รักวุ่นวายของนายตัวขาวสุดซ่า ตอนอวสาน (THE END) Up 11/5/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักวุ่นวายของนายตัวขาวสุดซ่า ตอนอวสาน (THE END) Up 11/5/62  (อ่าน 514661 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tinton

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ยินดีและดีใจ  อ่านแล้วรับรู้ถึงความสุขของพี่ทั้งสองคน รวมถึงเพื่อนที่มีต่อกัน ขอให้ครองคู่กันและมีความสุขตลอดไปนะครับ คุณโจ้ คุณเบ๊บ

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
 :m22:   
เข้ามารอตอนต่อไปครับ
 :m7:

ออฟไลน์ Jame10761

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงพี่ๆจังเลยคับ   :katai2-1: เข้ามาทักทายเล้าเป็ดเเห่งด้วยนะคับ  เชื่อว่ามีแฟนคลับพี่ๆ รอพี่อยู่นะคับ

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :L2: :L2: :L2:
ดีใจด้วยนะคะ
รักกัน
รักกัน
รักกัน
 :mew1:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
หลายเดือนแล้วนะจ๊ะน้องโจ้
คิดถึงครับ
 :mew1:

ออฟไลน์ nahmtoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งมาอ่าน อ่านที่เดียวสองวันติดรวดเดียวเลย ชีวิตพี้ทั้งสองคนผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งสองน่ารักมากๆคะ ตอนพี่โจ้บวช น้ำตาไหล2-3ตอนติดเลย รอติดตามนะคะ ขอเป็นfc น้องใหม่นะคะ

ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
หายไปนานเลยรอบนี้  :mew6:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
คิดถึงครับ หายไปนานนนนน มาก

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
สวัสดีทุกคนค้าบบบบบ ขอโทษอย่างมากกก รอบนี้หายไปนับครึ่งปีเลยอ่า แงงงงง  :mew6: :mew6:

แต่ก็กลับมาน้า คิคิ ตอนแรกกะจะจบในตอนนี้ เขียนไปเขียนมาเยอะอ่า ขอแบ่งไว้จบตอนหน้าละกันนะค้าบบบ

อ่านให้สนุกน้า คิดถึงงงงทุกคนเรยยยย  :mew1: :mew1:


ตอน 63 สู่ขอและเตรียมการ
   หลังจากการขอแต่งงานได้ผ่านพ้นไปสามวัน การใช้ชีวิตประจำวันแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรไปมากกว่า การเตรียมชุดเจ้าบ่าว เจ้าบ่าว ฟังดูแปลกดีนะครับ และการคัดเลือกของชำร่วย ตลอดจนรายละเอียดเล็กน้อยปลีกย่อยลงไป แต่ยังคงเป็นความโชคดีที่ทางครอบครัวของเป๊บได้ว่าจ้างออแกไนซ์เซอร์ มืออาชีพ เข้ามาดูแลจัดงานในครั้งนี้ แขกเหรื่อมีไม่มากครับ รวมญาติพี่น้องพรรคพวกเพื่อนฝูง ทั้งหมดก็ประมาณ 40 คน ฝ่ายเป๊บเองก็ทำการเชิญเพื่อนสนิทสมัยเรียน ป ตรี กับ มัธยมปลาย มาด้วย ส่วนตัวผมเองก็เชิญเพื่อนสนิทมาเช่นกัน แต่โดยภาพรวมแล้วจำนวนคนที่เชิญก็ไม่มากเท่าไหร่นัก เป็นงานภายในขนาดเล็กมากกว่าครับ
“ที่รัก...พรุ่งนี้วันเสาร์ เป๊บจะพาผู้ใหญ่ไปสู่ขอนะครับ”
   ผมฟังเสียงเป๊บจากโทรศัพท์ คำว่าสู่ขอ ดูแล้วเกิดความรู้สึกเขินๆ และจั๊กกะจี๊อย่างไรก็ไม่รู้ครับ ไม่ชินเอาเสียเลย
“แล้ว..โจ้ต้องเตรียมอะไรบ้างอะเป๊บ ต้องทำตัวยังไงอะ”
“ก็ทำตัวปกติครับ เพราะเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่ที่จะเจรจากันเอง แต่ยังไงรบกวนโจ้บอกคุณพ่อคุณแม่ไว้ด้วยนะครับ”
“ได้ๆ เดี๋ยวจะรีบบอกเลย”
“ครับ ยังไงพรุ่งนี้เจอกันนะครับ...รักนะครับ”
“รักเหมือนกันเป๊บ”
   วางสายเป๊บ ผมก็รีบเดินลงมาด้านล่าง เพื่อจะบอกพ่อกับแม่
“พ่อครับ..เป๊บบอกว่า...”
“รู้แล้วลูก คุณพ่อของเป๊บโทรมาบอกแล้ว”
“อ้าววววว...”
“อ้าวอะไร เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราเถอะเตรียมตัวเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว”
“ก็น่าจะครบแล้วนะครับ ไม่มีอะไรแล้วมั้ง”
“ยังไงก็เช็คดูให้ดีละกัน เหลือดีกว่าขาด งานสำคัญอย่าพลาดนะ”
“ครับพ่อ ว่าแต่แล้วแม่ไปไหนละครับ”
“ออกไปตลาดกับจิม พรุ่งนี้บ้านลูกเขยมา แม่เลยทำกับข้าวเลี้ยง”
“โอ้ยพ่อ อย่าพูดคำว่าลูกเขย โจ้เขินนนน”
“จะเขินอะไรกัน เป๊บเป็นลูกเขยพ่อมานานแล้วเถอะ”
   พ่อแกล้งอ่า ทำสายตาแบบ เหมือนเราโดนเขมือบแล้ว (ทั้งๆ ที่โดนเขมือบมานานแล้ว) โอ้ยยยย อายมาก ทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนีขึ้นบนห้องไปหลบภัยดีกว่า
   เช้าวันเสาร์มาถึงอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งคืนผมนอนหลับไปสะดุ้งตื่นไป คือ มีอาการกังวล และผวาอยู่ตลอดเวลา จะทำยังไงได้ละครับ ใครจะไปนึกว่าชาตินี้จะมีงานแต่งงานเป็นของตัวเอง และใครจะไปนึกว่า ในชีวิตนี้จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาเจรจาสู่ขอ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้อารมณ์แปรปรวนพอสมควรครับ
“นี่อีหอย คนอื่นเขากังวลเรื่องไม่มีผัว ส่วนเมิงอะมากังวลเรื่องไร้สาระอะไรแบบนี้ กรูว่าเอาเวลาไปเตรียมงานเหอะ”
   ฉัตรก็ด่าผมผ่านโทรศัพท์ ก็คนมันเครียดและกังวล อยากโทรหาเพื่อนเพื่อปรึกษา กลับโดนดุอีก เฮ้อ
   กำหนดการณ์นัดเจรจาสู่ขอประมาณ 10 โมงเช้า แต่ตัวผมเองอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ลงมานั่งคอยที่ห้องรับแขกตั้งแต่แปดโมงเช้า พร้อมกับได้กลิ่นอาหารโชยมาจากห้องครัว ผมเดินไปดูเผื่อถามแม่ได้ว่า พอมีอะไรให้ช่วยบ้าง ก็เห็นจิมกับแม่และป้าศรี ช่วยกันทำกับข้าว พร้อมกับไล่ผมออกจากครัว ให้ไปเตรียมพร้อมรับครอบครัวของเป๊บ
   เวลาประมาณเก้าโมงสี่สิบ เป๊บโทรมาบอกว่า ตอนนี้รถเลี้ยวเข้าปากซอยมาแล้ว อีกประมาณ 5 นาทีจะถึงบ้าน ผมรีบวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ และก็รีบหยิบรีโมทกดเปิดประตูรอไว้
   ไม่นานนักรถคันใหญ่สีดำสองคัน ตีวงเลี้ยวเข้ามาภายในบ้าน รถคันงามจอดสนิท พ่อกับแม่เดินไปต้อนรับจนถึงรถกันเลยทีเดียว
“พี่สวัสดีครับ/ค่ะ” แด๊ดและมัมยกมือไหว้พ่อกับแม่
   ตามด้วยพี่ปริมพี่ปัน ต่างฝ่ายต่างรับไหว้พร้อมกันไปหมด และทุกคนก็เดินมานั่งที่ห้องรับแขก บรรดาผู้ใหญ่ต่างคุยกันหัวเราะเฮฮาเสียงดัง ในขณะที่ตัวผม
“ที่รัก เป็นอะไร” เป๊บโน้มตัวกระซิบข้างหู
“ตื่นเต้นอะเป๊บ”
“ทำใจให้สบาย ไม่มีอะไรหรอกครับ” เป๊บบีบมือผมเบาๆ
“นี่ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ทำไงอะ”
“เป๊บก็พาหนีไง”
“เดี๋ยวตีอะ จะพาหนีได้ยังไง คนเค้ามีพ่อมีแม่”
“อ้าว ก็มาสู่ขอแล้วไม่ยกให้ ก็พาหนีไปด้วยกันไง ไม่ไปหรือ”
“ไป..คิกๆๆ” แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันเบาๆ

“โอเคครับ ผมว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว สำหรับวันนี้ ทางครอบครัวของเราได้เล็งเห็นแล้วว่า ลูกชายของผม คือ เป๊บ คบหาดูใจบ่มเพาะความรักกับลูก โจ้ มาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งกาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักที่มั่นคงซึ่งกันและกัน เพื่อให้ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี ทางครอบครัวของเราพิจารณาแล้วว่า สมควรที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน และในวันนี้เป็นมงคลฤกษ์ จึงได้เดินทางมาสู่ขอ ลูกโจ้ ให้กับ ลูกเป๊บ จะคิดเห็นประการใดครับ”
   แด๊ดกล่าวยาวมากด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น และเป็นทางการมากจนผมขนลุก
“สำหรับในส่วนของครอบครัวของเรา ได้เห็นถึงความรักระหว่างลูกโจ้และลูกเป๊บ ที่ดำเนินกันมาอย่างยาวนาน และเชื่อมั่นว่า ลูกเป๊บจะดูแลลูกโจ้เป็นอย่างดี ด้วยความรักที่มีให้กันนั้น ทำให้ครอบครัวของเราพิจารณาแล้วว่า สมควรดำเนินการให้ถูกต้องตามประเพณี จึงเห็นด้วยกับทางผู้สู่ขอทุกประการครับ”
   นานๆ ครั้งพ่อจะเข้าโหมดจริงจัง เอ๊ะ แต่ฟังไปฟังมา หมายความว่า พ่อยกเราให้เป๊บแล้วหรือนี่ งง
“ทางครอบครัวของเราสองฝ่าย ต่างก็เห็นด้วยกันทุกประการ ผมในฐานะบิดาของฝ่ายผู้สู่ขอ จึงอยากให้ทางครอบครัวของลูกโจ้ ดำเนินการชี้แจงเรื่องสินสอดได้เลยครับ”
“โจ้ พาเป๊บขึ้นไปบนห้องก่อนลูก”
   แม่หันมาบอกผม คงไม่อยากให้ได้ยินเรื่องสำคัญ คือ สินสอดที่จะสู่ขอสำหรับงานแต่งครั้งนี้
“เป๊บ...โจ้เครียด” ผมบ่นกับเป๊บในขณะที่ล้มตัวลงนอน
“เครียดอะไรครับ”
“เดี๋ยวๆ จะนอนทับโจ้ทำไม”
“คิดถึงไงครับ...หืมมม” เป๊บก็ระดมจูบสองสามครั้ง
“นี่ๆ พอเลย เดี๋ยวเลยเถิด วันนี้คนเต็มบ้าน”
“งั้นคืนนี้เป๊บนอนที่นี่ละกันนะครับ จะได้ทำอะไรที่เลยเถิดให้สมบูรณ์แบบ”
“โอ้ยย จะแต่งงานแล้วหื่นมากกว่าเดิมอีกนะ”
“ไม่นะครับ เป๊บหื่นแบบปกติต่างหาก...ถ้าไม่อยากให้หื่น ที่รักจะต้องทานยาลดความน่ารักลงบ้างนะครับ”
“โว้ววว มุขโบราณนะเป๊บ สำหรับโจ้ทานยาก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะน่ารักมาก”
“หลงตัวเองนะครับ”
   แล้วคิงคองก็เอาปลายจมูกมาเขี่ยปลายจมูกผมสองสามครั้ง ทะลึ่งจริงๆ
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก...จิมเปิดประตู
“พี่เป๊บกับเฮีย ลงมาทานข้าวได้แล้ว”
“อ้าว คุยกันเสร็จแล้วหรือจิม”
“เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังรอทานข้าวแล้ว”
   ผมกับเป๊บเดินลงมาจากชั้นสองของตัวบ้าน ก็ได้ยินเสียงเฮฮาหัวเราะของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่
“เอ่อ..ตกลงแด๊ดกับมัม คุยเรื่อง...” เป๊บเอ่ยถามขึ้นมาระหว่างทานข้าว
“เอ้ย ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น หน้าที่แกไปเตรียมตัวให้พร้อม แต่งลูกสะใภ้แด๊ดให้สวยละกัน”
“ฮ่าๆๆ” ผู้ใหญ่ฮากันครืน ส่วนผมหน้าแดงนิดๆ เขินมาก
“แล้วนี่ลูกโจ้อยากได้อะไรเป็นสินสอดแบบพิเศษไหม” มัมหันมาถามผม
“ไม่อยากได้อะไรครับมัม แค่นี้โจ้ก็ได้เยอะเกินพอแล้วครับ”
“ถ้าแบบนั้น เอาเป็นว่า มัมจะดูความเหมาะสมแล้วกันนะ”

   บทสนทนาหลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องรูปแบบงานแต่งเสียมากกว่า แด๊ดได้อธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดงานว่า เชิญใครมาบ้าง จัดที่ไหน ยังไงอย่างไร
   วันเวลาได้ผ่านไป โดยสรุปสถานที่จัดงานแต่งจะเป็นที่บ้านใหญ่ บริเวณจัดงานจะอยู่ตรงสระน้ำ เรือนหลังเล็ก ที่รองรับการนอนพักของแขกที่มาร่วมงานได้หลายคน แขกส่วนใหญ่ที่เชิญมาจะเป็นเพื่อนสนิทของมัมและแด๊ด และเพื่อนสนิทของคุณพ่อคุณแม่ของผมเพียงไม่กี่คน สำหรับเพื่อนๆ ก็ดังที่กล่าวไปแล้ว ในงานแต่งครั้งนี้ ผมกับเป๊บตัดสินใจไม่เชิญการ์ด เนื่องด้วย ณ ยุคนั้น การยอมรับทางสังคมในเรื่องของเพศที่สาม ยังไม่เปิดกว้างมากนัก หากทำการ์ดจะต้องได้ลงเว็บบอร์ดชื่อดัง หรือไม่ก็อาจจะมีผลกระทบตามมา
   ผมกับเป๊บได้กำหนดแผนแก้ไขไว้ก็ คือ เราสองคนจะทำการ์ดกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การเลือกสีกระดาษ เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาหน้างาน ก็จะส่งการ์ดให้เป็นรายบุคคลไป
   ในส่วนของการถ่ายรูป ทางแด๊ด ไม่อนุญาตให้นำกล้องส่วนตัวมาถ่าย สามารถใช้บริการถ่ายรูปจากช่างภาพที่จ้างไว้นับสิบคนได้ตลอดเวลา และจะส่งรูปให้เป็นที่ระลึกในภายหลัง
“ที่รัก กฎเกณฑ์ที่แด๊ดวางไว้ โอเคไหมครับ”
   เป๊บเอ่ยถามขึ้นมาในระหว่างที่เราสองคนกำลังขับรถเดินทางไปลองชุดแต่งงาน
“สบายมากเป๊บ ดีแล้วที่ทำแบบนี้”
“เป๊บกลัวที่รักไม่พอใจ เพราะแด๊ดคิดระยะยาวไว้ล่วงหน้าแล้ว”
“เป๊บ โจ้เข้าใจ สังคมแบบเรายังไม่เป็นที่ยอมรับ แล้วแด๊ดกับมัมเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ในอนาคตหากมีอะไรหลุดออกไป แล้วสร้างความเสียหาย ผลที่ตามมามันจะเกิดขึ้นอย่างมาก โจ้เข้าใจนะเป๊บ อย่าคิดมาก แค่เราสองคนรักกันก็พอแล้ว”
“แค่ที่รักเข้าใจ เป๊บก็ดีใจมากแล้วครับ”

   วันเวลาผ่านไปจนล่วงเข้าสู่การซ้อมรับปริญญา การจัดเตรียมงานแต่งก็เว้นไว้ชั่วคราว ผมกับเป๊บและเพื่อนๆ ต่างให้ความสำคัญกับการรับปริญญาอย่างเต็มที่ จำได้ว่า ถ่ายรูปไว้เยอะมากๆ ทั้งกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน และกับเพื่อนต่างกลุ่ม รวมถึงมีการถ่ายรูปรวมกับคณาจารย์ทั้งหมดของคณะ ทุกรูป ทุกภาพ ล้วนเป็นความทรงจำที่ดีมาก เพราะเมื่อเสร็จสิ้นงานรับปริญญาแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง

“อีหอย งานแต่งเมิงถึงไหนแล้ว”
   ฉัตรเอ่ยถามระหว่างที่การรับปริญญาเสร็จสิ้น และพวกเราเดินออกมายืนรอเพื่อนๆ ตรงบริเวณด้านนอกหน้าหอประชุม
“ครบหมดแล้ว นับจากวันนี้เหลืออีก 18 วัน ก็ถึงวันงานแต่งแล้ว”
“เออดีๆ มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะ อย่าลืมส่งกำหนดการมาให้กรูด้วย”
“ได้ๆ เดี๋ยวส่งไปให้”
   ไม่นานนัก เบิด ทราย โอ๊ต ก็เดินมาสมทบ
“แล้วนี่พวกเมิงจะเอายังไงต่อ” ฉัตรหันไปถาม เพื่อนทั้งสามคน
“ก็รอที่สมัครงานเรียก หางานทำ คงซื้อบ้านอะไรทำนองนั้น” โอ๊ตตอบทราย
“เมิงละ” ฉัตรหันไปถามเบิด
“ก็คงเที่ยวเล่นไปตามปกติว่ะ หลังงานแต่งโจ้ กูก็บินกลับใต้ไปช่วยงานที่บ้าน”
“ใจหายว่ะ” ฉัตรบ่น
“เอาน่าเมิง ยังไงก็ได้เจอกันตอนว่างๆ”
“เออถ้าแบบนั้นเหลืออีก 18 วัน ยังไงก็นัดกินข้าว เฮฮากันไปละกัน โอเคปะ” ฉัตรชวนทุกคนก็รับคำและเห็นด้วย
   อีกวันถัดมา เป็นวันที่ผมกับเป๊บได้วางแผนไว้ล่วงหน้าที่จะเดินทางไปหาพระอาจารย์และอาม่า ซึ่งเพื่อนๆ ก็รับรู้จึงได้ขอติดตามไปด้วย การเดินทางไปหาพระอาจารย์และอาม่า ฉัตรเป็นคนมารับและพาไปด้วยตัวเอง โดยมีโอ๊ตเป็นสารถีในการขับรถนำพาไป
“ทำไมไม่ให้พี่สิงห์มาขับวะ” โอ๊ตบ่น
“ให้สิงห์ได้พักบ้าง อีกอย่างจะได้นั่งสบายๆ ไง เมิงก็อย่าบ่น ขับไปปปปปป” ฉัตรพูดกับโอ๊ตแบบฮาๆ
“กูตลอดดดดด”
“อีทราย เมิงนั่งข้างๆ เอานมยัดปากมันซิ บ่นฉิบ” ฉัตรแขวะต่อ”
“คุณแม่ ยัดแล้วเมื่อคืนค่า”
“ฮ่าๆๆๆ”
   รถของฉัตรจอดหน้ากุฎิพระอาจารย์ วันนี้เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ พระอาจารย์ท่านมานั่งตรงเก้าอี้หินอ่อนหน้ากุฎิพอดี ท่านมองมายังพวกเราแล้วก็ยิ้มให้
“กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ/ค่ะ”
“เจริญพรโยมทุกคน...กำลังรอพอดีเลย”
“พระอาจารย์ก็ทราบอีกแล้วสินะครับว่าพวกเราจะมา” เป๊บแซวพร้อมยิ้ม
“ทำนองนั้น..ไปๆ เข้าไปนั่งในกุฎิก่อน”
   หลังจากเข้ามาภายในกุฎิ พวกเราก็ก้มกราบพระตรงโต๊ะหมู่บูชา แล้วก็เริ่มสนทนากับพระอาจารย์
“เป็นยังไง...จะแต่งงานวันไหนละนี่”
   พระอาจารย์ก็ยังคงเป็นผู้หยั่งรู้เสมอ เป็นความประหลาดใจจนไม่ประหลาดใจแล้วละครับ
“วันพุธกลางเดือนนี้ครับพระอาจารย์...วันนี้ก็เลยคิดว่าจะมานิมนต์พระอาจารย์ไปทำพิธีสงฆ์ครับ”
“จริงๆ อาตมาไม่รับนิมนต์งานแต่งงานนะ เพราะผิดพระธรรมวินัย แต่ในฐานะโยมทั้งสองเป็นลูกศิษย์และมีวาระกรรมสัมพันธ์กัน ธรรมวินัยบางประการพระพุทธองค์ท่านตรัสให้ปรับตามกาลสมัยได้...อาตมารับนิมนต์นะ”
“ขอบพระคุณครับพระอาจารย์...วันที่ทำพิธีสงฆ์ผมจะส่งรถมารับนะครับ เอ่อ..อาจจะรบกวนพระอาจารย์นิมนต์พระรูปอื่นให้ด้วยนะครับ”
“ได้สิโยม อาตมาจะเป็นธุระให้”
“ขอบพระคุณครับ”
“แล้วนี่โยมโจ้เป็นไงบ้าง จิตยังโลดโผนอีกไหม”
“หมดสิ้นแล้วครับพระอาจารย์ ฮ่าๆๆ”
“ดีแล้ว..จะได้เป็นปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป ทำตามหน้าที่กันไปนะ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาก็สำเร็จเอง”
“ครับพระอาจารย์”
“แล้วโยมละ ชีวิตเป็นยังไงบ้าง” พระอาจารย์หันไปถามฉัตร
“อะ..เอ่อ...ก็ หนูคิดว่า ราวๆ ปลายปี คงจะไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วค่ะ”
“ดีแล้วโยม ไปรอบนี้คงไม่ได้กลับไทยอีกนานเลย”
“หา..จริงหรือค่ะ ทำไมละค่ะพระอาจารย์”
“โยมจะเจอเนื้อคู่ที่นั่น เป็นคู่แท้ ไปเรียนคนเดียว กลับมาไทยอาจจะเป็นสามสี่คน”
   ฉัตรไม่เข้าใจประโยคที่พระอาจารย์สื่อ พร้อมกับทำหน้างงๆ
“ไม่เข้าใจหรือ” ผมหันไปถามฉัตร ฉัตรส่ายหน้า
“พระอาจารย์หมายความว่า แต่งงานกลับมาพร้อมครอบครัว และลูกไง”
“ว้ายยย..จริงหรือคะพระอาจารย์ โอ้ยยย แค่หนูมีสามีก็ดีใจมากแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ”
“ตามนั้นนะโยม ส่วนโยมก็อีกประมาณสองปี จะเจอเนื้อคู่แล้วนะ ตั้งใจทำงานสร้างครอบครัวรอได้นะโยม” พระอาจารย์หันไปบอกเบิด
“สาธุครับพระอาจารย์ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องมีครอบครัวเลยครับ คิดเพียงว่าจะกลับไปสานต่อธุรกิจของครอบครัวอย่างไรให้เติบโตมากกว่านี้”
“เมื่อกลับไป โยมจะคิดออกเอง คนเราเมื่อถึงเวลาประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำอะไรยังไงก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความสำเร็จนั้นได้ ขอแค่โยมต้องตั้งใจเท่านั้นเอง”
“สาธุนะครับพระอาจารย์ ขอให้เป็นจริงจะดีมากเลยครับ”
“พระอาจารย์ แล้วผมกับเป๊บ ต่อไปจะเป็นอย่างไรครับ”
“หืม ก็รู้แจ้งมาแล้วนี่ ยังจะถามทำไมอีกหรือ”
“พระอาจารย์ก็...การได้ฟังจากครูบาอาจารย์ที่นับถือ จะเป็นการยืนยันเพื่อความสบายใจอีกทางหนึ่งไงครับ”
“ฉลาดพูดนะเรา” พระอาจารย์แซว
“ก็นิดนึงครับ ฮ่าๆๆ”
“โยมทั้งสองก็รักกันดี มีทะเลาะเบาะแว้งเหมือนคนอื่นๆ ปกติทั่วไป”
“มีเกณฑ์เลิกกันไหมครับ” เป๊บถามขึ้นมา จนผมหันไปมองควับเลย
“มี”
   พระอาจารย์ตอบซะผมใจหายวูบ
“วันที่โยมทั้งสองหมดอายุขัย นั่นก็ถือว่าเลิกกันในภพนี้”
“โหยยย พระอาจารย์อ่า ตอบซะผมใจหายวูบ”
“หืม ตอนบวช เห็นร่ำๆ บ่นว่าปลงแล้วไม่เอาแล้ว พอตอนนี้ร้องเสียงหลงเชียว”
   พระอาจารย์แซวจนเพื่อนๆ ฮาครืนใหญ่ อายมากกกก
   ได้เวลาเหมาะสมพวกเราก็ขอตัวลากลับ เพื่อให้พระอาจารย์ได้พักผ่อนจำวัตร สถานที่ลำดับสองที่จะเดินทางไป คือ บ้านอาม่า
   วันนี้บ้านอาม่ามีผู้คนมาซื้อของมากครับ พี่ที่เป็นลูกสาวอาม่าต่างวุ่นอยู่กับการดูแลลูกค้า จึงบอกให้พวกเราเดินเข้าไปหลังร้านพบอาม่าโดยตรงได้เลย เดี๋ยวถ้าลูกค้าลดลงจะตามเข้าไป
   ผมกับเป๊บเดินนำเพื่อนๆ ไปถึงหลังร้านตรงห้องนอนของอาม่า เห็นประตูห้องแง้มอยู่เล็กน้อย เป๊บมองลอดผ่านไป
“อาม่านั่งสมาธิอยู่หว่ะ” เป๊บบอกพวกเราด้วยเสียงเบาๆ
“งั้นอย่าไปรบกวนตอนนี้เลย ออกไปรอข้างนอกก่อนมะ” ฉัตรเสนอความคิดเห็น
   ยังไม่ทันจะตัดสินใจ อยู่ดีๆอาม่าก็ลืมตา แล้วหันมามองพวกเราพร้อมยิ้ม
“อาตี๋เล็ก อาตี๋หย่าย เข้ามาๆ น่า”
“สวัสดีครับ/ค่ะ อาม่า”
“สาหวักลีทุกๆ คงน่า มาๆน่างๆ ก่องน่า”
“อาม่าสบายดีนะครับ” เป๊บเอ่ยถามขึ้น
“สบายลีๆ ตามปะสาคงแก่น่า...แล้วนี่มามาหาอาม่า จามาบอกงางแต่งใช่ป่าว”
“อาม่ารู้อีกแล้วนะครับ” ผมแซว
“ฮ่าๆ ตามปะสาคงแก่เลอะเท้ออ่า ดีๆ แต่งงางๆ จะได้มีชีวิกที่สมบูงน่า”
“เรียนเชิญอาม่าด้วยนะครับ ผมจะส่งคนมารับ”
“ปายๆ งางสำคังของลูกหลางน่า อาม่าไม่พากๆ”
“ดีใจครับที่อาม่าไปร่วมงาน” ผมโน้มตัวไปกอดอาม่า
“จาม่ายปายได้ยังงาย งางลูกหลางน่า”

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
“เอ่อ อาม่าครับ ผมมีเรื่องสงสัย” เป๊บถามอาม่า
“อาลายอาตี๋หย่าย”
“เอ่อ ตอนผมบวช ผมเห็นนิมิต เอ่อ..แต่ว่าผมไม่รู้..เอ่อ..ว่าอาม่าคือใคร”
   เป๊บพยายามที่จะตั้งคำถามเพื่อให้อาม่าเข้าใจ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมเข้าใจเป๊บนะครับ คงเป็นคำถามที่เราสองคนเห็นนิมิตเมื่อชาติปางก่อน แล้วเป๊บเองก็คงอยากรู้ว่าอาม่าเป็นใคร ยังไง อย่างไร ถึงได้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภพชาตินี้ คำถามของเป๊บผมก็อยากรู้เช่นกัน
“ลื้อจำม่ายด้ายจิงๆ หราอาตี๋หย่าย”
   เป๊บส่ายหน้าเบาๆ
“แล้วลื้อละอาตี๋เล็ก จำม่ายล่ายหรือ”
   ผมก็ส่ายหน้าเบาๆ
   อาม่ายิ้มกว้างให้พวกเรา พร้อมกับเล่าว่า
“อาตี๋เล็ก ลื้อจำคงที่พูกว่า เจ้าราชาสะหวักคก ได้หรือป่าว”
   ผมพลันคิดตามอาม่า ทบทวนความทรงจำของนิมิตในครั้งนั้น พลันเบิกตากว้าง
“นางสนองโอษฐ์คนนั้นนะหรือครับ” ผมอุทานด้วยความตกใจ เป๊บเองก็ทำหน้าอึ้ง เว้นแต่เพื่อนๆ ทุกคนที่แสดงสีหน้าอาการประหลาดใจ
“ช่ายเลี่ยว นั่นอาม่าเอง”
“แล้วทำไม..” ผมถามอาม่าด้วยอาการอึกอัก
“คงเลานะอาตี๋ มังเกิกหมุงเวียงกังปายทุกภพชากน่าแหละ มังก็เปงเลื่องสมมติทั้งน้าง อย่าล่ายสงสายอาลายเลย”
“ครับอาม่า แต่ยังไงผมก็เชื่อว่า การที่เราทุกคนมาพบเจอกัน คงมีบุญสัมพันธ์กันมาหลายภพชาติ ผมกับเป๊บขอบคุณอาม่ามากนะครับ ที่เกื้อหนุนช่วยเหลือเรามาตลอด”
“เข้าจายถูกแล้วน่า ฮ่าๆๆ”
   ไม่นานนักพี่ที่เป็นลูกสาวอาม่า ก็ได้เข้ามาพูดคุยสนุกสนานเฮฮา พร้อมอวยพรผมกับเป๊บล่วงหน้า และรับปากว่าจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน
“คืนนี้ก็ยังไม่นอนที่นี่อีกแล้วนะ” พี่สาวแซว
“ครั้งหน้านะครับ ถ้าลงตัวอะไรหลายๆ อย่างจะมาค้างนะครับ”
“ครั้งหน้าตลอดแหละ”
“ไม่พลาดแน่นนอนครับพี่”
“โอเคๆ ได้ๆ เจอกันวันงานแต่งนะ”
“ได้ครับ ผมจะส่งรถมารับนะครับ”
“ขอบคุณมากจ้า..ยินดีล่วงหน้าเลยนะ น้องสองคนเหมาะสมกันมากๆ”
“ขอบคุณมากครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“จ้า เดินทางปลอดภัยนะ”
   ระหว่างเดินทางกลับ
“ทุกอย่างลงเนอะอีหอย แล้วนี่ยังขาดเหลืออะไรบ้าง”
“เท่าที่คิดแล้วคิดอีก น่าจะไม่มีอะไรแล้วนะฉัตร” ผมพูดพลางทำท่าครุ่นคิด
“แล้วจัดการพวกของชำร่วยหรือยัง” ทรายถาม
“พรุ่งนี้นัดร้านไว้แล้ว”
“เออดีๆ ไปจัดการให้ลงตัว เผื่อมีอะไรแก้ไขจะได้ทัน”
“จะว่าไปก็ตื่นเต้นนะไอ้เป๊บ มึงจะมีเมียละ” โอ๊ตแซววเป๊บ
“กูว่าเมียเนี่ยมีนานแล้ว เป๊บมันฟาดซะเรียบ” เบิดแซว
“กรูขอภาพประกอบ” ฉัตรหันมาบอกเบิด
“เอาไปดูทำเหี้ยไรละ อีห่า” ผมด่าฉัตร
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
   แล้วก็ฮากันทั้งรถ บางเวลาผมก็เหนื่อยใจกับเพื่อนแก้งค์หื่นกามนี้เหมือนกันนะ
   หลังจากแยกย้ายกันเรียบร้อย ผมกับเป๊บก็ขับรถกลับบ้านโดยเป้าหมายในคืนนี้ คือ การค้างที่บ้านใหญ่ ด้วยเหตุที่รุ่งเช้าร้านจำหน่ายของชำร่วยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเป๊บมากนัก
“ที่รัก นอกจากของชำร่วยแล้ว ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้เตรียมอีกไหมครับ”
“อะไรที่ยังไม่ได้เตรียมหรือ เอาจริงๆ นะเป๊บ โจ้นึกไม่ออกจริงๆ เพราะในส่วนอื่นๆ ก็เตรียมการหมดแล้วนะ”
“ครับ เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน อาจจะพอนึกออก งั้นพรุ่งนี้ไปดูของชำร่วยก่อน แล้วก็ค่อยคิดไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจออะไรที่เรายังไม่ได้เตรียมไว้”
“ได้ๆ นี่ขนาดงานเล็กๆ นะ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะเป๊บ นึกถึงคู่ที่จัดงานใหญ่โต จะขนาดไหน”
“นั่นสิครับ คงเหนื่อยมากแน่ แต่ว่าถ้าจ้างพวกมืออาชีพทำทุกอย่าง เป๊บว่าอาจจะไม่เหนื่อยมากนะ”
“เราก็จ้างเถอะยังเหนื่อยเลย”
“แต่บางส่วนออกสื่อไม่ได้ เราสองคนก็ต้องทำเองไง”
“นั่นสิ”
   กลับมาถึงบ้านใหญ่ ระหว่างที่กำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่น ก็เห็นแด๊ด มัม และพี่ๆ นั่งพูดคุยกัน คงเป็นเรื่องการเตรียมงานของเราสองคนแน่ๆ ไม่พ้นสายตาผู้ใหญ่หรอกครับ พอเห็นผมกับเป๊บก็กวักมือเรียกทันที
“เออนี่ แล้วแอคติ้งบนเวทีจะทำอะไรกันบ้าง” พี่ปริมเอ่ยถามเป๊บแล้วมองหน้าผม
“หมายถึงอะไรครับพี่ ผมไม่เข้าใจ” เป๊บถาม
“ก็แบบจะจูบโชว์ไหม หอมแก้ม”
“ใช่ๆ ข่มขืนงี้” พี่ปันแซว
“บ้าแล้วววววว ใครจะทำแบบนั้นนนน” ผมแหกปากขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ”
“อ้าวก็พี่นึกว่าเราสองคนจะมีแอคติ้งหวานหยดย้อยงี้”
“ผมนะโอเค ทำได้ แต่เมียผมสิพี่ ไม่เขินตัวแดงหมดหรือ”
“จริงงงงงงง” พี่ปันพยักหน้าเห็นด้วย
“นี่พอๆ เราสองคนไปแซวน้อง ดูสิ ลูกโจ้หูแดงหน้าแดงหมดแล้ว” มัมแซว
   มัมฮะ ถ้าไม่แซวจะดีกว่านี้มาก ฮืออออ
“นิดนึงไงครับมัม น้องชายจะออกเรือนสักที ต้องเตรียมการอย่างดี”
“โหยยย เตรียมถึงขั้นบนเวทีก็เกินปายยยย” ผมแขวะพี่ปัน
“นี่ไอ้เสือ เมียแกพูดมากนะ จัดการปิดปากซิ” พี่ปันบอกเป๊บ
“ครับๆ ได้ครับ งั้นผมขอตัวพาเมียไปจัดการปิดปากก่อนนะครับ”
“ดีมาก”
   เป๊บก็ลุกขึ้นดึงผมทันที ผมเองก็ดิ้นไปมายังไม่ได้เถียงพี่ปันคืนเลย หนอยยยยย
   แต่จะขัดขืนแรงฉุดของเป๊บได้ยังไง คิงคองแรงมากกกก หนูน้อยแบบเราก็แพ้ไป ฮือออ
“เป๊บบบบ โจ้เจ็บบบบ”
“อะ...ขอโทษครับ เจ็บจริงหรือ” เป๊บตกใจรีบปล่อยมือ พร้อมพลิกดูข้อมือผมไปมาสีหน้าเป็นห่วงมาก
“เป๊บแรงเยอะ ไม่เจ็บได้ไงอะ”
“เป๊บขอโทษครับ ข้อมือแดงเลย ทายาไหม หรือไปหาหมอไหมครับ”
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ดึงออกมาทำไมอะ ยังไม่ได้จัดการกับพี่ปันเลย”
“ไม่ต้องไปสนใจพี่ปันหรอกครับ ไปพักผ่อนดีกว่า วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

   หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็มานอนรอเป๊บบนเตียง กดมือถือเล่นแชท MSN กับเพื่อนๆ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักก็รับรู้ได้ถึงแรงยวบของเตียงนอน ผมหันไปมองเป๊บอาบน้ำเสร็จแล้ว พร้อมสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม แล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดทันที
“ทำอะไรเป๊บบบบ” ผมดิ้นไปมา
“เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร แค่อยากกอด” เสียงนุ่มๆ ทำให้หยุดดิ้นไปมา
“จะมาโหมดไหนอีกละ เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งนะเราอะ” ผมแซว
“หือ...เป๊บก็อ้อนเก่งแบบนี้มานานแล้วนะครับ ที่รักไม่เคยสังเกตต่างหาก”
“โบราณว่า เถียงเมีย ไม่เจริญนะ”
“หืมมมม เอาไว้แต่งงานกันก่อนค่อยเลิกเถียง ตอนนี้แค่เป็นเมียในนามเถียงได้ครับ”
“หนอยยย กล้ามาก....อุ๊บบบบ...”
   เป๊บรั้งคอผมโดยใช้ปากประกบอย่างนิ่มนวล
“เงียบได้ยังครับ”
“...................” ผมเงียบกริบ เหลือไว้แต่หน้าแดงแปร๊ด
“ว้า ทำไมไม่เถียงละครับ ถ้าที่รักเถียงสักคำจะปล้ำยันสว่างไม่ต้องหลับต้องนอน”
“..................” ผมเอามือปิดปากพร้อมส่ายหน้า
   กลัวสิครับ คนอะไรแรงเยอะ แล้วถ้าเป๊บลงมือทำนะ ยันสว่างจริงๆ ผมตายพอดี
“ฮ่าๆๆๆ ทำมากลัวนะครับ เห็นทุกทีครางชื่อเป๊บตลอด”
   ผั๊วะๆๆ ตีสองสามที หมั่นไส้ พูดได้ไม่อายปาก ชิส์
“เจ็บนะครับ”
“ก็ชอบพูดทะลึ่ง ต้องตี”
“โอเคๆ ไม่ทะลึ่งก็ได้ครับ”
   เราสองคนนอนกอดกันไปเงียบๆ มีความสุขอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
“ที่รัก...อยากมีลูกไหม”
   เป๊บเอ่ยถามขึ้นมา จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งพร้อมมองหน้าทันที
   ตกใจสิ ไม่มีมดลูก จะท้องได้ยังไงละ
“เป๊บ..ถามอะไรแบบนั้น โจ้ท้องได้ที่ไหน”
“หือ เป๊บก็ไม่ได้หมายความว่าที่รักจะตั้งท้องนี่ครับ”
“อ้าวแล้วเราจะมีลูกได้ยังไง”
“กระบวนทางการแพทย์ ไม่ก็อุ้มบุญ ดีไหมครับ”
“หา...อุ้มบุญหรือ”
“ใช่ ที่รักอยากมีลูกไหม”
“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเลยนะเป๊บ ไว้ค่อยคิดเถอะ”
“ได้ครับ...เป๊บแค่ชวนคิด ที่รักตัดสินใจได้นะครับ”
“แล้วทำไมต้องชวนคิดอะไรแบบนี้”
“ก็....” เป๊บทำท่าเหมือนลังเลที่จะตอบ
“ก็อะไรอะเป๊บ บอกมาโจ้ไม่โกรธหรอก”
“เป๊บคิดว่า คนเราแต่งกันงานก็ต้องมีลูกไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจ สำหรับเราการมีลูกตามปกติคงเป็นไปไม่ได้ เป๊บเลยคิดว่า ถ้าเราไม่มีโซ่ทองไว้คล้องใจ อนาคตเราอาจจะเลิกกันได้ไงครับ”
   โบราณว่า ผู้ชายที่จะออกเรือน มักจะคิดมากในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง สงสัยจะจริง
“เป๊บ...ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน ไม่เคยเห็นหรือ บางครอบครัวมีลูกเป็นโขยงยังเลิกกันได้ ทิ้งลูก ไม่ดูแลลูก ครอบครัวพังก็เกิดขึ้นตั้งเยอะ คนเรารักกันไม่จำเป็นจะต้องมีลูก อยู่ด้วยกันเพราะความรักและความเข้าใจ นั่นดีที่สุดแล้ว”
“ครับ...แต่....”
“อีกอย่างนะเป๊บ โจ้รักเป๊บเพราะเป๊บคือเป๊บ จะเอาผู้ชายหล่อกว่านี้ รวยกว่า ให้หล่อกว่าพี่เคน ธีรเดช มากองตรงหน้า โจ้ก็ไม่สนใจ เพราะอะไรรู้ไหม”
   เป๊บส่ายหน้าเบาๆ
“เพราะเขาไม่ใช่คนที่โจ้รัก จะดีประเสริฐเลิศล้ำมากขนาดไหน มากสุดก็ได้แค่มิตร ไม่ใช่คู่ชีวิตร่วมกัน”
   เป๊บยิ้มมุมปาก เดาอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ภาพในความทรงจำที่คิดในใจ “ผัวกูน่ารักมาก”
“โบราณว่า เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม โจ้ว่ายังใช้ได้นะ เราไปอุ้มบุญมา ก็ต้องใช้เชื้อของเป๊บ แต่ไม่มีเชื้อของโจ้ เด็กที่คลอดมาจะเลือดของเป๊บครึ่งนึง ของคนที่อุ้มบุญครึ่งนึง เป๊บคิดว่า โจ้จะรักเด็กคนนั้นได้หรือ แต่สำหรับเป๊บคงรัก เพราะมีเลือดเป๊บครึ่งนึง”
   เป๊บฟังเหตุผลจนคิ้วขมวด แล้วก็ยิ้มออกมา
“ก็จริงนะครับ”
“นั่นแหละตามเหตุผลนี้ เอาเป็นว่าโจ้ไม่คิดเรื่องมีลูกอะไรนั่นหรอก รอเลี้ยงหลานๆ ลูกพี่ปริมพี่ปันก็ได้”
“ครับ”
“โอเคนั้นนอนดีกว่า”
“ยังครับ..ทำลูกก่อน”
“หาอะไรนะ....เฮ้ยยย เดี๋ยวววว”
   ห้ามไปก็เท่านั้นครับ ฮืออออ มีผัวหื่นต้องทำใจ

   กว่าจะลืมตาตื่นได้ ร้าวระบมไปทั้งร่าง ตั้งสติมองไปมา ก็เห็นพ่อหนุ่มรูปหล่อกำลังแต่งตัวแล้ว
“ตื่นสายนะครับ” ยังจะกล้าแซวอีกนะ
“เพราะใครละ”
   เป๊บเดินผิวปากไปห้องแต่งตัว หนอยยยย เจ้าเล่ห์
   อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เดินออกจากห้องแต่งตัวมาห้องนอน ก็เห็นคุณชายคิงคอง นั่งโซฟาดูทีวี
“เสร็จแล้วหรือครับ”
“เรียบร้อย”
“ชุดนี้น่ารักไปนะครับ เป๊บว่าไปเปลี่ยนกางเกงขายาวดีกว่านะ”
“หือ...ไม่เอา ร้อนนนนน ใส่ขาสั้นก็ได้นี่”
“เปลี่ยนดีกว่าครับ ไม่อยากให้ใครเห็นขาเนียนๆ หวงครับ”
“ม่ายยยย ร้อนนนน ใครจะมามอง เห็นก็เอาไปไม่ได้”
“ดื้อจังนะครับ”
“เปล่าดื้อ แต่อยากใส่สบายๆ นี่น่า”
“โอเคครับ งั้นถ้าออกไปข้างนอกแล้วมีใครมองขา กลับบ้านทันที โอเคไหมครับ”
“ด้ายยยย เชอะ”
   การเดินทางในครั้งนี้เวชขับรถพาเราสองคนไปลองชุดแต่งงาน ซึ่งทางออแกไนส์ เป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด
“เชิญคุณลูกค้าลองชุดที่ห้อง Fitting นะคะ ถ้าส่วนใดคับไปหรือหลวมไป แจ้งพนักงานนะคะ ทางเราจะได้รีบแก้ไขให้”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ”

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ผมกับเป๊บแยกกันเข้าห้องลองชุดคนละห้อง
   ชุดแต่งงานของผม เป็นสูททักษิโดสีขาวทั้งชุด โบว์ตรงคอสีดำ
   ชุดแต่งงานของเป๊บ เป็นสูททักษิโดสีดำทั้งชุด โบว์ตรงคอสีขาว
   ทำไมเราถึงเลือกชุดคนละสีกัน เป๊บให้เหตุผลว่า
   สีดำกับสีขาวหรือสีขาวกับสีดำ เปรียบเสมือนหยินและหยาง จะต้องถ่วงดุลคู่กันเพื่อรักษาความสมดุล ขาวมากเกินไปก็ไม่ดี ดำมากเกินไปก็ไม่ได้ ดังนั้น หากเราทำให้หยินและหยางสมดุลกันแล้ว ชีวิตของเราก็จะมีความสุข
   หลังจากบวชแล้วสึกออกมาเป็นทิด คิงคองมองโลกเปลี่ยนไปมากเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่มีทางคิดอะไรได้แบบนี้แน่ๆ
“ที่รัก แต่งเสร็จยังครับ” เป๊บตะโกนถามข้ามห้อง
“เสร็จแล้วเป๊บ”
“งั้นออกมาจากห้องครับ”
   ผมเดินออกมาจากห้องลองชุดพร้อมกับเป๊บ เราสองคนสบตากัน
   เป๊บในชุดสูททักษิโดสีดำ ดูหล่อ และมีเสน่ห์มาก
   เป๊บบอกว่า ตัวผมอยู่ในชุดสูททักษิโดสีขาว ดูน่ารัก สดใส และน่าฟัดมาก
   ยังจะหื่น เฮ้อออ
“โจ้ น่ารักมากเลย”
“เป๊บก็หล่อมากเลย”
“อะ..เอ่อ ชุดพอดีไหมคะ”
   พนักงานเอ่ยถามขึ้นมา จนเราสองคนหันไปมอง เห็นเจ้าตัวยืนยิ้มบิดเขินไปมา
“เป็นอะไรหรือครับ” เป๊บถามพนักงานด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ..อะ..คือ คุณลูกค้าทั้งหล่อและน่ารักมากๆ เลยค่ะ ทำให้เขินไปด้วย” พนักงานตอบยิ้มกว้าง
“ขอบคุณมากครับ ชุดพอดีครับ โจ้ละ ชุดเป็นยังไงบ้าง”
“พอดีนะ เป๊ะๆ เลย ไม่ต้องแก้ไขแล้ว”
“ถ้าแบบนั้นยืนยันตามนี้นะคะ รบกวนเซ็นต์เอกสารยืนยันนะคะ”
   ผมกับเป๊บลงนามในเอกสารเรียบร้อย
“สำหรับชุด ทางเราจะนำส่งให้ทางออแกไนส์ ดำเนินการทั้งหมดนะคะ ขอบคุณมากๆ นะคะ ยินดีด้วยนะคะ คุณลูกค้าทั้งสองเหมาะสมกันมากจริงๆ”
   ไม่มีคำเอ่ยอะไรไปมากกว่า
“ขอบคุณครับ”
   เสร็จจากลองชุดแต่งงานเรียบร้อย ก็เดินทางไปยืนยันของชำร่วย การ์ดงานแต่ง ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆ ปลีกย่อย จนเสร็จในช่วงค่ำ
   รถคันงามตีวงโค้งเข้าบ้านใหญ่ ผมกับเป๊บเพลียมากครับ นึกไม่ถึงเลยว่า การเตรียมงานแต่งมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายจริงๆ นึกถึง คู่บ่าวสาวที่จัดงานขนาดใหญ่ พวกเขาจะเหนื่อยมากแค่ไหนเนี่ย
“ขนาดจ้างออแกไนส์มืออาชีพนะเป๊บ ยังเหนื่อยขนาดนี้”
“จริงครับ นึกถึงคนที่เขาทำกันเอง ไม่ตายเลยหรือ”
“นั่นสิเป๊บ แต่ยังไงก็สำเร็จลุล่วงหมดแล้ว สบายใจเสียที”
   เราสองคนเดินเข้ามาในโถงบ้าน ก็ได้ยินเสียงมัมเรียกจากห้องรับรอง
“เป๊บ มัมเรียก มีแขกมาหรือ”
“น่าจะใช่นะครับ เสียงเรียกมาจากห้องรับรอง ต้องมีแขกวีไอพีมาแน่ๆ”
   เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับรอง ผมมองเข้าไปก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคน คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างมัม หน้าตาผ่องใส ดูอิ่มเอิบมาก กำลังสนทนากับมัมอย่างออกรสชาติ
“เป๊บลูก นี่คุณป้าวัลภา ไง จำได้ไหม”
“สวัสดีครับ” เป๊บยกมือไหว้ พลางทำหน้านึก
“ลูกเธอเขาจำฉันไม่ได้หรอก” ป้าวัลภาหันไปแซวมัมแบบยิ้มๆ
“คนที่เคยพยากรณ์ลูกไงว่าจะมีแฟนเป็นผู้ชาย” ทำตกใจที่มัมพูด
“อ๋อออออ....นึกออกแล้วครับ สวัสดีอีกครั้งครับคุณป้า”
“แหมจำได้เสียทีนะ ฮ่าๆๆๆ”
“เธอๆ แล้วนี่ โจ้...”
“ลูกสะใภ้เธอใช่ไหม”
“ใช่ๆ น่ารักไหมละ”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ป้าวัลภา
“สวัสดีจ๊ะ...น่ารักมากเธอ สวยเหมือนผู้หญิงเลย แหมมมม เป็นคู่กันมาหลายภพชาติ ทั้งเจ้าชายเจ้าหญิง ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่กันก็เว่อร์แล้ว ฮ่าๆๆ”
   ผมอึ้งกับสิ่งที่คุณป้าวัลภาพูดออกมา รู้ได้ไง ความตกใจนี้ทำให้หันไปมองหน้าเป๊บ เราสองคนสบตากัน แต่เป๊บแววตานิ่งเฉยราวกับว่ารู้จักคุณป้าวัลภาดีว่า แกเป็นใคร
“แหมเธอก็ รู้เห็นไปทุกอย่าง”
“ฮ่าๆๆ ก็นิดหน่อยเองเธอ นี่ๆ ลูกเธอสองคนเขาเป็นคู่กัน เขาทำบุญมามากนะเธอ มากจนฉันไม่สามารถหยั่งรู้ได้ บุญที่เขาทำยิ่งกว่าสร้างมหาวิหารถวายพระพุทธเจ้า สะสมมาไม่รู้เท่าไหร่ กองทับถมจนสุดขอบฟ้า ฉันยังไม่เคยเจอใครบุญมากเท่านี้นะเธอ”
“หนูทั้งสองฟังป้านะ นับจากภพชาตินี้ ดวงจิตของหนูจะมีแต่ความเจริญเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าภพไหนชาติไหนจะไม่พบกับความตกต่ำอีกเลย ในอนาคตอีกยาวนาน หนูทั้งสองจะบรรลุพระอรหันต์มุ่งสู่พระนิพพานตามที่ได้อฐิษฐานไว้อย่างแน่นอน”
   ผมขนลุกมากกับสิ่งที่ป้าวัลภาบอกเล่า มัมเห็นว่าเราทั้งสองคนเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน จึงบอกให้ไปพักผ่อน เมื่อเข้ามาในห้องนอน
“เป๊บบบบบบ”
“ป้าวัลภาเขามีพลังหยั่งรู้อนาคตครับ”
“หา เป๊บทำไมรู้”
“ป้าเขาเป็นคนพยากรณ์เป๊บเองว่า จะมีเมียเป็นผู้ชาย”
“ห๊า จริงหรือออออ” ผมตกใจมาก
“จริงครับ หลังจากที่ป้าเขาพยากรณ์เป๊บก็ได้เจอโจ้นี่แหละ” เป๊บยิ้มกว้าง
“ตายแหล่วววว แม่นอ่า ไปขอให้ดูดวงดีกว่า”
“หืม ก็ป้าเขาดูให้แล้วนี่ครับ”
“แอะ หมายถึงดูดวงการงานการเงินไรงี้”
“เป๊บว่าไม่ต้องดูหรอกครับ ที่รักจะถามอะไรป้าเขา ป้าครับ ผมจะจนบ้างไหม แบบนี้หรือครับ”
“คิงคองเพี้ยน ใครเขาจะถามแบบนั้น ต้องถามว่าจะรวยไหมต่างหาก”
“ถ้าแบบนั้นเป๊บว่าอาบน้ำนอนเถอะครับ เท่าที่มีตอนนี้ เงินอาจจะทับเราสองคนตายได้สักวันนะครับ” เป๊บพูดพลางหัวเราะ
   ก็จริง ไม่เถียง แต่แหมก็นะ อยากรู้นี่น่า
   ก่อนนอนหลับในคืนนั้น ผมได้ใคร่ครวญครุ่นคิดถึงงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านี้
“คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง น่าจะครบถ้วนแล้ว”
   ท่ามกลางความมืดแสงสลัวๆ ที่ส่องเข้ามาภายในห้อง ผมหันไปมองเป๊บที่นอนหลับสนิทพร้อมเสียงกรนเบาๆ
“แฟนใครหว่าหล่อจัง” ผมเอ่ยชมด้วยเสียงเบาๆ ก้มลงไปจุ๊บแก้มทีนึง
“โจ้ฝากชีวิตไว้กับเป๊บนะ อย่าทิ้งโจ้ละ สัญญาเลยจะเป็นเมียที่ดี จะรักเป๊บตลอดไปนะ”
   ผมพูดข้างหูเป๊บเบาๆ ด้วยอารมณ์ที่สื่อออกมาจากข้างในใจ
“สัญญาว่าจะดูแลอย่างดีครับ” เป๊บลืมตามาพร้อมพูดเบา ผมสะดุ้งโหยง
“เฮ้ยยยยย ยังไม่หลับหรือ”
“หลับแล้วครับ แต่รู้สึกตัวตอนใครบางคนจุ๊บแก้มเบาๆ เหมือนโดนลักหลับครับ”
“บะ..บ้าแล้ววว ใครจะไปลักหลับบบบบ” ผมปฏิเสธตะกุกตะกักพัลวัน
“เสียงตะกุกตะกักแบบนี้ คงต้องจัดชุดคอมโบลงโทษซะหน่อยแล้วครับ”


“เดี๋ยวววว ม่ายยยย ชุดคอมโบ้มากเกินปายยยย...แว๊กกกกกก”

 :mew6: :mew6: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เย้ โจ้กลับมาต่อแล้ว ทั้งคู่เหมาะสมกันมากๆ ยินดีย้อนหลังด้วยนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
รออ่านตอนหน้าน๊า

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
 :L2:
ยืนดีกับคู่ เจ้าบ่าว เจ้าบ่าว อิอิ
อย่าหายไปนานนักนะจ๊ะ รองานแต่งครับ
 :mew1:

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :z1: เย้ๆๆ กลับมาแล้วคิดถึงทั้งสองคนเลย

ออฟไลน์ nutto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
น่ารักมากจริงๆนะฮะ

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
ยินดี​ด้วย​นะ​คะ​ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Keeper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยินดีด้วยกับทั้งสองคนนะคะ  :L1:

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
คิดถึงทั้งสองคน นึกว่าจะจบไปแล้วซะอีก ดีใจที่ให้คนอ่านได้มีส่วนร่วมในงานมงคลของน้องทั้งสองนะค ยินดีด้วยอีกครั้งค่ะ กับชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
สวัสดีค้าบทุกคนนนนนน  :mew1: :mew1:

นับจากวันแรกที่ได้ลงนิยายเรื่องนี้ ก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว หลายๆ ท่านก็ยังคงติดตามอ่านและเป็นแฟนคลับเหนียวแน่น บ้างก็จากเด็กมัธยม จนเรียนจบทำงานแต่งงานแล้ว เป็นความประทับใจของผมเช่นกันนะ

สำหรับเรื่องเล่านี้ก็ได้มาถึงตอนสุดท้าย ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวไว้ทั้งหมดแล้ว หวังว่า คงให้แง่คิดและคำสอนเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย

ขอบคุณมากนะครับที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด

ใจหายเหมือนกัน

แต่ยังไงงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ไว้มีโอกาสจะเข้ามาเม้ามอยอีกนะคับ  :mew6: :mew6: :mew1: :mew1:

รักทุกคนเลย  :mew1: :mew1:


ตอนที่ 64 จากวันนี้และตลอดไป (End)
   ในช่วงเช้ามืดของวันหมั้น พระอาจารย์อุดมพร้อมด้วยพระภิกษุอีก 4 รูป ได้มาทำพิธีสงฆ์เสริมความเป็นศิริมงคลให้กับเราสองคน พระอาจารย์ยังให้ข้อคิดถึงการครองเรือน จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมาด้วยกัน
   หลังจากที่พระอาจารย์และคณะภิกษุสงฆ์เดินทางกลับแล้ว
   ผมกำลังนั่งมองตัวเองอยู่หน้ากระจก มองดูช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ต่างก็ช่วยกันนำเครื่องสำอางต่างๆ ประทินโฉมลงบนใบหน้า เส้นผม และร่างกาย เนรมิตให้วันสำคัญนี้ มีความหมายและคุณค่ามากที่สุดในชีวิตของผม
“คุณคะ แต่งหน้าทำผมเสร็จแล้ว รบกวนใส่ชุดได้เลยนะคะ” พนักงานออแกไนส์แจ้งรายละเอียด
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวผมช่วยดูเอง คุณไปรอข้างนอกก็ได้ครับ” จิมน้องชายผมแจ้งพนักงานคนนั้น

   เมื่อพนักงานเดินออกจากห้องไป จิมก็นำชุดสูทงานหมั้นสีฟ้าอ่อนแบบเรียบง่าย ส่งมาให้ผม
“พี่ รีบเปลี่ยนได้แล้ว ขบวนขันหมากออกเดินทางมาแล้วนะ จะถึงหน้าบ้านตามเวลาที่นัดไว้”
   ผมรับชุดมาเปลี่ยนตามคำแนะนำของจิมด้วยความสงบ ทั้งๆ ที่ในใจตื่นเต้นมากเหลือเกิน กลัวไปเสียทุกอย่างว่า จะหม้ายขันหมาก งานจะล่ม หรืออะไรสักอย่างที่เกิดอุปสรรคและไม่พร้อม
“พี่ เป็นอะไร ทำไมหน้าตาดูกังวล”
“อ๋อ..ก็...” ผมอึกอัก
“บอกมาสิ ถ้าผมช่วยได้จะรีบทำให้”
“พี่ก็กังวลไปเรื่อย กลัวจะหม้ายขันหมาก กลัวงานจะล่ม กลัว....”
“กลัวอะไรอีก”
“กลัวพวกสาวๆ แฟนเก่าของเป๊บ จะมารังควาน”
“เหมือนในละคร” จิมถามขึ้นมา
“อื้อ ใช่” ผมตอบรับพยักหน้า
“พี่ ดูละครมากไปหรือเปล่า”
“ไม่ได้ดูเลยเถอะ”
“แล้วอะไรมาดลใจให้คิดมากแบบนี้”
“ก็ไม่รู้ซิจิม ก่อนมาเจอพี่ เป๊บเขามีสาวเยอะแยะมากมาย จิมก็เห็นนี่ว่าพี่โดนสาวพวกนั้นทำอะไรบ้าง มาครั้งนี้ย่อมกลัวเป็นธรรมดาแหละ”
“หือพี่ คิดมาก เอาเป็นว่า ถ้าพวกนั้นจะมาทำอะไรพี่ในงาน ฝ่าการ์ดของพ่อพี่เป๊บและพี่ฉัตรให้ได้ก่อน เปิดม่านดูสิพี่ คนชุดดำมีกี่คน”
   ผมเดินไปเปิดม่านตามที่จิมบอก มองไปยังบริเวณรั้วหน้าบ้าน รวมไปถึงนอกบ้าน การ์ดชุดดำเดินไปมา ตรวจตราความเรียบร้อย ราวกับว่าจะมีคนใหญ่คนโตระดับประเทศมาร่วมงาน
“เห็นยังพี่ เลิกกังวลได้แล้ว”
“อื้อ” ผมรู้สึกดีขึ้นมาก คลายความกังวลมากพอควรเลย
   ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับการแต่งชุดพิธีหมั้น ชุดสูทสีฟ้าอ่อน ตัดกับเสื้อเชิ้ตด้านในสีชมพูได้เป็นอย่างดี โบว์สีชมพูตรงคอ ก็เพิ่มความโดดเด่นตัดกับผิวสีขาวของผม โดยรวมแล้วจิมชมว่า
“หล่อมากพี่....ไม่สิจะมองว่าน่ารักก็ใช่ วันนี้พี่ชายผมดูดีที่สุด”
   โตด้วยกันมาก็เพิ่งเห็นจิมชมผมด้วยแววตาสายตาที่ภาคภูมิใจก็วันนี้แหละ
   จิมรับโทรศัพท์ พร้อมกับหันมาบอกผมว่า
“พี่เตรียมตัวนะ ขบวนขันหมากเลี้ยวเข้าปากซอยมาแล้ว จะตั้งขบวนที่หน้าบ้าน หลังจากตั้งขบวนเสร็จ เจ้าบ่าวจะเดินผ่านประตูเงินประตูทอง พี่คอยบนห้องนะ รอจนกว่าพี่เป๊บจะมารับ”
“โอเคๆ ได้ๆ แล้วนี่จิมจะไปไหน”
“ไปกั้นประตูสิ ได้หลายบาท” จิมทำหน้าเหมือนจะร่ำรวย
“เดี๋ยววว แล้วใครจะอยู่เพื่อนพี่”
“หือ พนักงานเด็กแม่บ้านหลายคนอยู่หน้าห้อง พี่ก็เรียกใช้ได้”
   จิมรีบออกจากห้องไปกั้นประตูขันหมาก ส่วนผมเองก็เดินไปตรงหน้าต่าง แหวกม่านเพื่อดูขบวนขันหมาก เห็นเป๊บยืนโดดเด่นเป็นสง่า และที่สำคัญ คือ หล่อมากๆ ความขาวของเป๊บตัดกับชุดสีครีมที่สวมใส่เป็นอย่างดี
“ทำไมเป๊บหล่อขนาดนี้เนี่ย”
   หน้าผมร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นแก้ม หู คอ เลือดสูบฉีดจนแดงไปหมด
   ทั้งๆ ที่ทุกสัดส่วนของร่างหาย เราสองคนเห็นหมดแล้ว แต่ทำไมวันนี้ผม “เขิน”
“โหวววว ฮี่ โหวววว ฮี่ โหวววววๆๆๆ ฮิ้วววว”
   ผมได้ยินเสียงโห่จากขบวนขันหมาก แล้วตามด้วยเสียงกลองยาวดังเซ็งแซ่
   ณ เวลานี้ ขบวนขันหมากได้เริ่มเดินเข้ามาในประตูรั้วบ้านแล้ว ผมเฝ้ามองดูเป็นระยะ เห็นหลายคนกั้นประตูเงินประตูทอง รวมถึงจิม น้องชายตัวแสบ ก็ไปกั้นกับเข้าด้วย
   เห็นเป๊บทั้งวิดพื้น เต้น รวมถึงร้องเพลง แล้วมีญาตผู้ใหญ่คนหนึ่งคอยเจรจาต่อรอง พร้อมส่งซองประตูขันหมากให้
   ผมละแอบขำเล็กน้อยกับการกระทำของเป๊บ สิ่งสำคัญที่ตื้นตันใจมากที่สุด ผมเห็นฉัตร เบิด โอ๊ต ทราย กั้นประตูเงินประตูทอง แล้วโวยวายไม่ยอมให้เป็บผ่านไปโดยง่าย
   ทุกคนในสายตาที่ผมเห็นต่างยิ้ม หัวเราะ อย่างมีความสุข เป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผมอย่างไม่มีวันลืมเลือน
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนผมหันไปมอง
“คุณคะ เตรียมตัวนะคะ ทางเจ้าบ่าวจะขึ้นมารับลงไปในพิธีหมั้นแล้ว”
“ครับ ได้ครับ”
   ผมนั่งคอยตรงโซฟาในห้อง เพื่อรอให้เป๊บขึ้นมารับ ณ ตอนนี้ หัวใจเต้นตึกตัก ตื่นเต้น รอคอยให้เป๊บมารับ
“เราจะเจออะไรบ้างนะ ห่าเอ้ย ไอ้โจ้ มึงใจเย็นๆดิ” ผมบ่นกับตัวเอง
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูถูกเปิดขึ้น เป๊บพร้อมกับญาตผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือ คุณป้าวัลภา ท่านเดินจูงมือเป๊บเข้ามาในห้อง
“ป้านำพาเจ้าบ่าวมารับตัวเจ้าบ่าว” ป้าวัลภาพูด จนเราสองคนต่างยิ้มด้วยความรู้สึกจั๊กกะจี้
“เจ้าบ่าวจะยินยอมให้เจ้าบ่าวรับตัวไปไหม”
“ยินยอมครับ” ผมตอบป้าวัลภา
“เจ้าบ่าว เดินไปรับเจ้าบ่าว จูงมือกันลงไปในพิธีนะ”
   เป๊บเดินเข้ามาประชิดตัวผม พร้อมผมโน้มมือมาจับข้อมือผมไว้ แล้วค่อยๆ เดินนำพาผมลงไปยังพิธีหมั้นด้านล่าง โดยมีป้าวัลภาเดินนำหน้า
“วันนี้ น่ารักมากๆ เลยนะครับ” เป๊บกระซิบข้างหูผมระหว่างที่กำลังเดินจูง
“มากขนาดไหนละ”
“มากที่สุดในชีวิตเป๊บเลยครับ...รักนะครับ”
“วันนี้เป๊บก็หล่อมากที่สุดในชีวิต รักนะเป๊บ”
   เป๊บเดินจูงมือพาผมลงในงานพิธีตรงโถงห้องรับแขก ที่เนรมิตใหม่ให้เป็นสถานที่จัดงานหมั้น บรรยากาศภายในงานที่ผมกวาดสายตามองไป มีบรรดาแขกวีไอพีที่สนิทกับคุณพ่อคุณแม่ แด๊ดและมัม ที่สำคัญ อาม่า คือ ผู้อาวุโสที่ผมเคารพรัก ได้เข้ามาร่วมพิธีด้วย และก็ยังมีเพื่อนๆ สมัย ป ตรี ป โท เฉพาะคนที่สนิทกับเราสองคน มาร่วมในงานพิธีครั้งนี้ ระหว่างที่ผมมองไปก็สบตากับฉัตร ฉัตรขยิบตาพร้อมยกมือชูหัวแม่โป้ง ประหนึ่งว่าให้กำลังใจ อย่าเครียด อย่าตื่นเต้น
“บัดนี้ ทั้งคู่เจ้าบ่าว ได้อยู่ในพิธีงานหมั้นแล้ว เพื่อให้พิธีการดำเนินการไปอย่างเรียบร้อย กระผมในฐานะพิธีกร จึงขออนุญาตเริ่มขั้นตอนดังนี้”

พิธีกร : วันนี้ท่านมาเพื่อกิจอันใด
ผู้ใหญ่ฝ่ายเป๊บ : วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี ข้าพเจ้า ครอบครัว และทุกคน จะมาสู่ขอหลานโจ้ ซึ่งเป็นผู้เพียบพร้อมและมากความสามารถไปเป็นคู่ชีวิตให้กับหลานเป๊บ หลานชายของข้าพเจ้า
พิธีกร : คุณโจ้ เป็นบุตรชายของท่านหรือไม่ (หันมาถามพ่อแม่ฝ่ายผม)
พ่อแม่ฝ่ายโจ้ : ใช่ครับ/ค่ะ โจ้เป็นบุตรชายของพวกเรา
พิธีกร : ท่านทั้งสองยินยอมพร้อมใจยกบุตรชายของท่านให้กับบุตรชายของฝ่ายผู้สู่ขอหรือไม่
   คุณพ่อกับคุณแม่ ท่านทั้งสองมองสบตาผม แววตาของท่านอิ่มเอิบระคนไปด้วยความรู้สึกดีใจ
“ยินยอมพร้อมใจยกบุตรชายคนนี้ให้บุตรชายของผู้สู่ขอดูแลตลอดชีวิตครับ” คุณพ่อของผมพูดเสียงดังฟังชัด ทำให้เพื่อนๆ ของเราสองคน ส่งเสียงวิ๊ดว้ายเบาๆ เลยทีเดียว
พิธีกร : ลำดับถัดไป ขอเชิญคู่บ่าวสาว เอ้ย เอ่อ
“เรียกคู่รักทั้งสองคนก็ได้ครับ” แด๊ดเอ่ยปากบอกพิธีกร
พิธีกร : ขอเชิญคู่รักทั้งสอง ไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายครับ
   ผมกับเป๊บก็เดินชันเข่าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็อวยพรให้มีความสุข เดินชันเข่าไปกราบแด๊ดกับมัม แด๊ดโน้มตัวมากอดผม
“ฝากลูกชายพ่อด้วยนะลูก รักกันนานๆ ตลอดไปนะ” น้ำตาผมซึมเลยทีเดียว
“มัมฝากเป๊บด้วยนะลูก ลูกชายมัมเขาเป็นคนดี มัมเชื่อว่าจะดูแลหนูได้อย่างดีที่สุด” น้ำตาไหลเลย
พิธีกร : ลำดับถัดไปเรียนเชิญฝ่ายชายมอบของหมั้นให้อีกฝ่ายครับ
   แด๊ดพยักหน้าให้ศักดิ์กับลูกน้อง ดำเนินการยกของหมั้นที่ได้เตรียมไว้ มากองอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าเพื่อให้แขกเหรื่อได้เป็นสักขีพยาน
“เรียนคุณพี่ทั้งสองและแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ สำหรับสินสอดใช้ในการหมั้นวันนี้ ผมได้เตรียมเงินสด 50 ล้านบาท ทองคำ 100 บาท บ้านพร้อมที่ดินย่านอ่อนนุชขนาด 3 ไร่ คอนโดมีเนียมย่านสุขุมวิทขนาด 128 ตรม. 1 ห้อง รถยนต์มินิคูเปอร์ 1 คัน ใบสำคัญถือหุ้นบริษัทในเครือทั้งหมด 5% ใบสำคัญถือหุ้นนี้ หมายความว่า เมื่อลูกสะใภ้ผมเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ จะเข้าทำงานในเครือบริษัทของผมทั้งหมดในตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่....ไม่ทราบว่า คุณพี่ทั้งสองพอใจในของหมั้นหมายเหล่านี้ไหมครับ”
   ผม...เกิดความรู้สึก...อึ้งมาก มันเป็นความรู้สึกดีใจ ตกใจ ประหลาดใจ อย่างบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงเลยว่า ชีวิตของคนที่เกิดมาเป็นเพศที่สังคมไม่ยอมรับและดูแคลนลึกๆ กลับได้รับโอกาสจนถึงมีงานแต่งเล็กๆ และเต็มไปด้วยความหมายอีกมากมาย
“พอใจครับ” คุณพ่อตอบรับคำแบบยิ้มกว้าง
“พอใจค่ะ” คุณแม่ตอบรับคำด้วยใบหน้ามีความสุข
พิธีกร : ลำดับถัดไป ขอเรียนเชิญคู่รักทั้งสอง แลกแหวนหมั้นเพื่อเป็นเครื่องแทนใจกันครับ
   เราสองคนหันหน้าเข้ากัน ป้าจันทร์ ถือพานเดินออกมาจากด้านหลัง ส่งพานให้กับมัม
   มัมขยับตัวเล็กน้อยแล้วบอกกับเป๊บว่า
“แหวนเพชร 10 กะรัตสองวงนี้ มัมเตรียมไว้ให้กับลูกเป๊บในอนาคตเมื่อลูกคิดจะออกเรือนกับใคร บัดนี้ ความต้องการของลูกสมหวังแล้ว มัมขอมอบแหวนทั้งสองวงนี้ให้กับลูกได้ใช้หมั้นหมายกับคนที่ลูกรัก...รับไปสิลูก”
   ผมเห็นเป๊บตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ส่วนมัมก็น้ำตาคลอ เป๊บก้มกราบมัม พร้อมยื่นมือไปรับพานที่มีกล่องแหวนเพชรสองวง เป๊บหยิบแหวน เปิดฝาตลับ แสงสปอตไล้ภายในงานกระทบกับแหวนเพชรที่เจิดจรัส แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็ร้องโอ้โหไปตามๆกัน
“สวมให้ลูกโจ้สิลูก” มัมย้ำ
   เป๊บสวมแหวนที่นิ้วนางซ้าย และผมก็สวมแหวนที่นิ้วนางขวา แหวนที่มัมให้ เราสองคนต่างแลกซึ่งกันและกัน
   หลังจากสวมแหวนเสร็จ ก็ถ่ายรูปรวมทั้งสองครอบครัวเป็นที่ระลึก
พิธีกร : ลำดับถัดไปขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติรับประทานอาหารด้านนอก เพื่อให้ห้องนี้ได้เตรียมการจัดพิธีรดน้ำสังข์ ขอเรียนเชิญครับ
   แขกเหรื่อส่วนใหญ่ ก็เดินออกไปยังซุ้มอาหารด้านนอก ผมกับเป๊บก็มานั่งพักผ่อนในห้องนั่งเล่นด้านใน โดยจิมเป็นธุระจัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มมาให้เราสองคนได้กิน
“พี่กินข้าวก่อนนะ จะได้มีแรงทำพิธีต่อ” จิมบอกผมกับเป๊บแล้วก็ออกไปรับแขกด้านนอก

“เหนื่อยไหมครับ” เป๊บถามผม
“โจ้ต้องเป็นฝ่ายถามเป๊บมากกว่า เหนื่อยไหมเนี่ย” ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าเป๊บ
“ไม่เหนื่อยครับ มาสู่ขอเมียจะเหนื่อยได้ยังไง”
“อย่าพูดแบบนั้น”
“ทำไมละครับ”
“เขินนนนน”
“ฮ่าๆๆ เขินสิดี”
“ดียังไงละ
“น่ารักดีไง”
“ทำมาปากหวาน”
   เชื่อแล้วครับว่า ความรักทำให้ผมมารยาสาไถจริงๆ คือ ยอมเป็นเมียสมบูรณ์แบบ สาวแตกฉับพลันมาก
“ทำหน้าน่ารัก ระวังจะโดนขย้ำนะครับ”
“รอคืนนี้สิ”

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
“พี่ พร้อมหรือยัง พิธีรดน้ำสังข์จัดเสร็จแล้วนะ”
“โอเคๆ พร้อมแล้ว”
“จิม ไปตามช่างแต่งหน้าเข้ามาดูพี่กับโจ้อีกครั้ง” เป๊บบอกจิม
“ได้ครับ”
   ช่างแต่งหน้ากับช่างทำผม เข้ามาตรวจสอบความหล่อเหลาของเราสองคน เพื่อให้มั่นใจว่า ยังหล่อเป๊ะเหมือนเดิม
   ในเวลาไม่นานผมกับเป๊บก็ได้นั่งประจำที่ตรงโต๊ะรดน้ำสังข์
พิธีกร : ขอกราบเรียนเชิญ พลตำรวจเอก XXX ประธานในพิธีสวมมงคลแฝดให้กับคู่รักทั้งสองครับ
พิธีกร : ลำดับถัดไปขอเชิญคุณพ่อคุณแม่ของทั้งสองฝ่าย ได้เริ่มทำพิธีรดน้ำสังข์พร้อมทั้งอวยพรคู่รักทั้งสองครับ
   คุณพ่อกับคุณแม่ของผมท่านเป็นคนแรกที่รดน้ำสังข์
คุณพ่อ : เป๊บ พ่อฝากโจ้ด้วยนะลูก รักกันด้วยความเข้าใจ จะให้ลูกทั้งสองครองรักกันจนแก่เฒ่า โจ้ อย่าดื้อกับพี่เขานะลูก ต้องรักเขา เชื่อฟังเขา และดูแลเขาเป็นอย่างดี ให้สมกับที่เขารักเราและลูกก็เขานะ
คุณแม่  : เป๊บ แม่ฝากแก้วตาดวงใจของแม่ไว้กับลูกนะ หากมีอะไรไม่เข้าใจกัน ก็อย่าปล่อยปะละเลยจนบานปลายนะลูก โจ้ รักพี่เขาให้มากๆ นะ มีอะไรก็พูดคุยกัน รักของลูกจะยืนยาวจนแก่เฒ่า
แด๊ด : เป๊บ พ่อดีใจนะที่ลูกมีวันนี้ พ่อดีใจที่ลูกหาสะใภ้ที่ดีที่สุดให้พ่อ พ่ออวยพรให้ลูกมีความสุขตลอดไปนะ โจ้ พ่อฝากลูกชายพ่อด้วยนะ ขอให้ลูกทั้งสองมีแต่ความเจริญๆ ตลอดไปนะ
มัม : วันนี้ลูกแม่หล่อมาก ในชีวิตแม่ไม่มีอะไรดีใจไปมากกว่าการเห็นลูกมีความสุข ขอให้ลูกทั้งสองรักกันตลอดไป แม่จะเป็นกำลังใจให้เสมอนะ
   ความประหลาดของเราสองคนถึงขีดสุด เมื่อผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งที่เคาพรักมาก ท่านลุกขึ้นจากรถเข็น พร้อมค่อยๆ เดินมาหาเราสองคน จนลูกสาวอาม่าพร้อมกับเด็กๆ รับใช้ ต่างก็พุ่งตัวเข้าไปประคอง
“ม่ายต้องๆๆ อั๋วะไหวน่า” อาม่ายกมือโบกปัดยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ท่านก็ค่อยๆ เดินมาหาเราสองคน
   อาม่าเดินมาหยุดอยู่หน้าเราสองคน ท่านค่อยๆ ยกมือมาจับ มือของเราทั้งสอง ประสานเข้าหากัน แล้วอาม่าก็เลื่อนมากมากุมทับไว้
อาม่า : ม่ายว่าจะเปงปักจุบังนี้หลืออะนาคก ม่ายว่าจะเปงจักกะวานนี้หลือจักกะวานไหน ม่ายว่าจาพกนี้หลือพกหน้า ลื้อทั้งสองคงก็จะเปงคู่กังไปแบบนี้จงกว่าจาเข้านิพพาง ขอห้ายหลางทั้งสองของอาม่า มีความสุกตะหลอดไปน่า อาตี๋หย่าย อาตี๋เล็ก ลื้อทั้งสองจาต้องลูแลกังให้ลีๆ น่า จาเริงๆ นะ
   เราสองคนพยายามกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่มากที่สุด คำอวยพรของคนที่เรารัก มีคุณค่ามากเกินบรรยาย เป็นความทรงจำที่ดีไม่มีวันลืมเลยจริงๆ
   พิธีการรดน้ำสังข์ ได้มาถึงกลุ่มเพื่อนสนิท ซึ่งก็คือ ฉัตร เบิด โอ๊ต ทราย
ฉัตร : ไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่า คำว่าดีใจ ที่เห็นมึงสองคนก้าวมาไกลจนถึงตอนนี้ มีความสุขมากๆ นะ ไม่ว่าจะยังไงกูจะอยู่เบื้องหลังมึงสองคนเสมอ
เบิด : ไอ้เป๊บ ไอ้เพื่อนสุดหล่อของกู มีความสุขมากๆ นะเพื่อน รักไอ้โจ้ให้มากๆ โจ้ ไอ้เพื่อนสุดน่ารักของกู กูอวยพรให้มึงมีความสุขมากๆ นะ รักให้เป๊บให้มากๆ มีอะไรก็พูดคุยกัน อย่างอนเป็นเด็กๆ อีกละ
ทราย : วันนี้รู้สึกดีจังที่ได้เห็นเพื่อนทั้งสองมีงานแต่งเล็ก อิชั้นอวยพรให้ทั้งสองคนมีความสุขมากๆนะคะ มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ฮ่าๆๆ
โอ๊ต : ไอ้เป๊บ มีความสุขมากๆ นะเพื่อน เมียเผลอแล้วเจอกันพวก (เป๊บเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ส่วนผมหันไปมองเป๊บ อะไรหว่า สองคนนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ) ไอ้โจ้ ขอให้มึงมีความสุขมากๆนะ ปล่อยให้ไอ้เป๊บมาเที่ยวกะกูบ้าง ฮ่าๆๆ (หนอยยยย ต้องไปแอบเจ้าชู้แน่ๆ เดี๋ยวจะโดนนนนน)

