“เอ่อ อาม่าครับ ผมมีเรื่องสงสัย” เป๊บถามอาม่า
“อาลายอาตี๋หย่าย”
“เอ่อ ตอนผมบวช ผมเห็นนิมิต เอ่อ..แต่ว่าผมไม่รู้..เอ่อ..ว่าอาม่าคือใคร”
เป๊บพยายามที่จะตั้งคำถามเพื่อให้อาม่าเข้าใจ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมเข้าใจเป๊บนะครับ คงเป็นคำถามที่เราสองคนเห็นนิมิตเมื่อชาติปางก่อน แล้วเป๊บเองก็คงอยากรู้ว่าอาม่าเป็นใคร ยังไง อย่างไร ถึงได้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภพชาตินี้ คำถามของเป๊บผมก็อยากรู้เช่นกัน
“ลื้อจำม่ายด้ายจิงๆ หราอาตี๋หย่าย”
เป๊บส่ายหน้าเบาๆ
“แล้วลื้อละอาตี๋เล็ก จำม่ายล่ายหรือ”
ผมก็ส่ายหน้าเบาๆ
อาม่ายิ้มกว้างให้พวกเรา พร้อมกับเล่าว่า
“อาตี๋เล็ก ลื้อจำคงที่พูกว่า เจ้าราชาสะหวักคก ได้หรือป่าว”
ผมพลันคิดตามอาม่า ทบทวนความทรงจำของนิมิตในครั้งนั้น พลันเบิกตากว้าง
“นางสนองโอษฐ์คนนั้นนะหรือครับ” ผมอุทานด้วยความตกใจ เป๊บเองก็ทำหน้าอึ้ง เว้นแต่เพื่อนๆ ทุกคนที่แสดงสีหน้าอาการประหลาดใจ
“ช่ายเลี่ยว นั่นอาม่าเอง”
“แล้วทำไม..” ผมถามอาม่าด้วยอาการอึกอัก
“คงเลานะอาตี๋ มังเกิกหมุงเวียงกังปายทุกภพชากน่าแหละ มังก็เปงเลื่องสมมติทั้งน้าง อย่าล่ายสงสายอาลายเลย”
“ครับอาม่า แต่ยังไงผมก็เชื่อว่า การที่เราทุกคนมาพบเจอกัน คงมีบุญสัมพันธ์กันมาหลายภพชาติ ผมกับเป๊บขอบคุณอาม่ามากนะครับ ที่เกื้อหนุนช่วยเหลือเรามาตลอด”
“เข้าจายถูกแล้วน่า ฮ่าๆๆ”
ไม่นานนักพี่ที่เป็นลูกสาวอาม่า ก็ได้เข้ามาพูดคุยสนุกสนานเฮฮา พร้อมอวยพรผมกับเป๊บล่วงหน้า และรับปากว่าจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน
“คืนนี้ก็ยังไม่นอนที่นี่อีกแล้วนะ” พี่สาวแซว
“ครั้งหน้านะครับ ถ้าลงตัวอะไรหลายๆ อย่างจะมาค้างนะครับ”
“ครั้งหน้าตลอดแหละ”
“ไม่พลาดแน่นนอนครับพี่”
“โอเคๆ ได้ๆ เจอกันวันงานแต่งนะ”
“ได้ครับ ผมจะส่งรถมารับนะครับ”
“ขอบคุณมากจ้า..ยินดีล่วงหน้าเลยนะ น้องสองคนเหมาะสมกันมากๆ”
“ขอบคุณมากครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“จ้า เดินทางปลอดภัยนะ”
ระหว่างเดินทางกลับ
“ทุกอย่างลงเนอะอีหอย แล้วนี่ยังขาดเหลืออะไรบ้าง”
“เท่าที่คิดแล้วคิดอีก น่าจะไม่มีอะไรแล้วนะฉัตร” ผมพูดพลางทำท่าครุ่นคิด
“แล้วจัดการพวกของชำร่วยหรือยัง” ทรายถาม
“พรุ่งนี้นัดร้านไว้แล้ว”
“เออดีๆ ไปจัดการให้ลงตัว เผื่อมีอะไรแก้ไขจะได้ทัน”
“จะว่าไปก็ตื่นเต้นนะไอ้เป๊บ มึงจะมีเมียละ” โอ๊ตแซววเป๊บ
“กูว่าเมียเนี่ยมีนานแล้ว เป๊บมันฟาดซะเรียบ” เบิดแซว
“กรูขอภาพประกอบ” ฉัตรหันมาบอกเบิด
“เอาไปดูทำเหี้ยไรละ อีห่า” ผมด่าฉัตร
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
แล้วก็ฮากันทั้งรถ บางเวลาผมก็เหนื่อยใจกับเพื่อนแก้งค์หื่นกามนี้เหมือนกันนะ
หลังจากแยกย้ายกันเรียบร้อย ผมกับเป๊บก็ขับรถกลับบ้านโดยเป้าหมายในคืนนี้ คือ การค้างที่บ้านใหญ่ ด้วยเหตุที่รุ่งเช้าร้านจำหน่ายของชำร่วยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเป๊บมากนัก
“ที่รัก นอกจากของชำร่วยแล้ว ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้เตรียมอีกไหมครับ”
“อะไรที่ยังไม่ได้เตรียมหรือ เอาจริงๆ นะเป๊บ โจ้นึกไม่ออกจริงๆ เพราะในส่วนอื่นๆ ก็เตรียมการหมดแล้วนะ”
“ครับ เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน อาจจะพอนึกออก งั้นพรุ่งนี้ไปดูของชำร่วยก่อน แล้วก็ค่อยคิดไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจออะไรที่เรายังไม่ได้เตรียมไว้”
“ได้ๆ นี่ขนาดงานเล็กๆ นะ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะเป๊บ นึกถึงคู่ที่จัดงานใหญ่โต จะขนาดไหน”
“นั่นสิครับ คงเหนื่อยมากแน่ แต่ว่าถ้าจ้างพวกมืออาชีพทำทุกอย่าง เป๊บว่าอาจจะไม่เหนื่อยมากนะ”
“เราก็จ้างเถอะยังเหนื่อยเลย”
“แต่บางส่วนออกสื่อไม่ได้ เราสองคนก็ต้องทำเองไง”
“นั่นสิ”
กลับมาถึงบ้านใหญ่ ระหว่างที่กำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่น ก็เห็นแด๊ด มัม และพี่ๆ นั่งพูดคุยกัน คงเป็นเรื่องการเตรียมงานของเราสองคนแน่ๆ ไม่พ้นสายตาผู้ใหญ่หรอกครับ พอเห็นผมกับเป๊บก็กวักมือเรียกทันที
“เออนี่ แล้วแอคติ้งบนเวทีจะทำอะไรกันบ้าง” พี่ปริมเอ่ยถามเป๊บแล้วมองหน้าผม
“หมายถึงอะไรครับพี่ ผมไม่เข้าใจ” เป๊บถาม
“ก็แบบจะจูบโชว์ไหม หอมแก้ม”
“ใช่ๆ ข่มขืนงี้” พี่ปันแซว
“บ้าแล้วววววว ใครจะทำแบบนั้นนนน” ผมแหกปากขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ”
“อ้าวก็พี่นึกว่าเราสองคนจะมีแอคติ้งหวานหยดย้อยงี้”
“ผมนะโอเค ทำได้ แต่เมียผมสิพี่ ไม่เขินตัวแดงหมดหรือ”
“จริงงงงงงง” พี่ปันพยักหน้าเห็นด้วย
“นี่พอๆ เราสองคนไปแซวน้อง ดูสิ ลูกโจ้หูแดงหน้าแดงหมดแล้ว” มัมแซว
มัมฮะ ถ้าไม่แซวจะดีกว่านี้มาก ฮืออออ
“นิดนึงไงครับมัม น้องชายจะออกเรือนสักที ต้องเตรียมการอย่างดี”
“โหยยย เตรียมถึงขั้นบนเวทีก็เกินปายยยย” ผมแขวะพี่ปัน
“นี่ไอ้เสือ เมียแกพูดมากนะ จัดการปิดปากซิ” พี่ปันบอกเป๊บ
“ครับๆ ได้ครับ งั้นผมขอตัวพาเมียไปจัดการปิดปากก่อนนะครับ”
“ดีมาก”
เป๊บก็ลุกขึ้นดึงผมทันที ผมเองก็ดิ้นไปมายังไม่ได้เถียงพี่ปันคืนเลย หนอยยยยย
แต่จะขัดขืนแรงฉุดของเป๊บได้ยังไง คิงคองแรงมากกกก หนูน้อยแบบเราก็แพ้ไป ฮือออ
“เป๊บบบบ โจ้เจ็บบบบ”
“อะ...ขอโทษครับ เจ็บจริงหรือ” เป๊บตกใจรีบปล่อยมือ พร้อมพลิกดูข้อมือผมไปมาสีหน้าเป็นห่วงมาก
“เป๊บแรงเยอะ ไม่เจ็บได้ไงอะ”
“เป๊บขอโทษครับ ข้อมือแดงเลย ทายาไหม หรือไปหาหมอไหมครับ”
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ดึงออกมาทำไมอะ ยังไม่ได้จัดการกับพี่ปันเลย”
“ไม่ต้องไปสนใจพี่ปันหรอกครับ ไปพักผ่อนดีกว่า วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็มานอนรอเป๊บบนเตียง กดมือถือเล่นแชท MSN กับเพื่อนๆ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักก็รับรู้ได้ถึงแรงยวบของเตียงนอน ผมหันไปมองเป๊บอาบน้ำเสร็จแล้ว พร้อมสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม แล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดทันที
“ทำอะไรเป๊บบบบ” ผมดิ้นไปมา
“เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร แค่อยากกอด” เสียงนุ่มๆ ทำให้หยุดดิ้นไปมา
“จะมาโหมดไหนอีกละ เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งนะเราอะ” ผมแซว
“หือ...เป๊บก็อ้อนเก่งแบบนี้มานานแล้วนะครับ ที่รักไม่เคยสังเกตต่างหาก”
“โบราณว่า เถียงเมีย ไม่เจริญนะ”
“หืมมมม เอาไว้แต่งงานกันก่อนค่อยเลิกเถียง ตอนนี้แค่เป็นเมียในนามเถียงได้ครับ”
“หนอยยย กล้ามาก....อุ๊บบบบ...”
เป๊บรั้งคอผมโดยใช้ปากประกบอย่างนิ่มนวล
“เงียบได้ยังครับ”
“...................” ผมเงียบกริบ เหลือไว้แต่หน้าแดงแปร๊ด
“ว้า ทำไมไม่เถียงละครับ ถ้าที่รักเถียงสักคำจะปล้ำยันสว่างไม่ต้องหลับต้องนอน”
“..................” ผมเอามือปิดปากพร้อมส่ายหน้า
กลัวสิครับ คนอะไรแรงเยอะ แล้วถ้าเป๊บลงมือทำนะ ยันสว่างจริงๆ ผมตายพอดี
“ฮ่าๆๆๆ ทำมากลัวนะครับ เห็นทุกทีครางชื่อเป๊บตลอด”
ผั๊วะๆๆ ตีสองสามที หมั่นไส้ พูดได้ไม่อายปาก ชิส์
“เจ็บนะครับ”
“ก็ชอบพูดทะลึ่ง ต้องตี”
“โอเคๆ ไม่ทะลึ่งก็ได้ครับ”
เราสองคนนอนกอดกันไปเงียบๆ มีความสุขอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
“ที่รัก...อยากมีลูกไหม”
เป๊บเอ่ยถามขึ้นมา จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งพร้อมมองหน้าทันที
ตกใจสิ ไม่มีมดลูก จะท้องได้ยังไงละ
“เป๊บ..ถามอะไรแบบนั้น โจ้ท้องได้ที่ไหน”
“หือ เป๊บก็ไม่ได้หมายความว่าที่รักจะตั้งท้องนี่ครับ”
“อ้าวแล้วเราจะมีลูกได้ยังไง”
“กระบวนทางการแพทย์ ไม่ก็อุ้มบุญ ดีไหมครับ”
“หา...อุ้มบุญหรือ”
“ใช่ ที่รักอยากมีลูกไหม”
“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเลยนะเป๊บ ไว้ค่อยคิดเถอะ”
“ได้ครับ...เป๊บแค่ชวนคิด ที่รักตัดสินใจได้นะครับ”
“แล้วทำไมต้องชวนคิดอะไรแบบนี้”
“ก็....” เป๊บทำท่าเหมือนลังเลที่จะตอบ
“ก็อะไรอะเป๊บ บอกมาโจ้ไม่โกรธหรอก”
“เป๊บคิดว่า คนเราแต่งกันงานก็ต้องมีลูกไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจ สำหรับเราการมีลูกตามปกติคงเป็นไปไม่ได้ เป๊บเลยคิดว่า ถ้าเราไม่มีโซ่ทองไว้คล้องใจ อนาคตเราอาจจะเลิกกันได้ไงครับ”
โบราณว่า ผู้ชายที่จะออกเรือน มักจะคิดมากในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง สงสัยจะจริง
“เป๊บ...ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน ไม่เคยเห็นหรือ บางครอบครัวมีลูกเป็นโขยงยังเลิกกันได้ ทิ้งลูก ไม่ดูแลลูก ครอบครัวพังก็เกิดขึ้นตั้งเยอะ คนเรารักกันไม่จำเป็นจะต้องมีลูก อยู่ด้วยกันเพราะความรักและความเข้าใจ นั่นดีที่สุดแล้ว”
“ครับ...แต่....”
“อีกอย่างนะเป๊บ โจ้รักเป๊บเพราะเป๊บคือเป๊บ จะเอาผู้ชายหล่อกว่านี้ รวยกว่า ให้หล่อกว่าพี่เคน ธีรเดช มากองตรงหน้า โจ้ก็ไม่สนใจ เพราะอะไรรู้ไหม”
เป๊บส่ายหน้าเบาๆ
“เพราะเขาไม่ใช่คนที่โจ้รัก จะดีประเสริฐเลิศล้ำมากขนาดไหน มากสุดก็ได้แค่มิตร ไม่ใช่คู่ชีวิตร่วมกัน”
เป๊บยิ้มมุมปาก เดาอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ภาพในความทรงจำที่คิดในใจ “ผัวกูน่ารักมาก”
“โบราณว่า เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม โจ้ว่ายังใช้ได้นะ เราไปอุ้มบุญมา ก็ต้องใช้เชื้อของเป๊บ แต่ไม่มีเชื้อของโจ้ เด็กที่คลอดมาจะเลือดของเป๊บครึ่งนึง ของคนที่อุ้มบุญครึ่งนึง เป๊บคิดว่า โจ้จะรักเด็กคนนั้นได้หรือ แต่สำหรับเป๊บคงรัก เพราะมีเลือดเป๊บครึ่งนึง”
เป๊บฟังเหตุผลจนคิ้วขมวด แล้วก็ยิ้มออกมา
“ก็จริงนะครับ”
“นั่นแหละตามเหตุผลนี้ เอาเป็นว่าโจ้ไม่คิดเรื่องมีลูกอะไรนั่นหรอก รอเลี้ยงหลานๆ ลูกพี่ปริมพี่ปันก็ได้”
“ครับ”
“โอเคนั้นนอนดีกว่า”
“ยังครับ..ทำลูกก่อน”
“หาอะไรนะ....เฮ้ยยย เดี๋ยวววว”
ห้ามไปก็เท่านั้นครับ ฮืออออ มีผัวหื่นต้องทำใจ
กว่าจะลืมตาตื่นได้ ร้าวระบมไปทั้งร่าง ตั้งสติมองไปมา ก็เห็นพ่อหนุ่มรูปหล่อกำลังแต่งตัวแล้ว
“ตื่นสายนะครับ” ยังจะกล้าแซวอีกนะ
“เพราะใครละ”
เป๊บเดินผิวปากไปห้องแต่งตัว หนอยยยย เจ้าเล่ห์
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เดินออกจากห้องแต่งตัวมาห้องนอน ก็เห็นคุณชายคิงคอง นั่งโซฟาดูทีวี
“เสร็จแล้วหรือครับ”
“เรียบร้อย”
“ชุดนี้น่ารักไปนะครับ เป๊บว่าไปเปลี่ยนกางเกงขายาวดีกว่านะ”
“หือ...ไม่เอา ร้อนนนนน ใส่ขาสั้นก็ได้นี่”
“เปลี่ยนดีกว่าครับ ไม่อยากให้ใครเห็นขาเนียนๆ หวงครับ”
“ม่ายยยย ร้อนนนน ใครจะมามอง เห็นก็เอาไปไม่ได้”
“ดื้อจังนะครับ”
“เปล่าดื้อ แต่อยากใส่สบายๆ นี่น่า”
“โอเคครับ งั้นถ้าออกไปข้างนอกแล้วมีใครมองขา กลับบ้านทันที โอเคไหมครับ”
“ด้ายยยย เชอะ”
การเดินทางในครั้งนี้เวชขับรถพาเราสองคนไปลองชุดแต่งงาน ซึ่งทางออแกไนส์ เป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด
“เชิญคุณลูกค้าลองชุดที่ห้อง Fitting นะคะ ถ้าส่วนใดคับไปหรือหลวมไป แจ้งพนักงานนะคะ ทางเราจะได้รีบแก้ไขให้”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ”