ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งที่ช่วยฉุดรั้งให้ผมทนอยู่กับความเจ็บปวดได้ไม่ว่ามันจะถาโถมเข้ามาในชีวิตผมกี่ครั้งก็ตาม ผมยึดถือประโยคที่ว่า “ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด” ไม่ว่าเรื่องใดๆ เหตุการณ์ใดๆ มันก็มีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องดีๆกับผม ผมก็จะยึดถือคตินี้เตือนใจตัวเองไว้เสมอ ว่าอย่าหลงระเริงกับความสุขมากเกินไป ใครจะรู้ละครับ ว่าบางทีที่ผมกำลังมีความสุขอยู่แบบนี้ วันพรุ่งนี้ทุกอย่างอาจกลับตาลปัตร ความทุกข์อาจถาโถมมาจนผมตั้งตัวไม่ทันก็เป็นได้
ที่จู่ๆผมก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็เพราะว่าผมกำลังมีความสุขน่ะสิ โลกของผมกำลังหมุนไปโดยมีความสุขเป็นจุดศูนย์กลาง และในความสุขนั้นก็มีคนที่ชื่อว่า ‘ณัฐ’ นั่งอยู่ตรงกลาง แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าผมเอาแต่มองอยู่ห่างๆแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไรถ้าผมไม่ได้เห็นหน้าเขา จะมีประโยชน์อะไรถ้าผมไม่ได้พิสูจน์ความรู้สึกตัวเอง ว่ายังชอบณัฐเหมือนเดิมไหม...
ผมก็เลยชวนณัฐไปดูหนังครับ...
ให้ตายเถอะ คุณรู้ไหมว่าวันนั้นผมแทบบ้า ผมทำตัวเหมือนสาวน้อยออกเดทครั้งแรก ผมค้นเสื้อผ้าออกมาจนหมดตู้ เลือกชุดนั้นชุดนี้ไม่จบสิ้น นั่งจ้องหน้ากระจกเป็นชั่วโมงเพื่อสำรวจว่าตัวเองเพอร์เฟคท์หรือยัง จนผมเริ่มรู้สึกว่าถ้าผมยังไม่หยุดคลุ้มคลั่งผมคงไปตามนัดไม่ทันแน่ๆ
ผมไปถึงก่อน ก็เลยฆ่าเวลาโดยการเดินเล่นแถวๆนั้น ไปยืนอ่านนิตยสารฟรีได้พักหนึ่งณัฐก็โทรมา ผมหันไปมองรอบตัวแต่ก็ไม่เห็น พอผมกดรับแล้วพูดฮัลโหลเท่านั้นแหละ ผมก็เห็นณัฐก็ขึ้นลิฟต์มาพอดี
และมันก็เกิดอีกแล้วครับ อาการโลกหยุดหมุนของผม...
ผมอึ้งไปแวบหนึ่งเมื่อเห็นเขา พระเจ้า.... นี่ท่านกำลังเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า ทำไมท่านถึงส่งคนแบบนี้ลงมาให้ผมได้พบเจอแต่ไม่ได้ครอบครอง ทำไมท่านถึงสร้างให้เขามีรอยยิ้มที่สดใสแบบนั้น ทำไมท่านถึงทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้แม้เพียงนิด...
ผมอยากจะร้องไห้เป็นบ้า...
“รอนานมั้ย” ผมเงยหน้ามอง ‘ณัฐ’ คนใหม่ ณัฐคนที่ผมไม่ได้เจอมาเป็นปี ณัฐดูโตขึ้นจริงๆ เหมือนจะสูงขึ้น ตอนนี้ผมต้องแหงนหน้ามองเขาแล้ว ณัฐคนนี้ดูมีเนื้อหนังขึ้นมา ดูแข็งแรง ดูสมเป็นชายหนุ่มมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหนดี ทำไมผมถึงเกิดอาการทำตัวไม่ถูกแบบนี้นะ...
“ไม่นานหรอก ฟี่ก็เพิ่งมาเหมือนกัน..” โอะ.. ทำไมผมทำตัวหน่อมแน้มแบบนั้นละ มาเรียกตัวเองว่า ฟ่ง ฟี่ อะไรเนี่ยยยยยย!!!
