริงๆ มันคงไม่สังเกตว่ามีตู้อยู่ด้วยซ้ำ
   ผมราดเจลลงบนหลืนเร้นของมัน คราวที่แล้วผมใช้น้ำแข็งจนมันเป็นหวัด คราวนี้ผมเลยลองซื้อเจลแบบอุ่นมาดู ดูมันจะงงๆ ครับ แต่พอผมล้วงนิ้วเข้าไป มันก็หายงง อ้าปากพูดอีกรอบ
   “วิทย์ อย่านะโว้ย!”
   น่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าต่อให้มันร้องห้ามอีกสักพันหน ผมก็คงไม่หยุด ผมล้วงนิ้วเข้าไปตรงนั้นโดยไม่สนใจ ไอ้สนดูขัดขืนเต็มที่ ยิ่งทำให้ตรงนั้นมันดูดนิ้วผมลึกเข้าไปอีก โธ่ ไอ้เพื่อนบ้า จะขัดขืนอะไรให้มันเร้าอารมณ์น้อยกว่านี้ได้มั้ย!!
   ขณะที่ผมอารมณ์ขึ้น ไอ้สนคงอารมณ์เสีย ผมเลยต้องจับตรงนั้นมันขึ้นมา ประคบประหงมทั้งมือทั้งปาก จนไอ้สนครางฮือ คราวนี้มันคงหยุดโวยวายสักที
   ขณะที่ไอ้สนทำท่าจะหนีขึ้นสวรรค์ไปคนเดียว ผมก็ถือโอกาสใส่พรวดเข้าไป ได้ยินเสียงมันร้องอ๊ะ ฟังดูน่ารักน่าชัง หน้ามันตอนนี้กลายเป็นสีแดงจัด ตัวมันก็ร้อนอย่างกับเป็นไข้ เอาเถอะครับ ไข้คราวนี้ผมให้อภัย เพราะผมเป็นคนทำให้มันตัวร้อนเอง ผมกระดกเอวขยับให้ส่วนนั้นสอดเข้าไปลึกขึ้น ไอ้สนอ้าปากครางให้ผมได้ยินเป็นครั้งแรก แถมตรงนั้นยังดูตอบสนองจนอยากจะเร่งจังหวะ ผมกระดกเอวยั่วมันอีกสองสามหน ก่อนจะจัดแจงกระแทกกระทั้นอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อนสนิทของผมครางเสียงสั่น แอ่นตัวตอบรับอย่างเซ็กซี่สุดจะบรรยาย ทั้งมือทั้งเท้าดึงรั้งโซ่ล่ามตึงจนน่ากลัวว่าจะถูกรัดจนขาดเลือด ผมสูดหายใจลึกหลายครั้ง ตรงนั้นของมันตอดรัดของผมจนซ่านไปหมด แต่ก่อนจะไปถึงฝั่งฝัน ผมจำต้องบังคับให้ผู้ร้ายปากแข็งอย่างมันสารภาพออกมาก่อน
   “สน!” ผมพูดตอนที่เห็นมันแอ่นตัวให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ไอ้สนเหมือนไม่ได้ยินครับ หงุดหงิดก็หงุดหงิด แต่ถ้าผมยังกระแทกมันต่อมันคงไม่ได้ยินจริงๆ ผมเลยต้องหยุดกลางทาง ขนาดผมหยุดแล้วมันยังกระดกก้นยั่วผมอีกสองสามหน ถ้าผมไม่แน่จริง ผมทนไม่ไหวแน่ครับ ผมเค้นเสียงถามอีกครั้ง
   “สน แกชอบฉันรึเปล่า?”
   ไอ้สนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด พึมพำอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ได้ยิน ผมอดไม่ได้ต้องพูดต่ออีก
   “พูดให้ดังๆ สิวะ”
   “อืมม” มันส่งเสียงที่แสดงว่าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด และขมุบขมิบปาก ช่วยไม่ได้ล่ะครับ ก็คนมันอารมณ์ค้าง ผมเลยต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ แหม..ความจริงแล้วผมก็มีส่วนอ่อนโยนนะครับ
   อย่างคิดไม่ถึง พอยื่นหน้าไปใกล้ ปากที่ขมุบขมิบอยู่ของไอ้คุณสน ก็ยื่นเข้าประกบปากของผมทันที แถมยังล้วงลิ้นเข้ามาแบบไม่กลัวอายกลัวเสียหน้า ราวกับจะประกาศว่ามันต้องการขนาดไหน ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ไอ้อยากจะได้ยินมันพูดก็อยากอยู่หรอกครับ แต่ไอ้จูบของมันดูจะกระตุ้นความอยากทางร่างกายของผมได้มากกว่า ยิ่งหยุดกลางคันแบบนี้ คิดว่าผมจะเลือกอะไรล่ะครับ ท้ายที่สุด ทั้งผมทั้งมันก็สนองกันและกันจนไปถึงฝั่งฝันในสภาพเหงื่อท่วม ผมอ้าปากคิดจะถามมันอีกรอบ แต่ไอ้คุณสนก็ชิงหมดสติไปก่อน โธ่ ไอ้เพื่อนบ้า หัดรักษาสติเอาไว้บ้างได้มั้ยเล่า!!!
-----------------------------------------------
   “.....................” ผมมองหน้าไอ้สนอย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด ขณะที่มันยิ้มอย่างเบิกบาน
   “วิทย์ แกอยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะไปทำให้” มันถามอย่างมีน้ำใจ ขณะที่ผมหน้าบูดหน้าบึ้ง เมื่อเห็นผมไม่ตอบคำถาม มันเลยถามต่อ
   “จะให้พาไปหาหมอรึเปล่า?”
   ผมถลึงตามองมันทันที ครับ... ผมกำลังนอนซมอยู่บนเตียง ไอ้สนยังไม่หายหวัดจริงๆ ขนาดผมระวังตัวเองเต็มที่ ยังอุตส่าห์ติดมาจากมันจนได้ คนอย่างผมได้ชื่อว่าเชื้อโรคไม่กล้ารุกรานมากที่สุด ยังต้องสยบกับเชื้อหวัดของไอ้สน
   ตอนนี้อย่าว่าแต่เถียงมัน แค่กลืนน้ำลายผมยังเจ็บคอแทบตาย ต้องทนมองดูมันทำหน้าระรื่นอยู่ข้างเตียง คงเข้าทำนอง แพร่ให้คนอื่นเรียบร้อย ตัวเองก็หายขาดทันที สนจ้องหน้าผมผ่านแว่นตาหนาๆ ของมัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คงดีใจที่ผมตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับอาการไข้ขึ้นสูง โธ่ ไอ้เพื่อนเวร เวลาแบบนี้ยังจะมายิ้มอยู่ได้
   “ฉันจะทำโจ๊กปูให้แกกิน แบบที่แกชอบเลยล่ะ” ฟังดูเหมือนมันเป็นคนดีเลยครับ ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อผมป่วยไข้มันก็ต้องคอยดูแล ยังไม่ทันที่ผมจะได้ซาบซึ้งกับน้ำใจดีงามของมัน ไอ้สนก็ยื่นหน้ามา เอาหน้าผากแตะกับหน้าผากผม ต่อให้ผมไข้ ผมยังรู้ว่าลมหายใจของมันอุ่นขนาดไหน มันทำแบบนั้นอยู่สักพัก แล้วจึงถอยออกไป พูดยิ้มๆ
   “แกไข้ขึ้นสูงเลยนี่ นอนนิ่งๆ ล่ะ เดี๋ยวกินโจ๊กเสร็จแล้วฉันจะเอายาให้แกกิน”
   ผมถลึงตาที่พร่าด้วยฤทธิ์ไข้มองมันอย่างกับจะกินแทนโจ๊ก สุดท้ายผมก็ยังเค้นความจริงจากผู้ร้ายปากแข็งอย่างมันไม่ได้ แต่ก็พิสูจน์ได้อย่างหนึ่ง
   คนแบบไอ้สนใช่ว่าจะซื่อบื้อเสมอไป
   ผมคงต้องหาโอกาสง้างปากมันอีกรอบ
   แต่ตอนนี้ ขอผมหายจากหวัดนรกนี่ไปก่อนก็แล้วกัน…..
---------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
ติดมาจากสนสนเลยสบายตัวเลย


รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด