ตอนที่ 46 เปิดเทอม...
“คืนนี้จะกลับไปนอนบ้านไหม” นั่นคือคำทักทายหลังจากมันกลับมาจากข้างนอก ขณะเปิดตู้เย็นรินน้ำผลไม้ลงแก้ว
“อะไร? คบกันแค่วันเดียวก็จะไล่กันอีกแล้ว....” ผมทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ไม่ได้ไล่... แค่ถาม” มันเถียง ค่อยๆ เดินเข้ามาหา แล้วยื่นแก้วน้ำที่มันยกดื่มเหลือครึ่งแก้วมาให้ ผมรับมาถือไว้
“ก็คนเคยอยู่บ้านใหญ่ๆ จะให้มาอยู่ห้องแคบๆ แอร์ก็ไม่มี มันก็ลำบากใช่ไหม ก็เลยถามดู”
“อยู่ได้ไม่ได้ ก็อยู่มาแล้วทั้งวัน... อีกอย่างกูน่าจะเคยพูด ที่ไหนมีมึง กูก็อยู่ได้หมด”
มันพยักหน้ายิ้ม
“ไม่ชอบน้ำองุ่นเหรอ?”
“ฮะ?” ผมขมวดคิ้ว เมื่อเห็นมันเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“น้ำองุ่นน่ะ ไม่ชอบเหรอ กูชอบนะ ฝาดๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยดี”
“ก็ไม่ได้ไม่ชอบ”
“กินได้ก็กินดิ ถือไว้ทำซากอะไรล่ะ” มันบอกพร้อมยิ้มกวนๆ ทำให้ผมยกน้ำองุ่นในมือขึ้นจิบอย่างเสียไม่ได้
เออ.... อร่อยดีแฮะ คิดแล้วกระดกพรวดจนหมดแก้ว
“ถึงยังไงมึงก็ต้องกลับอยู่ดี เพราะไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ กูไม่นิยมใส่เสื้อผ้าพวกฮิปฮอปเลยมีแต่พอดีตัว ขืนมึงใส่ออกไปไหน หึหึ เกย์ชิบ....”
“ถ้าบอกแบบนั้นแต่แรกก็เข้าใจแล้ว กูก็นึกว่ามึงจะไล่กูไปไหนอีก”
“เหอะ... สัญญาก็ไม่มีแล้ว ห้องนี้ก็ห้องกู ถึงกูจะไล่ก็มีสิทธิ์เต็มที่นะ” มันบอกทำหน้าแบบถือไพ่เหนือกว่า
“ใจร้ายจริงๆ”
“วู้ อย่ามาทำหน้าหงิก ถึงกูมีสิทธิ์กูก็ไม่ไล่หรอก ถ้าหากว่า....”
“อะไร?”
“ถ้ามึงไม่กวนตีนกูก่อนอ่ะนะ” มันบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้ผมพลอยยิ้มตาม เพราะไม่ได้เห็นมันยิ้มและหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแบบนี้บ่อยนัก
“วันนี้กินอะไรดีนะ... อยากกินอะไรป่ะ?”
“อะไรก็ได้...”
“กูอยากกินข้าวต้มกุ๊ย แต่นี่เพิ่ง 5โมงเย็นไม่รู้ร้านเปิดหรือยัง มึงหิวยังล่ะ...” มันถามระหว่างก้มหน้าเข้าหาตู้เย็น
“ถ้าหิว.... กินมึงก่อนได้มะ”
“กูว่า.... กูจะไล่มึงกลับบ้านไปก็เพราะแบบนี้ล่ะ....” มันหันมาค้อน
“แค่หยอกเล่นเอง มึงก็....จริงจังตลอด...” ตอนนี้มันถือถุงอะไรสักอย่างไว้ในมือเรียบร้อยแล้วใช้กรรไกรตัดปากถุงแล้วยัดถุงนั้นเข้าเวฟไป....
ติ๊ง เทไส้กรอกใส่จานแล้วเดินมายื่นให้
“รองท้องก่อน” มันบอกเดินกลับไปหยิบซอสซองกลับมา
“เอาซอสอะไร”
“ไม่กินอ่ะ ไส้กรอกเปล่าๆ ก็ได้” ผมบอกแล้วเอาไม้จิ้มคอกเทลรมควันเข้าปาก
“ไม่อร่อย” มันบอกรีดซอสมะเขือเทศใส่ที่ริมจานแล้วแย่งไม้จิ้มไปจากมือผม
เราสองคนแย่งกันกินไส้กรอกจนใกล้หมด
“ยังมีอีกนะ เวฟเพิ่มไหม?”
“เก็บท้องไว้กินข้าวต้มดีกว่ามั้ง”
“เค...งั้นชิ้นสุดท้ายแฟนหล่อ...” มันว่าพร้อมกับจิ้มชิ้นสุดท้ายกำลังจะเข้าปาก แต่ผมรีบจับมือมันไว้เสียก่อน
“นั่นมันของผู้หญิง ถ้าผู้ชายมันต้องชิ้นสุดท้ายแฟนสวยต่างหาก”
“ก็กูไม่อยากมีแฟนสวย...”
“งั้นเอามานี่ กูกินเอง มึงไม่ต้องกินหรอก เพราะแฟนมึงอ่ะ หล่ออยู่แล้ว...” ผมบอกแล้วยื้อแย่งไส้กรอกมากินซะเอง
“งั้นมึงก็หาว่ากูไม่หล่ออะดิ”
“อะไร ไม่ได้พูดซะหน่อย”
“พูด เมื่อกี้....” ผมเลิกคิ้วเมื่อมันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง...
ง่ำ.... ผมกัดไส้กรอกไปครึ่งคำแล้วอมยิ้ม โยกไม้จิ้มกลับไปป้อนมัน
“อ่ะ...งั้นคนละครึ่ง” มันทำเป็นเก๊กยื่นหน้ามากินไส้กรอกหน้านิ่ง
“ทีนี้แหละ หล่อเท่ากัน....เคนะ” ผมสรุปเสียงหวานเพื่อเป็นการยุติข้อบาดหมาง...
“ไม่เท่า... มึงกินเข้าไปก่อน กูเลยหล่อกว่ามึงนิดนึง....หึหึ” แล้วมันก็ยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว....
6 โมงกว่าๆ เราอยู่ร้านข้าวต้ม...
“สั่งอะไรเยอะแยะ...” ผมเห็นกับข้าวบนโต๊ะมากมายก่ายกองจึงเอ่ยถาม...
“มื้อนี้กูเลี้ยง เพราะงั้นห้ามบ่น”
“หึ... แค่โดนแย่งไส้กรอก เลยหิวมากหรือไง”
“เลี้ยงฉลองได้คบกันวันแรกไง ไม่ดีเหรอ?”
“โอ๊ะ เพิ่งรู้มึงดีใจ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น ก็แค่หาเรื่องกิน แต่กูก็ได้แค่นี้แหละ ลองถ้ามึงคบกับผู้หญิง เชื่อมะ เค้าต้องเปิดครัวทำอาหาร 38อย่างให้มึงกิน แต่พอดีเป็นกูไง มึงเลยได้กินแค่ข้าวต้มกุ๊ยข้างถนน”
“แค่นี้ก็ดีถมถืดไปแล้ว กูอยากได้แฟน ไม่ได้อยากได้แม่ครัว”
“ขอบใจนะ ที่ไม่บอกให้กูไปหัดทำกับข้าว”
“ถ้าบอกแล้วมึงจะไปป่ะล่ะ”
“แค่อุ่นข้าวกล่องกับไส้กรอก ทอดไข่ให้มึงกินได้นี่ก็สุดๆ ของกูละ”
“อืม....แค่มึงตกลงคบกับกู...นี่ก็เรื่องดีสุดๆ ของกูแล้วเหมือนกัน....” ผมยิ้ม เอียงคอเอามือเท้าแก้ม...
มันยิ้มเขินๆ แล้วก้มหน้าลงหาชามข้าวต้ม แก้มสีซีดเรื่อสีนิดนึง...
เห็นมันเลี้ยงข้าวต้มไป 300 กว่าบาทรู้สึกเกรงใจ เลยให้เงินมันไป100 นึงบอกให้ไปซื้อน้ำมา ที่ไหนได้... มันดันเอาเงินมาคืน แล้วแต่ได้น้ำมาสองแก้ว
“อะไร? มึงเชิดค่าน้ำเหรอ?”
“เปล่า น้ำฟรี... ช่วยไม่ได้คนหน้าตาดีไปซื้อ...” มันลอยหน้าโอ้อวด
“เค้าจีบมึงเหรอ?” ผมถามเสียงขุ่นลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งหน้าร้าน
“เฮ้ย เดี๋ยวมึงจะไปไหน...” มันวางน้ำลงบนเก้าอี้แล้วหันมาคว้าแขนผมไว้
“เอาตังค์ไปให้เค้า ละก็บอกเค้าว่ามึงอ่ะมีผัวแล้ว....”
“ไอ้บ้า.... เค้าไม่ได้จีบกู เค้าชอบมึงต่างหากเล่า....”
“ฮะ?”
“เค้าเห็นกูมากะมึง เค้าเลยไม่คิดค่าน้ำอ่ะ” มันบอกเสียงอ่อย
“งั้นก็แล้วไป....” ผมบอกด้วยน้ำเสียงดีขึ้น มันจึงยอมปล่อยแขนที่กอดไว้ออก แต่ผมก็ยังดึงดันจะเดินเข้าไปในร้านน้ำนั่นอยู่ดี....
แม่ค้าร้านน้ำพอเห็นผมเปิดประตูเข้าร้านมาก็ยิ้มร่าแก้มจะแตก แต่ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจแรกอยู่ดี...
“ขอโทษนะ พอดีมีปัญญาซื้อกินเองได้ คราวหลังไม่ต้อง” ผมบอกแล้ววางแบ๊งค์ร้อยไว้ตรงหน้า ทำเอาคนขายหน้าเฝื่อน เบะหน้าเหมือนฟ้าผ่าบ้านพัง...
หันกลับไปอีกทีเจอไอ้ตัวดีทำหน้าเหยเกเหมือนตัวเองเป็นคนโดนด่าซะเอง..
“โอ๊ย... กูจะบ้า... มึงพูดแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง...” มองหน้าคนหน้าจืดซีดแล้วซีดอีกจนผมหมั่นไส้
“ก็มันเรื่องจริง มึงนั่นแหละ ทีกูให้อะไรทำบ่ายเบี่ยงสารพัด ทีกับคนอื่น รับมาหน้าตาเฉย”
“ก็เจตนามันไม่เหมือนกัน เค้าให้ด้วยน้ำใจ แต่มึงอ่ะ คิดแต่จะเอาเงินฟาดหัวกู อีกอย่าง ดูแต่ละคำที่มึงพูดสิ อยากลองของแปลกบ้างล่ะ เกิดติดใจขึ้นมาบ้างล่ะ ผีเจาะปากมาพูดหรือไง”
“กูมันก็ปากเสียแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงก็ลืมๆ ไปบ้างเถอะน่า เรื่องมันเก่า ชาติมะโว้ละ”
“กูไม่ลืมง่ายๆ หรอก เพราะมันไม่ใช่ครั้งเดียว ตั้งกี่ครั้งกี่หนที่มึงทำให้กูเสียความรู้สึก ทั้งที่รู้ตัวและก็ไม่รู้ตัว”
“กูก็ขอโทษแล้วไง”
“งั้นมึงกลับไปขอโทษเค้าด้วยสิ มึงพูดแรงเกินไปละ...”
“เรื่อง.... กูขอโทษมึงก็เพราะกูรักมึง... แต่คนอื่นทำไมกูต้องแคร์ด้วยล่ะ กูไม่ได้ชอบเค้านี่...”
“ไม่แน่นะ วันหน้าอาจจะชอบ เพราะเมื่อก่อนมึงก็ไม่ได้ชอบกู เลยปากเสียใส่กู นี่ถ้ามึงไม่ปากเสียมหาเสียแบบนั้นนะ กูอาจจะไม่เล่นตัวนานขนาดนี้ก็ได้”
“อุ๊บ...”
“หัวเราะอะไร..”
“ก็มึงยอมรับว่ามึงเล่นตัว”
“สัด มึงหุบปากไปเลย.... ขึ้นรถไวๆ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่เลย....”
“คร้าบๆ อย่าทิ้งผมเลยคร้าบ ผมกลัวแล้ว....” ผมรีบอ้อนวอนด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วรีบวาดขาขึ้นซ้อนท้ายก่อนที่มันจะทิ้งผมไว้ที่นี่จริงๆ
“ก่อนหน้ากู มึงเคยชอบผู้ชายคนอื่นรึเปล่า...” ผมชะงักมือที่หยิบเสื้อออกจากตู้แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่มัน
“ทำไมถามอย่างงั้นวะ”
“ก็ผู้ชายทั่วไปเค้าไม่ปากเสียใส่ผู้หญิงพร่ำเพรื่อแบบนี้น่ะสิ รู้ตัวไหม เค้าลือกันให้แซดว่ามึงเป็นเกย์เลยไม่สนใจผู้หญิง...” ไอ้วอกนั่งพับเสื้อที่ผมเลือกแล้วใส่กระเป๋าอยู่บนเตียงผม
“ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยชอบผู้ชายนะ เพิ่งมาชอบก็ตอนเจอมึงนี่แหละ...”
“มึงก็มีผู้หญิงมาชอบตั้งเยอะ ทำไมไม่มีแฟนวะ”
“ไม่ชอบอ่ะดิ.... ไม่ชอบให้ใครมาจีบ ถ้ากูชอบใครก็อยากจีบเอง กูชอบเป็นฝ่ายตามล่ามากกว่าถูกล่า”
มันพยักหน้าเข้าใจ
“ที่จริงตอนปีหนึ่งกูก็มีคนที่กูชอบอยู่แล้วด้วยแหละ กูเลยไม่มองใคร เพราะเวลากูชอบใครกูก็มีแต่เค้าคนเดียว...”
“แล้วตอนนี้เค้าไปไหนซะล่ะ”
“ไปไหนเหรอ? นั่นสิ กูก็อยากรู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเค้าไปในที่ไกลแสนไกลจนกูไม่มีวันตามหาพบก็เท่านั้น” ผมถอนใจแล้วหันไปมองหน้าคนถามมีสีหน้าเศร้าตามไปด้วย ผมเลยคิดว่าไม่สมควรพูดถึงเรื่องแบบนี้ให้มันคิดมากจะดีกว่า
“เราอย่าพูดเรื่องคนอื่นเลย ยังไงตอนนี้กูก็มีแต่มึงนะ...”
“กูรู้... ว่ามึงแคร์ความรู้สึกของคนรักมากเสียจนไม่สนใจคนรอบข้างได้ แต่กูอ่ะทำไม่ได้หรอกนะ มันเป็นความเคยชินที่กูก็อยากให้มึงเข้าใจ ถ้ามึงเห็นกูดีกับใครบ้าง ไม่ได้แปลว่าเค้าสำคัญกว่ามึง กูไม่อยากให้มึงมานั่งหึง น้อยใจ หรืออะไร หรือถ้ามึงจะพูดดีๆ กับคนอื่นบ้าง รักษาน้ำใจของคนอื่นบ้าง กูก็ไม่ได้ว่าอะไร มึงไม่จำเป็นต้องหน้าบึ้งไล่คน หรือพูดจาไล่แขกแบบนี้ตลอดก็ได้...มีคนรักมันก็ดีกว่ามีคนเกลียด...”
“มึงไม่เข้าใจ ผู้หญิงสมัยนี้.. คิดอะไรเข้าข้างตัวเองจะตายห่า...ทำดีด้วยหน่อยก็นึกว่าเราชอบซะแล้ว ลองถ้ากูอัธยาศัยดีไปทั่วแบบมึง แล้วมีสาวๆ มาตามตื๊อ... กลัวจะมีใครบางคนแถวนี้อาละวาดฟาดงาอ่ะดิ”
“คนนะไม่ใช่ช้างจะมีงวงมีงาได้ไง กูไม่หึงอะไรไร้เหตุผลหรอก กูต้องรู้ดิว่าเค้าตื๊อมึงหรือมึงเล่นด้วยอ่ะ”
“แน่ใจ?”
“แน่ดิ....”
ผมปวดหัวกับความคิดของมันจริงๆ มันคงลืมไปแล้วว่าเพราะความผิดพลาดครั้งหนึ่งของผมที่ให้เบอร์เพื่อนร่วมกลุ่มมันไป ทำให้โดนตามอยู่ตั้งกี่วัน
จนถึงวันเปิดเทอม.... แผลที่มือก็ยังไม่หายดี ผมพันผ้าพันแผลไปเรียนโดยมีไอ้วอกขับรถไปส่ง มันมีเรียนเหมือนกันแต่ที่ตึกอื่น
“งั้น 5โมงเย็นมารับนี่นะ....”
ผมยักคิ้วให้พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม และยังยิ้มค้างยาวไปจนถึงห้องเรียน
ผมเลือกที่นั่งหลังห้องที่มีไอ้เดฟนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“อารมณ์ดีเนอะวันนี้ ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นยิ้มขนาดนี้”
ผมยิ้มตอบไม่พูดอะไร... และอาจารย์เข้าสอนพอดี เราก็เลยไมได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น
หมดคาบไปแบบไม่มีอะไรมาก เพราะคาบแรกก็ไม่มีอะไรบอกจากแจกชีท คำอธิบายรายวิชา พูดเรื่องการแบ่งคะแนน เนื้อหาการสอน และรายละเอียดปลีกย้อยเล็กน้อย ซึ่งถึงจะพูดอะไรผมก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะมือขวาข้างที่ถนัดใช้การไม่ได้เสียแล้ว
พักกลางวัน ผมกับเพื่อนๆ นั่งทานข้าวอยู่ใต้คณะเงียบๆ ระหว่างนั้นเองก็มีเพื่อนร่วมเส็ก เดินเอาชีทมาให้
ผมเงยหน้าขึ้นทำหน้างงใส่ผู้หญิงที่คิดว่าคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้นั่น
“เอ่อ... เห็นตุลย์มือเจ็บ คงจดรายละเอียดไม่ได้ เอ่อ....เราก็เลยเอาของเรามาให้”
คือผมอยากจะบอกไม่เอา แต่บังเอิญนึกถึงคำของไอ้ตัวดีขึ้นมาได้เลยเปลี่ยนความตั้งใจ ยื่นมือไปรับกระดาษเอสี่นั่นมา แล้วตอบไปว่า
“ขอบใจ” ผมเห็นผู้หญิงตรงหน้าคลี่ยิ้มดีใจแล้วเดินบิดกลับไป
“สองวันนี้หายไปไหนมาวะ โทรไปก็ปิดเครื่องตลอด” เสียงไอ้เดฟเอ่ยขึ้นมา
“อยู่ห้องแฟน เลยปิดเครื่อง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก จิ้มลูกชิ้นเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ
“แฟนไหน ปอนด์เหรอ?”
“อือ มึงเห็นกูจีบคนอื่นอีกเหรอ?”
“มันยอมรับหรือมึงทึกทักไปเองอีกล่ะคราวนี้....”
“ยอมดิวะ มึงนี่ก็....”
“อ้อ....ถึงว่าสิ...อารมณ์ดี... ปกติ ลองมีคนมาอ่อยขนาดนี้ มึงได้ด่าเปิงแล้ว” เอ๊ะไอ้นี่...รู้ดีนัก
“พอดีมันบอกกูว่า ให้เลิกปากเสีย แล้วก็.... อะไรนะ หัดรักษาน้ำใจคนอื่นบ้าง....”
“ดีเนอะ ไม่ขี้หึงเลยอ่ะ”
“กูว่าไม่จริง... แค่ยังไม่ถึงเวลาต้องหึงเท่านั้นแหละ”
เดฟทำหน้าสงสัย ในขณะที่ผมอมยิ้ม....
5โมงเย็น.... ผมเจอแฟนระหว่างเดินลงบันได
“เจอก็ดีละ ช่วยถือของด้วย...” ผมบอก แล้วยื่นถุงหิ้วหลายถุงให้มัน
“อะไรของมึงเนี่ยเยอะแยะ....” มันถามกลับพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น
“ของฝาก หรือของเยี่ยม หรือของขวัญ ไม่รู้ดิ สักอย่างอ่ะ....” ผมบอกแล้วเดินนำมันไปลงบันไดไป
เราเอาของมาเก็บที่ห้องมันก่อนจะไปทานข้าวเย็น
ทันทีที่เข้าห้อง ผมวางกองชีท ปึกหนึ่งลงบนเตียง ส่วนมันทิ้งถุงขนมลงกองบนพื้นเหมือนทิ้งเศษขยะ
“เบาๆ ดิ เดี๋ยวก็เละหมด...” ผมแสร้งทำเสียงเหมือนห่วงขนมทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด...
“วันนี้มึงเรียนกี่วิชาเนี่ย...”
“สาม”
“เค้าแจกชีทมึงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” มันถามแล้วเดินมาหยิบชีทนั่นขึ้นดู “คำอธิบายรายวิชา... เอ๊ะนี่มันวิชาเดียวกันไม่ใช่เหรอ? แล้วเอามาทำไมตั้งหลายใบเนี่ย...”
“ก็กูมือเจ็บเขียนไม่ได้ ก็เลยมีคนใจดีเค้าเอาของตัวเองให้มาน่ะสิ แล้วพอกูรับของคนนึงแล้ว ถ้ากูไม่รับของคนอื่นด้วยมันก็จะดูไม่ดี กูก็เลยรับมาทั้งหมด วิชาละ10กว่าชุด สามวิชาก็เลย....”
“ตุลย์...!!!!”
“หือ....”
“มึงแกล้งกูเหรอ?”
“เปล่านี่....กูทำตามที่มึงบอกทุกอย่างเลยนะ มึงบอกให้กูรับน้ำใจคนอื่นบ้าง กูก็....”
“ไม่ต้องเลย ต่อไปมึงไม่ต้องรับของพวกนี้แล้วนะ...”
“อ้าว... ไหนบอกไม่หึงไง...”
“ไม่ได้หึง แต่ห้องกูมันเล็ก นี่แค่วันแรกนะ ชีทมันจะเต็มห้องกูละ.... กว่ามึงจะหาย จะมีชีทอีกกี่กองมาสุมอยู่ในห้องกู ส่วนขนมนี่เหมือนกัน กูเสียดายเดี๋ยวพอกูหิวก็กูต้องกิน ถ้ามีทุกวันก็ต้องกินทุกวัน กว่าจะหมด กูได้อ้วนตายพอดีอ่ะ” เหตุผลอะไรของมันฟังแล้วอดขำไม่ได้เลย
“อ้วนๆ ก็ดีนะ มึงอ่ะผอมไป”
“ไม่ต้องพูดเลย....” ทีนี้มันเอาชีทม้วนแล้วขยับมาตีผมเฉย....
“เฮ้ย.... ตีกูทำไมเนี่ย...”
“กูหมั่นไส้....”
“หมั่นไส้อะไร...” รีบรวบร่างมันเข้ามาหาตัว อีกมือคว้าชีทไว้ไม่ให้มันตีได้
“หมั่นไส้คนเสน่ห์แรง....”
“แล้วกูผิดด้วยเหรอ? มึงบอกให้กูรับเองแล้วมึงมาตีกูทำไม” คำถามของผมทำเอามันชะงัก
“ก็....ไม่ผิดหรอก... เจ็บมะ...”
“ไม่เจ็บ.....”
“กูขอโทษ...นะ โกรธป่ะเนี่ย...”
“ไม่โกรธ กูยั่วโมโหมึงเองนี่ ต่อไปจะไม่รับของอะไรใครละ ไม่อยากให้มึงของขึ้น”
“ถ้ามึงอยากรับอะไรก็รับไปเหอะ กูก็ลืมไป กูเป็นคนพูดเองแท้ๆ ตอนแรกกูแค่ประเมินมึงต่ำไปนิด ไม่คิดว่าจะฮอตขนาดนี้เท่านั้นเอง....ตอนนี้กูพอรู้แล้วล่ะว่าประมาทไม่ได้เลย....”
“รู้ก็ดีแล้ว ว่าแฟนมึงก็ไม่ใช่ขี้ๆ นะ แต่ถึงมึงจะหึงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ดูกูดิ กูยังยอมรับเลยว่ากูหึงมึง หึงมาตลอด หึงมาตั้งนานละ...” ผมหันไปบอกมันยิ้มๆ มันยังคงนิ่งทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของผม....
“ขี้หึงมากไป บางทีมันก็น่ารำคาญ....” ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้นไปอีก มันหันมามองหน้าผม ซึ่งโน้มใบหน้าจนปลายจมูกจวนจรดแก้มของมันอยู่แล้ว
“กูไม่รำคาญนะ ก็คนเราหึงเพราะอะไรล่ะ ก็หึงเพราะรักใช่มะ หืม.....” ส่งเสียงในลำคอเป็นคำถามอยู่ข้างแก้ม
“อือ..... ก็ได้....หึงก็หึง”
วินาทีต่อมาผมยื่นหน้าเข้าไปจูบมันด้วยความรักและปรารถนา......