“กินอะไรมาหรือยัง หิวมั้ย” ผมส่ายหน้าตอบ เพราะตอนนี้ผมโคตรอิ่มเลยครับ อิ่มอกอิ่มใจ(อ้วกกกก)
“แต่ณัฐหิวหละ ไปหาไรกินกันเถอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินตรงดิ่งไปร้านราเมนทันที ผมอมยิ้มนิดๆเมื่อเห็นว่าเขายังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน... ไอ้เรื่องมัดมือชกเนี่ย...
ผมมองอาหารบนโต๊ะแบบอึ้งๆ นี่ผมจะกินเข้าไปหมดหรือ ณัฐเล่นสั่งมาซะถล่มทลายแบบนี้ ทั้งบะหมี่เย็นของณัฐ บะหมี่เย็นทรงเครื่องของผม ทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า ชูมัย ชาฮั่น โอย....แค่เห็นผมก็อิ่มแล้วละ
“ฟี่ อ้าปาก” ผมทำตามไปโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วเกี๊ยวซ่าครึ่งชิ้นก็เข้ามาอยู่ในปากผม ผมตั้งตัวไม่ติด เมื่อกี้ถ้าผมไม่ได้ฝันไปมันก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ที่ณัฐคีบเกี๊ยวซ่าใส่ปากผมน่ะ
“ชอบกินน้อย กินยังกะแมวดม ถึงได้ผอมแบบนี้ไง”
“ไม่ได้ผอมนะ แค่ตัวเล็ก..” ผมขมวดคิ้วเมื่อผมถูกว่า เรื่องอะไรผมจะยอมให้มากล่าวหาผมแบบนี้ละ ผมแค่กินน้อยแล้วก็คอยจะลืมกินแค่นั้นเอง
“ไม่ต้องมาเถียง อ้าปาก” ณัฐไม่ฟังผมเลยครับ ยังยืนยันจะลำเลียงเกี๊ยวซ่าเข้ากระเพาะผมให้หมดจานอยู่เหมือนเดิม
“หึ๊ ไม่เอาแล้วละ อิ่มแล้ว” ผมส่ายหน้า ก็ไม่อยากกินแล้วนะครับ
“อีกคำนะครับ นะ” ง่า... พูดแบบนี้ผมยอมกินก็ได้..
และแล้วผมก็กินเกี๊ยวซ่าที่ณัฐป้อนให้จนหมดจาน ตอนเดินไปโรงหนังผมนึกว่าจะอ้วกออกมาเพราะอิ่มเกินขนาดด้วยซ้ำ แต่ก็แปลกแฮะ ผมแค่รู้สึกแน่นๆ แต่ก็ไม่ได้อิ่มโอเวอร์อะไรมากมาย น่าแปลกที่ผมกินได้เยอะขนาดนั้นจริงๆนะ
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นผมดูหนังเรื่องอะไร เหมือนว่าหนังมันจะไม่สนุกด้วยซ้ำ ผมเอาแต่นึกถึงเรื่องของคนที่นั่งข้างผมตอนนี้ ใกล้จนผมได้กลิ่นของเขา ใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขา ใกล้เสียจนสมองผมอื้ออึงไปหมด
ตอนที่หนังจบ แล้วเราต้องออกจากโรงหนัง ผมรู้สึกเสียดายเหลือเกิน เราพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนมาถึงป้ายรถเมลล์ ผมยังขึ้นรถสายเดียวกับเขาอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผมจะลงก่อนสองป้ายเท่านั้น ผมกำลังจำใจมองหารถตู้ทั้งที่ยังไม่อยากกลับ
“ฟี่ นั่งรถเมลล์ได้หรือเปล่า” จู่ๆณัฐถามขึ้นมาเฉยๆ ผมเลยหันไปมองเข้าด้วยความสงสัย
“ทำไมถามงั้นละ เห็นฟี่เป็นพวกไฮโซนั่งรถเมลล์ไม่เป็นงั้นเหรอ”
“เปล่าๆ ณัฐแค่อยากจะบอกว่า ถ้าฟี่นั่งรถเมลล์ได้ เรานั่งรถเมลล์กลับกันมั้ย”
“ฮื้ม? นึกยังไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่...”
