บทที่ 22
น้องเขย
บ้านเรือนไทยประยุกต์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ รอบๆตัวบ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกสลับกันไป ความร่มรื่นแพร่คลุมบริเวณโดยรอบ ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆบ้านนั้นน่านั่งพักผ่อนยิ่งขึ้นไปอีก บริเวณหน้าบ้านมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ศิขรินทร์มองไปที่สวนดอกไม้หน้าบ้านของหลักเขตอย่างแปลกใจ เพราะทุกบ้านมักจะจัดน้ำพุตั้งอยู่หน้าบ้านไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านเขา แต่บ้านของหลักเขตนั้นหาน้ำพุหรือน้ำตกจำลองไม่ได้เลยซักแห่ง ทั้งๆที่ ตัวบ้านนั้นก็เหมาะแก่การจัดทำสายน้ำจำลองประดับตกแต่งบ้าน ถึงแม้จะไม่มีน้ำพุ แต่สวนดอกไม้ก็ไม่ได้สวยน้อยลง เพราะมันถูกแทนที่ด้วยดอกกุหลาบหลากสีที่ปลูกสลับกันไปมาสร้างสีสันอย่างสวยงามชวนมอง อดแปลกใจไม่ได้ว่าบ้านของทหารเรือทำไมถึงมีดอกไม้สีหวานแทบจะทั้งบ้าน คนห่ามๆอย่างหลักเขตจากคำให้การของภัสดานั้นเป็นคนนิ่งขรึมมิใช่หรือ
“สวยใช่ไหมล่ะ มันลงมือปลูกเองเลยนะ” ภัสดาเดินเข้ามาหาร่างสูงที่ยืนหันหลังมองสวนดอกไม้เบื้องหน้าอย่างสนอกสนใจ
“คุณว่าอะไรนะ หลักเขตปลูกเองอย่างนั้นเหรอ ตอนแรกผมคิดว่าแม่เขาจะเป็นคนปลูกเองซะอีก” ร่างสูงหันมามองใบหน้าคนรักอย่างอึ้งๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าทหารเรือสุดห่าม จะชอบดอกไม้สีสวยอย่างดอกกุหลาบ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ
“ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ ขนาดกูเป็นเพื่อนมันยังไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ ส่วนแม่เข็มน่ะจะชอบชวนชม กล้วยไม้เสียมากว่า” ภัสดาฉุดมือหนาของศิขรินทร์ให้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ที่มีบรรดาดอกกุหลาบเบ่งบานอยู่เบื้องหน้า หลอดไฟสีส้มๆที่ตั้งเรียงรายให้แสงสว่างอยู่รอบๆสวนช่างส่งเสริมให้สวนดอกไม้สวยชวนมองยิ่งขึ้นไปอีก กลิ่นหญ้าและกลิ่นเกสรลอยอบอวลอยู่ในห้วงอากาศ เพียงแค่สูดเข้าปอดอย่างช้าๆก็สร้างกำไรให้กับชีวิตได้มากโข
“คุณชอบไหม?”
“ก็ชอบนะ ใครๆก็ชอบสิ่งสวยๆงามๆทั้งนั้น แต่มันเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้นี่ซิ ตกแต่งประดับประดาได้อย่างเดียว” ศิขรินทร์พยักหน้ารับคำพูดของคนรัก เพราะกุหลาบก็เหมือนผู้หญิง สวยงาม สีสันฉูดฉาด มีหนามรอบตัว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเด็ดออกมาจากต้น นอกจากจะโดนหนาทิ่มแทงฝ่ามืออย่างเดียว
“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ” ศิขรินทร์เป็นฝ่ายจับจูงฝ่ามือบางของภัสดาเดินไปรอบสวนอย่างช้าๆ ไม่รีบเร่ง บรรยากาศยามเย็นมีแสงแดดรำไร ช่างทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงานผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
“ชอบอะไรที่กินได้ ทำแบบสวนผักที่เชียงใหม่ไปเลย แปรงนี้ผักกาดหอม แปรงนี้แครอท แปรงนี้สตอเบอร์รี่ แปรงนี้ผักกาดขาว หิวอะไรตอนไหนก็ออกมาเก็บกิน ไม่ต้องเสียเงิน แถมยังปลอดสารพิษอีกต่างหาก” ใบหน้าหวานพูดไปยิ้มไป บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะฝันอยากที่จะมีสวนผักในฝันมากเลยทีเดียว
“คุณเป็นปลูก ส่วนผมก็เป็นคนไปเก็บมาทำอาหารดีไหม”
“ก็ดีนะ แต่กูอยากทำเป็นบ้างเหมือนกัน สอนหน่อยซี” ไม่รู้ว่าเขาจะตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้เห็นอยู่แวบๆว่าดวงตากลมโตของภัสดานั้นฉายแววออดอ้อนเสียเต็มประดา
“ค่าจ้างผมแพงนะ”
“งั้นไม่จ้างมึงก็ได้ ให้ไอ้เขตสอนก็ได้ มันก็ทำอาหารเก่งเหมือนกัน” ร่างบางพูดเสียงสะบัดแล้วหันหน้าหนีใบหน้าหล่อที่คอยมองมาโดยตลอด มองอย่างเดียวคนเอวบางไม่ว่า แต่นี่มันดันทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้อย่างเรื่อยๆ มองทีไรก็อายทุกที จะให้ซักกี่ปีกี่ชาติก็ไม่วันต้านทานสายตาคมหวานของมันได้เลยซักนิด
“สอนฟรีก็ได้ แต่มีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไรอีกแหละไอ้ป๋องเจ้าเล่ห์” มีหรือที่ภัสดาจะไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนรัก ยิ่งเวลาผ่านมาไปมากเท่าไร ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของศิขรินทร์ก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เรียกว่าแปรผันตามเลยก็ว่าได้
“ก็แค่ก่อนทำและหลังทำคุณจะต้องหอมแก้มผม เพื่อเป็นค่าจ้าง อ่ะๆ อย่าเพิ่งค้าน มีที่ไหนที่คิดค่าจ้างถูกอย่างนี้ ไม่มีอีกแล้วนะ คิดดูดีๆ”
“กูก็เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องอ่ะดิ” คนตัวเล็กโวยวายไปมาอย่างน่ารักน่าชัง ถ้าหากบริเวณนี้คือสวนหน้าบ้านหลังใหญ่ของเขา ป่านนี้ร่างโปร่งบางของภัสดาคงได้มาอยู่ในอ้อมแขนของเขาเนิ่นนานแล้ว
“พีทเสียเปรียบที่ไหน ผมซิที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ถ้าคุณอยากเท่าเทียมล่ะก็ งั้นผมจะหอมแก้มคุณกลับคืนก็ได้” ร่างบางหันไปมองใบหน้าคมเข้มของคนรักอย่างหนักใจ และยิ่งมองยิ่งจ้องไปนานๆก็ยิ่งทำให้เห็นว่าไอ้ใบหน้าใสซื่อที่ปั้นแต่งอย่างแนบเนียนนั้นสร้างความหมั่นไส้ให้กับร่างบางอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวใครกันหนาที่เป็นคนตั้งฉายาผู้บริหารที่เย็นชาและเข้มให้กับศิขรินทร์ เพราะตอนนี้ภัสดายังมองไม่เห็นความเห็นชาเลยซักนิดนอกจากความเจ้าเล่ห์ ที่ฉายแววชัดเจนเสียจนแสบตา
“เดี๋ยวกูขอเอาปัญหานี้ไปปรึกษากับทนายส่วนตัวก่อนนะ” ว่าแล้วร่างบางก็หันหลังกลับแล้วก้าวขาออกเดิน หนีคนเจ้าเล่ห์ที่ยืนยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่ข้างหลัง
“คิดดีๆน้า ลดแลกแจกแถมเต็มที่เลยนะงานนี้”
ร่างสูงเดินตามหลังมาติดๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาย้ำเตือนให้ร่างบางได้รับฟัง ดวงตาคมเข้มดุจเหยี่ยมกวาดมองทั่วแผ่นหลังบางของคนรักอย่างหลงใหล วันนี้ภัสดาสวมเสื้อเชิ้ตลายตารางเทาสลับสีครีมยิ่งขับสีผิวขาวนวลเนียนให้ผ่องใสขึ้นไปอีก ใบหน้าเรียวยาวได้รูปรับกับทรงผมที่ถูกตัดแต่งและดูแลรักษาเป็นอย่างดี จะให้มองกี่ทีต่อกี่ทีก็เห็นว่าคนร่างบางที่เดินนำอยู่ข้างหน้านี้เหมือนนายแบบที่หลุดมาจากแคทวอล์คมากกว่าที่จะเป็นช่างฟิตแต่งเครื่องยนต์อยู่ในอู่
“พีท แม่เรียกหาอยู่พอดีเลย เห็นว่าทำแกงเสร็จแล้วอยากให้พีทชิมน่ะ รีบๆไปเลย เดี๋ยวจะซวยกันหมด”
เมื่อทั้งสองเดินพ้นจากบริเวณสวนดอกไม้มาแล้ว ก็พบกับหลักเขตที่กำลังเดินลงมาตามภัสดาอยู่พอดี ร่างบางพยักหน้ารับคำแล้วหันไปฝากฝังเขาให้อยู่กับเพื่อนสนิท
“ฝากศิด้วยนะไอ้พี่เขต เดี๋ยวพีทมา”
ถ้อยคำเรียกขานของทั้งสองคน สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับศิขรินทร์ไม่น้อย ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ ภัสดาได้บอกกับเขาไว้ว่าตนเองกับหลักเขตนั้นจะใช้วาจาที่แสนจะสุภาพเกินผู้เกินคนเมื่อยู่ในบ้านของหลักเขต ครานั้นศิขรินทร์ก็เพียงพยักหน้ารับฟังเฉยๆ ไม่คิดว่าเมื่อได้มาฟังจากหูจังๆแล้วมันจะจี๊ดขึ้นสมองทะลุถึงขั้วหัวใจอย่างนี้
“ไปเถอะน่า พี่ไม่ทำอะไรเพื่อนพีทหรอก” หลักเขตหลุนแผ่นหลังเล็กของภัสดาให้เดินออกไปจากสวน ไม่วายกำชับให้คนเอวบางเลิกกังวลถึงใครบางคน
ศิขรินทร์หันหน้าหนีแล้วแอบเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ พี่อย่างนั้น พีทอย่างนี้ เหอะ! เดี๋ยวคอยดูเถอะ กลับไปคราวนี้จะสั่งห้ามไม่ให้เรียกใครที่ไหนว่าพี่ แล้วแทนตัวเองว่าพีทอีกเลย ศิขรินทร์แอบคิดในใจด้วยความอิจฉา ถึงแม้ภัสดาจะบอกว่าพูดเพื่อเอาใจมารดาของหลักเขตเท่านั้น แต่ศิขรินทร์ก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“.............................”
หลังจากที่ภัสดาหายวับเข้าไปในตัวบ้านแล้ว บรรยากาศรอบตัวของสุภาพบุรุษทั้งสองก็เงียบและวังเวงขึ้นมาทันที ต่างฝ่ายต่างดูท่าทีของกันและกัน ไม่มีใครปริปากพูดออกมาซักประโยค คอยดูเชิงของคู่ต่อสู้ ตาจ้องตา ไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุดพี่นอกคอกของภัสดาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง
หลักเขตจ้องมองเรือนร่างของศิขรินทร์อย่างพิจารณา ไม่อยากจะคิดแต่มันก็ต้องคิดว่าคนรักของภัสดานั้นช่างดูดีอย่างไม่มีที่ติจริงๆ ด้วยส่วนสูงที่เกือบจะถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ประกอบกับรูปร่างสมส่วนอย่างที่ผู้ชายวัยเดียวกันต้องอิจฉา รูปหน้าเรียวยาว ริมฝีปากหยักสวย จมูกโด่งเป็นสันงองุ้มอย่างสวยงาม ดวงตาคมเข้มฉายแววเด็ดเดี่ยว หยิ่งและทะนงในตนเอง รวมๆกันทั้งหมดแล้วศิขรินทร์ อินทราทิพย์คนนี้ช่างคล้ายเทพบุตรตกสวรรค์มากลั่นแกล้งเพศเดียวกันเสียจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนรักของภัสดา ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองจะโคจรมาเจอกัน อีกคนก็สวยหวาน ร่างบางเอวเล็ก อีกคนก็หล่อเข้ม ดูดี ช่างเหมาะสมกันเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้ว คนหล่อมักจะเจ้าชู้ ซึ่งทฤษฏีนี้หลักเขตได้พิสูจน์มาแล้วเพราะตัวเองก็เป็นอยู่เหมือนกัน อดเป็นห่วงเพื่อนสนิทไม่ได้กลัวว่าไอ้คนหล่ออย่างศิขรินทร์จะมาโกหกหลอกหลวงเพื่อนสนิทของตน
“หึ! คบกันมากี่วันแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมผมต้องตอบคำถามคุณ”
ร่างสูงเอ่ยกล่าวเสียงเรียบ ตวัดสายตาแข็งและคมกล้าดุจใบมีดโกนมองหน้าเพื่อนสนิทของคนรักอย่างมิหวั่นเกรง แล้วทำไมเขาจะต้องเกรงกลัว ต่อให้มีภูเขาซักสามลูกก็มิอาจที่จะห้ามให้เขารักภัสดา ในกรณีของหลักเขตเองก็เช่นกัน ถ้ากีดกันความรักของเขาทุกทาง เขาก็พร้อมที่จะสู้และโต้ตอบกับคืนได้ทุกทางเหมือนกัน
“อ๋อลืมไป ผมมันจนนี่นะ ไม่คู่ควรที่จะได้สนทนากับคนสูงส่งอย่างคุณ ต้องขอโทษด้วย”
ศิขรินทร์กำมืออย่างสกัดกั้นอารมณ์ ถ้าหลักเขตไม่ใช่เพื่อนสนิทของภัสดา ป่านนี้คนๆนี้คงได้โดนเขาฟาดปากล้มกลิ้งไปกับพื้นนานแล้ว ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างระงับอารมณ์ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่อง ไม่อยากทำให้บรรยากาศพักผ่อนของภัสดาต้องพังลงเพียงเพราะการยั่วยุของอีกฝ่าย สมองพยายามระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขานี้เป็นเพื่อนสนิทของภัสดา ขืนใช้กำลังออกไป คนที่เสียเปรียบในทางลบก็คงจะต้องเป็นเขา เพราะยังไงหลักเขตก็มีภาษีดีกว่า
“โทษที ผมอาจจะเข้าใจเจตนาของคุณผิดไป”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ............คบกับพีทมานานหรือยัง” หลักเขตแอบพยักหน้ายอมรับในน้ำใจของอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นคนอื่นได้มาโดนเขาพูดประโยคเมื่อกี้ใส่ ร้อยทั้งร้อยต้องโมโหโกธาและไม่พ้นใช้กำลังตัดสินปัญหาเป็นแน่ๆ รับว่าศิขรินทร์จัดการปัญหานี้ได้ดีเลยทีเดียว เพราะอย่างนี้ซินะถึงเอาไอ้พีท จอมแก่นเซี้ยวอยู่หมัด
“ประมาณสี่เดือน สิบวัน”
“นานนะ”
“ขอบคุณ!”
ช่างเป็นบทสนทนาที่ห้วนและแห้งแล้งในความคิดของหลักเขตเสียจริงๆ ไม่นึกไม่ฝันว่าคนหล่อคนรวยอย่างศิขรินทร์จะมาตกม้าตายให้กับภัสดาเพื่อนรักของเขา ใช่ว่าตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองคบกันนั้นเขาจะไม่รู้ กลับกันเขากับรู้ไปหมดแทบจะทุกเรื่อง เพราะให้ลูกน้องติดตามดูความเคลื่อนของภัสดาอยู่ตลอดเวลา
“คุณคิดว่า คุณรู้จักพีทดีแค่ไหน”
“........................”
“คุณคิดว่า ความสัมพันธ์ที่สังคมไม่ยอมรับที่คุณกับไอ้พีททำอยู่นี่จะยืดยาวได้แค่ไหน”
ศิขรินทร์รับฟังอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาโต้ตอบเพื่อให้อีกฝ่ายได้กระจ่างแจ้ง ทำไมจะไม่รู้ว่าหลักเขตต้องการทำให้เขารู้สึกว่าถูกไฟลน ด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆที่ทำให้เขากับภัสดานั้นรักกัน เลยเป็นจุดโหว่ทำให้อีกฝ่ายใช้เป็นข้อเล่นงานเขาได้ ยอมรับว่าโกรธเมื่อได้ยินคำถามของหลักเขต แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะโวยวายหรือโต้ตอบอีกฝ่ายไปทำไม ก็ในเมื่อที่หลักเขตพูดออกมาอย่างนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงเพื่อนสนิท ทำไมเขาจะไม่คิด ทำไมเขาจะไม่กลัว ความสัมพันธ์ที่สังคมไม่ยอมรับ ความรักที่ไม่ถูกต้อง ผิดธรรมชาติ แต่ความกลัวก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่ศิขรินทร์มีต่อภัสดานั้นลดน้อยลงเสียซักนิด ในเมื่อตัดสินใจวางหัวใจไว้กับคนๆนี้แล้ว ก็คงต้องสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากเพียงใด เขาก็จะไม่ยอมแพ้ หากต้องสูญเสียภัสดาไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดหัวใจไปทิ้งทะเล
“ระยะเวลาที่เราทั้งสองคนศึกษาดูใจกันมันสั้นข้อนั้นผมรู้........ คุณอาจจะคิดว่าเราสองคนรักกันเร็วไป แต่สำหรับผมแล้วเวลาหลังจากนี้ต่างหากล่ะคือความรัก คุณวางใจได้ ผมจะไม่มีทางทำให้เพื่อนคุณเสียใจเด็ดขาด ผมขอรับรองได้ชีวิตของผม”
ถ้อยคำหนักแน่นและ แววตาที่เด็ดเดี่ยวไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่นหรือพูดเอาใจแต่อย่างใด ทุกอย่างที่ศิขรินทร์ถ่ายทอดออกมานั้นคือความจริงใจและความรักที่อีกฝ่ายมีให้กับเพื่อนสนิทของเขา มันก็จริงที่ศิขรินทร์พูดว่า ระยะเวลาหลังจากนี้ต่างหากล่ะที่คือความรัก ทั้งสองคนจะประคับประคองไปถึงฝั่งไหม จะเอาชนะอุปสรรครอบข้างได้ไหม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าศิขรินทร์และภัสดาจะรักและจะเชื่อใจกันมากเท่าไร ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายนั้น มันย่อมยากกว่าความรักระหว่างชายหญิงธรรมดา ไหนจะสังคม คนรอบข้าง และที่สำคัญ ครอบครัวของคนทั้งคู่ คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อได้รู้ว่าลูกชายตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน
“พ่อแม่คุณรู้หรือยังว่าคุณคบกับไอ้พีต” นี่แหละคืออีกหนึ่งปัญหาคาใจที่ศิขรินทร์พยายามขจัดให้ออกไปจากหัวใจ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็หายไปเสียที
“ผมยังไม่ได้บอกพวกท่าน”
“แล้วคุณคิดว่า คุณกล้าบอกพ่อกับแม่คุณหรือเปล่าที่มีแฟนเป็นผู้ชาย” หลักเขตถามคำถามจี้จุด และไม่ปล่อยช่องว่างให้ศิขรินทร์ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ถ้าหากผู้ชายคนนี้ไม่กล้าที่จะสารภาพความจริงต่อหน้าบิดามารดาว่าตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วจะมีปัญญาที่ไหนมาปกป้องดูแลภัสดา เพราะสำหรับภัสดาครอบครัวนั้นยอมรับและเข้าใจว่าลูกชายคนเดียวของตระกูลชอบเพศเดียวกัน ครานั้นเจ้าสัวภาสโกรธลูกชายตัวเองอยู่เป็นเดือน ไม่พูดไม่คุย แต่ภัสดาก็ไม่ยอมแพ้ที่จะทำให้ทั้งป๊าและแม่ยอมรับในนตัวเองให้ได้ จนในที่สุดทั้งเจ้าสัวภาสและคุณนายจันทร์ก็ยอมรับในตัวของบุตรชาย แต่พวกท่านทั้งสองก็ยังหวังว่าภัสดาจะหันกลับมาชอบเพศตรงข้ามอีกครั้ง ทั้งๆที่ความหวังนั้นจะลางเลือนก็ตามที