มาแล้วค่ะ วันนี้ยาวหน่อยละกัน ชดเชยเมื่อวานด้วย
=========================================================================
ผมชะงักการกระทำของตนทันที เมื่อได้ยินคำพูดน้ำเสียงเยียบเย็นของเขา รู้สึกอึ้งนิดหน่อยที่อยู่ๆเขาก็พูดออกมาแบบนี้ ดูเขาจะโกรธที่ผมมาทำยุ่มย่ามกับเขา ผมจึงต้องอดใจเอาไว้ แล้วค่อยๆคลายอ้อมกอดออกจากตัวเขา
ตอนแรกที่กลับมา แล้วเห็นอย่างจะๆว่าเขากำลังจะคิดหนี ผมรู้สึกโมโหมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อไปจากผมให้ได้แบบนี้ ตอนแรกกะจะลงโทษเขาให้หลาบจำ จะได้ไม่คิดหนีอีก แต่เมื่อผมสังเกตเห็นร่างกายที่กำลังสั่นเทาของเขา หยดน้ำที่เกาะพราวทั่วร่าง และผมที่เปียกชื้น ความโมโหเดือดดาลก็ค่อยๆลดลงทันที เปลี่ยนเป็นความห่วงใยแทน
คนป่วยคนนี้ไม่ใช่คนป่วยที่ธรรมดาเลย ชอบหาเรื่องอยู่ตลอด ทั้งดื้อรั้นถือทิฐิเป็นที่สุด แล้วแบบนี้จะหายดีโดยเร็วได้อย่างไร ผมล่ะหนักใจจริงๆ
ผมมองด้านหลังเขาพลางส่ายศีรษะไปมา แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มบนเตียงมาห่มคลุมร่างที่หนาวสั่นให้เขา หมุนร่างเขาให้หันหน้ามาทางผม
“ดูสิเนี่ย... ปากคุณซีดหมดเลย” ผมบ่นขณะไล้นิ้วมือไปมาที่ริมฝีปากซีดๆของเขา แล้วโน้มหน้าเข้าหา หวังจะจูบปากของเขาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ แต่เมื่อสายตาผมสบกับสายตาเชือดเฉือนอาฆาตของเขา ผมก็ชะงักการกระทำนั้นทันที
ให้ตายสิ ผมรู้สึกขัดใจชะมัด แต่ผมก็หวั่น ว่าถ้าผมทำไปตามแต่ใจตน เขาจะไม่พูดกับผมอย่างที่ปากว่าจริงๆ
ผมผละออกจากตัวเขา เดินไปแกะถุงน้ำเต้าหู้ที่เพิ่งซื้อมาใส่แก้ว แล้วยกมาให้เขาดื่ม
“น้ำเต้าหู้อุ่นๆครับ คุณน้าของผมบอกว่า คนที่ความดันเลือดต่ำควรทานอาหารประเภทโปรตีน น้ำเต้าหู้นี่ก็มีโปรตีนจากถั่วเหลือง ดื่มเยอะๆดีต่อสุขภาพนะครับ ” ผมบอกไปยิ้มไป เห็นเขามองหน้าผมสลับกับมองแก้วน้ำเต้าหู้ไปมา แล้วทำหน้าเซ็งๆ
เขารับแก้วมาดื่มอย่างว่าง่าย ไม่ได้เกี่ยงอย่างที่คิดไว้ ผมคิดว่าเขาคงจะหิว หรือไม่ก็คงชอบดื่มน้ำเต้าหู้ ผมก็ได้แต่เดาไป ตามองคุณกายค่อยๆดื่มน้ำเต้าหู้ในแก้วจนหมด อย่างสุขใจเล็กๆ
“ผมซื้อโจ๊กมาให้คุณทานด้วย โจ๊กหมูใส่ไข่น่ะครับ คุณจะทานเลยไหมครับ? ” เห็นเขาพยักหน้าเบาๆ ในใจผมรู้สึกยินดีจนตัวลอย ต้องอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก! แต่ผมก็ไม่กล้าบอกเขาไปตรงๆหรอก
“งั้นเดี๋ยวผมป้อนให้นะครับ” ผมหันไปเทโจ๊กใส่ชาม
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นง่อย” เขาสวนกลับมาแทบจะในทันที แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ ดันเขาให้นั่งลงบนเตียง แล้วผมก็ยกชามโจ๊กมานั่งลงข้างๆเขา
“ก็ผมอยากป้อนให้นี่ครับ ไหนเมื่อคืนคุณสัญญากับผมแล้วไง ว่าจะไม่ดื้อกับผมอีก” เขาทำหน้าง้ำทันที เมื่อผมทวงสัญญา
“สัญญาบ้าบอ ไม่เห็นจะยุติธรรม...” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ แต่ก็ยอมให้ผมป้อนแต่โดยดี
เขาพูดถูก เรื่องสัญญานั่นผมมีแต่ได้กับได้ เพราะผมทบทวนมาดีแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำตามสัญญาหรือไม่ ผมก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ดี การดีดลูกคิดรางแก้วครั้งนี้ กำไรอยู่ที่ผมเห็นๆ
เมื่อทานข้าวเสร็จผมก็เอายาให้เขากิน ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา ที่จับจ้องมองมาที่ผม ขณะที่ผมกำลังจัดการกับถ้วยชามและถุงขยะอยู่ ไม่รู้ว่าเขามองผมทำไม
ผมได้แต่หวังว่าที่เขามองผม นั่นอาจเป็นเพราะเขาเริ่มมีใจให้ผมแล้ว ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ผมก็ดีใจสุดๆเลย ที่ความพยายามของผมเริ่มเห็นผลบ้างแล้ว
แต่ถึงมันจะไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงเขาก็ยังเห็นผมอยู่ในสายตาบ้างแล้ว
ผมหันไปมองสบตาเขา เขารีบหลบตาผมอย่างรวดเร็ว แล้วขยับตัวลงนอนแสร้งทำเป็นไม่สนใจผม การกระทำนั่นทำให้ผมยิ้มขำ ผมเห็นว่ามันตลกดี
“จะนอนแล้วเหรอครับ คุณยังปวดหัวอยู่รึเปล่า?”
เขาสั่นหัวเบาๆ ใบหน้าข้างหนึ่งฝังลงกับหมอน พริ้มตาหลับลง คงเป็นเพราะฤทธิ์ยากระมัง จึงทำให้เขารู้สึกง่วง
ผ้าห่มที่ห่มคลุมร่างเขาเลื่อนลงมาถึงอก เผยให้เห็นยอดอกสีชมพูทั้งสองข้าง ซึ่งถูกสรรสร้างอย่างสวยงามอยู่บนแผ่นอกขาวเนียน ที่สะท้อนขึ้นลงเบาๆตามจังหวะการหายใจ
ผมมองภาพอันยั่วยวนนั่น พลางกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ข่มใจแล้วเดินเข้าไปจัดแจงผ้าห่มให้ปิดคลุมถึงหัวไหล่ของเขา
ความจริงผมอยากจะเข้าไปปลุกปล้ำเขา แล้วทำให้ร่างกายเขาตกเป็นของผมทั้งวันทั้งคืน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ร่างกายผมโหยหาแต่เขา ต้องการสัมผัสเขาแล้วฝังตัวลึกเข้าไปในความสุขที่ร้อนระอุ ซึ่งไม่ได้สัมผัสมานาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอเขา และไม่มีวันลืมเลือน
แต่ตอนนี้ผมต้องระงับยับยั้งใจเอาไว้ก่อน เพื่อซื้อใจเขา ผมไม่อยากให้เขาเกลียดผม ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีต่อตัวผม
ผมก้มลงหอมแก้มคุณกายฟอดใหญ่ให้ชื่นใจ มีแต่ตอนนี้เท่านั้นแหละ ที่ผมจะฉกฉวยโอกาสได้ตามใจ
ถึงเวลาสำหรับปากท้องของผมบ้างแล้ว ผมแกะห่อข้าวมันไก่ที่ซื้อมา แล้วสวาปามอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับคนตัวโตๆอย่างผม ต้องข้าวมันไก่สองห่อถึงจะอยู่ท้อง ผมชอบอาหารแบบนี้จัง สะดวกแล้วก็ราคาไม่แพง แถมยังมีประโยชน์กว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดที่บ้านเกิดเมืองนอนของผมอีก
หลังจากอิ่มหนำแล้ว ผมก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องโทรศัพท์ ที่เป็นตัวต้นเหตุ ทำให้ชายหนุ่มเกือบจะหนีไปจากผมได้สำเร็จ ผมจัดการดึงสายโทรศัพท์ออก แล้วยัดเครื่องโทรศัพท์นั้นลงในลิ้นชักหัวเตียง ไม่ลืมที่จะไขกุญแจ ล็อกมันเอาไว้ ทีนี้เขาก็หมดหนทางที่จะหนีไปจากผมได้อีกแล้ว
เฝ้ามองคุณกายหลับอยู่สักพัก ผมก็ลุกออกไปจากห้องพัก ตรงไปยังอีกห้องที่ผมเปิดเอาไว้ ผมมาอาบน้ำแต่งตัวที่นี่ เพราะเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของผมทั้งหมดอยู่ในห้องนี้ รวมทั้งของๆคุณกายด้วย
พออาบน้ำเสร็จ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ความจริงมันก็ดังอยู่สักพักแล้วล่ะ เพียงแต่ผมกำลังอาบน้ำอยู่เท่านั้น สายที่โทรเข้ามาเป็นพี่เอ เขาคงจะโทรมาเพื่อถามความคืบหน้าเรื่องของผม
ผมรีบกดรับ ตั้งแต่มาเมืองไทยผมก็ยังไม่ได้ติดต่อไปหาพี่เขาเลย อยากจะบอกพี่เอเต็มแก่แล้ว ว่าแผนที่อยู่ในทางเลือกสุดท้าย กลับเป็นผลสำเร็จ
“ฮัลโหลพี่เอ ดึกดื่นป่านนี้ ยังอุตส่าห์โทรมาอีกนะ ไม่หลับไม่นอนเหรอครับ”
[“ก็ฉันคำนวณเวลาแล้วไง ถึงได้โทรมาหาเธอตอนนี้ ที่โทรมาก็เพื่อจะมาบอกข่าวให้เธอรู้น่ะ”]
“ข่าวอะไรเหรอครับ?” ผมเริ่มสนใจแล้วสิ ที่พี่เอยอมเสียสละเวลานอนเพื่อโทรมาหาผม ข่าวที่เขาเอามาบอกจะต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ
[“ข่าวเรื่องคุณกายของเธอไง เมื่อวานฉันไปคุยกับมาดามมา เลยได้รู้เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับคุณกายอย่างหนึ่ง มันค่อนข้างจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเธอนะ เธอยังอยากจะฟังอยู่รึเปล่า?”] ผมแทบหยุดหายใจ ข่าวร้ายเหรอ...?? แต่ถึงแม้มันจะเป็นข่าวร้าย ยังไงผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี ก็ในเมื่อมันเป็นข่าวของคุณกายคนรักของผมนี่
“ว่ามาสิครับ เรื่องอะไร” น้ำเสียงผมเริ่มซีเรียสขึ้น
[“อะ เอ่อ...คุณกายของเธอน่ะ เขามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว... เรื่องนี้ฉันได้ยินจากปากมาดามซิลวีตรงๆเลย มันเป็นเรื่องที่พูดคุยกันในสังคมวงในน่ะ รู้สึกจะเป็นลูกสาวท่านทูตไทยประจำอังกฤษด้วย”]
มันเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย! ที่ว่าคุณกายมีคู่หมั้นแล้ว! ผมนึกว่ามันเป็นคำขู่ของเขาเสียอีก... ผมไม่ได้กลัวเรื่องที่คุณกายมีคู่หมั้นแล้ว แต่ผมกลัวว่าหัวใจของเขาจะไม่ได้อยู่กับตัวเขาแล้ว มันอาจจะตกไปอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้น คนที่เป็นคู่หมั้นของคุณกาย
“เรื่องนั้นผมทราบแล้วล่ะครับ” ผมบอกพี่เอไป
[“อ้าว! รู้ได้ยังไง นี่เป็นข่าววงในเลยนะ เพราะเขายังไม่ได้ประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการ”]
“ผมรู้จากปากคุณกายเองเลยล่ะ รสชาตินี่เกินบรรยาย”
[“เอ๋... ตอนนี้คุณกายไม่ได้อยู่อิตาลีหรอกเหรอ? มาดามบอกว่าเขามีงานเจรจาธุรกิจที่มิลาน”]
“เปล่า เขากลับจากอิตาลีแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ไทย และอยู่กับผมด้วย”
[“กรี๊ด!! ไม่อยากจะเชื่อ! เธอไปฉกตัวเขามาได้ยังไงน่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ!”] แล้วผมก็ต้องบอกเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่เอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกเขาจะตื่นเต้นมากกับเรื่องที่ผมเล่า
“ฮะๆ แผนแย่ๆที่พี่คิดขึ้น กลับประสบผลสำเร็จอย่างง่ายดาย ผมก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” ผมบอกไปตามความจริง ใครจะคิดล่ะ ว่าแผนที่เหมือนกับเป็นโจรผู้ร้ายแบบนั้นจะสำเร็จได้
[“อะไรกันยะ! แผนของฉันออกจะดี มาว่าแผนฉันแย่ได้ยังไง ตานิคต้องมาก้มกราบฉันแล้วย่ะ ถ้าไม่ได้มันสมองอย่างฉันคิดแผน ป่านนี้เธอก็คงได้แต่เห่าเครื่องบินอยู่นั่นแหละ โฮะๆ”]
“แหม! ได้ที่ทับถมผมเลยนะครับ มันเป็นเรื่องบังเอิญต่างหากล่ะครับ ไม่ต้องมาเอาความดีใส่ตัวเลยพี่ ฮะๆ แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณพี่เอนะครับ ถ้าไม่ได้พี่ผมก็คงจะแย่อยู่เหมือนกัน พี่ไปนอนได้แล้วครับ ดึกแล้วเดี๋ยวจอห์นก็ว่าหรอก” ผมรีบไล่ให้พี่เอไปนอน เขาบ่นพึมพำ บอกว่าเพราะผมเลยทำให้เขาตาสว่างเลย แล้วเขาก็อวยพรให้ผมโชคดีเรื่องความรัก จากนั้นก็รีบวางสายไป เพราะผมแว่วได้ยินเสียงของจอห์นเรียกพี่เอดังมาจากปลายสาย
หลังจากได้คุยกับพี่เอแล้ว ผมมีความรู้สึกที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียวตามลำพัง ผมยังมีพี่เอที่คอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถือวิสาสะค้นกระเป๋าเดินทางของคุณกาย ด้วยความใคร่รู้ว่า เวลาคุณกายเดินทางนำอะไรติดตัวไปบ้าง น้ำหอมโคโลนเขาชอบกลิ่นอะไร หรือแม้แต่ไซส์ชั้นในของเขาผมก็อยากจะรู้
ในกระเป๋าของเขามีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกอยู่เครื่องหนึ่ง แฟ้มเอกสารหนึ่งแฟ้ม เสื้อผ้าที่เป็นชุดใส่ทำงานสองชุด เนคไทต์สามเส้น กางเกงในสองสามตัว นอกนั้นก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น น้ำหอมที่เขาใช้คือ คลูวอเตอร์ ผมก็ว่าเหมาะกับเขาดี ข้าวของเครื่องใช้ในกระเป๋าเดินทางของเขาถูกจัดวางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของเจ้าตัวเป็นอย่างดี
แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระปุกยาเล็กๆใบหนึ่ง ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาด้วยความสงสัย ว่ามันเป็นยาอะไร ชื่อยาตรงฉลากไม่ได้บอกว่าเป็นยาพาราเซทตาม่อนอย่างที่ผมคิดเอาไว้ เพราะมันเป็นยาสามัญที่ปกติคนมักจะพกกันเวลาเดินทางไปไหนต่อไหนเผื่อจำเป็น แต่ชื่อยาประหลาดๆนี้ผมไม่คุ้นเคยกับมันเลย
“ยาอะไรกัน...”
ผมจดจำชื่อยานั้นเอาไว้ คิดว่าจะลองโทรไปถามคุณน้าดูว่ามันเป็นยาอะไร คุณน้าของผมเป็นหมอ ยังไงท่านก็ต้องย่อมรู้ดีเรื่องยารักษาโรคอยู่แล้ว แต่เห็นจะโทรไปเลยตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะเวลานี้เป็นเวลางาน ผมยังไม่อยากจะไปรบกวน
คำถามต่อมาในจิตใจผมคือ ยานี้รักษาโรคอะไร คุณกายมีโรคประจำตัวด้วยหรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ และเริ่มเป็นกังวล ผมรีบสลัดความคิดต่างๆทิ้ง เพราะยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเลยเถิด จึงได้แต่เก็บความสงสัยที่มีเอาไว้ แล้วรอคอยคำตอบที่เป็นจริงเท่านั้น
ผมปิดกระเป๋าเดินทางลงตามเดิม แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากห้องนี้ไปนั้น โทรศัพท์ถือก็พลันดังขึ้น จึงรีบควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงทันที ปรากฏว่าเสียงนั้นไม่ได้มาจากมือถือของผม แต่มันดังจากที่ใดที่หนึ่งภายในห้อง กรีดร้องอย่างไม่ยอมหยุด ผมขมวดคิ้วอย่างฉงน ก่อนจะเดินหาต้นตอของเสียง
ที่แท้เป็นโทรศัพท์มือถือของคุณกาย มันสั่นเบาๆอยู่บนโต๊ะหัวเตียง วางอยู่ข้างๆกันกับกระเป๋าสตางค์ ที่ผมยึดมันมาจากเขาเป็นการชั่วคราว
--------------จบตอน---------------
=========================================================================
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
วันเสาร์จะมาขึ้นตอนที่11ให้นะ