“แค่?”
“แค่ไม่อยากให้ถึงไวน่ะ” ณัฐพูดจบแล้วณัฐก็ยิ้ม ยิ้มแบบ...แบบ...แบบหวานๆ...น่ะครับ...
ทุกคนครับ ตอนนี้ไอ้ฟี่มานอนตายที่บ้านแล้วครับ กลับมาถึงได้ยังไงไม่รู้ แต่ที่รู้แน่คือตอนนี้ผมนอนตาค้างอยู่บนที่นอน จะหลับก็หลับไม่ลง น่าแปลกนะครับ ตอนที่นั่งรถเมลล์กลับมาอย่างที่ณัฐเสนอแล้ว ปรกติเวลานั่งรถผมจะไม่ชอบให้รถติด อยากจะถึงบ้านเร็วๆ แต่มาวันนี้ผมอยากให้มันถึงช้าๆ อยากจะให้ช่วงเวลาในตอนนั้นคงอยู่ไปยาวนาน ผมนอนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้รู้จักกับณัฐมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นเขามาจนวันนี้ก็สี่ปีได้แล้ว
ผมไม่เคยเก็บความรู้สึกเวลาผมชอบใครไว้นานขนาดนี้มาก่อน ถ้าผมถูกใจใครผมก็จะไม่รีรอเลย แต่กับณัฐ มันเป็นอะไรที่ผมบอกไม่ถูก บางครั้งผมก็อยากบอกกับเขา แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ทำไม่ได้ จนเวลามันผ่านมาจนป่านนี้ ความรู้สึกของผมก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมหลับตาแล้วนึกถึงใบหน้าของณัฐตอนที่คีบเกี๊ยวซ่าให้ผม นึกถึงตอนที่ณัฐบอกกับผมว่าไม่อยากให้ถึงบ้านไว
ถ้าหากผมไม่ได้หลงตัวเอง หากว่าผมไม่ได้คิดไปเอง หากว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว ผมจะทึกทักเอาได้ไหม ว่าบางทีณัฐก็อาจจะรู้สึกไม่แตกต่างจากผม...
ผมมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน มันคือเรื่องท่าทีของณัฐ ผมไม่รู้ว่าผมหลงตัวเองหรือเปล่า แต่มันตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ผมมักจะสังเกตได้ ว่าบางครั้งณัฐก็ปฏิบัติกับผมต่างจากคนอื่น ณัฐไม่สนิทกับคนอื่นและเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง...เหมือนที่มักจะเล่าให้ผมฟัง...
แต่พอผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง กำลังจะคิดว่าเขาคงมีใจให้ผมบ้าง มันก็จะมีบางอย่างมาดลใจผม มายับยั้งให้ผมหยุดคิด บางอย่างคอยกรอกหูผมว่าณัฐเขาก็ดีกับทุกคนเท่ากันแหละ บางอย่างที่เรียกว่า ‘ความละอาย’...
แล้ววันนี้ละ... วันนี้ที่สถานะของณัฐไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมจะสามารถทำอะไรได้ไหม ผมจะทำให้ทุกสิ่งก้าวหน้าไปมากกว่านี้ได้ไหม มันจะผิดไหม ผมจะกลายเป็นคนที่ไปทำให้ชีวิตของเขาแตกร้าวหรือเปล่า เขาจะรังเกียจผมไหมถ้าเขารู้ว่าผมคิดอย่างไรกับเขา ผมจะทำลายความเชื่อใจของเขาที่มีให้ผมหรือเปล่า...
ผมคิดมากจนผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากวันนั้นเราไม่ได้โทรหาหรือสานต่อความสัมพันธ์ใดๆอีก เราพูดคุยแล้วก็ทักทายกันในแชทแต่ไม่เคยโทรหากัน ผมไม่กล้าโทร ผมไม่รู้ว่าถ้าผมโทรไปแล้วจะบอกว่าอะไร ผมจะคุยอะไร ผมโทรหาเขาทำไม แล้วถ้าผมโทรไป แล้วเขาไม่อยากคุยกับผมล่ะ...
แต่คนธรรมดาอย่างผมจะห้ามความรู้สึกได้ไหวงั้นเหรอ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจลองโทรหาเขา เสียงรอสายดังอยู่นาน แต่ละครั้งที่มันดัง ‘ตู๊ด’ ก็เหมือนดึงพลังชีวิตผมไปด้วย แค่การรอให้คนรับสายทำไมมันถึงตื่นเต้นแบบนี้นะ
/สวัสดีครับ/ เสียงนุ่มๆของณัฐทักมาเหมือนที่เคย ผมหลับตาแล้วยิ้ม นึกออกเลยว่าโทนเสียงแบบนี้เขาคงกำลังยิ้ม
“เอ่อ...หวัดดี ทำอะไรอยู่เหรอ”
/เลิกงานแล้ว ก็เลยมาดูไลฟ์ครับ/ อ่า...มิน่าละ เสียงดังเชียว..ผมได้ยินเสียงจ้อกแจ้ก เสียงคนพูดคุยเต็มไปหมดเลย
“เหรอ..” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนรอบตัวผมหม่นหมองลงทันที...ณับอยู่ในโลกของเขา...
/ฟี่มีอะไรหรือเปล่า/ น้ำเสียงของเขายังคงออ่นโยน ผมส่ายหัวแล้วก็คิดได้ว่าเขาไม่เห็นหน้าผมนี่นะ...
“ไม่มีหรอก แค่โทรมาหาเฉยๆ แค่นี้นะ..” ผมแอบหวังนิดๆว่าเขาจะพูดว่าอย่าเพิ่งวาง
/อื้อ บายครับ/ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้...
ผมนอนกอดหมอนอยู่บนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมาก็หงุดหงิด นึกโมโหตัวเองที่หน้าด้านโทรไปหาเขา ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อน แค่คนรู้จักกัน ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกน้อยใจด้วยซ้ำ ผมละเกลียดนักไอ้ความรู้สึกแบบนี้...
ผ่านไปอีกหลายวันเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปรกติ ไม่มีอะไรหวือหวา ผมได้แต่เฝ้าดูเฟซบุ๊คของเขาว่ามีการอัพเดทหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ทุกครั้งที่เห็นเขาอัพสเตตัสใหม่ ผม ก็จะนั่งยิ้ม แค่ได้เฝ้ามองมันก็คงเพียงพอแล้วละ หวังว่านี่คงไม่ได้แปลว่าผมโรคจิตใช่ไหมครับ...
“จ๊ะเอ๋!!”
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งโหยงแล้วอุทานเสียงดัง หนังสือการ์ตูนในอ้อมแขนหล่นตุบลงพื้นจนหมด ผมหันไปมองไอ้คนบ้าที่มันมาแกล้งผม ไม่ผิดครับ เสียงนี้มีคนเดียวเท่านั้นเอง
“ณัฐ หัวใจจะวาย คนกำลังใช้สมาธิไม่เห็นเหรอ” ผมมองคนหน้าทะเล้นที่ช่วยผมเก็บหนังสือไปขำไปอย่างหมั่นไส้ สนุกสินะ แกล้งผมได้แบบนี้
“แหมๆ อ่านการ์ตูนนี่ต้องใช้สมาธิมากเลยเนอะ” ผมมองคนกวนประสาทตาขวาง ทำไมณัฐมันต้องกวนประสาทผมด้วยนะ ไอ้ความทะลึ่งทะเล้นขี้เล่นของเขาเนี่ยไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด นานแค่ไหนก็ยังหน้าระรื่นเหมือนเดิม... เหมือนความรู้สึกของผมเลยนะ ที่มันยังเหมือนเดิม...
“แล้วนี่ฟี่มายืมการ์ตูนเหรอ” ผมพยักหน้า ในใจคิดว่าโคตรโชคดีเลยว่ะที่มาวันนี้และตอนนี้ ได้เจอหน้าแบบฟลุ้คๆ ซะอย่างนั้น
“มายังไงเนี่ย”
“มากับน้องฟิโอเร่”
“แหม นึกว่าไม่ได้เอารถมา จะไปส่งสักหน่อย” ผมหันควับ อะไรนะ ณัฐบอกว่าจะไปส่งผม???
“ทำไมต้องมองณัฐแบบนั้นล่ะ คิดว่าณัฐขี้โม้ละเซ่”
“เหอะ ใครจะไปรู้ละณัฐ ก็ตัวเองอะ ขี้แกล้ง ชอบหลอกจะตาย”
“แหมๆ ณัฐก็พูดจริงเป็นนะ ว่าแต่ฟี่กินข้าวหรือยัง” ผมส่ายหัว กลับจากที่ทำงานมาก็ดิ่งมาร้านหนังสือเลย
“งั้นไปหาข้าวกินกันนะ”
ตลกไหมครับ แค่ประโยคเดียวสั้นๆ ผมก็โอนอ่อนผ่อนตามเขาไปทันที ทั้งๆที่ยังไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้คนอื่นเขาก็คงเคยเป็นกัน ความรู้สึกแบบที่ยอมทำตามที่คนๆหนึ่งบอกอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่สำหรับผมมันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ เพราะผมไม่เคยมีคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากทำทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนี้ ผมแค่อยากให้ณัฐมีความสุข...
ณัฐชวนผมไปนั่งกินขนมจีนร้านป้าเจ้าประจำสมัยที่ผมยังอยู่แถวๆนี้ ตอนแรกณัฐตั้งใจจะมาตะลุยกินแต่ของหวาน ทั้ง
น้ำแข็งไสและบัวลอย แต่พอณัฐเห็นผมกินขนมจีนน้ำยาป่า ก็เลยสั่งตามผมมาอีกจานหนึ่ง
“ไอ้น้ำยาป่าเนี่ย มันใส่ปลาร้าใช่มั้ยฟี่” ณัฐตักขนมจีนใส่ปากแล้วทำจมูกฟุดฟิด
“อื้อ ณัฐกินปลาร้าได้ไม่ใช่เหรอ” ผมเงยหน้ามองณัฐอย่างแปลกใจ อย่าบอกนะว่าผมจำผิด
“กินได้ๆ คือณัฐได้กลิ่นไง ก็เลยลองถามดู”
“วันนี้ณัฐเลิกงานไวเหรอ ธรรมดาเวลานี้ไม่เคยเจอณัฐที่ร้านเลยนะ”
“ก็ปรกติแหละครับ แต่เหมือนว่ารถไม่ค่อยติด”
“ก็โรงเรียนปิดเทอมแล้วนี่นา” ผมรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นแฟนกันเลยครับ ผมอิ่มอกอิ่มใจยังไงไม่รู้ วันนี้ขนมจีนป้าเลยอร่อยเป็นพิเศษไปเลย
เรานั่งกินกันไปเรื่อยๆ ณัฐกินขนมหวานต่ออีกสองถ้วยโดยบังคับให้ผมช่วยกินด้วย เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอผมไปถึงบ้านผมก็เอารถเข้าในที่จอดรถ พอไขกุญแจเข้าบ้านได้โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา ผมเห็นเบอร์ที่โทรมาแล้วก็รีบกดรับ
“ว่าไง”
/ถึงบ้านแล้วเหรอ/ ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงเขาฟังดูอ้อนๆนะ?
“อื้อ เพิ่งถึงเนี่ยแหละ แล้วณัฐก็โทรมา”
/ฟี่.../
“หืม?”
/เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก/
“เอ๊า ซะงั้นแหละ”
/นี่ๆ วันนี้ณัฐมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง/
.......
...
..
.
นั่นนับเป็นครั้งแรกของการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างผมและณัฐที่ยาวกว่าสิบนาที เราคุยกันสัพเพเหระมากมาย จนวางสายก็ยังไปคุยต่อในแชท
และนั่นก็ทำให้ผมติดนิสัยอย่างหนึ่งที่เวลาเข้าเฟสบุ๊คแล้ว ก็มักจะเปิดดูว่าณัฐออนไลน์หรือเปล่า แต่ส่วนมากจะไม่ทันหรอก แค่ผมออนปุ๊บเขาก็ทักปั๊บแล้ว ไม่รู้ว่าทำได้ยังไงน้า... ณัฐทำให้ผมอิ่มเอมใจจนลืมคติประจำใจของผมเองเสียสนิท
คติประจำใจผมที่ว่า “ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด” .....
----------------------------- To Be Continue -----------------------------ปล.ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