พิธีกร : บัดนี้พิธีรดน้ำสังข์ได้เสร็จสิ้นแล้ว ขอเรียนเชิญแขกท่านผู้มีเกียรติร่วมพิธีฉลองมงคลสมรส ณ บ้าน XXX ในช่วงเวลา 17.00 น. ในนามของเจ้าภาพต้อขอบพระคุณทุกท่านที่ได้เสียสละเวลามาร่วมงานหมั้นในเช้าวันนี้ ขอบคุณครับ

   คุณพ่อกับคุณแม่ของเราทั้งสองคน ต่างก็ยืนรับไหว้ส่งแขกที่มาร่วมกัน สำหรับผมและเป๊บ จิมก็พาขึ้นมาบนห้องนอนผม เพื่อให้ได้พักผ่อนกัน หลังจากทานอาหารเที่ยงแล้ว พวกเราทั้งหมดจะเดินทางไปบ้านของเป๊บ เพื่อร่วมพิธีมงคงสมรสในช่วงเย็น
“เหนื่อยจังเลยเป๊บ” ผมล้มตัวลงนอนทั้งชุดพิธีหมั้น
“เหมือนกันครับ ที่รักเป๊บว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวจะต้องเดินทางไปบ้านใหญ่อีก”
“เหนื่อยอ่า ขอนอนสิบวิ”
“ครบแล้วครับ ลุกขึ้น”
“โหยยยย ง่วงงงง จะนอนนนนน”
“ถ้าดื้อเป๊บอุ้มไปอาบน้ำนะ”
“หี....ดึงสิ” ผมชูมือขวา
   เป๊บเอื้อมือมาดึงรั้งให้ผมลุกขึ้น ผมแกล้งเป๊บด้วยการเพิ่มแรงดึงกลับ ทำให้เป๊บล้มตัวลงมานอนทับบนตัวผม
   สายตาสองเราประสานกัน
“ยั่วหรือครับ”
“เปล่า” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วทำไมหน้าแดงครับ”
“ไม่มี๊ ใครจะมาแดง แค่นี้เด็กๆ”
“ปากดีนะครับ”
“อื้ออออ” ปากของเป๊บประกบปากผม
“หายปกดียังครับ”
“หะ..หายแล้ววว”
“ไปอาบน้ำได้ยัง”
“อื้อ”
“ทำหน้ายั่วแบบนี้ คืนนี้จัดหนักนะครับ”
“ก็ไม่ได้บอกให้เบานี่” ผมพูดเสียงเบาๆ
“อะไรนะครับ”
“เปล๊า” รีบปฏิเสธพัลวัน
“เดี๋ยวนี้กล้ามากขึ้นนะครับ”
“กล้ามานานแล้วเถอะ”
“หรือครับ” เป๊บมองด้วยสายตาแฝงด้วยความหื่นมาก
   การคิดไปยั่วคิงคองนี่ ถือว่าคิดผิดจริงๆ ฮือออออออ
   หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พวกเราทั้งหมดก็เดินทางไปยังบ้านใหญ่ รถตำรวจนำขบวนช่วยให้การเดินทางราบรื่นพอสมควร ฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาได้อย่างง่ายดาย
   ผมกับเป๊บเรานั่งในรถเพียงสองคน โดยมีเวชเป็นสารถี
“เป๊บว่าหลังจากงานคืนนี้ชีวิตเราจะเปลี่ยนไหม”
“เปลี่ยนยังไงครับ”
“โจ้คิดว่าพอเรามาใช้ชีวิตแบบเป็นทางการจริงๆ มันเป็นอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงมากๆ เลย”
“ถ้าใจเราไม่เปลี่ยนเสียอย่าง ทุกอย่างจะเหมือนเดิมครับ”
“ใจนะไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว โจ้คงกังวลไปเรื่อย”
“อย่าไปกังวลเลยครับ เป๊บว่าเราคิดเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศปลายปีนี้ดีกว่า”
“ก็ได้นะ เป๊บไปไหนโจ้ไปด้วย”
“ถึงโจ้ไม่ไปด้วย เป๊บจะก็จะลักพาตัวไป”
“ลูกเขามีพ่อมีแม่เหอะ เอะอะก็ลักพาตัว”
“หืมมม ตอนนี้ลักพาตัวได้แล้วนะ จ่ายค่าสินแล้ว คืนนี้ค่อยสอด”
“ผลั๊กกกก....ทะลึ่งงงงง” ทุบคิงคองสองที
“โอ้ยยย เป๊บเจ็บนะครับ...มานี่เลยยยยย” เป๊บโน้มตัวมาจี้เอวผม
“ฮ่าๆๆ อย่าๆๆ โอ้ยยยย จั๊กกะจี้”
   ความอายเกิดขึ้นก็ตรงที่ เวชมองเราสองคนผ่านกระจกมองหลัง แล้วอมยิ้ม
   รถคันงามตีวงเลี้ยวเข้าประตูบ้านใหญ่ จอดเทียบหน้ามุกของตัวบ้าน
“แด๊ดว่าลูกสองคนขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะ ช่วงบ่ายๆ พวกทีมงานจะขึ้นไปจัดการเรื่องชุดให้ ตอนงานเริ่มแด๊ดจะให้คนขึ้นไปตาม”
“ได้ครับๆ”
   ผมกับเป๊บก็เดินขึ้นมายังห้องนอน มองดูนาฬิกา เหลือเวลาประมาณ 2 ชม เพียงพอแก่การแอบงีบ
“ของียบก่อนน้า ง่วงมากกก”
“ได้ครับ เดี๋ยวเป๊บจัดของก่อนนะครับ”
   รู้สึกตัวอีกครั้งตอนเป๊บเขย่าตัว
“ที่รัก อาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ”
“อื้อ”
   หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ออแกไนส์ก็เดินมารุมเราสองคน ทั้งทำผม แต่งหน้า ตลอดจนเครื่องประดับ เอาเป็นว่า เป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องแบบหล่อที่สุดในชีวิตเลยครับ
   เสียงเพลงขับกล่อมเพื่อเพิ่มบรรยากาศในงานแต่ง เริ่มดังขึ้น อันเป็นสิ่งที่บอกถึงความพร้อมของงานด้านล่าง และคงมีแขกเหรือบางส่วนเดินทางมาร่วมงานแล้ว
   ในเวลาไม่นานนัก จิม ก็มาถามเราสองคน
“พี่ๆ พร้อมหรือยัง คุณอาให้มาตามลงไปต้อนรับแขกได้แล้ว”
   ผมหันไปสบตากับเป๊บ เป๊บพยักหน้าตอบรับเบาๆ สื่อความเข้าใจระหว่างสองเราว่า “เวลาแห่งความจริง” มาถึงแล้ว
   เป๊บเดินจับมือผมเดินออกมาจากห้อง เดินผ่านมุกราวบันไดลงมา ท่ามกลางสายตาของแขกที่มาร่วมงานหลายสิบคน
   แฟลชจากทีมช่างกล้องต่างสาดแสงระยิบระยับราวกับว่า เราสองคนเป็นดาราชื่อดังเลยทีเดียว
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ขอเสียงปรบมือให้กับลูกชายทั้งสองคนของผมด้วยครับ”
   แด๊ดกล่าวเสียงดังฟัดชัดผ่านเครื่องขยายเสียงขนาดย่อม ทุกคนพร้อมปรบมือต้อนรับพวกเรา
“สำหรับการถ่ายรูปในวันนี้ ทางเรามีบริการจากช่างกล้องหลายสิบคนที่ผมได้เตรียมไว้ ทุกท่านสามารถเรียกใช้บริการได้ทันที ขอความร่วมมือไม่นำกล้องส่วนตัวเข้ามาถ่ายนะครับ”
   การถ่ายรูปในช่วงแรกจะเป็นแขก VIP สำคัญของคุณพ่อคุณแม่บองผมและเป๊บ ทุกท่านต่างแสดงความยินดีกับเราสองคน
“หลานเป๊บ หล่อมากเลยลูก แฟนลูกหน้าหวาน สวยมากเลยนะ สวยกว่าผู้หญิงอีก”
“ขอบคุณครับคุณป้า คุณป้าสบายดีนะครับ”
“สบายดีจ๊ะลูก อายุมั่นขวัญยืนรักกันนานๆ นะ”
“ขอบคุณครับ” เราสองคนยกมือไหว้ การถูกชมว่าน่ารัก ก็ทำให้ผมได้ยิ้มแบบเขินเช่นกัน

“เอ้ย หลานลุง หล่อว่ะ แฟนเอ็งหน้าสวยเหมือนผู้หญิงเลย” คุณลุงที่เป็นเพื่อนแด๊ดเดินเข้ามาตบไหล่ทักทายเป๊บ
“ขอบคุณครับคุณลุง สบายดีนะครับ”
“สบายๆ เรื่อยๆ”
“พี่แม๊กสบายดีนะครับ”
“สบายดี เรียนจบแล้วไม่ยอมกลับไทยสักที เออ ไอ้แม๊กฝากแสดงความยินดีมาด้วยนะ”
“ฝากขอบคุณพี่แม๊กด้วยนะครับ”
“เออๆได้ แล้วนี่หนูสวยมากเลยนะ หลานลุงมันหล่อ ดูแลดีๆ เว้ยเฮ้ย ฮ่าๆๆ”
“ขอบคุณครับ”
    คุณลุงแกน่ารักมากครับ เฮฮา สนุกสนาน
“เหนื่อยไหม” เป๊บเอียงคอกระซิบถามผม
“ไม่ๆ”
“คุณลุงนั้นอย่าไปถือสา แกเป็นพ่อค้าโหวกเหวกธรรมดา แต่รวยมากนะครับ เจ้าของโรงงานเม็ดพลาสติกรายใหญ่ของประเทศเลยนะครับ”
“ว่าแล้ว ใส่ทอง เพชรพลอยมา ราวกับตู้เซฟเคลื่อนที่”
“หือ ที่รักนินทาเก่งนะครับ”
“นิดนึง คิกๆๆ”

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
“ต้ายยยยตายยยยยย หนุงหนิงกุ๊งกิ๊งราวกับว่าทั้งงานมีกันอยู่สองคนนะคะ”
   เสียงนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจ้าแม่ฉัตร
“ใช่ค่าคุณแม่ พอจะมีผัวเป็นทางการ ทำมาสวีททั้งโลกนี้มีกันอยู่สองคน” ทรายแซว
“เรียนเชิญคุณเพื่อนถ่ายรูปจ้า เดี๋ยวหลังงานกรูจะวิ่งไปตบเมิงทั้งสองคน” ผมแซว
“ฮ่าๆๆ กรูว่าหลังงานเมิงคงโดนฉีกเสื้อ”
“อีนี่นิ”
“หันไปดูสายตาผัวเมิงก่อนจะมาด่ากรู ฮ่าๆๆ”
   ผมหันไปมองตามที่ฉัตรบอก เออ จริง ทำไมต้องทำสายตาแบบนั้น
“เอ้าถ่ายรูปๆ อย่ามัวเม้ามอยยย” เบิดตะโกนบอกทุกคน
   พวกเราทั้งหมด ถ่ายรูปเยอะมาก แต่ละคนก็ทำท่าตลกๆ จนผมนึกขำไปว่า พอแก่ตัวอายุมากนำภาพพวกนี้มาดูอีกครั้ง คงตลกมาก คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นทำไปได้ยังไง
“มึงหล่อมากนะเป๊บ”
“เห็นด้วยกับโอ๊ต”
“เห็นด้วยกับเบิด”
“กูไม่เห็นด้วย” เพื่อนๆหันมามองฉัตร
“กูว่าโคตรหล่อมากกกกก อีเจ้าชายยยย”
“ฮ่าๆๆ” ทุกคนหัวเราะดังลั่น
“แล้วโจ้มันต้องเป็นเจ้าสาวดิ” เบิดแซว
“โอ้ยยยย อีนี่อะ สวยฉิบหายวายวอด สวยเว่อร์วังพัง อีสวยพินาศศศศศศ” ฉัตรจิก
“เดี๋ยวๆๆ นะคะคุณแม่ ตกลงนั่นชม” ทรายถาม
“ชมมมมมม อีสวยมากกกกกกกก”
“ฮ่าๆๆ”
   ผมละขำกับความตลกของฉัตร
“อีโจ้ เมิงน่ารักมาก ขอให้เมิงมีความสุขมากๆ นะ” ฉัตรกระซิบข้างหูผมแบบเป็นทางการเมื่อเพื่อนๆ เดินออกไปแล้ว
“เมิงก็เหมือนกันนะอีเป๊บ ดูแลอีโจ้ให้ดี สมกับที่กรูวางแผนช่วยเมิงให้ปล้ำอีโจ้”
“หือ มีแบบนั้นด้วย” ผมกันไปมองเป๊บ
“ไม่มีคร้าบบบบบ”
   เป๊บรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้ฉัตรหัวเราะดังลั่น
“กลัวเมียนะเมิงงงงง”
“เออดิ เคารพเมียเจริญไง”
   ผมหันไปมองด้วยสายตาดุๆ เป๊บก็ทำหน้าจ๋อยเล็กน้อย
“เสร็จงาน มีเคลียร์ วางแผนปล้ำ” ผมทำเสียงดุ
“ที่รัก ไปเชื่ออะไรฉัตรมันละครับ มันล้อเล่น ใครจะไปวางแผนแบบนั้น”
“เลิ่กลั่กนะเรา มีประเด็นแน่” ผมยังทำเสียงดุ
“โถ เมียครับ ไม่มีอะไรแบบนั้นจริงๆ”
“ไม่รู้แหละ มีเคลียร์แน่นอน”
   บรรดาแขกผู้มีเกียรติอีกหลายท่าน ต่างก็ทยอยเข้ามาร่วมแสดงความยินดี ผมกับเป๊บทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ความเหนื่อยล้าก็มีมากแต่เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่ยากแก่การอธิบาย ก็คุ้มค่ามากเหลือเกินครับ
   ผู้ที่เข้าร่วมงาน ต่างก็เดินไปยังจุดสถานที่จัดงานริมสระน้ำ ซึ่งทางผู้ใหญ่ของเราทั้งสองคน ได้จ้างออแกไนซ์มืออาชีพ มาเนรมิตงานแต่งงานส่วนตัวได้สวยงาม อลังการอย่างมากเลยทีเดียว
“เป๊บ นี่สระว่ายน้ำบ้านเราจริงหรือ” ผมหันไปถามเป๊บ
“นั่นสิครับ จัดฉากสวยงามมากจนเป๊บคิดว่าสระว่ายน้ำโรงแรมหกดาว”
“จริงเป๊บ สวยมากจนรู้สึกประหลาดใจเลยจริงๆ”

“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่า มาร่วมงานแห่งความสุข ความมงคลในครั้งนี้ ผมในฐานะพิธีกร ที่มีความสนิทสนมกับคุณพ่อของน้องเป๊บมาอย่างยาวนาน ขออนุญาตดำเนินรายการเพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยในครั้งนี้”
“บัดนี้ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเรียนเชิญหลานทั้งสองคน บนเวทีแห่งนี้ครับ”
   พิธีกรที่มีความสนิทสนมกับแด๊ด ได้เชิญผมกับเป๊บขึ้นบนเวที ท่ามกลางแสง spot light ที่ส่องตรงมายังเราสองคน
   เป๊บกุมมือเดินนำหน้าผมไปอย่างช้าๆ ส่วนตัวผมเองก็เป็นผู้ตามที่ดี ตลอดทั้งสองฝั่งทางเดิน ช่างกล้องนับสิบๆ คน ต่างกดชัตเตอร์ถ่ายรูป แสงแฟลชสว่างวาบสลับกันอย่างรวดเร็ว
   ผมเหลือบมองเห็นสีหน้าของบิดามารดาของเราทั้งสองคน สีหน้าของบรรดาเพื่อนสนิท ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรให้สมกับคำว่า สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นแฝงระคนไปด้วยความดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ มากที่สุด
   สติของผมกลับมาอีกครั้งเมื่อพบว่า ผมและเป๊บ ยืนเด่นสง่าอยู่กลางเวทีแล้ว
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ผมขออนุญาตอ่านประวัติทั้งสองท่านเพื่อได้รับทราบตรงกัน เจ้าบ่าวทางด้านซ้ายมือผมนี้ คุณxxx xxxx บุตรชายคนที่สามของคุณ xxxx และคุณ xxxxx จบการศึกษาบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการตลาดระหว่างประเทศ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากมหาวิทยาลัย xxxx และจบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA เกียรตินิยมดี จาก xxxxx ท่านถัดมา ก็เป็นเจ้าสาว เอ้ยยย เจ้าบ่าวววว เอ่อ...”
   การเรียกผิดเรียกถูกของพิธีกร สร้างอารมณ์ขันให้กับทุกคนได้หัวเราะดังลั่น จนผมกระซิบไปว่า เจ้าบ่าวก็ได้ครับ
“ครับ สำหรับเจ้าบ่าวอีกท่าน เป็นบุตรของคุณ xxx และคุณ xxx จบการศึกษาบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากมหาวิทยาลัย xxx จบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA เกียรตินิยมดี จาก xxxx โดยทั้งสองท่านกำลังมีแผนเรียนต่อในระดับปริญญาโทอีกใบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปลายปีนี้ครับ”
   เสียงปรบมือแสดงความยินดีกับเราทั้งสองคนดังกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณงาน
“พิธีการในลำดับถัดไป ขอกราบเรียนเชิญคุณพ่อแม่คุณแม่ของทั้งคู่ ขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวอะไรสักเล็กน้อยครับ”
   แด๊ด มัม คุณพ่อ คุณแม่ เดินขึ้นมาบนเวที โดยแด๊ดและมัมมายืนข้างผม คุณพ่อและคุณแม่ยืนข้างเป๊บ
“ในฐานะที่ผมเป็นผู้ดำเนินรายการ จึงขอใช้สิทธิ์ให้คุณพ่อของคุณเป๊บ เป็นผู้เริ่มกล่าวก่อนนะครับ”
   ผู้ช่วยพิธีกร ส่งไมโครโฟนไร้สายให้กับแด๊ด
“เรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ผม...เอ่อ...”
   เราสองคนหันมาสบตาและหันไปมองแด๊ดด้วยใจจดจ่อ ผมสังเกตเห็นแด๊ดกำลังสะกดอารมณ์อะไรบางอย่าง
“ผมดีใจ จนไม่รู้จะพูดอะไร”
   คำตอบของแด๊ดเรียกเสียงฮาครืนได้เป็นอย่างดี แด๊ดก้มหน้ายืนเงียบอยู่ราว 10 วินาที จึงเงยหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มกล่าว
“ผมมีลูกชายสามคน คนโตชื่อปริม คนรองชื่อปัน และคนสุดท้องชื่อ เป๊บ...ปันอายุห่างจากปริม 2 ปี เป๊บอายุห่างจากปริม 8 ปี เท่ากับว่าห่างจากปัน 6 ปี ผมกับภรรยาตั้งใจมีลูกเพียงแค่สองคน เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างการสร้างฐานะ”
   เสียงของแด๊ดเงียบไป ราวกับว่า คิดอะไรบางอย่าง แด๊ดหันกลับมามองเป๊บชั่ววินาทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปพูดต่อ
“ธุรกิจของผมในขณะนั้นลุ่มๆ ดอนๆ มาก บางช่วงกำไร บางช่วงขาดทุน หมุนเงินแทบไม่ทัน เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี จนลูกชายคนโตผมอายุ 8 ขวบ และคนรองอายุ 6 ขวบ เชื่อไหมครับว่า ปริมและปัน เขารับรู้ถึงความรู้สึกของพ่อกับแม่เขาเป็นอย่างดี”
   แด๊ดเว้นวรรคการพูดด้วยการเงียบ บรรยากาศภายในงานเงียบกริบพร้อมกับแขกเหรื่อทุกคนตั้งใจฟังอย่างมาก
“จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมกำลังเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ต่างจังหวัด เพื่อหาเงินมาชำระหนี้สิน ผมได้เจอกันซินแสท่านหนึ่ง ท่านมองหน้าผมแล้วยิ้มให้ ผมเองก็ยิ้มตอบท่าน ไม่รู้ซิครับ ความรู้สึกระหว่างผมกับซินแส เราสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน ผมยังจำประโยคแรกที่ซินแสทักเป็นสำเนียงจีนได้”
“สวัสดีท่านเจ้าสัว”
“ทุกท่านทราบไหมครับ ผมนึกไปเสียว่าซินแสทักคนผิด เพราะ เขากำลังทักคนที่มีหนี้สินนับร้อยล้านบาทแบบผมว่าเจ้าสัว....ผมตอบท่านไปว่า”
“ผมไม่ใช่เจ้าสัวหรอกครับ ผมเป็นคนคนหนึ่งที่กำลังจะใกล้ล้มละลาย หนี้สินสามร้อยล้านบาทยังไม่รู้ว่าจะหาเงินจ่ายคืนได้ครบไหม ซินแสทักคนผิดแล้วครับ”
“ท่านเจ้าสัว...อั๊วะเรียกไม่ผิดหรอก ท่านคือ ท่านเจ้าสัว อีกไม่นานสวรรค์จะประทานอัญมณีล้ำค่ามาให้ แล้วท่านเจ้าสัวจะสุขสบาย ร่ำรวยมีเงินหมื่นๆ ล้านเลยนะ”
“สาธุครับท่านซินแส หากเป็นดังนั้นจริง ผมจะมาสร้างวัดจีนให้ท่านซินแสเลยนะครับ”
“ไม่ต้องๆ อั๊วะเจอท่านเจ้าสัวได้ครั้งเดียว จำคำของอั๊วะไว้นะ อัญมณีจะมาแล้ว วันใดที่อัญมณีมาหาท่านเจ้าสัว สิ่งที่ไม่มีมันจะมี สิ่งที่ไม่ได้มันจะได้ สิ่งที่เหนือจินตนาการจะปรากฏ อั๊วะขอให้ท่านเจ้าสัวมีความสุขมากๆ นะ”
   แด๊ดยืนนิ่งเงียบ ราวกับว่ากำลังจัดการอารมณ์อะไรสักอย่าง
“ทุกท่านทราบไหมครับ คำบอกเล่าของซินแสคนนั้น เปรียบเสมือนสายน้ำทิพย์ชโลมดับทุกข์ในใจผมในวัยหนุ่ม ให้ค่อยๆ ทรุดตัวลง พร้อมก้มกราบซินแสคนนั้น...ซินแสท่านเอามือมาลูบศรีษะผม”
“ท่านเจ้าสัว อัญมณีจะมาแล้ว ท่านจะสมหวังทุกอย่างเลยนะ”
“ผมรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมเงยหน้าขึ้นพร้อมคราบน้ำตา และล่ำลาท่านซินแส เดินทางหาเงินใช้หนี้ต่อไป.....”
   แด๊ดเงียบอีกครั้ง
“จนมาวันหนึ่ง ผมเดินทางไปพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ในเครือธุรกิจของผม หนี้สินตอนนั้นไม่ได้ลดลงเลย กลับเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยซ้ำ ผมเข้าพบผู้ใหญ่ท่านนั้นแล้วนำเสนอผลิตภัณฑ์ เมื่อผมนำเสนอจบท่านพูดว่า”
“ผลิตภัณฑ์ของคุณน่าสนใจมาก ผมขอซื้องวดแรกทำสัญญาตกลงกัน 50 ล้านบาท”
   แด๊ดยืนเงียบ นิ่งไปครู่นึง
“ผม...ตกใจ...และดีใจมาก มากที่สุด เอาจริงๆ มันเกินกว่าคำว่ามาก เพราะนั่นหมายความว่า ผมมีเงินไปจ่ายเงินเดือนลูกน้อง และชำระหนี้สิน แม้ว่ามันจะไม่พอ แต่ก็ช่วยให้รอดไปได้ระยะหนึ่ง”
“ผมรีบขับรถกลับมาที่บ้าน เพื่อจะบอกข่าวดีกับภรรยา เมื่อมาถึงบ้าน ผมเห็นภรรยานั่งยิ้มตรงโซฟา...ผมเดินเข้าไปหา...รีบบอกเล่าด้วยความดีใจ เชื่อไหมครับว่า ภรรยาผมได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไรสักคำ จนถึงขั้นผมถามว่า ไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ...ภรรยาผมพูดนะครับ แต่เป็นประโยคที่ว่า”
“คุณพี่...เรากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วนะคะ”
“ลูก...ลูกของเราสองคนหรือ”
“ใช่คะ ลูกคนที่สามของเรา”
“ผมดีใจมาก ได้รับข่าวดีถึงสองเรื่องในวันเดียวกัน...ผมสามารถหาเงินใช้หนี้หลายร้อยล้านบาทจนหมดภายใน 6 เดือน หลังจากลูกคนที่สามคลอดซึ่งก็ คือ เป๊บ กิจการของผมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นกำไรทุกอย่าง สิ่งที่เคยคิดว่าไม่มีมันก็มี สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มันก็ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามดังที่ซินแสท่านนั้นได้กล่าวไว้ อาณาจักรของผมใหญ่โตมาก จนขยายไปยังหลายธุรกิจ ดังที่ทุกท่านเห็นทุกวันนี้”
    แด๊ดยืนนิ่งเงียบ พร้อมหันมาสบตาผม
“โจ้ลูก....พ่อขอฝากอัญมณีเม็ดงามนี้ไว้กับลูก ขอให้ลูกรักษาอัญมณีเม็ดนี้ที่พ่อรัก ดูแลแทนพ่อ...ตลอดไปนะลูก”
   เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั้งงาน ผมหันไปมองเป๊บที่น้ำตาไหลเหมือนเด็กขี้แย
   ผมหันไปมองด้านล่างเวที เห็นพี่ลินกับพี่เน็ต กำลังซับน้ำตาให้พี่ปริมและพี่ปัน
   ผมเห็นผู้ร่วมงานหลายคนบ้างก็ซับน้ำตา บ้างก็ปรบมือยิ้มแย้ม ประหนึ่งว่าได้ฟังคำสอนจากละครชีวิตฉากใหญ่เรื่องหนึ่ง ที่นักแสดงมืออาชีพได้วาดลวดลายฝีมือไว้อย่างดีเยี่ยม
   เป๊บเดินเข้าไปกอดแด๊ด พร้อมร้องไห้จนตัวสั่น แขกเหรือทุกคนในงานต่างปรบมือเสียงดังสนั่น ผมยืนมองทุกอากัปกิริยาด้วยความสุข
   เป็นความสุขระหว่างครอบครัวของเราสองคน ที่โชคชะตานำพาให้ได้มาพบเจอกัน
   ผมเชื่อว่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีคงไม่มีใครได้ยินเสียงสนทนาระหว่างพ่อลูกคู่นี้ เว้นเพียงแต่ผมคนนี้ที่ได้ยินทุกคำตัดพ้อว่า ทำไมแด๊ดไม่เคยเล่า รักแด๊ด รักแด๊ด และรักแด๊ด
   เรื่องราวแห่งความประทับใจได้ทำให้คุณพ่อของผมเอง ในฐานะที่กล่าวอะไรบ้าง ถึงกับพูดออกไมโครโฟนว่า คุณพ่อของลูกเขยผมได้กล่าวแทนไปหมดแล้ว เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
   ภายหลังจากพิธีการตัดเค๊ก รวมถึงการโยนช่อดอกไม้ ซึ่งตัวผมเองไม่อยากให้มีกิจกรรมนี้เลยจริงๆ ด้วยเหตุผลอะไรนะหรือครับ
   ผมเป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นเจ้าสาวนี่น่า แต่แม้กระนั้น กิจกรรมนี้ก็ถูกจัดขึ้นอยู่ดี
   คนที่ได้รับดอกไม้ช่อโต เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจ้าแม่ฉัตร เพื่อนรักของผม ได้รับดอกไม้ และความเชื่อที่ว่าผู้ที่ได้รับดอกไม้จะได้พบเจอเนื้อคู่และแต่งงานกัน....เป็นความจริงเลยทีเดียว
“อัญมณีของโจ้ มีความสุขไหม”
   ผมเอ่ยแซวเป๊บในขณะที่เราสองคนกำลังส่งแขกที่ซุ้มหน้าประตูงาน
“ที่สุดเลยครับ เป๊บได้ปลดล๊อกทุกอย่าง อะไรที่ไม่เคยเข้าใจตั้งแต่เด็ก อะไรที่เคยสงสัย มาวันนี้ เป๊บเข้าใจทุกอย่างแล้วครับ”
“โจ้ดีใจนะที่เป๊บลบล้างความคิดและความสงสัยทั้งหมดนั้นได้ นับจากนี้ไปเราสองคนจะวางแผนชีวิตและดำเนินมันไปตามชะตาลิขิตละกันนะ”
“ครับ”
   เราสองคนบีบมือกันแน่น เพื่อเป็นสิ่งที่แทนใจว่าจะรักษาคำมั่นสัญญาอย่างดี
“อาตี๋หย่าย อาตี๋เล็ก” เสียงอาม่าทักดังขึ้นจนเราสองคนหันไปมอง
“อาม่า จะกลับแล้วหรือครับ ไม่นอนค้างบ้านสักคืนหรือ” เป๊บโน้มตัวลงไปถามอาม่าที่นั่งบนรถเข็นอย่างอารมณ์ดี
“โอ้ยยย ม่ายต้องๆ อ่า อาม่าเกงจายยย กับไปนองที่บ้างดีเลี่ยว”
“เกรงใจอะไรกันครับอาม่า อาม่าก็เป็นญาตผู้ใหญ่ที่ผมกับโจ้เคารพรัก นอนที่นี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับนะครับ”
“นั่นสิแม่ น้องเขาชวนขนาดนี้ นอนนี่เถอะ”
“ใช่ครับอาม่า นอนค้างคืนเดียวเองงงงง” ผมย้ำจนอาม่าตัดสินใจ
“ล่ายๆๆ นองที่คืงเดียวน่า ค่อยกับพุ่งนี้อ่า”
“ดีใจจังครับ งั้นเดี๋ยวผมให้เด็กแม่บ้านเตรียมห้องให้นะครับ...เวชๆ ไปตามเด็กมาชุดนึงดูแลอาม่าด้วย”
“ครับคุณหนู”
   ผมกับเป๊บต่างยกมือไหว้ทยอยส่งแขกผู้ร่วมงานเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเบาบางจนเกือบหมด
“นั่นมึงจะกลับแล้วหรือ” เป๊บเอ่ยถามโอ๊ต จนผมหันมามอง
“เออดึกละ”
“แล้วมึงจะกลับด้วย” ผมถามฉัตร
“ช่ายยยย ง่วงแล้วววว”
“ยังไม่ได้เม้ากันเลย”
“โหยย อีโจ้วววว จะเม้าไรยะ เมิงเหนื่อยมาทั้งวันไปนอนพักเหอะ”
“ก็อยากเม้า เดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันครบแล้ว” ผมหันไปมองเบิด
“เอ้ยเมิง กูบินกลับบ้านอาทิตย์หน้าโน่น เอางี้มะ พรุ่งนี้เย็นๆ นัดแดกข้าวส่งท้าย” เบิดเสนอ
“ตามนั้น ดีมากกก ร้านไหนว่ากันอีกที” ผมรับคำเบิด
“เอองั้นพวกกูไปละ คืนนี้ก็เบาๆ หน่อยนะมึง เดี๋ยวกำแพงถล่ม” โอ๊ตแซวเป๊บ
“โจ้ชอบหนัก กูเบาไม่เป็นหรอก” เป๊บตอบ
“อยากตาย” ผมหันไปมอง
“ป่าวค้าบบบบบบ”
“โถวววว นึกว่าจะแน่อีพ่อบ้านเกลียมัว” ฉัตรแซวเป๊บ
“ฮ่าๆๆๆ” เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ เป็นอย่างดี
   เมื่อเพื่อนๆ กลุ่มสุดท้ายกลับไปหมดแล้ว ผมกับเป๊บก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน ขึ้นห้องนอนชั้นสอง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เดินลงมาชั้นล่างเพื่อตรวจสอบการจัดเก็บงานเสร็จเรียบร้อยหรือยัง
“อ้าวไอ้เสือ ทำไมยังไม่นอน” พี่ปริมร้องทักเป๊บ
“เดินลงมาดูความเรียบร้อยครับพี่ปริม” เป๊บเดินเข้าไปหาแล้วกอดพี่ปริม
“อ้อนจะเอาอะไรอีกละ”
“นั่นดิ กอดพี่ปริมแบบนี้ อยากได้อะไรอีกแน่” พี่ปันแซวเป๊บ
   เป๊บไม่ตอบคำถามของพี่ทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เป๊บยังคว้าตัวพี่ปันมากอด
   เบื้องหน้าที่ผมเห็น คือ สามพี่น้องกอดกันอย่างอบอุ่น สีหน้าของพี่ปริมและพี่ปัน ยิ้มแบบมีความสุขมาก ผมไม่รู้ความหมายที่แท้จริงหรอกครับว่าทั้งสามคนรู้สึกอย่างไรกัน แต่ผมเชื่อว่า มันคงเป็นสัมผัสของอ้อมกอดที่มีความสุขมากแน่ๆ ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ
   ผมไม่อยากขัดเวลาแห่งความสุขของทั้งสามคน เผื่อว่าเขาจะมีอะไรที่พูดคุยกัน จึงเดินเลี่ยงออกมาดูการจัดเก็บงานบริเวณสระน้ำว่าเรียบร้อยสมบูรณ์หรือไม่
   ระหว่างที่กำลังเดิน ผมเห็นอาม่า แด๊ด มัม คุณพ่อ คุณแม่ นั่งคุยกันในห้องรับรอง จึงแอบเสียมารยาท ยืนพิงกำแพงใกล้ๆ ฟังเรื่องราวว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกัน
“ซิงแสคงนั้งเป็นเทพพะยากองน่า”
“เทพพยากรณ์หรือครับ” แด๊ดเอ่ยสำทับ
“ช่ายเลี่ยวๆ”
“ของผมด้วยหรือครับ”
“ช่าย ของลื้อก็ล่วย” คุณพ่อก็ทำหน้าประหลาดใจ
   เรื่องราวของแด๊ดผมเฉยๆ แต่เรื่องที่คุณพ่อผมทำหน้าประหลาดใจนี่สิ คืออะไร
“ช่าย ตามโบรางน่า เชื่อกังว่า คงมีบุงจากสาหวันชั้นสูงๆ ลงมาเกิก ท่างเทพพะยากอง จะนิมิกล่างกายลงมาเจอคงที่จะเปงพ่อแม่เขาน่า ก็คือ ลื้อทั้งสองคงอ่า”
“โห แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับอาม่า แต่คิดไปคิดมาก็จริงนะแหละ ตอนภรรยาผมท้องลูกโจ้ กิจการงานธุรกิจต่างๆ เติบโตมาก กำไรมากมายเลยครับ”
“จริงค่ะอาม่า แล้วตอนท้องเจอแต่เรื่องราวดีๆ มีคนเอานั่นนี่มาให้เยอะแยะ งงเหมือนกันค่ะ” คุณแม่ผมร่วมเล่าด้วย
“ของดิฉันตอนท้องสามลูกเป๊บ แทบไม่แพ้ท้องเลยค่ะ ทานอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นเนื้อวัว ได้กลิ่นทีไรไม่ได้เลย” มัมเล่าอาม่า
   ผมยืนตาโตอยู่ตรงกำแพงบริเวณหน้าห้องด้วยความตกใจระคนเหลือเชื่อ นี่คุณพ่อของเราเจอซินแสคนนั้นเหมือนกันหรือ
“ลูกลื้อทั้งสองอ่า เปงคงมีบุงมากน่า อีสะสมบุงมากหลายพกชากมาก มากจิงๆ อ่า ด้วยบุงนั้นอ่าเลยทำให้พวกลื้อมีกิงมีช้าย ทำมายลู้มะอ่า”
   ผู้ใหญ่ทุกคนพร้อมกันส่ายหน้า
“เพาะว่าคงมีบุงลงมาเกิก มังลำบากม่ายล่าย จาต้องสุกสาบายทุกหยั่งอ่า สาหวันจึงให้ลื้อทั้งหมกล่ำลวยงาย อีสองคงจาได้สาบายอ่า”
“ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับอาม่า กิจการทั้งหมด วันหนึ่งจะต้องให้ลูกๆดูแลอยู่แล้วครับ”
“นั่งแหละ แต่ว่าอาคุงเจ้าสัวทั้งสองม่ายต้องเปงห่วงน่า พวกอีจะทำให้ทุละกิดของพวกลื้อจาเริงๆ ต่อปาย เชื่ออาม่าน่า”
   ผมยืนจับหน้าอกด้วยใจเต้นตึกตัก เรื่องราวในอดีตทำไมถึงได้เหลือเชื่อมากขนาดนั้น ทำไมหลายๆ เหตุการณ์ของผมกับเป๊บถึงได้คล้ายคลึงกัน
   ผมเชื่อแล้วว่า บุญ เป็นของพึ่งพาได้จริงๆ
“มายืนทำอะไรตรง...อุ๊บบบส์”
   ผมรีบเอามืออุดปากเป๊บ กลัวผู้ใหญ่ในห้องได้ยิน เป๊บเองก็ทำหน้าตกใจ จนผมต้องลากเป็บขึ้นมาบนห้องนอน
“ที่รัก มีอะไรหรือครับ เล่าได้ยัง” เป๊บเอามือแกะมือผมออกจากปากแล้วยิงคำถามทันที
   ผมก็เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งหมดให้เป๊บได้รับฟัง ทำให้เจ้าตัวตาโตตกใจเช่นกัน
“หา จริงหรือครับ อะไรจะบังเอิญเหมือนกันขนาดนั้น”
“นั่นสิเป๊บ โจ้ตกใจมากกก อะไรจะคล้องจองกันได้ขนาดนั้น”
“ที่สุดเลยครับ บนโลกใบนี้หลากหลายเรื่องราวช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

   ผมผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน รู้สึกตัวอีกครั้งก็ไม่เห็นเป๊บนอนข้างๆ จึงลุกขึ้นมามองไปรอบๆ ห้อง ก็เห็นเงาของเป๊บ นอนกึ่งนั่งเล่นอยู่ตรง sunbed ตรงดาดฟ้าที่ติดห้องนอนของเราสองคน ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินไปยังจุดที่เป๊บนั่งอยู่
   เมื่อผมเดินไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงเป๊บกำลังร้องฮัมเสียงเพลงอะไรสักอย่าง
“อุ้ย..ที่รักตื่นมาทำไมครับนี่ หรือว่า เป๊บร้องเพลงเสียงดังจนทำให้ตื่น” เป๊บถามผมด้วยความตกใจ
“เปล่า..พอดีรู้สึกตัวว่าไม่มีใครกอด เลยตื่นขึ้นมาดูว่าสามีหายไปไหน” ผมตอบแบบยิ้มๆ
“หืม...เดี๋ยวนี้กล้าพูดนะครับว่าเป๊บเป็นสามี”
“ก็แต่งงานแล้ว พูดได้เต็มปากเต็มคำสิ”
“ฮ่าๆ ที่รักไปนอนต่อเถอะครับ เป๊บนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเดี๋ยวก็จะไปนอนแล้ว”
“ไม่เอาอะ รอไปนอนพร้อมเป๊บ”
“ถ้ารอนอนพร้อมเป๊บ มานอนรอตรงนี้ก่อนไหม” เป๊บเอามือตบที่นอนเป็นสัญญานเชิญชวนให้ลงไปนอนข้างๆ
   ผมล้มตัวลงไปนอนหนุนอกอุ่นๆ ของเป๊บ แล้วมองพระจันทร์เต็มดวง ส่องสว่างเรื่อๆ เพียงพอให้รู้ว่าในยามที่โลกใบนี้เข้าสู่ความมืดมิด แสงจากพระจันทร์ก็ยังคงช่วยเราให้เห็นทุกสิ่งรอบตัวเสมอ แม้นว่ามันจะเลือนรางบ้างก็ตาม
“คิดอะไรอยู่อะเป๊บ”
“เรื่อยเปื่อยครับ...ส่วนมากก็เรื่องในอดีต”
“เล่าโจ้ได้ไหม”
   เป๊บก้มลงมองสบตากับผม พร้อมกับจุ๊บหน้าผากครั้งนึง
“ได้สิครับ...เป๊บคิดถึงเรื่องในอดีตที่เชื่อไปเองว่า แด๊ดกับมัม ไม่รัก ไม่สนใจ รักพี่ปริมกับพี่ปันมากกว่า”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นได้ละ”
“ก็ส่วนมากเป๊บจะโดนทอดทิ้งอยู่บ้านคนเดียว แด๊ดกับมัมไปทำงานที่ต่างประเทศ พี่ปริมกับพี่ปันก็ต้องไปช่วยงานที่บริษัท ทุกเช้าเมื่อตื่นมา ก็จะเจอป้าจันทร์ คนงาน แม่บ้าน เป็นเพื่อนอยู่ด้วยเสมอ แต่คนเหล่านั้นเป๊บไม่ได้รู้สึกต้องการมากเท่ากับแด๊ด มัม พี่ปริมและพี่ปัน นะครับ”
   ผมเงยมองหน้าเป๊บ โดยที่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“จนวันหนึ่งเป๊บได้เจอโจ้ แล้วก็ตกหลุมรักแบบทันที โจ้รู้ไหมว่า ช่วงที่ตกหลุมรักโจ้ เป๊บมีกำลังใจและมองโลกใบนี้ว่าน่าอยู่มาก มันเหมือนกับโจ้ได้ชุบชีวิตเป๊บขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว เหงา ว้าเหว่ เดียวดาย จนกระทั่งเป๊บอยากทำให้ความรักขอวเราสองคนจริงจัง และถูกต้อง จึงได้ตัดสินใจบอกแด๊ดกับมัม แต่ผลปรากฏดังที่เรารู้กัน”
   ผมพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา มันเจ็บปวดเหมือนกันนะครับ แต่ถึงยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว ไม่ควรระลึกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บใจอีก
“ตอนนั้นเป๊บเสียใจมากที่ความรักของเราสองคนกลายเป็นอุปสรรค ความทุกข์ทรมานเข้าปกคลุมใจอย่างถึงขีดสุด แต่ว่า มา ณ ตอนนี้ เป๊บเข้าใจทุกอย่างแล้วครับ”
“เข้าใจว่ายังไงอะเป๊บ”
“เข้าใจความรู้สึกของแด๊ดที่รักอัญมณีเม็ดนั้นมาก รักมากจนคิดว่า แด๊ดจะดูแลอัญมณีเม็ดนั้นให้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อตอบแทนสวรรค์ที่ประทานอัญมณีมาให้...นั่นคงเป็นเหตุผลที่แด๊ดปกป้องจนทำให้ความรักของเราสองคนกลายเป็นอุปสรรคครับ”
“โจ้เห็นด้วยกับเป๊บนะ แด๊ดไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย แด๊ดได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องอัญมณีอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในงานวันนี้ แด๊ดถึงได้บอกกับโจ้ไงว่าฝากดูแลอัญมณีเม็ดนี้ด้วย”
“ใช่ครับ แต่นิสัยส่วนตัวของแด๊ด ฝากแล้วให้แล้ว ไม่รับคืนนะ”
“เห๊อะ ถึงจะทวงคืนก็ไม่คืนเถอะ” ผมยิ้มกว้างเงยหน้าตอบเป๊บ
“จริงนะครับ รักษาดีๆละ”
“ไม่ต้องห่วง จะดูแลอย่างดีเลย”
“รักนะครับ”
“รักเหมือนกันนะเป๊บ”


   เราสองคนประกบริมฝีปาก จูบอย่างแผ่วเบา เป็นเสมือนสิ่งที่สื่อแทนใจว่า
   ผมในฐานะภรรยาจะดูแลอัญมณีเม็ดนี้เป็นอย่างดี
   และอัญมณีในฐานะสามีก็จะรักและดูแลผู้ครอบครองอัญมณี
   ตลอดไป..........

END
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2019 13:06:23 โดย jonathan2624 »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :hao5:  ฮือจบแล้ว น้ำตาไหลค่ะ ซาบซึ้งมาก

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
รู้สึกโชคดีมากที่ได้อ่านเรื่องราวของโจ้กับเป๊ป นอกจากได้รับความสนุกเพลิดเพลิน ยังได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง  ขอบคุณโจ้มากที่สละเวลาเขียนให้ได้อ่านกัน หวังว่าถ้ามีเวลาว่างโจ้จะเขียนตอนพิเศษ อย่างตอนไปเรียนเมืองนอก หรือมีเรื่องราวอะไรที่ประทับใจอื่นๆ อีก  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ปลื้มปลิ่มแทนน้องทั้งสองที่มีครอบครัวที่น่ารัก รักกันนานๆนะคะ ดีใจที่ได้อ่านเรื่องราวของทั้งสองคนค่ะ และขอบคุณที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆนี้ :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
อิอิ กำลังจะทวง ขออ่านก่อนนะ
 :mew1:

ประทับใจอย่างมาก ขอบคุณน้องโจ้ที่สละเวลาเขียนเรื่องราวต่าง ๆ มาให้ได้อ่าน

ตอนนี้เขียนจบแล้ว แต่อย่าจบการมาทักทายกันนะครับ มีเวลาก็มาเล่าเรื่องชีวิตประจำวันสู่กันฟังอีกนะ

รักน้องทั้วสองคนครับ
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2019 21:26:06 โดย Yarkrak »

ออฟไลน์ Tinton

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ขอบคุณนะครับ ที่เรื่องราวดีดีของพี่ทั้งสองคนมาเล่าสู่กันฟัง :D

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด