บทที่ 23
ครอบครัวอินทราทิพย์
“ว่าไงคะคุณลูก หาแผนที่กลับบ้านเจอแล้วเหรอจ้ะ”
คุณหญิงวิจิตรตาเอ่ยทักบุตรชายหัวแก้วหัวที่แหวนที่นานๆครั้งจะแวะเข้ามาบ้านใหญ่ซักครั้ง ทั้งนางและคุณศิระผู้เป็นสามีรู้ดีว่า ศิขรินทร์นั้นทำงานหนักมากแค่ไหน จึงไม่ค่อยว่ากล่าวเรื่องการกลับบ้านซักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หัวอกคนเป็นแม่ก็ยังอดที่จะน้อยใจลูกชายสุดที่รักไม่ได้ เพราะนานๆครั้งจะได้เห็นหน้าหล่อๆของลูกชายซักที ถ้าหากนางและคุณศิระผู้เป็นสามีไม่โทรตามตัว พ่อลูกชายก็คงจะไม่แวะเข้ามาหา ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ห่วงลูกชายคนเดียวนักหนา ไม่รู้ว่าจะไปคว้าเอาลูกเต้าเหล่าใครมาเป็นเมีย ดูได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สมัยก่อนก็ห่วงเรื่องงานเรื่องงานของลูกชาย แต่เดี๋ยวนี้พอหมดห่วงเรื่องงานก็มาห่วงเรื่องว่าที่ภรรยาของลูกชายแทน หัวอกคนเป็นแม่ หาเรื่องห่วงได้ไม่หยุดเสียจริงๆ
“หาเจอแล้วครับ มีคนใจดีเอาไปคืนที่บริษัท” ร่างสูงเดินเข้าไปสวมกอดมารดาไว้แนบอก แล้วผละออกมาหอมแก้มนวนเนียนของมารดาไปฟอดสองฟอดให้หายคิดถึง เพราะธุรกิจที่มีอยู่ในมือ ทำให้ศิขรินทร์ไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว แต่ถ้าเมื่อไรมีวันหยุดติดต่อกันหลายๆวัน ร่างสูงก็จะมาคลุกอยู่ที่บ้านใหญ่ทั้งวี่ทั้งวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต เพราะปัจจุบัน เวลาว่างทั้งก่อนและหลังเลิกงาน รวมไปถึงวันหยุดโอกาสต่างๆถูกยกให้กับภัสดา พิชัยภักดี นายช่างหน้าหวานไปหมดแล้ว
“ทำเป็นพูดดี ถ้าแม่ไม่โทรไปหา มีหรือทีศิจะแวะเข้ามา ใช่ซิ แม่มันแก่แล้ว ใครมันจะอยากอยู่ด้วยล่ะ” คุณหญิงวิจิตรตาเอ่ยวาจาตัดพ้อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยใบหน้าที่บึ้งนิดๆ ตามประสาคุณแม่ขี้งอน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับศิขรินทร์เท่าไร เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่า จะใช้วิธีไหนทำให้ผู้เป็นมารดาหายงอน
“คุณแม่ก็ใส่ร้ายผม งานผมยุ่งจริงๆ ไม่เชื่อโทรไปถามเลขาที่คุณแม่ส่งไปได้เลย” คุณช่อฟ้า เลขายวัยกลางคน หรือเรียกอีกอย่างว่า สายลับที่ส่งตรงมาจากคุณหญิงวิจิตรตรา ให้มาคอยช่วยชายหนุ่มทำงาน และอีกหนึ่งหน้าที่ที่เป็นจุดประสงค์หลักนั่นก็คือ คอยขับไล่บรรดาสาวๆที่คอยมาเกาะแกะศิขรินทร์ยามทำงาน เรียกได้ว่าเก่งทั้งเรื่องช่วยงานและเรื่องกำจัดบรรดากิ๊กๆของศิขรินทร์ได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันร่างสูงได้ ลด ละ เลิก พฤติกรรมดังกล่าวไปตั้งนานแล้ว
“จ้ะ ดิฉันเชื่อคุณแล้วค่ะ ทานอะไรมาหรือยังล่ะ หิวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ทำให้” น้ำเสียงโอบอ้อมอารีซักถามลูกชายอย่างห่วงใย ได้ฟังยามใดความเหนื่อยก็ปลิดปลิวหายไปเมื่อนั้น คุณหญิงวิจิตรตราคือสุดยอดคุณแม่ ที่เป็นทั้งผู้บริหารคอยช่วยงานคุณศิระผู้เป็นสามี เป็นสุดยอดคุณแม่ ที่คอยผลักดันและให้กำลังใจลูกชายในเรื่องต่างๆ จึงไม่แปลกที่เวลาออกงานสังคม จะต้องเห็นสองแม่ลูกเดินควงกันไปมา เรียกสายตาชื่นชมแก่คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ครอบครัวสมบูรณ์แบบที่มีพร้อมไปทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงิน ฐานะทางสังคม ชื่อเสียง เกียรติยศ บารมี เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมเป็นจำนวนมาก และถ้าคนเป็นแม่จะหวงลูกชายคนเดียวของวงศ์ตระกูลแก่สาวๆก็คงจะไม่แปลก
เกียรติศัพท์เรื่องเลือกลูกสะใภ้ลือไกลไปต่อไหนถึงไหน ว่าคุณหญิงวิตรตรานั้นค่อนข้างซีเรียสเรื่องคู่ครองของบุตรชาย มาตรฐานคัดเลือกลูกสะใภ้ของนางมีดังนี้ หน้าตาสวยหมดจรด งามอย่างไทยแท้เท่านั้น เพราะมารดาของศิขรินทร์ไม่ชอบลูกสะใภ้ที่เป็นชาวต่างชาติ นอกจากจะสวยหวานปานนางฟ้ามาดินแล้ว ฐานะจะต้องเท่าเทียมกัน นางจะได้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเกาะศิขรินทร์แล้วผลาญเงินเล่นไปวันๆ ไหนจะเรื่องมารยาทการวางตัว นางจะได้ไม่หนักใจว่ายามที่ศิขริทร์ควงออกงานแล้วจะไม่ขายหน้า นี่เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น คำว่ามาตรฐานและใช้ได้ของคุณหญิงวิจิตรตรานั้นอยู่สูงเกินกว่าที่สาวสวยไฮโซทั้งหลายจะเอื้อมถึง
ถึงไม่ถึง............. ช่างฟิตผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า ภัสดา พิชัยภักดี ก็ทำมาแล้ว!!
“ยังไม่ได้ทานเลยครับ ผมรอทานกระเพราะปลาดุกฝีมือคุณแม่อยู่น่ะครับ”
สองแม่ลูกเดินกอดกันไปคุยกันไปเข้าไปยังตัวบ้าน เรียกสายชื่นชมและเอ็นดูจากบรรดาแม่บ้านที่คอยรับใช้ได้เป็นอย่างดี นานๆครั้งที่แม่บ้านเหล่านี้จะได้เห็นคุณหญิงมาดโหดยิ้มแย้มเบิกบานซักที อยากจะให้คุณศิขรินทร์ย้ายมาอยู่ติดบ้านใหญ่เสียให้รู้แล้วรู้รอด พวกหล่อนจะได้รอดพ้นจากคำดุคำบ่นเสียที
ศิขรินทร์ยืนพิงโต๊ะเตรียมอาหารจ้องมองแผ่นหลังของมารดาอย่างรักใคร่แกมหนักใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบอกผู้เป็นมารดาอย่างไรว่าคนรักของตนเองเป็นผู้ชาย กลัวมารดาที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของเขาเป็นลมเป็นแล้งกระทันหันเมื่อได้ยินจากปากของลูกชายว่ามีเมียเป็นผู้ชาย เมียกับแม่สำคัญเท่าๆกัน ไม่มีใครมากไปกว่ากัน ในใจอยากให้ภัสดาและมารดารักใคร่กลมเกลียวกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพความฝัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคุณหญิงวิจิตรตราและภัสดาก็ต่างมีแนวทางของตัวเอง อีกคนดื้อเพ่ง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากมีสะใภ้แบบนั้น อยากมีสะใภ้แบบนี้ วางอนาคตเรื่องคู่ครองให้เขาเรียบร้อย ส่วนอีกคนเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ทานศักดิ์ศรีเป็นอาหาร ภัสดาเคยแย้มๆกับเขาไว้ว่า ถ้าแม่ผัวไม่ปลื้ม ก็ไม่สน นอนกับลูก ไม่ได้นอนกับแม่ แต่ถ้าให้เลิกกัน ก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเสียก่อน ศิขรินทร์ได้ยินอย่างนั้นแล้วอดที่จะมอบรางวัลเป็นจุมพิตริมฝีปากบางซักทีสองทีให้หายหมั่นเขี้ยว ไม่รู้ว่าจะทำให้รักให้หลงไปถึงไหน แค่นี้ก็โงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“คิดอะไรอยู่ล่ะเจ้าศิ” น้ำเสียงห่วงใยถ่ายทอดออกมาโดยคุณหญิงวิจิตรตราที่ยืนหันหลังปรุงอาหารให้ลูกชายสุดที่รักอยู่ อาการนิ่งเงียบและเหม่อลอยของลูกชายทำให้ผู้เป็นมารดาเป็นห่วงขึ้นมาทันที
“คิดว่าเมื่อไรจะได้ทานผัดกระเพราปลาดุกฝีมือคุณแม่เสียทีครับ หิวจนลำไส้จะขาดแล้วครับ” ร่างสูงแสร้งทำท่าทางออดอ้อนกลบเกลื่อนอาการเหม่อลอยของตัวเอง ไม่คิดว่าผู้เป็นมารดาจะสังเกตเห็น ศิขรินทร์เดินเข้าไปช่วยมารดาหยิบนั่นจับมือแก้เครียด เพียงไม่นาน ผัดกระเพราปลาดุกราดข้าวสวยร้อนๆก็พร้อมเสิร์ฟ ร่างสูงรับจานข้าวราดแกงมาไว้ในมือแล้วเดินตามผู้เป็นมารดาออกไปยังห้องทานอาหารของครอบครัวที่มีเพียงเก้าอีสี่ที่นั่ง สาเหตุที่โต๊ะทานอาหารของบ้านอินทราทิพย์มีเพียงสี่ที่นั่งนั่นก็เพราะคุณศิระผู้เป็นบิดาของศิขรินทร์กำชับให้ตั้งอย่างนี้ไว้ หัวโต๊ะคือที่นั่งของบิดา ซ้ายมือของบิดาคือเก้าอี้ของมารดา ขวามือของบิดาคือเก้าอี้ของเขา และถัดจากเขาคือที่นั่งของสะใภ้ใหญ่ประจำตระกูลอินทราทิพย์ ซึ่งศิขรินทร์สาบานไว้ในใจอย่างแน่วแน่ว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภัสดาได้เข้ามานั่งเก้าอี้ข้างเขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ส่วนห้องรับรองแขกก็จัดเตรียมไว้ให้สมฐานะ เพราะทั้งฝ่ายคุณศิระและคุณหญิงวิจิตรตราต่างก็มีแขกเยอะเหมือนๆกัน
“ว่าไง อร่อยเหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะ”
“ยิ่งกว่าเดิมอีกครับ”
“พูดเพราะ ปากหวานเหลือเกินนะ สาวๆติดไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง” ก็ถ้าติดอย่างที่มารดาพูด คงไม่มีศิขรินทร์มานั่งกินข้าว หน้าหล่อๆอย่างนี้แน่นอน เพราะภัสดาคงจัดการเก็บศพเขาแล้วเอาไปโบกปูนทิ้งแม่น้ำที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ว่าที่เมียนอกจากจะสวยเก่งแล้ว ดีกรีความโหดก็ไม่แพ้ความสวยเหมือนกัน
“ไม่มีหรอกครับ วันๆผมทำแต่งาน จะเอาเวลาที่ไหนจะหาสาวล่ะครับ” ซึ่งข้อนี้แหละที่ทำให้นางแปลกใจ ช่อฟ้าเลขาส่วนตัวของศิขรินทร์รายงานว่าลูกชายของนางไม่ได้ออกไปเดทกับสาวไฮโซ ไฮซ้อเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ซึ่งมันผิดวิสัยหนุ่มเจ้าสำราญใช้ผู้ญิงเปลืองอย่างศิขรินทร์ไม่น้อย เมื่อก่อนหัวบันไดบริษัทไม่เคยแห้ง แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มี ไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิขรินทร์ หรือว่าลูกชายของนางเบื่อชีวิตเพลย์บอยเสียแล้ว
“คุณพ่อยังไม่กลับจากบ้านสวนอีกเหรอครับ”
“ได้ไปสวนที่ไหนล่ะ อยู่หลังบ้านกอดจูบ ลูบคลำไอ้รถกระป๋องอยู่ทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละ เห็นแล้วขัดหูขัดตา ไม่รู้ว่าจะรักอะไรนักหนา” รถกระป๋องที่มารดาว่า ก็คงหนีพ้นรถเต่า รุ่นเก่าหายากและมีราคาแพง ของสะสมที่รักนักรักหนา และหวงประหนึ่งลูกแท้ ยามใดที่ว่างชายหนุ่มมักจะหาเวลาว่างมานั่งคุยกับบิดามารดา ซึ่งทั้งสองท่านก็ผลัดกันเล่าวีรกรรมสมัยยังหนุ่มๆสาวๆให้เขาฟัง อย่างไม่รู้จักเบื่อ ช่วงเวลาเล็กๆน้อยๆ ที่เสริมสร้างเหล็กหล้าให้กับครอบครัวให้อบอุ่นและมั่นคงยิ่งขึ้น ศิขรินทร์มักจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตัวเองนั้นโชคดีขนาดไหนที่เติบโตมาจากครอบครัวนี้ มีพ่อที่เป็นผู้นำ เป็นเสาหลักของบ้าน มีแม่ที่รักครอบครัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และสุดท้ายมีคนรักที่รักเขามากเช่นกัน
“ก็รักน้อยกว่าคุณและเจ้าศิอยู่ดีนั่นแหละน่า” คุณศิระเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างๆภรรยา แล้วหันหน้าไปทักบุตรชาย
“ผมลืมหน้าลูกชายไปแล้วคุณหญิง นี่ใครล่ะ ทำไมหน้าเหมือนเจ้าศิ” ไม่แปลกใจเลยว่าชายหนุ่มได้นิสัยขี้เล่น อารมณ์ดีอย่างนี้มาจากใคร
“ลูกเลี้ยงน้องเองค่ะคุณพี่ เห็นว่าหน้าตาดีก็เลยเก็บมาเลี้ยง อนาคตข้างหน้าจะได้ทอดกล้วยเลี้ยงเราสองคน” มารดาของศิขรินทร์กล่าวเสร็จก็ลุกออกจากเก้าอี้ เดินเข้าไปยังห้องครัว เพื่อเตรียมน้ำหวานและของว่างให้สามีทานแก้เหนื่อย
“คนหล่อที่ไหนจะไปทอดกล้วยขายครับ คุณแม่ก็ว่าผมเกินไป สวัสดีครับคุณพ่อ ทำไมผมรู้สึกว่าคุณพ่อหล่อขึ้นกว่าเดิมล่ะครับ”
“แกไม่ต้องมาประเลาะฉันเลยเจ้าศิ หายหน้าหายตาไปนาน จนแม่แกกำลังจะติดประกาศตามหาลูกหายอยู่รอมร่อแล้วนะ”
“ผมทำงานครับ คุณพ่อกับคุณแม่ก็พูดเกินไป พอผมมาบ่อยก็บ่นว่าไม่ทำการทำงาน แต่พอนานๆจะกลับมาซักครั้งก็บ่นอีกว่าไม่ยอมกลับบ้าน ผมเริ่มไม่เข้าผู้สูงอายุแล้วนะครับเนี่ย”
“ตบปาก! ใครสูงอายุยะ ฉันออกจะสาวจะสวย ใช่ไหมคุณ?” คุณหญิงวิจิตรตราวางถาดขนมและเครื่องดื่มเบื้องไว้หน้าของสามี แล้วโต้ตอบลูกชายทันที ยังไม่วายต้องหันกลับมาถามความเห็นจากสามีเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ถ้าคุณหญิงแก่ แล้วใครที่ไหนจะสาวล่ะ”
“จีบกันเองอีกแล้ว ลูกชายเซ็ง”
“ไม่ต้องเลยย่ะ กินข้าวให้หมด จะได้รีบอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวจะไปงานไม่ทัน” เมื่อได้ยินคำว่าไปงาน ทำเอาความอยากอาหารลดลงทันที ศิขรินทร์ส่งสายตากับบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากกลับมาที่บ้าน เพราะมาทีไรมีงานให้ออกแทบจะทุกที
“คุณก็ ลูกมาเหนื่อยๆ จะให้รีบออกงานไปไหน ให้เจ้าศิมันพักเถอะน่า”
“แต่นี่งานของสโมสรที่น้องอยู่เลยนะคะ”
“เดี๋ยวผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง ไม่ต้องให้เจ้าศิไป ให้มันนอนพักอยู่บ้านเฉยๆนั่นแหละ ตกลงเอาตามนี้เลยแล้วกัน” ว่าเสร็จคุณศิระก็ก้มหน้าทานขนมต่อทันที โดยไม่สนว่าภรรยานั้นจะทำหน้าอย่างไร
“ไม่ต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นก็ได้เจ้าศิ เห็นแล้วมันหมั่นไส้”
“ผมเปล่ายิ้มนะครับ ก็แค่ฉีกปาก”
“คุณพี่คะ ทำไมลูกคุณพี่ถึงมีวาจาปากคอเลาะร้ายได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้าศิลูกผม แล้วไม่ใช่ลูกคุณหรือไง หวงมันมากไม่ใช่เหรอ ระวังเลือกไปเลือกมา ลูกชายเราจะขึ้นคาน” ผมลงจากคานได้นานเป็นเดือนๆแล้วครับคุณพ่อ!
“ไม่มีทางแน่นอน ระดับน้องแล้ว ยังไงเจ้าศิต้องแต่งงานมีลูกมีหลาน มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบแน่นอน เชื่อมือน้องเถอะค่ะ”
สองพ่อลูกสบตากันแล้วส่ายหัวไปมาอย่างหนักใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาใหญ่ข้อนี้ อยากจะตะโกนออกไปดังๆว่าเขามีเมียแล้วเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา อยากให้ภัสดาเป็นของเขาทั้งตัวทั้งใจให้เรียบร้อยเสียก่อน อยากให้ความรักมีฐานที่มั่นคงกว่านี้ เพราะถ้าหากมารดาถามว่ารักกันมากแค่ไหน ก็อยากจะให้เวลานั้นเป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์ ว่าพวกเขาสองคนต่างช่วยกันพยุงความรักไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่รักเพียงฉาบฉวย แต่มันคือรักแท้นั่นเอง
“ทำไมไม่ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน เติมพลังให้ตัวเอง” คุณศิระเอ่ยทักลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ในเรือนกล้วยไม้หลังบ้าน เรือนกล้วยไม้หลังนี้เป็นเรือนไม้ประดับที่สร้างขึ้นเพราะคุณหญิงนั้นชื่นชอบไม้ประดับประเภทกล้วยไม้มานานแล้ว เรียกว่าเกิดพร้อมๆกับตัวบ้านก็ว่าได้ ฉะนั้นศิขรินทร์ถึงเติบโตมาๆพร้อมกับดอกไม้ประดับราคาแพงเหล่านี้ บางพันธุ์ต้องสั่งมาจากต่างประเทศเท่านั้น โรงเรือนจึงถูกปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะอยู่ตลอดเวลา
“เดินดูดอกไม้คุณแม่แล้วมันเพลินน่ะครับ” แล้วร่างสูงก็เงียบขึ้นมาอีกครั้ง คุณศิระยืนมองเรือนกายซีกด้านข้างของลูกชายอย่างชื่นชม นี่คือผลผลิตที่เกิดขึ้นมาจากความรักระหว่างเขากับคุณหญิงวิจิตรตรา ศิขรินทร์เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรัก และความพร้อม มีทุกอย่างอยู่แทบเท้า แต่คุณศิระก็ไม่เคยสอนลูกฟุ่มเฟือย ถึงแม้ทรัยท์สินทั้งหมดของอินทราทิพย์กรุ๊ปจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ไม่มีวันหมดก็เถอะ ยามที่เห็นลูกทุกข์ใจ ผู้เป็นพ่อก็พลอยที่จะไม่สบายใจตามไปด้วย
“เหนื่อยไหม?”
“ครับ?” ศิขรินทร์หันกลับมามองบาดด้วยความแปลกใจ
“เหนื่อยไหมที่เก็บอะไรมากมายไว้ในใจคนเดียว”
“คุณพ่อ........รู้?”
“ทำไมฉันจะไม่รู้ ฉันเลี้ยงแกมากับมือ กับอีแค่ท่าทางเหมือนคนแบกกระสอบสายไว้ที่บ่า แต่แกล้งทำหน้ายิ้มแย้ม ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้แกกำลังไม่สบายใจ”
“...........................”
“อยากพูดอะไรก็พูดมา”
“...................................” ศิขรินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้า แล้วค่อยๆเปล่งเสียงออกไปว่า.............
“ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย”
สรรพสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังแผ่วออกมาจากคนสองคน ความรู้สึกตอนี้มันช่างเหมือนกับการปลดสิ่งของหนักๆออกจากบ่า โล่งใจออกไปแทบหมด นึกหาคำพูดดีๆกล่าวตามหลังอยู่มากมาย แต่ก็นึกและเรียบเรียงไม่ทัน ความโล่งใจบวกาความดีใจที่สามารถพูดความจริงออกไปได้ มันตีรวนผสมปนเปกันไปหมด
“แฟนผมเป็นผู้ชาย และเขาก็เป็นเจ้าของอู่ที่คุณพ่อเอาเจ้าเต่าไปซ่อมนั่นแหละครับ พีตคือว่าที่เมีย และว่าที่สะใภ้อินทราทิพย์ครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
๐ มันสั้นใช่ไหม ก็เพราะรีบปั่น อยากให้เสร็จก่อนวันเสาร์ แล้วก็เสร็จจริง ๆ ทำรายงาน สามสี่วิชา นี่ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย คนแต่งขอโทษที่อัพช้า
๐ อีกไม่นานสองขั้วสุดซี้ด อย่างคุณหญิงแม่ กับลูกสะใภ้ก็จะได้เจอกันแล้วนะคะ โปรดติดตาม
๐ ใครลืมเนื้อหาก็แวะๆไปอ่านอันเก่านะคะ จะได้จำได้
ไม่เจอะกันนานคิดถึงจังเล้ยยยยยยยยยยยยยย
รักและขอบคุณ
By Chocoalate Love ~